ผู้เขียน หัวข้อ: ::: ที่มาของบทสวด นะโม 3 จบ :::  (อ่าน 1440 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
::: ที่มาของบทสวด นะโม 3 จบ :::
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2015, 04:28:15 pm »

::: ที่มาของบทสวด นะโม 3 จบ :::
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
____________________
หลายท่านคงสงสัยว่า ทำไมต้องกล่าวบทคำบูชาพระพุทธเจ้านี้ก่อนว่าคาถา (โบราณเรียกตั้งนะโม ๓ จบ ) หรือนำหน้าบทสวดมนต์ต่างๆ ตลอดด้วย ที่มาของคำบูชาพระบรมศาสดานี้ มีเรื่องเล่าว่า ..
ณ แดนหิมวันต์ประเทศ มีเทือกเขาชื่อว่า สาตาคิรี เป็นที่ร่มรื่น รมณียสถาน เป็นที่อยู่ของพวกยักษ์ที่เป็นภุมเทพยดา อันมีนามตามที่อยู่ว่า ‪#‎สาตาคิรียักษ์‬ มีหน้าที่เฝ้าทางเข้าหิมวันต์ ทางทิศเหนือ เป็นบริวารของท้าวเวสสุวัณ สาตาคิรียักษ์ได้มีโอกาสสดับ พระสัทธรรมจากพระบรมศาสดา จนมีจิตเลื่อมใสศรัทธา เปล่งคำยกย่องบูชาด้วยคำว่า "นะโม" หมายถึง พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นใหญ่กว่า มนุษย์ เทพยดา พราหมณ์ มาร ยักษ์ และสัตว์ทั้งปวง

กล่าวฝ่าย ‪#‎อสุรินทราหู‬ เมื่อได้สดับพระเกียรติศัพท์ ของพระบรมศาสดา ก็มีจิตปรารถนาที่จะได้ฟังธรรมของพระบรมศาสดาบ้าง แต่ด้วยกายของตนใหญ่โตเท่ากับโลก จึงคิดดูแคลนพระบรมศาสดาว่า มีพระวรกายเล็กดังมด จึงอดใจรั้งรออยู่ พอนานวันเข้าพระเกียรติคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ยิ่งขจรขจายไปทั้งสามโลก จนทำให้อสุรินทราหูอดรนทนอยู่มิได้ จึงเหาะมาในอากาศตั้งใจว่าจะร่ายเวทย่อกาย เพื่อเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าขอฟังธรรม แต่พอมาถึงที่ประทับ อสุรินทราหู กลับต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่า เพื่อจะได้ทัศนาพระพักตร์พระบรมศาสดา พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงพระสัทธรรม ชำระจิตอันหยาบกระด้างของ อสุรินทราหู ให้มีความเลื่อมใสศรัทธา แสดงตนเป็นอุบาสกผู้ถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต แล้วกล่าวสรรเสริญพระบรมศาสดาว่า “ตัสสะ” แปลว่า ขอบูชา ขอนอบน้อม ขอนมัสการ

เมื่อครั้งที่ ‪#‎ท้าวจาตุมหาราชทั้ง๔‬ ผู้ดูแลปกครองสวรรค์ชั้นแรก มีชื่อเรียกว่า ชั้นกามาวจร มีหน้าที่ปกครองดูแลประตูสวรรค์ทั้ง ๔ ทิศ พร้อมบริวาร ได้พากันเข้ามาเฝ้าพระบรมศาสดาแล้วทูลถามปัญหา พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมตอบปัญหาแก่มหาราชทั้งสี่พร้อมบริวาร จนยังให้เกิดธรรมจักษุแก่มหาราชทั้งสี่ และบริวารท่านทั้ง ๔ นั้น จึงเปล่งคำบูชาสาธุขึ้นว่า “ภะคะวะโต” แปลว่า พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมอันยิ่ง อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า

