เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ หน้าตามอมแมม หลบอยู่ในมุมหนึ่งของร้านขายของชำโกโรโสข้างทุ่งนา เขากำลังลอกลายพญานาคจากกล่องไม้ขีดไฟลงสมุดนักเรียน ลายเส้นอ่อนช้อยงดงามตามต้นฉบับไม่ผิดเพี้ยน นับเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่เขาวาดแบบนั้น แต่ที่รู้คือวาดแล้วมีความสุข ชอบ แม้บางครั้งจะโดนแม่หวดกระเจิงเพราะไม่ยอมทำการบ้านก็ตาม อีก 50 ปีต่อมาเราได้พบกับเด็กผู้ชายคนนั้นในร่างของหนุ่มใหญ่สวมชุดม่อฮ่อมมอมแมม เขาเดินอาดๆ ก้าวเท้าฉับๆ ครอบหมวกแก๊ปลากรองเท้าแตะไปทั่ววัดร่องขุ่น มองเผินๆ ก็ให้คลับคล้ายคลับคลาช่างเหล็กช่างปูนที่กำลังง่วนกับงานก่อสร้างแถวๆ นั้น แต่ขอโทษเถอะ! ชายผู้นี้คือศิลปินระดับตำนานที่ยังมีลมหายใจ เป็นศิลปินที่ ณ เวลานี้มูลค่าภาพเขียนบางภาพของเขาว่ากันเป็นหลัก 10 ล้านขึ้นไป เป็นศิลปินบ้า (หลายคนว่ากันอย่างนั้น) ที่เอาเงินตัวเองกว่า
1,000,000,000 บาท (หนึ่งพันล้านบาท) มาสร้างวัดให้คนเข้าชมฟรีๆ เป็นศิลปินที่สร้างความร่ำรวยมาจากการเขียนรูปเพียงอย่างเดียว และเป็นศิลปินที่เชื่อว่าทุกคนบนโลกใบนี้สามารถสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองได้โดยไม่ต้องโกง!
“กูรวยได้ ไม่จำเป็นต้องโกงใคร กูได้มาจากความสามารถของตัวเองล้วนๆ” อะไรที่ทำให้คนคนหนึ่งคิดว่า ‘ทำกิน’ รวยกว่า ‘โกงกิน’? ทั้งๆ ที่สังคมบ้านเราก็นิยมโกงกันเกือบทุกหย่อมหญ้า
รวยได้ไม่ต้องโกงมีอยู่จริงหรือ? และคนรุ่นใหม่ควรจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่?
เราหอบหิ้วความสงสัยมุ่งหน้าสู่เชียงราย เพื่อจิบกาแฟและสนทนากับชายผู้เอ่ยคำว่า ‘ไอ้เหี้ย’ ได้ไพเราะที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย
‘เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์’ แดดอ่อนๆ ยามเช้าตรู่ไล่เลียลวดลายที่ผนังโบสถ์ขึ้นมาเรื่อยๆ อาจารย์เฉลิมชัยสาวฝีเท้าฉับๆ เข้ามานั่งยังร้านกาแฟ ‘ครูศรีจันทร์กาแฟสด’ เขาทิ้งตัวลงท่ามกลางหมู่เพื่อนฝูงรุ่นราวคราวเดียวกันที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว เอนหลังไขว่ห้างสักพักเจ้าของร้านก็นำกาแฟร้อนมาเสิร์ฟพร้อมกับพายอีกหนึ่งชิ้น เขามานั่งที่นี่ทุกวัน เสมือนเป็นสภากาแฟประจำวัด
เหมือนคนทั่วๆ ไปนั่นแหละ จิบกาแฟคุยนั่นบ่นนี่ไปตามเรื่อง ส่วนคนที่มาสนทนาด้วย นอกจากเพื่อนฝูงแล้วก็มีทั้งหัวหน้าหน่วยราชการ ผู้นำชุมชน นักปราชญ์ นักตีไก่ นักเลง และหลายต่อหลายนักที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเรื่อยๆ
