ผู้เขียน หัวข้อ: "พระอนาคตวงศ์" พระพุทธเจ้า 10 พระองค์ ที่จะมาตรัสรู้ในภายภาคหน้า (โดยย่อ)  (อ่าน 1294 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


"พระอนาคตวงศ์" พระพุทธเจ้า 10 พระองค์ ที่จะมาตรัสรู้ในภายภาคหน้า

ประวัติโดยย่อ...พระพุทธเจ้าอีก 10 พระองค์ ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคต

พระอนาคตวงศ์นี้ เป็นเรื่องกล่าวถึงประวัติย่อของพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ผู้บำเพ็ญพระบารมีในชาติหนึ่ง ซึ่งปรากฏเป็นยอดปรมัตถบารมีอันประเสริฐ เกิดสำเร็จผล ทรงพระอภินิหาร ประกอบด้วยพระเดชามหานุภาพ เป็นพุทธสมบัติที่จะมาอุบัติตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิบพระองค์ในโลก ณ อนาคตกาลภายหน้า นั้นคือ


- พระศรีอาริยเมตไตรย์ พระองค์หนึ่ง
- พระราม พระองค์หนึ่ง
- พระธรรมราช พระองค์หนึ่ง
- พระธรรมสามี พระองค์หนึ่ง
- พระนารท พระองค์หนึ่ง
- พระรังสีมุนีนาถ พระองค์หนึ่ง
- พระเทวเทพ พระองค์หนึ่ง
- พระนรสีหะ พระองค์หนึ่ง
- พระติสสะ พระองค์หนึ่ง
- พระสุมงคล พระองค์หนึ่ง



ซึ่งต่อจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราไป โดยลำดับกัปป์ นับตั้งแต่ภัทรกัปป์นี้เป็นต้นไป พระพุทธเจ้าสิบพระองค์นี้ ทรงสร้างพระบารมีสิบทัศครบบริบูรณ์แล้ว จึงทรงพระคุณ มีอภินิหารต่างๆ ยิ่งหย่อนกว่ากัน ด้วยสามารถพระบารมีนั้นๆของพระองค์ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ตรัสไว้แก่พระสารีบุตร โดยพุทธภาษิตบรรยาย จัดเป็นพุทธประวัติกาลอนาคตเรื่องหนึ่งฯ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์ไว้แก่พระสารีบุตรถึงการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าในอนาคตไว้ ๑๐ พระองค์ ต่อจากพระองค์ไปโดยลำดับกัปนับแต่ภัทรกัปนี้เป็นต้นไป ซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้ง ๑๐ พระองค์นี้ เมื่อทรงสร้างบารมี ๓๐ ทัศครบบริบูรณ์แล้ว จะทรงมีพุทธานุภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน พระอนาคตวงศ์ ๑๐ พระองค์ มีประวัติโดยย่อดังนี้


๑.)  พระศรีอาริยเมตไตรย

ในอดีตพระองค์ คือพระเจ้าสังขจักรพรรดิราช แห่งอินทปัตนครในสมัยของพระสิริมิตรพุทธเจ้า วันหนึ่ง พระองค์ได้พบสามเณรในสำนักพระสิริมิตรพุทธเจ้า ทรงเกิดความเลื่อมใสในสามเณรนั้น พระองค์ จึงเสด็จมาเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ที่บุพพาราม หลังจากที่พระองค์ได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าสิริมิตรแล้ว พระองค์จึงได้ถวายศีรษะของพระองค์เองแด่พระพุทธเจ้าเพื่อบูชาพระธรรมที่พระ พุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระองค์ แล้วทรงไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต และด้วยอานิสงค์แห่งบารมีนี้เอง จึงทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา ขณะนี้พระองค์ทรงเสวยทิพยสมบัติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต และ เมื่อถึงกำหนดเวลา พระโพธิสัตว์เจ้าจะได้ลงมาจุติในโลกมนุษย์ ในวรรณะพราหมณ์ เกิดในครรภ์ของนางพรหมวดีซึ่งเป็นภรรยาของสุพรหมพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรดิราชแห่งเกตุมดีนคร เมื่อทรงประสูติจะมีนิมิต ๓๒ ประการปรากฏขึ้น และมีมหาปราสาทสำหรับเป็นที่ประทับ ปรากฏขึ้น ๓ หลัง ๆ ละ๗ ชั้น ประดับประดาด้วยรัตนะ๗ ประการ พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๘๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีระกายสูง ๘๘ ศอก (๔๔เมตร) และทรงกระทำความเพียรเพื่อตรัสรู้นาน ๗ วัน พระฉัพพรรณรังสีของพระองค์จะแผ่ไปหมื่นโลกธาตุ ส่องสว่างตั้งแต่อเวจีมหานรกถึงภวัคคพรหม


