สายธงโยงยาวระหว่างขุนเขา ดูสะดุดสุดตาด้วยสีสัน แต่ละผืนสะบัดปลิว พลิ้วลำนำมนตราคาถาสวรรค์ให้ลอยล่องไปพร้อมสายลม
ทุกถ้อยความบรรจงที่เขียนลงบนผ้าสี่เหลี่ยมหลากสี บอกความหมายดีๆ มอบให้แก่ทุกคน
ชาวพุทธทิเบตศรัทธาในเรื่องการประดับธงมนตรานี้มาแต่โบราณกาล ผ่านร้อนหนาว ผ่านกาลอันยากคงอยู่ จนถึงตอนนี้ สายธงโยงยาวยังทำหน้าที่ต่อไปในดินแดนทิเบต และอีกหลายประเทศทั่วโลก ด้วยมิติที่ลึกล้ำกว่าเพียงสีสัน และความพลิ้วไหวที่เรารับรู้ผ่านสายตา
• จุดกำเนิดของธงมนตรา ผืนธงที่พร่างพรมมนตราผ่านพลิ้วลมกลางภูผา ดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจให้ชาวทิเบตอย่างที่เราเห็น มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยก่อนที่พระพุทธศาสนาจะเข้าสถิตในใจ ช่วงเวลานั้น นักบวชในลัทธิบอน ซึ่งบูชาภูตผีวิญญาณ ได้ย้อมผืนผ้าเป็นสีต่างๆ เพื่อใช้ประกอบพิธีรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วย ตามความเชื่อในเรื่องความสมดุลของธาตุทั้งห้า โดยเรียงธงไว้รอบตัวผู้ป่วย เพื่อช่วยปรับธาตุต่างๆในร่างกาย จะได้หายเจ็บป่วย มีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ
นอกจากความสมดุลของธาตุที่เป็นองค์ประกอบร่างกายคน ความเชื่อในเรื่องความสมดุลของธาตุ ยังรวมไปถึงองค์ประกอบของธรรมชาติแวดล้อม ธงสีต่างๆ จึงประดับบูชาเทพเจ้าผู้ดูแลคุ้มครองธรรมชาติด้วย เช่น ภูเขา หุบ ห้วย ทะเลสาบ หากเทพเจ้าเหล่านี้ขัดเคือง จะบันดาลให้ธรรมชาติพิโรธ เกิดเภทภัยและโรคร้ายต่างๆ แต่ถ้าธรรมชาติแวดล้อมสงบสุข มีความสมดุล ธาตุภายในร่างกายก็จะมีความสมดุลและสุขสบาย
• จากสีสันเพื่อความสมดุล สู่ความหมายของอักขระบนริ้วธง หากมองผิวเผินสีสันของธง ก็น่าจะเป็นเพียงสิ่งประดับให้เกิดความสวยงาม ดูสดชื่น โดดเด่นบนฉากหลังของธรรมชาติหรือสิ่งก่อสร้าง หรือแค่เป็นสื่อสัญลักษณ์ธรรมดาๆ แต่เมื่อพิจารณาใกล้ๆ จะเห็นตัวอักษรและลายเส้นรูปสัตว์ สิ่งของ ซึ่งแน่นอน..มีความหมายเพิ่มขึ้นจากสีสัน
สีที่ใช้กับธงมนตรามี 5 สี บอกความหมายถึงธาตุทั้ง 5 และจัดเรียงลำดับจากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้าย หรือจากล่างขึ้นบนก็ได้ เริ่มจากสีเหลือง หมายถึง ดิน, สีเขียว หมายถึง น้ำ, สีแดง หมายถึง ไฟ, สีขาว หมายถึง ลม และสุดท้ายเป็นสีฟ้า หมายถึง อากาศธาตุ ตัวหนังสือบนธงนั้น คาดว่าตอนเริ่มใช้ธงยังไม่มี เพราะยุคก่อนพุทธศักราช ยังไม่มีตัวอักษรใช้ อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีตัวหนังสือเขียนบนธง แต่น่าจะมีการเขียนสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งบางสัญลักษณ์ยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
