ผู้เขียน หัวข้อ: เมตตากรุณา - ยิ่งแบ่งยิ่งได้ เคล็ดลับความสุขความสำเร็จของสหรัถ สังคปรีชา  (อ่าน 1055 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



เมตตากรุณา - ยิ่งแบ่งยิ่งได้ เคล็ดลับความสุขความสำเร็จของสหรัถ สังคปรีชา

เรื่อง สุพรรษา แก้วแสงธรรม ภาพ วรวุฒิ วิชาธร

สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์ แต่งหน้า - ทำผม อุดมรัตน์ กลับเมือง
 

ตลอดระยะเวลากว่า 28 ปีในวงการบันเทิง นอกจากไม่มีข่าวด่างพร้อยแล้วเขายังเป็นที่รักของประชาชนไม่เสื่อมคลาย เชื่อว่าหลายคนคงอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้ ก้อง - สหรัถ สังคปรีชา ผู้ชายอบอุ่นคนนี้ประสบความสำเร็จ วันนี้เขามาเผยเคล็ดลับการใช้ชีวิต การงาน และความรัก รวมถึงพลังของความเมตตากรุณาและการให้
 

คุณก้องเติบโตมาในครอบครัวแบบไหนคะ ได้ยินว่าตอนเด็ก ๆ ถูกสปอยล์มาไม่น้อย

ใช่ครับ ก่อน 10 ขวบผมเติบโตมาในครอบครัวใหญ่คุณตาเป็นเจ้าของบ้าน มีคุณแม่ คุณป้า และคุณน้าอยู่รวมกันผมเป็นหลานคนแรก คุณตาจึงค่อนข้างเห่อและเลี้ยงแบบเอาอกเอาใจ ผมจึงแทบไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะที่บ้านมีคนงานสิบกว่าคน ผมเรียกใช้ได้หมด

ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกว่าตัวเองเอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็เรียกพี่เลี้ยงมาทำให้ ไม่ต้องทำอะไรเอง เคยถึงขนาดหิวแล้วเขวี้ยงจานทิ้ง แต่ตอนนั้นยังเด็กมาก เลยไม่ค่อยรู้ตัว พอย้อนกลับไปคิดแล้วเป็นพฤติกรรมที่น่าเขกกบาลมาก (หัวเราะ) จนผมอายุสิบกว่าขวบ คุณพ่อก็ซื้อบ้านเองและแยกครอบครัวออกมา ผมถึงเลิกเป็นเด็กสปอยล์
 

คุณพ่อสอนอะไรบ้างคะ

คุณพ่อเน้นให้ผมรู้จักทำอะไรด้วยตนเอง พึ่งตัวเองอย่างตอนเป็นเด็กนักเรียน ถ้าวันไหนผมลืมเอาอุปกรณ์เกี่ยวกับชุดลูกเสือไป เช่น พู่ ผ้าพันคอ เข็มขัด คุณพ่อจะไม่ยอมซื้อให้ใหม่ ทั้งที่สามารถซื้อได้และราคาไม่แพงด้วย แต่คุณพ่อปล่อยให้โดนครูตี ท่านสอนว่าไม่ควรลืม ถ้าวันไหนมีเรียนลูกเสือ ก่อนนอนต้องเตรียมอุปกรณ์ชุดลูกเสือไว้ให้พร้อมตั้งแต่นั้นมาผมไม่ลืมอีกเลย

นอกจากนั้นคุณพ่อยังสอนให้ทำอะไรเอง ตอนเด็ก ๆผมจึงต้องเป็นลูกมือให้คุณพ่อแทบทุกเรื่อง เช่น ซ่อมรถปลูกต้นไม้ บางครั้งผมก็บ่นว่าทำไมต้องทำ คนใช้ก็มี ทำไมไม่ใช้ เวลาเห็นผมโกรธมาก ๆ คุณพ่อมักบอกว่า “วันหนึ่งก้องจะรู้เองว่าทำไมพ่อต้องทำแบบนี้”

พอโตขึ้นมาผมถึงเห็นคำตอบที่พ่อพูดไว้ เพราะเราทำอะไรได้หลายอย่าง ในขณะที่คนอื่นทำไม่เป็น ถ้าวันนั้นคุณพ่อไม่สอน วันนี้ผมคงทำอะไรไม่เป็น
 