เช้าวันอาทิตย์นี้ จอโทรทัศน์ที่มุมหนึ่งของร้านกำลังเสนอรายการเทศนาธรรม และถือเป็นการเปิดประเด็นประจำสภาไปในตัว โดยประธานที่กำลังจิ้มพายเข้าปากเริ่มเป็นคนแรก “มันควรพูดถึงหลักธรรมระดับล่างนะ โยมจะได้ทำมาหากินมีเมียได้ มีลูกได้ อย่าเอาแบบอาตมานะ อาตมาเป็นพวกปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุนิพพาน ฉะนั้นอย่าไปฟังเพราะอยากนิพพาน ญาติโยมดูที่ตัวเองเถิด เช้ามาดูว่าตัวเองมีความผิดอะไรไหมเมื่อวานนี้ที่จะไม่ทำอีก อารมณ์ของตัวเองฟุ้งซ่านขนาดไหน วันนี้เครียดอย่างไร หลงอย่างไร ยึดมั่นถือมั่นห่วงหาอาทรลูกเมียก็ตัดซะบ้าง ไอ้เหี้ย! มันต้องพูดอย่างนี้ “เช้ามามีอารมณ์ฉุนเฉียวในที่ทำงานขนาดไหน ฉุนเฉียวกี่ครั้งก็ให้มันน้อยลง วันนี้เลือกกินข้าวหรือเปล่า เลือกนี่หว่า วันนี้แดกดีเกินไปก็กินของเหี้ยหน่อย วันนี้ปี้เยอะไป เงี่ยนมากเกินไปก็ต้องลดลงหน่อย ฉิบหาย! หักห้ามใจแบบนี้คือธรรมะ อย่าพูดอะไรเลอะเทอะ ธรรมะไม่ใช่คำพูดเพราะๆ ของพระ ไม่ใช่คำบาลี มันคือชีวิตประวันของเรา แยกออกให้ชัด คนทำมาหาแดกมึงจะสอนยังไงให้หาแดกอย่างมีความสุข เสพกามได้อย่างมีความสุข มีตัณหาอย่างมีความสุข เห็นไหมไอ้เหี้ย”
คือให้มีสติ? ถูกต้อง! มันเป็นความสุขของปุถุชน ปุถุชนมันคาบเกี่ยวกันระหว่างความทุกข์ความสุข แล้วเราจะทำอย่างไรให้อยู่แบบฆราวาสที่มีความสุข เสพกามได้ มีตัณหาได้ ล่อผู้หญิงอย่างมีมัชฌิมาปฏิปทา โกรธอย่างมีมัชฌิมาปฏิปทา หลงอย่างมีมัชฌิมาปฏิปทา มันก็เป็นความพอดี ไม่ใช่เลิกข้างโน้นแล้วต้องไปบวชนี่ไอ้สัตว์ มึงต้องรู้ทันมัน เสพอย่างพอดี ไม่เสพมันก็ทำให้ชีวิตห่อเหี่ยว
กูทำงานหาเงินแทบตายไอ้สัตว์ แล้วกูจะแสวงสุขได้ไง ไม่ได้สุขแบบพี่นี่ กูพอแล้วกูสุขจากภายในเย็นฉ่ำ ไม่มีอะไรมาแลกเปลี่ยนกูได้ กูสูงสุดแล้ว เอานางงามโลกมาให้กูอีกกูก็ไม่เอา เอาเงินมาให้กูอีกกูก็ไม่เอา เอาเหี้ยอะไรก็ได้ในโลกนี้ที่เป็นวัตถุ เป็นสัตว์ตัวสวยกูก็ไม่เอา แต่มนุษย์ส่วนใหญ่มันไม่ใช่ ความสุขของแม่งคือกาม ความสุขของแม่งคือตัณหา ไอ้เหี้ยมึงต้องอธิบายให้มันฟังถึงความพอดี พอดีจึงได้ตัณหาด้วยมีความสุขด้วย ฉะนั้นมึงเข้าใจไหมว่าความสุขของปุถุชนคนธรรมดากับความสุขของพระแตกต่างกัน มึงต้องพูดให้รู้เรื่อง พระส่วนใหญ่มันยังไม่มีความสุข ยังไปแอบปี้ แอบแดกเหล้า แอบซื้อของแพง มึงยังแอบเอาเงินไปให้โคตรเหง้ามึง