ราวพุทธศตวรรตที่ 12 ในสมัยกษัตริย์ซงซัน กัมโป พุทธศาสนาจากอินเดียและจีนเริ่มมีอิทธิพลในทิเบตมากขึ้น กูรูรินโปเช หรือคุรุรินโปเช ผู้ซึ่งนำพุทธศาสนาเข้ามาเผยแพร่ในทิเบต ผสานความเชื่อเรื่องวิญญาณในวัฒนธรรมทิเบตแต่ดั้งเดิม เข้ากับพุทธศาสนานิกายมหายาน บางข้อความบนผืนธงมนตราที่เห็นในปัจจุบัน ก็เป็นของกูรูรินโปเช ที่มีเนื้อความเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ความทุกข์ ความเจ็บป่วย และสภาพธรรมชาติ
ธงมนตราจึงเป็นความเชื่อเรื่องวิญญาณในลัทธิดั้งเดิมของชาวทิเบต ผนวกเข้ากับการเผยแผ่พระสูตรในพระพุทธศาสนาวัชรยานหรือตันตระยาน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชาวพุทธทิเบตถึงทุกวันนี้
ชาวทิเบตถือว่าการผูกธงมนตราเป็นการสะเดาะเคราะห์ เป็นการเสริมมงคล เป็นการขอพรให้มีชีวิตยืนยาว นิยมแขวนโยงขวางเส้นทางเดินตัดภูเขา ทางลัดเลาะ ลำธาร ในวัด หรือสิ่งก่อสร้างศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะในวันปีใหม่และวันสำคัญทางศาสนา เพื่อให้มนตราอันเป็นถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ ได้ล่องลอยไปกับสายลมที่พัดผ่าน จนกระทั่งถึงสรวงสวรรค์ที่สถิตแห่งทวยเทพ
• การทำธงมนตรา สมัยแรกๆ ภาพและตัวหนังสือบนธง เขียนด้วยมือทีละผืน จนเมื่อการแกะแม่พิมพ์บนวัสดุไม้ของจีน เผยแพร่เข้ามาในพุทธศตวรรษที่ 20 จึงใช้วิธีพิมพ์แทน ทำให้ทำธงได้ครั้งละจำนวนมากขึ้น
ส่วนแบบของธงก็ยังคงลอกตามกันมาตลอด 500 ปี ด้วยวิธีแกะแม่พิมพ์ไม้เหมือนเดิม แต่ธงที่นำเข้าไปขายในโลกตะวันตกบางร้าน เริ่มพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์โลหะบ้างแล้ว สังเกตจากลายเส้นคมกว่าใช้แม่แบบที่เป็นไม้ บางร้านใช้วิธีพิมพ์ซิลค์สกรีนเลย เพราะการใช้แม่พิมพ์ไม้เสียเวลา และการแกะแม่พิมพ์ไม้ก็เป็นงานยากมาก
ครั้งที่จีนยึดครองทิเบต ได้ทำลายศาสนา วัฒนธรรม และข้าวของของชาวทิเบตจำนวนมาก รวมถึงธงมนตรานี้ แต่ก็ไม่ได้สูญสิ้นไปเสียทีเดียว เพียงแต่ไม่อาจรู้ได้ว่า แบบที่สูญไปเลยจากการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีนนั้นมีปริมาณเท่าใด เพราะกระดาษและผ้าไม่เหลือแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่น่าจะเป็นแม่พิมพ์ไม้ที่มีอายุคงทนมากกว่า แต่แม่พิมพ์ไม้มีน้ำหนักมากเกินกว่าที่ผู้อพยพหนีภัย จะขนย้ายติดตัวเดินข้ามเทือกเขาหิมาลัย ชะตากรรมของแม่พิมพ์ไม้นี้ จึงย่อมไม่พ้นที่จะต้องกลายเป็นฟืนไฟให้กองทหารจีน
ธงแบบเก่าที่มีในปัจจุบัน น่าจะเป็นของชาวทิเบตที่อพยพมาเนปาลและอินเดีย หรือชาวเนปาลที่เคยอาศัยอยู่ตามชายแดนทิเบต ซึ่งมีบทบาทสำคัญที่ทำให้ธงมนตรายังสืบทอดมาถึงวันนี้
• มนต์คาถาบนผืนธง ราวพุทธศตวรรตที่ 12 กษัตริย์ซงซัน กัมโป ทรงส่งคนไปอินเดียเพื่อเรียนเขียนอ่านภาษาสันสกฤต ตัวหนังสือภาษาทิเบตที่เราเห็นในปัจจุบันเกิดหลังจากรับตัวเขียนของอินเดียเข้ามาในยุคนั้น ตัวหนังสือบนธงมนตรามีหลากหลาย ทั้งคาถา พระสูตร บทสวดทั่วไป และคำอวยพรต่างๆ