มีวิธีคิดและทำใจกับการสูญเสียคุณพ่อเมื่อไม่นานมานี้อย่างไรคะ

คุณพ่อป่วยมาประมาณปีกว่า พอรู้ผมก็พยายามทำใจพาท่านไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หาข้อมูลการรักษา หาอาหารดี ๆ มาให้ท่าน และสิ่งสำคัญที่สุดคือ ให้กำลังใจท่าน โชคดีที่คุณพ่อไม่ท้อแท้ ไม่เศร้า เพราะท่านหวังว่าจะกลับมาหายดีอีกครั้งหนึ่ง

ช่วง 5 - 6 เดือนหลังมานี้คุณพ่อเดินไม่ได้แล้ว เพราะกล้ามเนื้อขาหมดแรง ขยับไม่ได้ ต้องนอนอยู่แต่บนเตียงและเจ็บปวดทรมานมาก ยิ่งสองเดือนสุดท้ายคุณพ่อยิ่งทรุดหนักเห็นอย่างนี้ผมยิ่งต้องทำใจมากขึ้น

การเสียชีวิตของคุณพ่อทำให้ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้นว่าคนเราต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครหนีพ้น นี่เป็นเพียงบทเรียนแรกที่เริ่มเข้ามาในชีวิต และจากนี้ไปผมคงพบการสูญเสียต่อไปเรื่อย ๆ เพราะที่สุดแล้วคนเราก็ต้องล้มหาย-ตายจากกันเป็นธรรมดาของชีวิต พอผมเข้าใจอย่างนี้ได้แล้วจึงทำใจได้ง่ายขึ้น
 

ทราบว่าสนใจเล่นดนตรีตั้งแต่เด็ก ๆ

ผมเรียนโรงเรียนชายล้วน เวลาเลิกเรียน นักเรียนแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มเล่นกีฬาและกลุ่มเล่นดนตรี ผมเป็นกลุ่มที่ชอบไปห้องซ้อมดนตรี เพราะหลงใหลเสน่ห์ของดนตรี ผมมักไปกับกลุ่มเพื่อนที่เล่นดนตรี จนได้เข้าวงดนตรีกับเพื่อน

ช่วงมัธยมต้นเล่นดนตรีป๊อกแป๊ก ๆ พอขึ้นมัธยมปลายถึงเริ่มฟอร์มวงเป็นเรื่องเป็นราว โดยเล่นงานเล็ก ๆ ก่อน เช่นงานวันเกิด งานแต่งงานครู งานห้องสมุด งานโรงเรียนพอเรียนจบ ม.6 เข้าเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ปี 2 ผมเริ่มเล่นเป็นอาชีพตามผับบาร์ มีพี่ชายของเพื่อนเปิดผับก็ไปขอเล่นเลย เงินเดือนเท่าไรก็เอา คือผมไม่ได้สนใจเรื่องเงินเดือนแค่อยากเล่นดนตรีมากกว่า เพราะเป็นความฝันของผม เล่นดนตรีอยู่สัก 2 ปี แกรมมี่ก็จับเซ็นสัญญาทำอัลบั้มนูโว คราวนี้แหละผมได้เล่นดนตรีทั้งชีวิต (หัวเราะ)


รู้สึกอย่างไรบ้างคะที่วันหนึ่งความฝันกลายเป็นจริงขึ้นมา ได้เป็นนักร้องที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง

ผมมีความสุขมาก จำได้ว่าวันที่นูโวได้ออกอัลบั้มครั้งแรกแล้วมีงานคอนเสิร์ต โอ้โห มีความสุขสุดขีด เหมือนกับว่าทั้งชีวิตเราฝันอยากเป็นนักดนตรี พอวันหนึ่งได้เริ่มเล่นอาชีพตามผับตามบาร์ก็รู้สึกว่าประสบความสำเร็จในจุดหนึ่งแล้ว ยิ่งพอได้ออกอัลบั้ม ได้เล่นคอนเสิร์ต ยิ่งรู้สึกเหมือนเราเรียนจบได้ปริญญาตรีมาอีกใบหนึ่ง มีความสุขมาก