พระเองก็ต้องอธิบายให้ชัด ว่าอย่างนั้น ยิ่งพระเก่งเท่าไหร่ก็ต้องยิ่งอธิบายให้ชัดเจน ไม่งั้นมึงจะเพ้อเจ้อ ไอ้เหี้ยทำงานอยู่ดีๆ จบมาใหม่ๆ มึงจะให้กูบวชหาพ่อมึงเหรอ กูหลับตาภาวนาจะมีเหี้ยอะไร เมื่อขาดตัณหามึงจะมีแรงเขียนรูปได้ไง การพัฒนาจิตวิญญาณมึงต้องเตรียมการตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุมากขึ้นสัก 50 ปีมึงค่อยปล่อยวางทางโลก ทางจิตใจ พัฒนาไปเรื่อยๆ เมื่ออายุ 60 มึงก็มีธรรมะ มึงก็ละวางได้ทุกอย่าง เมื่อเจ็บป่วยมึงก็รู้จักความเจ็บป่วย มึงก็ไม่ได้เป็นทุกข์กับความเจ็บป่วย มึงไม่ห่วงหาอาทรกับลูกกับเมียมึง เพราะมึงฝึกมาแล้ว เมื่อมึงจะตาย ในความตายมึงเข้าใจจิตวิญญาณ หลุดพ้นจากโลกนี้ไม่ต้องไปเกิดอีก นั่นคือสภาวะจิตวิญญาณนิ่งสงบ เข้าใจหรือเปล่า แบบนี้นี่คือธรรมะไอ้สัตว์! มึงจะมาบอกคนทั้งโลกให้ไปบวชทำพ่อมึงเหรอ! แล้วใครจะมาปลูกข้าวให้มึงแดก
ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมชาติคือมึงต้องเข้าใจมนุษย์ ว่ามันเกิดมาเพราะอะไร มันเกิดมาเพราะมันมีตัณหาอยู่แล้ว ไม่มีตัณหามึงจะเกิดได้ไง แต่จะทำยังไงให้ตัณหาลดลงบ้าง ไม่มีตัณหามึงจะสร้างคนได้เหรอ กูมีตัณหาเพื่อใฝ่ดี กูมีตัณหาเพื่อพระพุทธศาสนา แม้มึงจะมีตัณหาฝ่ายดีมึงก็ยังบรรลุธรรมไม่ได้ ท้ายสุดมึงก็ค่อยๆ ปล่อย ไม่ยึดมั่นถือมั่นมัน เดี๋ยวตัณหามันก็ตายไป จิตก็สะอาดใส ไม่มีกิเลสห่อหุ้มเลย แค่นั้นก็คือความว่าง ไม่ต้องพูดถึงนิพพานหรอก
แล้วที่เราฟังธรรมะกันอยู่ทุกวันนี้มันผิดเหรอ มันไม่ผิดหรอก แต่มึงยังไม่ได้เรียนประถมเลยจะจบด็อกเตอร์แล้วเหรอ ฉิบหาย! ถามคนทั่วไปเนี่ยยังไม่รู้จักธรรมะเลย จ้องจะเอาแต่นิพพานกันอย่างเดียว นี่! อย่างเพื่อนกูเนี่ยนิพพานรู โลกียวิสัยมันมีระดับของความสุข มึงต้องรู้ว่าความสุขอยู่ระดับไหนของตัวมึง ความสุขของเขาคือการปี้ เขาแก้ไขปัญหาครอบครัวเขาได้
ชาติหน้าจะเกิดเป็นหมาก็เอา มันว่าดีสิเป็นหมากูยิ่งปี้สนุก จะให้เกิดมาเป็นสัตว์ตัวไหนมันเอาหมดเพราะได้ปี้ไง มันผิดเหรอ มันไม่ผิดเว้ย! มันเป็นธรรมชาติของเขา ไอ้เหี้ยนี่ชอบตีไก่ก็ตีมันทั้งชีวิตตั้งแต่เด็ก แล้วทำไมมันบาปเหรอ บาปเหี้ยอะไร ไม่บาป มันเป็นกีฬา ชาติหน้ามันจะเกิดเป็นไก่ก็เรื่องของมัน มันยอม! ไม่สนใจ ทุกวันนี้มีความสุขกับอะไร เพราะได้มาหมดแล้ว ทั้งชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ ความสุขกับตัวเอง คือสิ่งที่ไม่ต้องได้อะไร ถ้าพวกมึงก็คือความสุขกับปี้ ความสุขกับบ้าน ความสุขกับรถ แต่กูมีความสุขกับตัวเอง ไม่มีผลประโยชน์สิ่งใด ต้องแยกให้ชัดนะ ความสุขของผู้ปฏิบัติธรรมคือความสุขที่อยู่กับตัวตนของตัวเอง
แต่ก็ยังวาดรูปอยู่ วาดสิไอ้เหี้ย! เมื่อคืนยังวาดอยู่เลย ไม่วาดไม่ได้เพราะทุกวันนี้มันเป็นการกุศล นี่จะวาดเพื่อเอาไปช่วยเหลือแผ่นดินไหว (งานสืบชะตาเมืองเชียงราย ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2557) เอาศิลปิน 108 คนในเชียงรายมาวาดรูปให้เศรษฐีมาจับฉลาก ฉลากละ 50,000 มึงได้รูปคนอื่นก็ไม่เป็นไร แต่มึงได้รูปพี่ก็ 3 ล้าน ตอนนี้มีคนลงชื่อเป็นพัน แต่รูปมีแค่ 108 รูป
