ผู้เขียน หัวข้อ: The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 2 อาวาหมงคลกถา  (อ่าน 2063 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ปริเฉทที่ 2 อาวาหมงคลกถา
(พระมหาบุรุษลองศิลปศาสตร์และอภิเษกสมรส)


กาลานุกาล เมื่อองค์พระตถาคตของเราทรงพระเจริญพระชนมายุได้ 18 พรรษา พระบิดาจึงโปรดเกล้าฯ ให้ช่างสร้างปราสาทอันวิจิตร 3 หลัง หลังหนึ่งมีขื่อสี่เหลี่ยมมุงด้วยไม้ยมหอม เป็นปราสาทอันอบอุ่นสำหรับเหมันตฤดู อีกหลังหนึ่ง สร้างด้วยหินอ่อนลาย เป็นปราสาทเย็นสำหรับฤดูคิมหะ หลังที่ 3 ทำด้วยอิฐเผามุงด้วยกระเบื้องสีฟ้า เหมาะสำหรับฤดูเพาะฤดูหว่าน คราวเมื่อเหล่าต้นจัมปัก (ต้นจำปา) เต็มไปด้วยดอกอันมีรสสุคนธ์

ปราสาททั้ง 3 หลังนี้มีนามว่า ศุภะ สุรัมมา รัมมา มีอุทยานอยู่ในบริเวณรอบปราสาท เป็นสถานสำราญรื่นเดียรดาษด้วยดอกไม้ มีลำธารอันเกิดไหลเลี้ยวเลาะลัดอยู่ภายใน มีละเมาะต้นไม้ดอกส่งกลิ่นหอม และมีกระโจมอันงามตระการตาอยู่มากหลาย กับทั้งสนามหญ้าอันเขียวชอุ่มอีกด้วย

พระสิทธัตถะทรงสำนักและประพาสในราชฐานเหล่านี้ ตามอำเภอพระทัย พลางทรงประสบแต่ความยั่วยวนใหม่ๆ แปลกๆ เป็นนิตย์ แล้วเวลาของพระองค์ก็ล่วงไปโดยบันเทิงพระอิริยาบถ ด้วยเหตุว่าพระโลหิตอันเจริญวัยหนุ่มกำลังแล่นอยู่ทั่วพระวรกายของพระองค์ แต่ไม่ช้านานเท่าใด เงาแห่งสมาธิญาณก็กลับมารบเร้าพระองค์ เฉกเช่นประกายแสงเงินแห่งทะเลสาบ ซึ่งต้องขมุกขมัวด้วยความล่องลอยแห่งก้อนเมฆที่ผ่านไปฉะนั้น

เมื่อพระบิดาทรงประจักษ์ความเป็นไปดังนั้น จึงตรัสเรียกเหล่าเสวกามาตย์ของพระองค์มาตรัสว่า "อำมาตย์ของเราทั้งหลาย ขอให้ใคร่ครวญตามคำพยากรณ์ของฤษีและพวกโหรผู้ทำนายฝันนั้นเถิด ลูกเราคนนี้ซึ่งเรารักยิ่งกว่าโลหิตแห่งดวงใจของเรา จะได้เป็นใหญ่ไพศาลในโลก จะเหยียบย่ำปัจจามิตรทั้งหลายด้วยเบื้องบาทา จะเป็นราชาแห่งราชาทั้งหลาย ซึ่งเป็นการต้องด้วยความปรารถนาของเรา หรือมิฉะนั้นลูกของเราคนนี้จะเดินไปตามวิถีทางอันถ่อมต่ำ และเศร้าสลดด้วยการเสียสละและความทรมานอันแก่กล้าไปด้วยความศรัทธา เพื่อจะได้บรรลุถึงซึ่งความสำเร็จในอะไรอย่างหนึ่ง ภายหลังที่ได้เสียสิ่งทั้งปวงที่ต้องลำบากรักษาดูแลมาแล้วนั้น ซึ่งใครไม่ทราบได้ว่าเป็นความดีอะไร

และคงไปสู่ผลอันนี้แหละ ที่ตาอันซึมของเขาเพ่งเล็งถึงในท่ามกลางแห่งวันของเรา ฉะนั้น ทำอย่างไรเท้าลูกของเราจึงจะอาจหันไปสู่ทางอันศักดานุภาพซึ่งเขาควรจะเดิน และทำอย่างไรจึงจะให้ลางเครื่องหมายแห่งความสุขซึ่งมีว่าจะให้เขาครอบครอง โลกพิภพ หากเขาต้องการกลายเกิดเป็นความจริงได้?"