วันที่รู้ตัวว่าเรามีชื่อเสียงแล้ว คงเป็นวันที่ผมไปเล่นคอนเสิร์ตโลกดนตรี แล้วมีแฟนคลับมาจับมือและร้องไห้แบบคลั่งไคล้ ตอนนั้นผมตกใจมาก เพราะไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นซูเปอร์สตาร์ รู้สึกแค่ว่าเป็นนักดนตรีธรรมดา ๆ ไม่เคยรู้ว่าคนดูมองเราเป็นนักดนตรีที่เขาอยากกรี๊ด อยากจับมือ แค่เห็นก็ร้องไห้แล้ว วันนั้นผมถึงได้รู้ว่าชีวิตมันเปลี่ยนไปแล้ว ไปไหนมาไหน จะเข้าโรงแรมก็ต้องมีการ์ดมากั้น เรียกว่าชีวิตเปลี่ยนไปเลย (ยิ้ม)
 

ตั้งแต่เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง เจอปัญหาหรือเรื่องที่ไม่ชอบใจบ้างไหมคะ

ปัญหาไม่ค่อยมีนะครับ แต่เรื่องที่รู้สึกคงเป็นเรื่องความเป็นส่วนตัวหายไป เพราะเราต้องโดนถ่ายรูปตลอดเวลาบางทีออกจากบ้าน หน้าตาผมเผ้ายังกระเซอะกระเซิงอยู่ พอขับรถไปถึงที่นัดถ่ายทำ ลงจากรถปุ๊บเจอกล้องเป็นสิบ ๆ ตัวมารุมถ่าย ผมจะรู้สึกว่ายังไม่พร้อม เพิ่งตื่น ตายังบวมอยู่เลยคิดว่าไม่ค่อยเป็นส่วนตัวเท่าไหร่ หรือเวลาไปต่างจังหวัดพอลงจากเครื่องบินปุ๊บ มีแฟนคลับมารอรับ ขึ้นรถตู้ไปถึงโรงแรมนี่ยิ่งหนักเลย คราวนี้รอเป็นร้อย เปิดรถตู้มา โดนดึงต่างหู โดนดึงสร้อยไป รู้สึกว่าชีวิตส่วนตัวหายไปแล้ว แต่ผมก็เข้าใจนะว่าการมีชื่อเสียงบางครั้งก็ต้องแลกกับการสูญเสียอะไรไปสักอย่างแบบนี้แหละ
 

มีเคล็ดลับการทำงานอย่างไรที่ทำให้ได้รับความนิยมมานานขนาดนี้คะ

ทำให้ดีที่สุด ตั้งใจทำทุกงาน เคารพผู้ร่วมงาน ให้เกียรติผู้ร่วมงานทุกคน ผมคิดว่าทุกอาชีพทำเองคนเดียวไม่ได้เพราะยังต้องมีผู้ร่วมงาน มีฝ่ายอื่น ๆ อีก ดังนั้นถ้าอยากทำงานให้ดีและสมบูรณ์แบบก็ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน

นอกจากนั้นผมยังใช้ “พรหมวิหาร 4” ที่ช่วยให้การทำงานสะดวกสบายขึ้นพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ทุกคนทำได้หมด โดยเฉพาะ 2 ข้อแรกเมตตา คือ ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข กรุณา คือปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ พอเรามีเมตตากรุณาอย่างนี้แล้วคนรอบข้างที่ได้รับความเมตตากรุณาก็จะให้ความรู้สึกดี ๆ ให้ความรักคืนกลับมา เรียกว่าให้ไปก่อน เดี๋ยวก็ได้กลับมาเองพอทำแบบนี้บ่อย ๆ เราก็จะมีแต่ความสุข

ผมสนใจเรื่องพรหมวิหาร 4 เพราะคุณพ่อชอบให้หนังสือธรรมะ ชอบให้รู้เรื่องธรรมะ พอได้อ่านหนังสือเหล่านี้มันจะค่อย ๆ ซึมซับมาเอง เวลานำเอาไปใช้ผมรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นมีแต่เรื่องดี ๆ วิ่งเข้ามา เช่น เวลาไปไหนก็มีแต่คนคิดดี ๆ กับเรา มีแต่คนชื่นชม ไปไหนคนก็ต้อนรับ