ไม่เหนื่อยเหรอ ดูๆ แล้วน่าเหนื่อยนะ ทั้งสร้างวัด ทำงานการกุศลอีก ไอ้พวกนี้ (ชี้ไปที่เพื่อนๆ) ก็ถามแบบมึงเนี่ยแหละ กูถามมึงอย่างเดียว กูเหมาะสมที่จะมีความสำเร็จขนาดนี้ไหม? เพราะกูเหนื่อยมากกว่ามึงใช่ไหม? มึงรู้ไหมถ้าคนไม่เหนื่อยมึงจะหาความสำเร็จได้ที่ไหนไอ้เหี้ย! ปฏิบัติธรรมมึงก็เหนื่อย ถ้ามึงไม่เหนื่อยก็เป็นบุคคลกระจอกสิ ไปอยู่ตามประสากระจอกมึงสิไอ้เหี้ย ฉะนั้นคนที่แม่งฝึกการเหนื่อยมามาก เหมือนวิ่งมาราธอน หัดวิ่งมาตั้งแต่เด็ก เมื่อมึงแก่ มึงก็ต้องแข็งแรงกว่าคนอื่น วิ่งได้เยอะกว่า ถามว่ากำลังกูตกไหม? ตก!
แต่ถ้ามึงมาเจอกับกูขนาดอายุเท่ามึงนะ โคตรเลย ใส่หมดแม็ก คือกูเป็นคนขยันไง ไม่หยุด กูตื่นขึ้นมาต้องมีอะไรทำ ลืมตาขึ้นมาหลังจากนั่งสมาธิเสร็จเรียบร้อย สิ่งหนึ่งคือกูต้องหาเรื่องทำ หยุดไม่ได้เลย จะไปนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงแบบมึง ไม่มี! แต่คนรุ่นหลังๆ ไม่ได้คิดแบบนี้ ก็มันไม่ปรารถนาความยิ่งใหญ่ มันปรารถนาแดกไปวันๆ อยู่รอดไปวันๆ ไอ้การปรารถนาอยู่รอดไปวันๆ เนี่ยมันกระจอกนะมึงรู้หรือเปล่า เป็นคนปกติทั่วไป แต่ไอ้คนที่ต้องการความยิ่งใหญ่มันมีความมุ่งมั่น มันไม่ต้องการเป็นคนปกติ ข้างในมันแรง มันมีความต้องการสูง มันไม่ต้องการเกิดมาแล้วเสียชาติเกิด ไอ้สัตว์กูไม่อยากเป็นคนปกติ ถ้ามึงคิดแบบนี้ตั้งแต่เด็กก็ต้องฝึกตัวเอง เหมือนจอมยุทธ์ ถ้ามึงอยากเป็นกระบี่มือหนึ่ง ต้องฝึกฟันดาบ ฝึกกำลังภายในตั้งแต่เด็ก สู้คนให้ชนะไปเรื่อยๆ สุดท้ายมึงจะชนะตัวเอง
ทุกวันนี้มีคนสร้างอะไรไว้ตั้งเยอะแล้ว เราจะสร้างสิ่งใหม่ไปทำไมกัน โอเค มึงคิดอย่างนั้นก็ได้ แต่คนที่เป็นนักต่อสู้ อยากชนะใจตัวเอง คิดหวังสูง คาดหวังสูงมันก็ไม่คิดแบบมึงหรอก มันก็มองมึงเป็นคนโง่ เป็นพวกหาแดกไปวันๆ ไม่รู้จักคุณค่าในการใช้พลังของความเป็นมนุษย์
ไอ้เหี้ยพลังของความเป็นมนุษย์แม่งมีร้อย มึงใช้แค่หกสิบ ไอ้สัตว์! ทำไม? มันมีร้อยทุกคนแหละ แล้วทำไมกูใช้เกินร้อยไปยันสองร้อยโน่น เพราะกูคาดหวังสูง กูไม่อยากเป็นคนธรรมดา ไม่เอา! กูถึงต้องสร้างวัดนี้ไง เตี่ยกูบอกสร้างทำเหี้ยอะไร มันเป็นเรื่องของรัฐบาลไม่ใช่เรื่องของมึง เงินก็หมดเหนื่อยก็เหนื่อยสร้างหาพ่อมึงเหรอ เตี่ยกูยังด่าเลย มึงไปเขียนรูปดิ เขียนเข้าไป ไอ้สัตว์เขียนรูปขายดิ รวย รวย รวย ไอ้สัตว์มึงสร้างหาพ่อมึงเหรอ รายได้เขียนรูปมึงก็ไม่มีแล้วมึงสร้างหาพ่อมึงเหรอ ไอ้ควาย!