อำมาตย์ผู้มีอาวุโสสูงสุดจึงกราบทูลว่า "มหาราชา! ตัณหาจะกำจัดความเดือดร้อนอันเล็กน้อยนี้ได้ จงทรงผูกมัดกามด้วยความมารยาของสตรีโดยรอบพระทัย ซึ่งนัยว่าไม่ทรงพระธุระกับอะไรนั้นเสียเถิด พระราชโอรสจะทรงทราบแล้วหรือว่า ความงาม ดวงตาซึ่งอาจทำให้ลืมจนกระทั่งสวรรค์กับทั้งริมฝีปากอันหอมชื่นนั้น คืออะไร ขอพระองค์จงทรงจัดหาสตรีที่ยั่วยวน และคู่ควรแก่การหมกหมุ่นต่อการบันเทิงนั้นเถิด ความคิดซึ่งไม่มีใครอาจรั้งไว้ได้ด้วยโซ่สำริดนั้น เส้นผมของสตรีเพียงเส้นเดียวก็อาจผูกมัดให้ติดอยู่ได้โดยง่าย"

บรรดาอำมาตย์ทั้งปวงก็เห็นสอดคล้อง พ้องด้วยคำทูลของอำมาตย์ผู้มีอาวุโสสูง แต่พระราชาตรัสว่า "ถ้าเราหาสตรีให้เขาก็จะได้ประโยชน์อะไร? ความรักมักเลือกโดยตาข้างเดียว และหากว่าเรารายเรียงพื้นที่ซึ่งมีความงามให้เป็นแถวๆ เพื่อเขาจะได้เด็ดดอกไม้ตามความพอใจ เขาก็จะเพียงแต่ยิ้ม แล้วค่อยๆ หลีกไปให้พ้นเสียจากความกระสันซึ่งเขาไม่รู้จักนั้น อำมาตย์ผู้หนึ่งจึงทูลว่า "กวางย่างเยื้องจนกระทั่งลูกศรปลิวไปต้อง" (กวางหมายความว่า"ชาย" ลูกศรคือ "ความงามเลิศของหญิง") พระราชโอรสคงจะเป็นดังนี้ เช่นเดียวกันกับผู้ซึ่งมีความคิดอ่อนกว่าพระองค์ กามบางอย่าง หน้าตาบางอย่าง อาจกระทำให้เป็นประหนึ่งเมืองสวรรค์สำหรับพระราชโอรสก็เป็นได้ ภาพบางอย่างอาจกระทำให้พระองค์เห็นเป็นงามกว่าแสงอรุณคราวเมื่อปลุกให้โลก ตื่นก็เป็นได้ โอ! พระราชาของข้าพระพุทธเจ้า

ขอพระองค์จงทรงกระทำดังนี้ คือได้โปรดเกล้าฯ ให้มีการฉลองปราสาทใหม่ซึ่งบรรดาสตรีสาวทั้งปวงทั่วพระราชอาณาจักรจะต้องมา ประกวดความงามแห่งความเป็นสาวซึ่งกันและกัน แล้วทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการบันเทิงตามขัตติยะประเพณีทุกประการ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระราชโอรสเป็นผู้ทรงพระราชทานรางวัลแก่สาวที่งาม และเมื่อบรรดาสาวที่มีชัยด้วยความงามผ่านมาตรงหน้าที่ประทับของพระราชโอรส เราท่านทั้งหลายก็จงสังเกตว่ามีนางสาวคนหนึ่งคนใดกระทำให้ความเศร้าอันบึ้ง บูดแห่งพระวรพักตร์ของพระองค์เปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่ ดังนี้ เราอาจเลือกวิธีให้มีตัณหาได้ด้วยตาซึ่งมีตัณหานั้นเองและด้วยกลอุบายอันนี้ องค์พระราชโอรสก็จะทรงร่าเริงบันเทิงพระทัยขึ้น"