ผมรู้สึกว่าการทำบุญเรื่อย ๆ อย่างเวลามีหน่วยงานไหนขอให้ช่วย ผมก็ไม่เกี่ยง ผมเขียนหนังสือเรื่อง Real Kong เงินที่ได้ทั้งหมดก็เอาไปช่วยเด็ก ช่วยคนแก่ ช่วยหมาแมวพอทำดีอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ทำให้ไปไหนมีแต่คนชื่นชม ไม่มีคนเห็นแล้วยี้ ดังนั้นผมคิดว่าการทำดีทำให้เราได้สิ่งดีกลับมาจริง ๆ
 

รู้สึกอย่างไรที่ได้เป็นโค้ช The Voice ซึ่งเป็นบทบาทที่ทำหน้าที่ของการเป็นครู

ผมคิดว่างานนี้เป็นโอกาสดีอีกเรื่องที่เข้ามาในชีวิตครั้งแรกผมปฏิเสธรายการไป แต่เขาตามผมอยู่เป็นเดือนคือตอนแรกผมไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร เกิดมาไม่เคยเป็นโค้ชไม่รู้จะไปสอนคนร้องเพลงอย่างไร จึงปฏิเสธไป จนรายการพยายามเกลี้ยกล่อมขอให้เข้ามาคุยหน่อย บอกถ้าไม่รับ ก็ไม่ตื๊อแล้ว แต่พอได้เข้าไปคุยถึงรู้ว่าไม่ยากอย่างที่คิด เมื่อตัดสินใจไปทำจริง ๆ กลายเป็นเรื่องง่าย เพราะผมมีสิ่งเหล่านี้อยู่เต็มตัวเลย

ผมถูก พี่เต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) และพี่ ๆ ในแกรมมี่เคี่ยวเข็ญมาหนักมาก เคยยืนร้องเพลงกับพี่เต๋อมาไม่รู้กี่สิบเพลงร้องกันตั้งแต่บ่าย ๆ ไปเสร็จตอนเช้าอีกวันหนึ่ง ทั้งที่ร้องแค่เพลงเดียว เพราะเราร้องโดยไม่มีเครื่องดนตรี ใช้เสียงร้องอย่างเดียว สมัยนั้นไม่มีคอมพิวเตอร์ช่วยเรื่องการร้องเพลงเหมือนสมัยนี้ ตอนนี้ร้องผิดร้องเพี้ยนมีคอมพิวเตอร์ช่วยได้สมัยก่อนเป็นเทป จึงต้องร้องจริง ๆ อย่างเดียว ผมโดนขับเคี่ยวมาเยอะมาก ทำให้มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวไม่รู้ตัว เช่น วิธีการร้องหนัก - เบา สั้น - ยาว การทำงานในห้องอัด ฯลฯ พอวันหนึ่งที่เราต้องมาสอนเด็ก ๆ ร้องเพลงว่าทำอย่างนี้สิ ขึ้นคอนเสิร์ตให้ร้องอย่างนี้นะ จึงสอนได้ ถือว่าโชคดีไป



ที่ผ่านมาคุณก้องทำกิจกรรมช่วยสังคมสม่ำเสมอ เลือกไหมคะว่าต้องทำบุญด้านไหน

การทำดีของผมไม่ได้จำกัดเลยว่าจะช่วยใครบ้าง คือช่วยได้ก็ช่วย ทั้งสัตว์ คนแก่ เด็ก คนพิการ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ไม่ได้เหนื่อยนักหนา ผมจะพยายามช่วยบางหน่วยงานให้ผมช่วยพูดรณรงค์บริจาคสิ่งของให้คนแก่เด็กกำพร้า เด็กพิการ ถ้าพอมีคิวว่างผมก็ทำ เพราะคิดว่าเราไม่ได้เสียอะไรมากมาย แค่สละเวลาไปช่วยเหลือ ผมยินดีช่วย ที่ทำอย่างนี้เพราะผมคิดว่าได้สิ่งดี ๆ จากสังคมเยอะมาก ดังนั้นเราควรต้องแบ่งปันกลับไปบ้าง ผมเชื่อว่ายิ่งแบ่งก็ยิ่งได้

