...มีโดยไม่ต้องมีผู้มี...
๐ ถ้ามีอะไร แล้วใจ รู้สึกเหนื่อย
สำนึกเรื่อย ว่ากูมี อย่างนี้หนา
มีทั้ง "กู" ทั้ง "ของกู" อยู่อัตรา
นั่นอัตตา มาผุดขึ้น ในการมี
๐ ถ้ามีอะไร มีไป ตามสมมุติ
ไม่จับยุด ว่า "ของกู" รู้วิถี
แห่งจิตใจ ไม่วิปริต ผิดวิธี
มีอย่างนี้ ยอมไม่เกิด ตัวอัตตา
๐ ฉะนั้นมีอะไร อย่าให้มี อัตตาเกิด
เพราะสติ อันประเสริฐ คอยกันท่า
สมบูรณ์ด้วย สัมปชัญญ์ และปัญญา
นี้เรียกว่า รู้จักมี ที่เก่งเกิน
๐ เป็นศิลปะ แห่งการมี ที่ชั้นยอด
ไม่ต้องกอด ไฟนรก ระหกระเหิน
มีอย่างว่าง ว่างอย่างมี มีได้เพลิน
ขอชวนเชิญ ให้รู้มี อย่างนี้แล ฯ
พุทธทาสภิกขุ
เหวี่ยงไปแรง มันก็กลับมาแรง
นี้เป็นกฏแห่งกรรม ที่ต้องระวังสังวร
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา อสีติสังวัจฉรายุศมานุสรณ์
เราล่วงเกินใคร... ก็หวัง ให้เขา ให้อภัย
ครั้นใครล่วงเกินเรา... เราก็ ลืม เรื่องการ ให้อภัย
พุทธทาสภิกขุ
"คนที่ไม่เคยเห็น เคยฟังพระไตรปิฎกเลย
แต่เคยพิจารณาอย่างละเอียดลออทุกครั้งทุกคราว
ที่ความทุกข์เกิดขึ้นแผดเผาในใจของตน;
นี้แหละ เรียกว่าคนที่กำลังเรียนพระไตรปิฎกโดยตรง
อย่างถูกต้องถ่องแท้
ยิ่งกว่าคนที่กำลังเปิดเล่มพระไตรปิฎกในตู้ออกอ่าน
แล้วเพียงแต่จำไว้ได้และเข้าใจ"
พุทธทาสภิกขุ
ในความ "ว่าง" ก็มีความเต็ม
ในความเต็มก็มีความ "ว่าง"
พุทธทาสภิกขุ
"มี ไม่ต้อง เป็นของ "กู"
ถ้าจะอยู่ ในโลกนี้ อย่างมีสุข
อย่าประยุกต์ สิ่งทั้งผอง เป็นของฉัน
มันจะสุม เผากระบาล ท่านเป็นควัน
ต้องปล่อยมัน ให้เป็นมัน อย่าผันมา
เป็นของกู ในอำนาจ แห่งตัวกู
ท่านจะอยู่ วุ่นวาย คล้ายคนบ้า
อย่างน้อยก็ เป็นนกเขา เข้าตำรา
มันคึกว่า "กู ของกู" อยู่ร่ำไปฯ
ท่านหามา มีไว้, ใช้หรือกิน
ตามระบิล, อิ่มหนำ ก็ทำไหว
โดยไม่ต้อง มั่นหมาย ให้อะไรๆ
ถูกยึดไว้ ว่า "ตัวกู" หรือ "ของกู" ฯ
พุทธทาสภิกขุ
พ้นแล้วโว้ย !
ตะโกนออก บอกสหาย สิ้นทั้งผอง
ว่าไม่ต้อง เสียเที่ยว เที่ยวค้นหา
อนันตสุข ในโลกนี้ ที่หวังมา
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายปล่าวแล
สุขแท้จริง ต้องไม่วิ่ง วนในโลก
ต้องเหนือความ ทุกข์โศก ทุกกระแส
มือเท้าเหนียว เหนี่ยวขึ้นไป คล้ายตุ๊กแก
ไม่อยู่แค่ พื้นโบสถ์ โปรดคิดดู
ลอยเหนือยอด โบสถ์ไป ในเวหา
ลอยพ้นไป ให้เหนือฟ้า ที่พรหมอยู่
ถึงความว่าง ห่างพ้น ตน “ตัวกู”
ไม่มีอยู่ ไม่มีตาย สหายเอย.ฯ
พุทธทาสภิกขุ
มันไม่มีอะไรที่จะเป็นไปตามที่ ฉัน ต้องการหรอก
มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน
ตามธรรมชาติ ก็เลยได้เป็นทุกข์กันเพราะเหตุนี้
จะยึดถือว่าชีวิตนี้ของฉัน ชีวิตนี้จงเป็นอย่างนี้
จงอย่าเป็นอย่างนั้น
แต่ไอ้ชีวิตนี้มันก็ยังเป็นไปตามธรรมชาติ
เช่น มันเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น
มันก็เลยให้เกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ แก่จิตที่โง่ว่า
มีตัวฉัน ต้องการอย่างนั้น อย่างนี้
ถ้าว่าจิตมันไม่โง่ คือจิตที่ศึกษาถึงที่สุด บรรลุธรรมะ
แล้วมันไม่มีความรู้สึกว่าตัวฉัน ไม่รู้สึกว่าของฉัน เป็นธรรมชาติ
เป็นตามธรรมชาติ คือเป็นแต่ละอย่างๆ อย่างที่เราแจกออก
เป็นอิทัปปัจจยตา เป็นปฏิจจสมุปบาทนั้น หรือว่าเป็นรูป เป็นเวทนา
เป็นสัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นสักว่า รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ นั้น มันไม่มีตัวตนที่ไหนได้ นี่เรียกว่าเป็นเบญจขันธ์ที่
ไม่ถูกยึดถือด้วยอุปาทาน มันก็ไม่เป็นทุกข์ คือไม่หนัก
พุทธทาสภิกขุ
หนีความเกิด เสียให้ได้ก่อนเถิด
จึงค่อยคิดหนีความตาย
ถ้าไม่มีการเกิด ก็ไม่มีการตาย
พุทธทาสภิกขุ
นานาสาระธรรม จากสวนโมกข์กรุงเทพ>>> F/B ปรมัตถธรรม