คำทูลแนะนำอันนี้ดูเข้าทีอยู่ ฉะนั้นวันหลังต่อมา พนักงานผู้ร้องประกาศจึงได้เที่ยวร้องประกาศเชิญบรรดาสตรีสาวที่สวยงามทั้ง ปวงให้มาสู่พระราชวังในวันเวลาที่ประกวด ซึ่งพระราชโอรสจะพระราชทานรางวัล คือรางวัลของประเสริฐให้แก่ทุกๆ คน และของประเสริฐยิ่งยวดให้แก่สาวใดซึ่งได้รับพระราชวินิจฉัยว่างามเลิศ

ดังนั้นแล้วบรรดาสตรีสาวแห่งกรุงกบิลพัสดุ์จึงไปรวมกันอยู่ ณ พระทวาร ทุกๆ คนพึงหวีและเกล้าเกาของตนเสร็จใหม่ๆ ขอบตาก็แต่งให้ขำเป็นแววด้วยผงแร่พลวง อาบน้ำชำระกาย ทาน้ำอบมาแล้วใหม่ๆ ทุกคนแล้วแต่ห่มสไบ สวมเสื้อซึ่งมีสีอันสุขุม มือเท้าอันเรียวก็ทาขมิ้นและแต้มไฝให้คมขำ

การที่นางสาวอินเดียมาชุมนุมประชุมกันเดินสวนหน้าพระราชบัลลังก์ พลางปริ่มดวงเนตรอันกว้างดูพื้นดินชม้อยอายดังนี้ ช่างงามน่าดูเสียนี่กระไร? เพราะเมื่อเหล่านารีเห็นพระราชโอรสซึ่งกระทำให้ใจอันประหม่าของนางทั้งหลาย เต้นมากกว่าจะนึกเคารพในพระราชอิสริยยศ ก็โดยพระราชโอรสนั้นประทับนิ่งยิ่งนัก น่ารักยิ่งนัก แต่ทั้งเป็นใหญ่ยิ่งกว่านางทั้งหลายด้วย นางสาวทุกคนต่างรับรางวัลของตนพลางลดสายตาไม่กล้าดูพระราชโอรส และถ้าปวงชนทั้งปวงที่ไปดูนั้นเปล่งอุทานว่า นารีใดคนหนึ่งซึ่งนัยว่างามเลิศและสมลักษณะกว่าคู่ประกวดอื่น ซึ่งล้วนแต่มาเพื่อเป็นเครื่องประโลมล่อพระทัยพระราชโอรสด้วยกันทั้งสิ้นก็ ดี

นารีผู้นั้นก็นิ่งอยู่เหมือนหนึ่งนางเนื้อทรายที่ประหม่าด้วยพระหัตถ์ อันลออเอี่ยมที่มาแตะต้อง แล้วก็วิ่งไปสู่เพื่อนของตนต่อไป ประหม่าเช่นนี้ก็ควรประหม่าแล้วด้วยพระราชโอรสนั้นดูเหมือนได้ประกอบแล้ว ด้วยลักษณะแห่งเทพเจ้า เป็นสง่าน่าเคารพศักดิ์สิทธิ์ และเป็นใหญ่เหนือนางทั้งปวงดังนี้แหละที่เหล่านางทั้งปวงมาสวนหน้าพระที่ นั่ง แต่ละคนล้วนงามเดินตามหลังต่อๆ กัน ประดุจดอกไม้แห่งพระราชธานี และเมื่อสิ้นพิธีอันสง่าน่าดู กับเมื่อของรางวัลได้หมดสิ้นไป