อย่างตอนประเทศเนปาลแผ่นดินไหว ผมไปร่วมเล่นคอนเสิร์ตการกุศล หาเงินช่วยเหลือเนปาลมีเพื่อน ๆ ศิลปินไปช่วยกันเยอะ เช่น วงนูโว, พี่ปุ๊ -อัญชลี จงคดีกิจ, โจอี้ บอย, คุณบอย โกสิยพงษ์,แสตมป์ ฯลฯ รวบรวมเงินบริจาคได้ประมาณ 2 ล้านบาทแล้วส่งไปให้เนปาล แม้ไม่ได้มากมาย แต่คงพอช่วยคนได้เป็นร้อยเป็นพันคนโดยที่เราก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมาก ผมได้เล่นดนตรีที่ชอบและได้หาเงินบริจาคไปช่วยเหลือชาวเนปาลก็รู้สึกประทับใจครับ



เวลาว่างทำอะไรบ้างคะ

เวลาว่างแค่ผมได้พักผ่อนอยู่บ้าน ได้ขี่จักรยานก็มีความสุขแล้ว ผมอยู่ในกลุ่มที่ชอบขี่จักรยาน ดังนั้นวันไหนมีเวลาว่างผมจะไปขี่จักรยาน ถ้าเป็นทริปใหญ่ ๆ เคยปั่นจากหัวหินไปบางสะพาน ปั่นข้ามจังหวัด 2 วัน วันละประมาณ

90 กว่ากิโลเมตร มีอยู่ทริปหนึ่งระหว่างปั่นไปครึ่งทาง วันแรกปั่นได้ 97 กิโลเมตร พอกลับถึงที่พักถึงรู้ตัวว่าเป็นอีสุกอีใสผื่นขึ้นทั้งตัวเลย เห็นแล้วตลกดี ไม่รู้ทำไมต้องมาเป็นตอนนี้

ทริปที่ประทับใจคือ ผมเคยปั่นจักรยานเข้าไปในคลองของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีสะพานปูนเป็นถนนเล็ก ๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่แถวนั้นเป็นมุสลิม จำได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงเดือนรอมฎอน ผมได้ยินคนมุสลิมพูดใส่ไมค์สอนศาสนาและออกอากาศไปทั่ว เลยขี่จักรยานและฟังธรรมะของศาสนาอิสลามไปด้วย ชอบที่เขาพูดถึงเรื่องความรักความเมตตาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ การโอบอ้อมอารี การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนบ้าน ฟังแล้วรู้สึกว่าทุกศาสนาก็สอนเรื่องเดียวกันหมดเป็นเรื่องที่น่ารัก น่าแบ่งปัน

ทราบว่าคุณก้องให้ความสำคัญกับการดูแลคุณพ่อคุณแม่มาก ดูแลท่านอย่างไรบ้างคะ

หาเรื่องหาโอกาสที่จะทำให้พ่อแม่มีความสุขอยู่บ่อย ๆเช่น วันนี้ตื่นมาว่าง ผมก็จะคิดว่าพาคุณพ่อคุณแม่ไปกินอะไรดี อาทิตย์หน้าว่าง พาท่านไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ดีไหม หรือวันแม่วันพ่อ วันเกิดท่าน วันปีใหม่ วันอะไรก็ตาม ผมจะเอาของขวัญไปให้คุณพ่อคุณแม่ ความจริงไม่เกี่ยวหรอกว่าจะวันอะไร แต่ผมพยายามหาเรื่อง หาวิธีคิดอยู่เรื่อย ๆ ว่าจะทำอะไรให้ท่านดี เพราะอยากทำให้คุณพ่อคุณแม่มีความสุข

ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าเราทำบาป ทำบุญ ทำดีทำชั่ว จะมีคนคอยบันทึกสิ่งที่ทำอยู่ ดังนั้นเวลาเราทำดี ไม่จำเป็นต้องไปบอกใครว่าเราเป็นคนดี เพราะมีคนคอยจดบันทึกและเทกลับมาให้เรา ดังนั้นถ้าทำดีไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวสิ่งดี ๆ ก็ย้อนกลับมาหาเราเอง อย่างผมเคยให้เงินค่าแสดงโฆษณาก้อนหนึ่งกับคุณพ่อคุณแม่ คุณแม่ยิ้มแก้มปริ ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ก็มีงานโฆษณาเข้ามาใหม่อีกแล้ว