อะระหะโต เป็นคำกล่าวสรรเสริญของ ‪#‎ท้าวสักกะเทวราช‬ เจ้าสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ท่านสถิตอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะเทวราช ได้ทูลถามปัญหาแด่พระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์ทรงตรัสปริยายธรรม และทรงตอบปัญหา จนทำให้ท้าวสักกะเทวราชได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นพระโสดาปัตติผล จึงเปล่งอุทานคำบูชาขึ้นว่า "อะระหะโต" แปลเป็นใจความว่า อรหันต์ เป็นผู้ไกลจากกิเลส ไกลจากเครื่องข้องทั้งปวง
สัมมาสัมพุทธัสสะ เป็นคำกล่าวยกย่องสรรเสริญของ ‪#‎ท้าวมหาพรหม‬ หลังจากได้ฟังธรรม จนบังเกิดธรรมจักษุ จึงเปล่งคำสาธุการ "สัมมาสัมพุทธัสสะ" หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยพระองค์เอง ทรงรู้ดี รู้จริง รู้ยิ่ง กว่าผู้รู้อื่นใด

รวมเป็นบทเดียวว่า "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ" แปลโดยรวมว่า ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ด้วยเหตุนี้โบราณท่านจึงว่า หากขึ้นต้นคาถาหรือบทสวดมนต์ใดๆด้วยการตั้งนะโม ๓ จบ คาถานั้นจะมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนักด้วย เพราะเป็นคำสรรเสริญพระพุทธเจ้าที่มีเทพพรหมชั้นหัวหน้าได้กล่าวไว้ แรงครูหรือแรงแห่งเทพ-พรหม และแรงพระรัตนตรัยท่านจึงประสิทธิ์ให้สมประสงค์


งามจิต ( เพจ ธรรมะ บัญชร )

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ::: ที่มาของบทสวด นะโม 3 จบ ::: /นโม
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2015, 04:35:07 pm »
นโม โพสท์ในกระทู้ลานธรรม
มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิโดย พี่เณร...นำมาฝาก [7 ก.พ. 2548]

การตั้งนโม เป็นกิจกรรมเบื้องต้นของผู้นับถือพระพุทธศาสนา ผู้จะบำเพ็ญทาน  รักษาศีล เจริญภาวนา ต้องเปล่งวาจาว่า นโม ก่อน แล้วจึงจะทำกิจนั้นๆ  ฝ่ายภิกษุสงฆ์ เมื่อจะทำกิจสังฆกรรมต่างๆ เช่น บรรพชาอุปสมบท  หรือเริ่มการสักการบูชา ก็กล่าวคำนมัสการว่า “นโม” ก่อน  แล้วจึงจะทำกิจนั้นๆ

คำว่า “นโม” แต่เดิมเป็นคำอุทาน  คือเปล่งวาจาออกมาด้วยความเลื่อมใสเบิกบานใจในพระคุณมีพระพุทธาทิรัตน์  เป็นต้น หรือบางทีผู้นั้นมีความเลื่อมใสจับใจอยู่แล้ว  มีเหตุมากระทบทำให้ตกใจ จึงได้อุทานว่า “นโม” เป็นต้น

ได้พบที่มาในพระบาลี ๔ แห่ง คือ ในสักกปัณหสูตร ธรรมเจตียสูตร พรหมายุสูตร และ ธนัญชานีสูตร

ในสักกปัณหสูตร เล่าว่า ครั้งหนึ่งพระศาสดาประทับอยู่ ณ อินทศาลคูหา  ภูเขาเวทยิกบรรพต ท้าวสักกะพร้อมด้วยเทวบริพาร เสด็จมาเฝ้าทูลถามปัญหา  พระศาสดาทรงชี้แจงให้ท้าวเธอสิ้นสงสัย ท้าวสักกะมีพระทัยโสมนัสยินดียิ่ง  ทรงเปล่งพระอุทานว่า “นโม” เป็นต้น