คิดเรื่องบุญหรือเป็นการโชว์พาวเวอร์ ที่ลงทุนสร้างวัดขนาดนี้ กูมีสองอย่าง อย่างหนึ่งคือการโชว์พาวเวอร์ของมนุษย์คนหนึ่งที่เหนือกว่ามนุษย์คนอื่นๆ อันนี้คือกิเลสตัณหาในการเกิดเป็นมนุษย์ ในทางธรรมก็คือการมุ่งไปสู่การละวาง เมื่อสร้างสิ่งที่เหนือกว่าคนอื่น ใช้เงินมากกว่าคนอื่น แต่สุดท้ายแล้ว ไอ้เหี้ยนี่ปล่อยวางทุกอย่างเพื่อการบรรลุธรรม กูก็ทำจนตายแหละ สร้างมันไปเรื่อยๆ แล้วก็ละวางไปเรื่อยๆ
สร้างเพื่อละวาง ไม่ได้สร้างเพื่อเกาะมันไว้ อย่ายึดมั่นถือมั่นมัน อันนั้นคือการสร้างเพื่อธรรมะ ทำให้เป็นตัวอย่างแก่มนุษย์ด้วยกันว่าถ้ามึงสร้างอะไรที่ดีขึ้นมาแก่โลกก็เท่ากับทดแทนบุญคุณโลก มึงเข้าใจไหมว่ามนุษย์ทุกคนต้องทดแทนบุญคุณให้แก่แผ่นดินและโลกที่มึงเกิด ครั้งหนึ่งมึงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่ามนุษย์คนอื่นๆ ทำได้ มันเป็นความสุขที่สุดอันหนึ่งในทางโลกียวิสัย มันคือคุณงามความดีของมึง แต่ทุกคนมันไม่ใช่คิดอย่างนั้น ไอ้สัตว์เกิดมาแค่เอาตัวรอด มีชีวิตเพื่อเสพแล้วมันก็ตายไป มึงคดโกงรัฐบาล คดโกงภาษี คดโกงทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตมึงดี มึงคืนอะไรให้แก่ประเทศชาติบ้าง มึงเอาอย่างเดียว
เรื่องนี้น่ากลัว เพราะปัจจุบันหลายคนหวังแต่รวยด้วยวิธีการอะไรก็ได้ ไม่สน จะเอาอย่างเดียว เราจะแก้เรื่องนี้ได้ไหม ถ้าอย่างนั้นมึงต้องแก้ระบบการศึกษาของประเทศนี้ แก้สถาบันครอบครัว เพราะมันเหี้ยมานานแล้ว มันต้องสร้างกันใหม่
แล้วที่กำลังโกงกันอยู่ทุกวันนี้ล่ะ ทำอย่างไร ปล่อยมัน ให้มันตายไปตามธรรมชาติ แต่เด็กรุ่นหลังๆ จะไม่โกง เรื่อง EQ นี่คือสิ่งที่ต้องสอนมัน แต่ของเราพลาดเยอะ ไม่มีระบบการศึกษาที่สอนเรื่องของอารมณ์ มึงเอาแต่เทคโนโลยี เอาแต่เรื่องทางวัตถุให้กับมัน มึงไม่เน้นเรื่องของจิตวิญญาณเลย เรื่องของความยับยั้งชั่งใจ ศีลธรรมคุณธรรมมันไม่มี ไม่มีมันก็ฉิบหายสิ อยากได้กันแต่เงิน เพราะเงินมันแปลงได้ทุกอย่างให้เป็นความสุข
มึงซื้อบ้านได้ ซื้อรถได้ ซื้อผู้หญิงสวยได้ มึงซื้อได้หมดเลย แล้วทุกคนมันก็ต้องการตรงนี้ แต่ต้องจัดการความต้องการของมึงอย่างมีคุณธรรม มึงรวยได้เหมือนกันไม่ต้องโกง คือจะบอกว่าทุกคนรวยได้ไม่ต้องโกง? ถูก! รวยได้ไม่ต้องโกง ก็กูเนี่ยทำตัวอย่างให้เห็นไง กูรวยได้กูไม่จำเป็นต้องโกงใคร กูได้มาจากความสามารถของตัวเองล้วนๆ ความดีของกูด้วย