คาถา หรือมนต์ เป็นพยางค์ คำ หรือเสียงที่มีความขลัง ความสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงสามารถควบคุมพลังบางอย่างที่มองไม่เห็น มนต์คาถาที่ท่องซ้ำๆ ใช้เป็นอุบายอย่างหนึ่งในการฝึกสมาธิ ภาษาที่ใช้แทบจะเป็นภาษาสันสกฤตทั้งหมด เพราะเป็นภาษาที่ใช้ในศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ อาจจะเป็นคำโดดๆ ที่เป็นหัวใจคาถาอย่าง “โอม” หรือแบบยาว “โอม มณี ปัทเม ฮุม” ซึ่งเป็นคำภาวนาของพระอวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตว์ที่มีพลังปกป้องคุ้มครอง
ส่วนพระสูตรในพุทธศาสนาวัชรยานที่ปรากฏบนธง มีความยาวขนาดกลางและสั้น พระสูตรขนาดสั้นที่พบมากจะเป็นบทสวดธารณี เช่น บนธงแห่งชัยชนะ ซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นป้ายนั้น มีบทสวดธารณีสูตรยาวหลายบรรทัด บทบูชาพระแม่ตารา 21 องค์ (ปาง) และอุษณีษวิชยธารณี หรืออุษณีชัยสูตร หรืออุณหิสวิชัยสูตร ซึ่งจะน้อมนำให้เข้าถึงพระรัตนตรัย เชื่อกันว่า หากสาธยายบ่อยๆ ก็จะไม่ไปเกิดในทุคติภูมิ เป็นต้น
ไม่ว่าข้อความบนธงจะเขียนว่าอย่างไร แต่ทั้งหมดล้วนต้องการสื่อสิ่งดีงาม ความเป็นมงคล ที่ส่งผ่านผืนธงหลากสีนั้น
• ธงมนตราแบบต่างๆ ความนิยมธงมนตราแพร่หลายไปหลายประเทศ โดยเฉพาะในเนปาล อินเดีย และมองโกเลีย ซึ่งพบธงมนตราที่นิยมทำขึ้นแตกต่างหลากหลาย เช่น
ธงลังตา หรือม้าลม เป็นชนิดธงที่พบบ่อยที่สุด จนมักคิดกันว่า ลังตา แปลว่า ธงมนตรา วัตถุประสงค์ของการทำธงนี้ คือ เพื่อให้เกิดความโชคดีร่ำรวย ตรงกลางของธงจะเป็นรูปม้าลม ซึ่งเป็นม้าที่บรรทุกอัญมณีแห่งการรู้แจ้ง และส่งพลังที่ดีให้ ตรงมุมทั้งสี่ มักจะเป็นรูปสัตว์ คือ ครุฑ มังกร เสือ และสิงโตหิมะ หรืออาจจะเป็นตัวหนังสือเขียนคำเรียกสัตว์ทั้งสี่นี้แทนก็ได้ ข้อความบนธงเป็นคาถามนตราหรือพระสูตรสั้นๆ
ธงแห่งชัยชนะ จารึกบทสวดสำหรับเอาชนะอุปสรรค สมัยก่อนมีการใช้ธงนำทัพ พระพุทธเจ้าก็ทรงกล่าวถึงพระอินทร์ว่าถือธงนำเหล่าเทพดาออกศึกสู้รบกับเหล่าอสูร และสาธยายมนต์ซ้ำๆ เพื่อคุ้มครองและสร้างขวัญกำลังใจให้กองทัพ เมื่อชาวทิเบตนำมาใช้ เนื้อหาบนธงจึงมีลักษณะถึงการเอาชนะอุปสรรค ศัตรู พลังชั่วร้าย และโรคภัย ธงนี้มักมีรูปสัญลักษณ์ประกอบ เช่น รูปม้าลม อัษฎมงคล (เครื่องหมายแห่งมงคลทั้งแปด) และรัตนสมบัติของจักรพรรดิตามความเชื่อเรื่องจักรวาทิน
ธงเกี่ยวกับสุขภาพและชีวิตยืนยาว มักจะมีคาถาจากพระสูตร หรือมนต์คาถาเพื่อสุขภาพที่ดี และมีชีวิตยืนยาว เช่น ธารณีคาถาของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต ซึ่งในความเชื่อของชาวทิเบต พระองค์มีกายสีน้ำเงินเข้ม นั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ขวาถือยาสมุนไพร พระหัตถ์ซ้ายถือบาตรวางบนพระเพลา ถือกันว่าเป็นพระพุทธเจ้าที่สามารถรักษาโรคทางกาย และโรคทางกรรมของสัตว์โลก ในบางครั้งเราจะเห็นว่ามีการใช้สีน้ำเงินของพระวรกายเป็นสัญลักษณ์แทน