ในวาระซึ่งนางคนที่สุด คือเจ้าหญิงยโสธราได้ผ่านมา บรรดาผู้ที่นั่งอยู่เคียงข้างพระสิทธัตถะก็แลเห็นพระองค์สะดุ้ง ในเมื่อพระนางพรหมจารีศรียโสธราย่างเยื้องเข้ามาใกล้พระองค์ สิริรูปโฉมของพระนางนั้นดุจรูปปั้นชั้นวิมาน อาการย่างเยื้องก็ปานดังดำเนินของนางปารวตี ผู้เป็นราชินีแห่งพระศิวะ ดวงเนตรของเธอเหมือนดวงตาของนางเนื้อทรายในฤดูแห่งความปฏิพัทธ์ ดวงพักตร์งามยิ่ง จนน้ำคำไม่สามารถจะพรรณนาให้เห็นเสน่ห์ได้ เธอผู้เดียวมองดูพระสิทธัตถะตรงพระพักตร์ ประณมมือเหนือทรวงปล่อยให้เห็นพระศอ

"มีรางวัลอะไรสำหรับหม่อมฉันไหม?" พระนางทูลถามพลางยิ้ม
"รางวัลหมดแล้ว" พระสิทธัตถะตอบ "แต่จงรับเอาของนี้เป็นรางวัลแทนไปเถิด น้องสาวที่รัก ผู้ซึ่งความงามของน้องเป็นสมบัติอันเกินอวดในราชธานีของเรา"

ตรัสแล้วก็ทรงถอดสร้อยสังวาลมรกตของพระองค์ออกสวมใส่เจ้าหญิงผู้วิไลโฉม ที่นี้ดวงเนตรทั้งสองฝ่ายก็ก็มาประสบกัน และด้วยการแยบยลอันนี้ กระทำให้เกิดความปฏิพัทธ์กำหนัดขึ้น

ช้านานต่อมา เมื่อได้ตรัสรู้สมบูรณ์แล้ว สมเด็จพระพุทธเจ้าซึ่งมีผู้ทูลถามว่า เหตุใดพระทัยของพระองค์จึงลุกเป็นเปลวขึ้นได้ในเมื่อแรกทอดพระเนตรเห็นสาว ขัตติยนารีนั้น

พระองค์ตรัสตอบว่า "เราไม่ใช่คนอื่นไกล ดังเราและชุมนุมชนที่นี่เชื่อกันเมื่อกาลเมื่อปางก่อนซึ่งเป็นเวลาช้านานมา แล้วนั้น บุตรชายของนายพรานผู้หนึ่งเล่นอยู่กับหญิงสาวชาวไพรใกล้ต้นน้ำยมุนาซึ่งมี ภูเขานันทเทวี (ภูเขาแห่งจังหวัดต่างๆ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งอาศัยอยู่โดยเทพธิดานามว่า นันทะ) ได้ถูกเลือกให้เป็นผู้ตัดสินการละเล่น

ในเมื่อนางสาวเหล่านั้นวิ่งภายใต้ต้นสนดุจดังกระต่ายเล่นสนุก คลุกคลีเคียงข้างโพลงอยู่ภายใต้แสงเงินแห่งดวงจันทร์ ชายหนุ่มนั้นสวมพวงมาลัยงามแจ่มจรัสดุจดวงดาราให้แก่นางหนึ่ง แก่อีกนางหนึ่งสวมขนปีกนกอันยาวซึ่งถอนได้จากไก่ฟ้าตาทิพย์และจากไก่แห่งไพร หลวง แก่นางคนที่สามให้ลูกฉำฉาเป็นรางวัล แต่นางคนที่มาสุดท้ายกลายเป็นคนที่หนึ่งสำหรับชายหนุ่มนั้น เขาจึงให้ลูกนางเก้งที่เชื่อง และความปฏิพัทธ์แห่งดวงใจแก่นาง ตั้งแต่บัดนั้นมา บุรุษและสตรีทั้งสองนั้นก็ได้อยู่ร่วมกันยืนยงในป่านั้นด้วยความสันติสุข และเขาตายร่วมกันในป่านั้นเอง"