แล้วปัจจุบันเราจะอยู่กันอย่างไร ในเมื่อยังโกงกันอยู่แบบนี้ มึงต้องทนอยู่ไป ปล่อยให้มันโกงแล้วก็ปฏิวัติกันไป เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ รอจนคนรุ่นใหม่ขึ้นมา ปล่อยให้ฉิบหายไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันดีขึ้นเอง ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เหี้ยทั้งหมด อเมริกาก็สู้กันมาแทบตายห่าจนกระทั่งเป็นประชาธิปไตย มันก็เคยเป็นอย่างเรานี่แหละ แต่เราเป็นช้ากว่าเพราะมันเจริญกว่า แต่ตอนนี้เราใจร้อน ประเทศเรายังไม่เหมาะสมกับประชาธิปไตยเพราะเรายังไม่มีความรู้พอ คุณภาพคนยังไม่ถึง เมื่อเราเป็นไปแล้วเราก็ต้องรับสภาพ ไม่เลวร้ายเกินไปหรอก
จะบอกว่าเราต้องกลับมาปลูกฝังเรื่องจิตใจกันใหม่ นั่นคือพื้นฐานของสังคมไทย ต้องกลับมามองตรงนี้ ระบบการศึกษาและสถาบันครอบครัว ครู พ่อแม่ต้องเปลี่ยน ต้องให้อิสรภาพเด็กในการคิด อย่าสั่งเด็ก อย่าห้ามเด็ก อย่าให้เด็กหวาดกลัว อย่าไปบล็อกเขา ไม่เช่นนั้นมันจะโตมาเป็นหมาบ้าน ไม่ใช่หมาป่า หมาบ้านที่ถึงเวลาเขาก็ให้ข้าวมึงแดก มันจะเหลืออะไร มึงลองคิดดูเด็กฝรั่งจบปริญญาตรีมันไปขายแมคโดนัลด์ มันไม่คิดว่ามันต่ำ สังคมประเทศที่เจริญแล้วมันไม่คิดว่าทำงานแบบนี้ต่ำ เพราะเขาทำในช่วงระยะเวลาที่เขาอยากจะทำ เขาไม่ได้ทำทั้งชีวิต เขาไปทดลอง บางคนไปทำงานก่อสร้างก็มี ชีวิตมันต้องทดลองไง แต่สังคมไทยแม่งเหี้ย! พอไปทำแบบนี้บอกต่ำ ไม่มีแดกดีกว่า อยู่ที่บ้านเก็บผักข้างรั้วแดกเท่กว่า ไอ้เหี้ย! เกาะพ่อแม่มึงแดกต่อไป ไม่รู้จักคิด ศักดิ์ศรีพ่อมึงเหรอ ไม่มีงานทำไร้ศักดิ์ศรีมากกว่า
ใบปริญญาของสังคมไทยทำให้เด็กไทยดูด้อยค่า ทำให้หนุ่มสาวเราทำอะไรไม่เป็น แล้วคิดไปว่าใบปริญญาเท่ แม่งโง่ไง ชีวิตข้างนอกมันกว้างใหญ่ไพศาล ความสำเร็จของมนุษย์ต้องใช้เวลา ไม่ใช่แค่ใบปริญญา เวลามันเป็นเครื่องพิสูจน์คน อาจจะใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อพิสูจน์ ไม่ใช่แค่ใบปริญญา กระจอก!
**ยังมีอีกหลายทัศนะที่น่าคิดจาก “เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์” สามารถอ่านฉบับเต็มได้ ในนิตยสาร mars ฉบับเดือนสิงหาคมนี้**
เรื่อง : วรชัย รัตนดวงตา
ภาพ : สุวิทย์ กิตติเธียร
จาก
http://www.manager.co.th/Marsmag/ViewNews.aspx?NewsID=9570000094037