อีกคาถาที่นิยมคือ “นโม อมิตาภะ พุทธายะ” ของพระอมิตาภพุทธะ ซึ่งพระนามว่า อมิตายุส (Amitayus) ในภาษาสันสฤต หมายถึง มีอายุอันประมาณค่ามิได้ หรืออีกพระนามว่า อมิตาภะ (Amitabha) หมายถึงความสว่างอันประมาณมิได้ เชื่อกันว่า ยามใกล้จะหมดลมจากโลกนี้ไป หากได้เอ่ยพระนามและระลึกถึงพระอมิตาภพุทธะ ก็จะได้ไปเกิดใหม่ในแดนสุขาวดีที่ทรงประทับอยู่
นอกจากนี้ ยังมีธงของผู้ศรัทธาพระโพธิสัตว์ตาราขาว หรือพระจินดามณีจักรตารา หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า พระแม่ตาราขาว ซึ่งเชื่อว่าจะนำความสงบสุข สุขภาพดี และชีวิตยืนยาว พระแม่ตาราได้รับการยกย่องว่าเป็นมารดาของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายในด้านความกรุณา รูปของพระแม่ตาราขาวนั้น ทรงชุดขาวล้วน มีพระเนตร 7 ดวง หมายถึงเฝ้ามองสรรพสัตว์อยู่ตลอดเวลาด้วยความเมตตากรุณา พระหัตถ์ขวาประทานพร พระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัว
ธงมนตราของคุรุปัทมสมภพ หรือกูรูรินโปเช พระผู้เป็นศูนย์รวมแห่งกาย วาจา ใจ การสวดหัวใจพระคาถาวัชรคุรุ ช่วยชำระล้างมลทินภพชาติที่มัวหมอง บนธงมักจะเขียนคาถาหัวใจของพระองค์ว่า “โอม อา ฮุม วัชร คุรุ ปัทมะ สิทธิ ฮุม” หรือ “โอม อา ฮุม บันซา กูรู เปมา สิทธิ ฮุม” หรือบทสวดอื่นๆ
ทุกครั้งที่ชักธงมนตราขึ้นไป ก็เหมือนได้ส่งคำคาถาที่พร่ำสาธยายเป็นประจำจากใจศรัทธาขึ้นสู่ฟากฟ้า ทุกครั้งที่ได้มองธงมนตราบนฟากฟ้า ใจก็สัมผัสได้ถึงคาถาจากเทพดาและสิ่งศักดิ์ที่พร่างพรมลงมาปลอบโยน เป็นกำลังใจ และเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ซึ่งชาวทิเบตยังคงรักษาวิถีปฏิบัติจนถึงวันนี้
• อัษฎมงคลของทิเบต อัษฎมงคล คือ มงคล 8อย่าง เป็นสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาของทิเบต ที่พบได้เสมอในลวดลายภาชนะ เครื่องใช้ เครื่องประดับ สถาปัตยกรรม และบนธงมนตรา คล้ายกับอัษฎมงคลของไทยเรา แต่ของทิเบตประกอบด้วย
สังข์ขาว คือ สุรเสียงในการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า
คนโท สำหรับบรรจุน้ำสะอาดและทรัพย์มณีมีค่า สื่อความหมายถึงความบริสุทธิ์ สะอาด โชคลาภ
ฉัตร หรือร่ม เครื่องแสดงอิสริยยศในกองทัพ หมายถึงอำนาจบารมี และหมายถึงการปกป้องจากภัยร้าย
เงื่อนอนันตภาคย์ เป็นเงื่อนแห่งสิริมงคล ทุกช่องทางในความคดเคี้ยว สามารถผ่านได้ตลอด แม้ในกระแสเชี่ยวกรากของวิถีชีวิต หากดำเนินตามรอยพระพุทธองค์ ก็จะสามารถพบปัญญานำทางสู่ความรอดพ้นได้
ธรรมจักร เป็นสัญลักษณ์ของการทำงาน (เพื่อสร้างใหม่) การหมุนเวียน และความสมบูรณ์พร้อม (ไม่สิ้นสุด) หรือวัฏสงสารแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง
ปลาทอง เป็นสัญลักษณ์ของดวงตาแห่งปัญญา
ดอกบัว แม้เกิดแต่ตม แต่สามารถคงความสะอาดบริสุทธิ์แห่งตนไว้ได้
ตุง แทนความหมายของวิถีแห่งการดับทุกข์
(ข้อมูลจาก manager.co.th)
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 185 พฤษภาคม 2559 โดย วิรีย์พร)
จาก
http://astv.mobi/A5rIQpe