"เห็นไหม? ดังนี้แหละที่พืชพันธุ์ซึ่งซ่อนอยู่ได้งอกขึ้นจากใต้ธรณีภาหลังกาลหลายปี แห่งความแห้งเล้ง ฉันใดก็ดี ความดีและความชั่ว ความทรมานและความสนุกรื่นเริง ความแร้นแค้นและความรัก กับความประพฤติทั้งปวงที่ตายแล้วย่อมกลับมาเกิดใหม่อีก โดยนำทั้งใบอันสุกใสสดชื่นหรือเหี่ยวแห้งหม่นหมองและผลซึ่งหวานหรือขมมาด้วย ก็แลเรานี้ เราก็เป็นตัวชายหนุ่มนั้นเอง และหญิงสาวนั้นก็คือยโสธรานี้แหละ ตราบใดวัฏสงสารแห่งการมีชีวิตและความตายยังหมุนอยู่ สิ่งใดที่เป็นมาแล้วก็จะเป็นไปในระหว่างเราทั้งสองนี้สืบไป"

แต่บรรดาผู้ซึ่งลอบมองดูพระราชโอรสในระหว่างที่พระราชทานรางวัลนั้น ได้เห็นและได้ยินสิ้นทุกอย่าง จึงทูลพระราชบิดาซึ่งกำลังเอาพระทัยใส่เพื่อได้ทรงทราบว่า พระราชโอรสทรงเฉยเมยจนกระทั่งถึงเวลาที่เจ้าหญิงยโสธรา พระองค์ทรงเปลี่ยนสายพระเนตรทันทีอย่างไร เจ้าหญิงกับพระราชโอรสทรงจ้องดูกันอย่างไร ตลอดถึงการที่พระราชโอรสพระราชทานสร้อยสังวาลมรกต และแววพระเนตรทั้งสองฝ่ายชม้อยกระแสความรู้สึกให้แก่กันอย่างไร

พระปิยราชตรัสอย่างแย้มสรวลว่า "เห็นไหมล่ะ! เราได้เหยื่อแล้ว ทีนี้เราต้องหาวิธีที่จะใช้เหยื่อนี้เพื่อล่อเหยี่ยวของเรามาจากเมฆให้ได้ เราต้องจัดทูตให้ไปขอธิดาสาวของเขาเพื่อแต่งงานกับลูกของเรา" แต่ตามขัตติยประเพณีมีอยู่ว่า เมื่อผู้ใดสู่ขอธิดาสาวของครอบครัวแห่งตระกูลสูงซึ่งงามและพึงพอใจ ฝ่ายชายต้องแสดงความสามารถในขบวนยุทธศิลป์ แข่งขันกันกับผู้อื่นซึ่งเป็นผู้ขอชิงธิดานั้นก่อน และประเพณีนี้ย่อมไม่เว้นจนแม้กษัตริย์องค์ใด

ดังนั้นเมื่อพระบิดาของเจ้าหญิงทรงตอบแก่ทูตว่า "แกจงกราบทูลพระราชาว่า ธิดาของเราเป็นที่พึงประสงค์ของบรรดาเจ้าชายใกล้ไกลมากหลาย ถ้าพระราชโอรสผู้สุขุมยิ่งของพระองค์มีความสามารถในเชิงธนู เชิงดาบ และขี่ม้าดีกว่าบรรดาเจ้าเหล่านั้น ก็นับว่าเขาเป็นผู้มีฝีมือเยี่ยมกว่าเพื่อน และจะเยี่ยมสำหรับเราด้วย แต่จะเป็นไปได้หรือ เมื่อพระราชโอรสของพระราชาได้ทรงรับความชินแต่ในสิ่งที่อ่อนแอ?"