๒.)  พระรามพุทธเจ้า

คือ อดีตนารทมาณพ ซึ่งเกิดในสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าเมื่อพุทธันดรที่แล้ว)นารทมาณพนั้นได้จุดไฟที่ศีรษะบูชาแด่พระพุทธเจ้าหลังจากที่ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าต่อจากพระศรีอาริยเมตไตรย ก็ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิตก่อนจะมาจุติเป็นพระรามพุทธเจ้า และต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 90,000ปี มีพระสรีรกายสูง ๘๐ ศอก(๔๐ เมตร) มีพระฉัพพรรณรังสีส่องสว่างตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน


๓.)  พระธรรมราชาพุทธเจ้า

คือ อดีตพระเจ้าปเสนทิโกศล ที่จะมาบังเกิดเป็นพราหมณ์หนุ่มชื่อ สุทธมาณพ หาเลี้ยงชีพโดยเก็บดอกบัววันละ ๒ ดอกไปขาย ทรงได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าโกนาคมน์ว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต เมื่อได้เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดุสิตแล้วจะลงมาจุติบนโลกมนุษย์ เป็นกษัตริย์มีพระนามว่าพระธรรมราชา และต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๕๐,๐๐๐ ปี จะมีพระสรีรกายสูง ๑๖ ศอก( ๘ เมตร) ทรงมีพระฉัพพรรณรังสีเกิดขึ้นเป็นนิจ ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน


๔.)  พระธรรมสามีพุทธเจ้า

คือ อดีตพระยามาราธิราช (พญาวสวัตดีมาร) ผู้เป็นจอมเทวดาฝ่ายมารบนสวรรค์ชั้นสูงสุด(ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี) พระองค์จะได้บังเกิดเป็นมหาเสนาบดีนามว่าโพธิ และได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ากัสสปะว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต และเมื่อไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว ก็จะจุติลงมาเกิดเป็นกษัตริย์และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา ทรงมีพระนามว่าพระธรรมสามี พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๘๐ ศอก(๔๐ เมตร) พระฉัพพรรณรังสีจะสว่างดังแสงพระอาทิตย์และพระจันทร์


๕.)  พระนารทพุทธเจ้า

คือ อดีตพระยาอสุรินทราหู ผู้เป็นมหาอุปราชครองภพอสูร ได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เป็นกษัตริย์มีพระนามว่าสิริคุต ครองนิรมลนครในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ และได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตมีพระนามว่านารทะ พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๑๐,๐๐๐ ปี ทรงมีพระสรีรกายสูง ๑๒๐ ศอก(๖๐ เมตร) พระฉัพพรรณรังสีบังเกิดขึ้นทั้งกลางคืนและกลางวัน


๖.)  พระรังสีมุนีพุทธเจ้า

คือ อดีตโสณพราหมณ์ที่จะมาบังเกิดเป็นพ่อค้ามีนามว่า มาฆมาณพในสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันธะ มาฆมาณพเป็นพ่อค้าที่ฉลาด แต่ประสบทุกข์สูญสิ้นทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้จำนวนมากถึง ๓ ครั้ง ๓ คราว จึงเดินทางไปเมืองโกสัมพี เพื่อรักษาอุโบสถศีลในวันเพ็ญขึ้น15ค่ำพระกกุสันธพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า มาฆมาณพจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ทรงพระนามว่าพระรังสีมุนี พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๕,๐๐๐ ปี มีสรีรกายสูง ๖๐ ศอก(๓๐ เมตร) แสงสว่างแห่งพุทธรัศมีสว่างไสวในเวลากลางวันเหมือนดังแสงทอง และสว่างไสวในเวลากลางคืนดังแสงสีเหลือง