ในธรรมเจตียสูตร เล่าว่า ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศล  เสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกล่าวธรรมเจติยปริยาย แสดงความเลื่อมใส  จบแล้วทรงเปล่งอุทานว่า “นโม” เป็นต้น

ในพรหมายุสูตร เล่าว่า อาจารย์ใหญ่ของพราหมณ์คนหนึ่ง ชื่อ พรหมายุ  เป็นผู้มีอายุยืนถึง ๑๒๐ ปี อยู่ ณ เมืองมิถิลานคร  ได้ฟังกิตติศัพท์สรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว  จึงได้ส่งมาณพคนหนึ่งชื่อ อุตรมาณพ เป็นศิษย์ผู้ใหญ่  ไปสืบความดูให้รู้แน่ว่าพระองค์จะทรงพระคุณเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  จริงดังคำเล่าลือหรือไม่ อุตรมาณพไปเฝ้าพิจารณาดูมหาบุรุษลักษณะในพระกาย  เห็นครบถ้วนตามตำราในลักษณมนต์ แต่ยังเฝ้าสะกดรอยดูพระอิริยาบถอยู่อีก ๗  เดือน จึงกลับไปบอกเล่าให้อาจารย์พรหมายุฟัง

เมื่อพรหมายุได้ฟังแล้ว เกิดความเลื่อมใส ลุกจากอาสนะทำผ้าห่มเฉียงบ่า  ยกมืออัญชลีประณม ผันหน้าสู่ทิศที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่  เปล่งอุทานว่า “นโม” เป็นต้น ด้วยความเลื่อมใส

ในธนัญชานีสูตร เล่าว่า นางธนัญชานีพราหมณี เป็นพระโสดาบันอริยสาวิกา  พราหมณ์ผู้เป็นสามีขอให้งดคำว่านโม ในวันเลี้ยงพวกพราหมณ์  แต่ในขณะที่นางยกภาชนะใส่ปายาสพลัดมือตกลง นางก็อุทานด้วยความตกใจว่า  “นโม ตสฺส” ทำให้พราหมณ์ผู้เป็นสามีโกรธเคืองมาก

ส่วนที่ว่า ใครจะเป็นผู้กล่าว “นโม” ขึ้นก่อนนั้น ยืนยันไม่ได้  เพราะในพระสูตรไม่ได้ระบุไว้แน่ชัด เพียงแต่อ้างว่า ครั้งหนึ่ง สมัยหนึ่ง  เท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าอีกว่า เด็กคนหนึ่งในแคว้นมคธไปหลงทางในป่า  เวลากลางคืนต้องนอนที่โคนไม้ ครั้นเวลาดึก มีอนุษย์ตนหนึ่งผ่านมาทางนั้น  เห็นเด็กกำลังนอนหลับอยู่ ก็ตรงเข้าดึงขาเพื่อจะกินเป็นอาหาร  เด็กตื่นขึ้นตกใจ ร้องว่า “นโม ตสฺส” พออมุษย์ได้ยินดังนั้น  ก็ตกใจปล่อยเด็ก แล้วรีบหนีไป นี้เป็นเรื่องเล่าในชั้นอรรถกถา  หลังจากพระบาลี ๔ พระสูตรที่กล่าวข้างต้น

อีกตำราหนึ่งกล่าวว่า (ฎีกา นโม)

นโม สาตาคิรี ยกฺโข ตสฺส จ อสุรินฺทโก
ภควโต มหาราชา สกฺโก อรหโต ตถา
สมฺพุทฺธสฺส มหาพฺรหฺมา เอเต ปญฺจ นมสฺสเร

แปลว่า...
สาตาคีรียักษ์กล่าวว่า       “นโม”
อสุรินทราหูว่า                “ตสฺส”
ท้าวจตุมหาราชว่า           “ภควโต”
ท้าวสักกะว่า                   “อรหโต”
และท้าวมหาพรหมว่า        “สมฺพุทฺธสฺส”

ท่านทั้ง ๕ นี้ ได้กล่าวถวายบังคม สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ เนื้อความของ “นโม” นั้นว่า...