เมื่อทรงทราบดังนั้น พระทัยของพระเจ้าสุทโธทนะก็ปั่นป่วน เพราะทรงเชื่อว่าพระโอรสคงไม่สามารถจะขอหมั้นพระนางศรียโสธราได้สมพระทัย ด้วยเหตุว่ามีผู้แข่งขันกับพระองค์คือเทวทัต ผู้มีฝีมือเอกในเชิงธนู อรชุนผู้ขำนาญในการขี่ม้าแข่งและขี่ม้าที่พยศ และนันทะผู้ล้ำเลิศเลอเจ้าแห่งการฟันดาบ

แต่พระราชโอรสนั้นทรงขบขันแต่ในพระทัยแล้วตรัสว่า "ศิลปะทั้งหลายแหล่เหล่านั้น ข้าพระพุทธเจ้าก็ได้เรียนรู้มาแล้วเหมือนกัน ดังนั้นจงทรงจัดการประกาศเถิดว่า ข้าพระพุทธเจ้าผู้เป็นโอรสของพระองค์จะสู้แข่งกับบรรดาผู้ซึ่งมาเลือกการ กีฬาด้วยกนทั่วทุกคน ข้าพระพุทธเจ้าหวังว่า คงจะไม่เสียความรักของข้าพระพุทธเจ้าด้วยการแข่งขันอันเล็กน้อยพันนี้ดอก" ดังนั้นจึงได้มีการป่าวร้องให้รู้ว่า ณ วันถ้วนเจ็ด พระสิทธัตถะราชกุมารจะหาญเผชิญกับบรรดาผู้ซึ่งประสงค์จะแข่งขันกับพระองค์ ในการแสดงความสามารถทุกอย่าง และว่าบำเหน็จสำหรับผู้มีชัยก็คือเจ้าหญิงศรียโสธรา

ฉะนั้นพอถึงวันถ้วนเจ็ด เหล่าศากิยะทั้งหลายทวยนาคร และชาวชนบทแห่งพระราชธานีก็มาประชุมนุม ณ ท้องสนามหลวงคับคั่ง และเจ้าหญิงศรียโสธราก็เสด็จมาเหมือนกัน ห้อมล้อมไปด้วยพระญาติพระวงศ์ของพระนาง ในขบวนแห่แห่งเจ้าหญิงมีดนตรีขับร้อง มีสีวิกามากหลายโดยตบแต่งงดงามและมีโคเขาปิดทองประดับดอกไม้

เทวทัตซึ่งเป็นศากิยวงศ์ก็ขอหมั้นพระนาง อีกทั้งนันทะและอรชุนก็ดุจกัน เพราะทั้งสองนี้ก็นับเนื่องอยู่ในวงศ์ตระกูลสูงเหมือนกัน ดังนั้นนับว่าเจ้าหญิงศรียโสธราก็คือมาลาซึ่งบรรดาเจ้าชายหนุ่มที่มาพร้อม กัน ณ ที่นี้ล้วนแต่มีใจปองทั้งสิ้น ครั้นแล้วพระสิทธัตถะกุมารก็เสด็จมาถึง พระองค์ทรงพาชีสีขาวนามว่า กัณฐกะ ซึ่งพอมาถึงก็ร้องโดยนึกประหลาดใจด้วยฝูงชนซึ่งไม่เคยชิน

ฝ่ายพระสิทธัตถะก็เหมือนกัน พระองค์ทรงทรงทอดพระเนตรฝูงชนเหล่านั้นโดยพิศวง คือฝูงชนซึ่งเกิดมานอกเชิงพระราชบัลลังก์มีการอยู่การกินผิดกันกับราชา ถึงกระนั้น บางทีก็มีสุขมีทุกข์เช่นเดียวกันกับเหล่าราชาทั้งหลาย แต่ครั้นพระสิทธัตถะราชกุมารทอดพระเนตรเห็นเจ้าหญิงศรียโสธราผู้งามประไพ ความยิ้มแย้มก็ปรากฏขึ้นแก่พระพักตร์ของพระองค์ พระองค์ลดบังเหียนด้วยพระองค์เอง ทรงกระโดดลงยังพื้นธรณีแล้วทรงประกาศว่า "ผู้ใดไม่มีค่าเท่ากับไข่มุกนั้นแล้ว ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรที่จะได้ไข่มุกนั้น ขอบรรดาผู้แข่งขันของข้าพเจ้าทุกคนจงพิสูจน์ให้เห็นเถิด ว่าข้าพเจ้าทะนงเกินไปฤาไม่ ที่จะขอประสานมือกับพระนางได้"

