“ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เอนกปรีชา วิสุทธศีลจรรยาสมบัติ นิพัทธุตคุณ สิริสุนทรพรตจาริก อรัญญิกคนฤศร สมณนิกรมหาปรินายก ตรีปิฎกโกศล วิมลศีลขันธ์ ณ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร พระอารามหลวง”
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี มีชื่อเรียกขานกันอย่างหลากหลาย เช่น สมเด็จโต , สมเด็จวัดระฆัง , หลวงพ่อโต , หลวงปู่โต กระทั่ง “ขรัวโต” อันเป็นนามที่ผู้คนร่วมสมัยของท่านเรียกขานด้วยความยกย่อง
มีความเชื่อกันว่าสมเด็จโตเป็นพระโอรสนอกเศวตฉัตรในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก แต่ครั้งยังทรงพระยศเป็น “เจ้าพระยาจักรี”
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในหลวงพ่อโตเป็นอย่างยิ่งโดยทรงพระราชทานสมณศักดิ์ถวายหลวงพ่อโตเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2395โดยมีสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ราชทินนาม “พระธรรมกิตติ” และ ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อโตมีอายุ 65 ปีแล้ว และเป็นผู้ที่พยายามหลีกเลี่ยงที่จะรับการถวายสมณศักดิ์ตลอดมา ตลอดแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ต่อมาใน พ.ศ. 2397 หลวงพ่อโตได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ ในราชทินนาม “พระเทพกวี” พอถึง พ.ศ. 2407 ทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม สถาปนาสมณศักดิ์หลวงพ่อโตขึ้นที่สมเด็จพระราชาคณะชั้นสุพรรณบัฎ ในราชทินนาม “สมเด็จพระพุฒาจารย์”
หลวงพ่อโตเป็นพระเกจิเถราจารย์ผู้มีปฏิปทาจริยาวัตรน่าเลื่อมใสดำรงด้วยเวทย์มนต์คาถาเมตตามหานิยม โดยเฉพาะพระคาถาชินบัญชรซึ่งหลวงพ่อโตค้นพบจากตำราเก่าของลังกาแล้วนำมาตัดต่อเพิ่มเติมจนสมบูรณ์ ซึ่งได้รับความนิยมจากมหาชนกระทั่งถึงปัจจุบันเรียกกันว่า “พระคาถาเงินล้าน” ผู้ที่สวดพระคาถาชินบัญชรอยู่เสมอจะได้รับแต่ความเจริญรุ่งเรืองภัยพาลทั้งหลายจะมลายหายไปสิ้น ท่านจึงได้รับการยกย่องให้เป็นพระอมตเกจิเถราจารย์องค์หนึ่งของประเทศไทย
ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างหลวงพ่อโตและพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรงอยู่อย่างแน่นแฟ้นโดยไม่มีภิกษุรูปใดที่จะมีบารมีเทียบเคียงหลวงพ่อโตได้ ดังจะเห็นได้จากการที่หลวงพ่อโตกล้าหาญพอที่จะจุดไต้เข้าไปเข้าเฝ้าในพระบรมมหาราชวัง เวลากลางวันแสกๆเมื่อเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงหมกมุ่นมัวเมาในกามารมณ์จนเกินเหตุโดยมีบรรดาพระมเหสี พระสนม เจ้าจอม และ นางห้าม นับร้อยคน จนเสมือนหนึ่งบ้านเมืองนี้มีแต่ความมืดมัว ไม่มีหนทางอันสว่างไสวด้วยแสงแห่งปัญญาเพื่อพัฒนาประเทศชาติและประชาชน
“....... ขรัวโต ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว...”
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสต่อหลวงพ่อโตสั้นๆ แต่ได้ใจความ จึงทำให้หลวงพ่อโตเอาไต้ทิ่มกำแพงทิ้งเพื่อดับไฟแล้วถวายบังคมลากลับวัด
อีกครั้งหนึ่งที่หลวงพ่อโตได้รับอาราธนานิมนต์ไปแสดงพระธรรมเทศนาในพระบรมมหาราชวังถึง 3 วัน ในการแสดงธรรมวันที่สอง หลวงพ่อโตเทศน์นานไปหน่อย พระเจ้าอยู่หัวทรงขุ่นเคืองพระราชหฤทัยอยู่ในทีเพราะจะต้องรีบเสด็จไปเยี่ยมเจ้าจอมคนหนึ่งที่กำลังคลอดบุตร พอวันที่สามหลวงพ่อโตเลยเทศน์สั้นๆ
“........ จะถวายพระธรรมเทศนาหมวดใดๆก็ทรงทราบอยู่หมดแล้ว เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้....”
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงถามว่าทำไมเทศน์สั้นนักทำนองว่า เมื่อวานอยากให้เทศน์สั้นกลับเทศน์ยาว วันนี้อยากให้เทศน์ยาวกลับเทศน์สั้น
“........ เมื่อวานนี้มหาบพิตรพระราชสมภารเจ้ามีพระราชหฤทัยขุ่นมัว ด้วยทรงมีความกังวล จะดับความขุ่นมัวได้ต้องทรงสดับพระธรรมเทศนาให้มาก ส่วนวันนี้ทรงมีพระราชหฤทัยเบิกบานไม่ต้องฟังเทศน์นานก็ได้......”
จะมีภิกษุรูปใดเล่าที่มีบารมีมากมายเหมือนหลวงพ่อโต
ในเรื่องการจุดไต้ประท้วงของหลวงพ่อโตนั้นแม้ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เกิดขึ้น เพราะเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าหลวงขึ้นครองราชย์นั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุเพียง 15 ปี 7 เดือน 9 วันเท่านั้น เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงพระเยาว์ยิ่ง ดังนั้น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ( ช่วง บุนนาค ) อัครมหาเสนาบดีผู้ใหญ่ จึงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ และมีข่าวร่ำลือออกมาว่าจะมีการคิดร้ายต่อแผ่นดิน หลวงพ่อโตรู้ข่าวจึงจุดไต้ถือไปหาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินถึงที่จวนเพื่อแสดงออกถึงความห่วงใยต่อสถานการณ์บ้านเมืองอันอึมครึม และ ล่อแหลม
“.......ขอพระคุณเจ้าอย่าได้วิตกเลย ตราบใดที่กระผมยังมีชีวิตอยู่ฉะนี้ จะไม่ให้แผ่นดินนี้มืดมัวลงไป ด้วยจะไม่มีผู้ใดแย่งแผ่นดินไปได้เป็นอันขาด กระผมไม่สู้มืดนักดอกท่านเจ้าคุณ กระผมมีใจแน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนา ทำนุบำรุงแผ่นดินโดยเที่ยงธรรม ตั้งใจประคับประคองสนองพระเดชพระคุณโดยสุจริต คิดถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อยู่เป็นนิตย์ ขอท่านเจ้าคุณอย่าได้ปริวิตกให้ยิ่งกว่าเหตุไปเลย.........”
จาก
http://www.sereechai.com/index.php/2013-05-01-06-35-40/2014-11-13-22-25-50/485-2013-05-31-01-56-32