๗.)  พระเทวเทพสัมพุทธเจ้า

คือ อดีตสุภพราหมณ์ บรมโพธิสัตว์ที่มาบังเกิดเป็นพระยาช้างฉัททันต์ ริมฝั่งสระฉัททันต์ในสมัยพระโกนาคมนพุทธเจ้า พระยาช้างฉัททันต์ได้เห็นสรีระของพระสาวกอันมีพระนามว่าพระอัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งดับขันธปรินิพพานที่ริมสระฉัททันต์นั้น จึงได้อธิษฐานขอบุญกุศลที่เคยบำเพ็ญมา ทำให้เกิดเลื่อยมาเลื่อยเอางาทั้งสองของตน โดยเอางาช้างหนึ่งมาทำเป็นราง อีกข้างหนึ่งทำเป็นรูปนกยูง เพื่อประดิษฐานสรีระของพระเถระไว้กับราง แล้วรวบขนบนศีรษะของตนจุดไฟบูชาสรีระของพระเถระ และตั้งความปรารถนาขอให้การถวายงาจงเป็นพลวปัจจัยให้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ สุภพราหมณ์ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ทรงมีพระนามว่า พระเทวเทพ พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๘๐,๐๐๐ ปี มีสรีรกายสูง ๘๐ ศอก(๔๐ เมตร) มีฉัพพรรณรังสีประดุจดังช่อดอกไม้ ไม่มีความหนาวร้อน ส่องสว่างไปทั่วสากลโลก


๘.)  พระนรสีหสัมพุทธเจ้า

คือ อดีตนันทมาณพ ซึ่งเคยถวายผ้ากำพล ๑ ผืนและทองแสนตำลึงแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าในสมัยหนึ่ง ได้ตั้งความปรารถนาในคราวนั้นว่าขอให้ตนได้เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตมีอำนาจแผ่ไปตลอดหนึ่งโยชน์ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง ต่อมาเมื่อนันทมาณพตายไปแล้วก็ได้ไปเสวยทิพยสมบัติบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วจึงจุติลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ เสวยสัมบัติในเมืองมนุษย์ก่อนจะมาเกิดเป็นโตเทยยพพราหมณ์ ในสมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดมซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธองค์ได้พยากรณ์โตเทยยพพราหมณ์ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต มีพระนามว่าพระนรสีหะพระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๘๐,๐๐๐ ปี มีสรีรกายสูง ๖๐ ศอก (๓๐ เมตร) แสงสว่างแห่งพุทธรัศมี กลางวันมีสีประหนึ่งแก้วมณี กลางคืนมีสีประหนึ่งสีทอง เบื้องบนพระเศียร จะมีเศวตฉัตรอันประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการ ขนาด ๓ โยชน์ ลอยอยู่เป็นนิจ


๙.)  พระติสสสัมพุทธเจ้า

คือ อดีตช้างธนบาลบรมโพธิสัตว์(ช้างนาฬาคีรี) ที่เคยเป็นพระโอรสองค์ใหญ่ของพระธรรมราชาแห่งแคว้นจำปานคร ทรงมีพระนามว่าธรรมเสน ต่อมา พระองค์ได้เสด็จออกผนวชอยู่ในสำนักพระฤาษีธรรมเสนได้ฟังธรรมของพระโกนาคมนพุทธเจ้า จนเกิดความเลื่อมใส จึงได้ถวายศีรษะของพระองค์บูชาพระโกนาคมนพุทธเจ้า และตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ทรงได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตมีพระนามว่าพระติสสะพระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๘๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๘๐ ศอก (๔๐ เมตร) พระฉัพพรรณรังสีประดุจเปลวเพลิง สว่างทั้งกลางวันและกลางคืน แสงสว่างจากพระอุณาโลมเป็นประหนึ่งแวดล้อมด้วยเศวตฉัตรนับพัน


๑๐.)  พระสุมงคลสัมพุทธเจ้า

คือ อดีตช้างปาลิไลยกะ ซึ่งได้เคยบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในอดีตชาติ ทรงพระนามว่ามหาปนาทะทรงผนวชในสำนักพระกกุสันธพุทธเจ้า ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้ตรัสรู้เป็พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต มีพระนามว่าพระสุมงคลพระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๖๐ ศอก (๓๐ เมตร) พระฉัพพรรณรังสีในเวลากลางวันเป็นเช่นเดียวกับแสงสีทอง และในเวลากลางคืนเป็นเช่นเดียวกับแสงสีเงิน

จาก http://dhammawijja.blogspot.com/2016/01/10.html
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...