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตำรานี้ว่าท่านทั้ง ๕ ได้กล่าว นโม เป็นหนแรกใน โลก แต่เมื่อคำนึงว่า  หนังสือประเภทฎีกานั้นมีอายุภายหลังพระบาลีมาก  ก็ทำให้ฟังเอาเป็นแน่ไม่ได้

มีเรื่องเล่ากันมาว่า ครั้งหนึ่งในรัชกาลที่ ๔  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯโปรดให้ขอแรงพระเถรานุเถระให้ค้นหาพุทธวจนะที่แปลก  เป็นข้อสอนเตือนสติผู้ได้พบเห็น เป็นข้อความสั้นๆเพื่อให้จดจำง่าย  นัยว่าจะโปรดให้คัดติดไว้ในที่ต่างๆในบริเวณพระราชฐาน

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆสิตาราม ก็ได้รับอาราธนาด้วย  ท่านเขียนคำว่า “นโม” ใส่กระดาษส่งเข้าไปถวาย พร้อมทั้งถวายพระพรว่า  ธรรมะสูงๆและลึกซึ้ง พระเถรานุเถระที่เป็นพระธรรมกถึก มีความรู้ดี  แตกฉานในพระสุตตันตปิฎก คงจะคัดส่งเข้ามาถวายหมดแล้ว เหลือแต่ “นโม”   คำนี้ไม่มีใครนึกถึง ...เรื่องที่เล่ามาเป็นทำนองนี้

อย่างไรก็ดี ใครจะกล่าวก่อนหรือกล่าวทีหลัง ก็ไม่น่าจะถือเป็นข้อกังวล  ใครๆก็ว่า “นโม” กันทั้งนั้น จนกลายเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ควรประมาท  พิธีการที่ต้องการความศักดิ์สิทธิ์ นิยมว่าต้องสวดนโม ๘ บท  ที่เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ นอกจากนั้น  เกจิอาจารย์ในทางเครื่องรางของขลัง ได้จัดทำแหวนชนิดหนึ่ง เรียกกันว่า  “แหวนนโม” นัยว่าเมื่อสวมแหวนนโมประจำอยู่แล้ว สามารถป้องกันอันตรายได้ดี  เป็นที่นิยมเชื่อถือกันอยู่

อนึ่ง ในสมัยก่อน มีคาถาอยู่บทหนึ่ง  เป็นคาถาสำหรับว่าเวลาลงอาบน้ำในแม่น้ำ(สมัยนั้นห้องน้ำยังไม่มีใครรู้จัก)  คาถานั้นยึด นโม เป็นหลัก เช่นว่า

“นโม นมัตถ์ ขจัดออกไป สัตว์ร้ายอย่าใกล้กายามณฑล”

ทำนองนี้ นัยว่าเพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้ายในแม่น้ำลำคลอง เช่น  จระเข้ เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ คำ “นโม”   จึงกลายเป็นคำบอกความเคารพความเลื่อมใส หรือเป็นคำนมัสการ  เป็นคำที่มีอำนาจ มีตบะเดชะ  เป็นเครื่องช่วยกำลังใจได้อย่างดีในเวลาเผชิญอันตราย

ส่วนคำอุทานในเวลาตกใจเสียใจ หรือปลงธรรมสังเวช  ใช้เอ่ยนามพระพุทธเจ้าโดยตรงทีเดียว เช่นที่ว่า “พุทโธ่ๆ” บางทีก็ว่า  “อพิโธ่” บางทีก็ว่า “ปั๊ดโธ่” หรือ “ปู้โธ่” บางรายก็ว่า “พิโธ่ พิถัง”   อะไรเหล่านี้ ก็น่าจะเลอะ เลือนมาจากคำว่า “พุทฺโธ พุทฺธํ” (พุทโธ พุทธัง)  ทั้งนั้น

ที่มา : หนังสือ ภาษาวัด
http://www.dharma-gateway.com/misc/misc-100/misc-100.htm