คบกับแฟนมานานถึงกว่า 20 ปี มีเคล็ดลับอะไรที่ทำให้ความรักยืนยาวขนาดนี้คะ

น่าจะเป็น “ความเข้าใจ” ผมว่าความรักช่วงโปรโมชั่น1 - 2 ปีแรก อะไร ๆ ก็ดีไปหมด แต่ต่อมาเป็นเรื่องของความเข้าใจ ความรักที่ดีต้องเข้าใจควบคู่ไปด้วย ถ้ามัวแต่ตะบี้ตะบันรักอย่างเดียว มีหึงหวง มันก็เหนื่อย แต่ถ้าเราเข้าใจกัน เช่นเข้าใจในชีวิตเขา เขาเข้าใจชีวิตเรา ถอยกันคนละก้าวบ้างจะทำให้ความสัมพันธ์ยั่งยืน นอกจากนั้นต้องมีศีลเสมอกันด้วยไม่อย่างนั้นคุยกันไม่รู้เรื่อง

ประทับใจอะไรในตัวคุณเก๋คะ

แฟนผมไม่ฟุ้งเฟ้อเลย ตั้งแต่ไม่มีด้วยกันจนมี เขาก็เหมือนเดิม ไม่เคยอยากได้อะไรที่ฟุ้งเฟ้อ เป็นคนสมถะและเป็นคนมีเมตตาโดยธรรมชาติ อย่างผมเคยเห็นคนบางคนพอมีหมาแมวจากข้างนอกเข้ามาอึฉี่ในบ้านจะไล่ตะเพิดไป แต่แฟนผมกลับมองว่า ถ้าเขาเข้ามาบ้านเราก็ควรให้อาหารเขาไม่ควรไล่ตะเพิด ผมก็ได้มุมดี ๆ หลายอย่างจากเขาเหมือนกัน
 

ตอนนี้วางแผนเรื่องแต่งงานหรือเรื่องมีลูกหรือยังคะ

ยังเลยครับ ผมไม่อยากมีลูกเท่าไหร่ ผมว่าเรื่องนี้มันเป็นโชคชะตา เป็นเรื่องของการจุติ ถ้าวันหนึ่งเขาจะมาเกิดผมคงรู้สึกอยากมีลูกขึ้นมาเอง แต่ตอนนี้เฉย ๆ คือถามวันนี้อาจตอบว่าไม่อยากมี แต่ถ้าถามครั้งหน้า ผมอาจตอบว่าอยากมีก็ได้ ยังไม่แน่ใจเหมือนกันครับ




หลังจากนี้วางเป้าหมายชีวิตตนเองอย่างไรในอนาคตคะ

ตั้งใจไว้ว่า ถ้าอายุสัก 50 ปีอาจหยุดทำงานที่ไม่สนุกกับมันมากนัก ดังนั้นถ้างานอะไรที่รู้สึกไม่ใช่จริง ๆ คงไม่ทำ อาจเหลือแค่งานเล่นดนตรี เพราะผมติดการเล่นดนตรีไปแล้วคงเล่นดนตรีไปตลอดชีวิต

นอกนั้นอาจใช้ชีวิตเที่ยวบ้าง สนุกกับชีวิตบ้าง เพราะถ้าแก่ไปกว่านี้ ผมอาจทำไม่ไหวแล้ว ดังนั้นอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้สบาย ๆ และมีความสุข

คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่าการเป็นคนคิดบวก แบ่งปันและมีเมตตากรุณา นำมาซึ่งความสุขและความสำเร็จในชีวิตของชายคนนี้ 

 

Secret BOX

แผ่เมตตากรุณาให้แก่คนรอบข้าง

จะทำให้ได้รับความรักกลับคืนมา

และชีวิตมีความสุข

สหรัถ สังคปรีชา


จาก http://www.secret-thai.com/article/8099/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...