ดังนั้น นันทะจึงท้าให้ประลองความสามารถในการยิงธนู แล้วนำเป้าทองสำริดไปตั้งในระยะทาง 6 โคว (โควละ 2 เส้นหย่อน) เหมือนกัน เทวทัตในระยะ 8 โคว แต่พระสิทธัตถะทรงขอให้ตั้งเป้าสำหรับพระองค์ในระยะ 10 โคว เพื่อจะให้เป้านี้แลเห็นไม่ใหญ่เกินกว่าขนาดหอยเบี้ย เมื่อตั้งเป้าเรียบร้อยแล้วต่างก็เริ่มยิง นันทะยิงถูกเป้าของตน อรชุนก็ถูกเป้าของตน และเทวทัตยิงทะลุเป้าของตนอย่างแม่นยำ จนฝุงชนเปล่งอุทานชมเชย เจ้าหญิงศรียโสธราถึงกับปลดสไบทอง ปิดดวงเนตรอันขวยเขิน ด้วยเกรงว่าจะได้เห็นพระสิทธัตถะราชกุมารไม่สามารถจะยิงเป้าของพระองค์ให้ ถูกได้ แต่พระองค์เองทรงหยิบธนูคู่แข่งซึ่งเป็นหวายลงรักผูกรัดด้วยเอ็นมีสายเงิน ซึ่งได้แต่แขนกำยำแข็งแรงเท่านั้นจึงจะขึ้นได้ พระองค์โก่งธนูนั้นจนปลายกับปลายจดกันด้วยความขบขันในพระทัยจนธนูนั้นหัก

แล้วตรัสว่า "นี่เป็นธนูสำหรับเล่น ไม่ใช่เป็นธนูสำหรับใช้การ ไม่มีใครมีธนูสำหรับศากิยะดีกว่านี้อีกหรือ?" มีคนหนึ่งทูลว่า "มีธนูสิงหหนุซึ่งเก็บรักษาไว้ในวิหารนมนาน จนไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใด ธนูนี้ไม่มีใครสามารถจะโก่งและยิงได้" พระสิทธัตถะตรัสว่า "จงไปเอาธนูซึ่งเป็นอาวุธคู่ควรแก่คนหนึ่งนั้นมาเถิด"

เขาจึงไปนำธนูโบราณนั้นมาถวายเป็นธนูโลหะดำ และลวดลายใบไม้ทองและโค้งเหมือนเขาควายกระทิง พระสิทธัตถะก็ได้ลองกำลังความแข็งแรงของธนูนั้นด้วยพระชานุสองครั้งแล้วตรัส ว่า "เอาธนูนี้ยิงสิพี่น้องทั้งหลาย" แต่ไม่มีคุ่แข่งขันคนใดสามารถโก่งธนูอันแข็งนั้นได้สักหนึ่งระยะมือ

 

ครั้นแล้วพระสิทธัตถะจึงค่อยๆ ก้มลง โก่งธนู เล็งศูนย์ด้วยพระเนตร ทรงเหนี่ยวสายโดยแรง กระทำให้เกิดเสียงดังไปตามอากาศกึกก้อง สนั่นหวั่นไหวเหมือนดังเสียงปีกนกอินทรี จนพวกคนทุพพลภาพซึ่งอยู่ในบ้านของตนในวันนั้นถามว่า "เสียงอะไรกันหนอ?" มีผู้ตอบว่า "นั่นคือเสียงธนูสิงหหนุซึ่งพระราชโอรสได้โก่งจะทรงยิง" เมื่อพระสิทธัตถะเอาลูกศรพาด ดึงสายแล้วปล่อยลูกศรอันคมกริบแล่นลิ่วไปตามอากาศ ทะลุเป้าอันไกลที่สุด แล้วปลิวลิ่วต่อไปตามทุ่ง จนลิบลับหายไปจากสายตา

ในขณะนั้น เทวทัตจึงท้าคู่แข่งขันของเขาในเชิงดาบแล้วก็ฟันต้นไม้หนา 6 นิ้ว อรชุนก็ 7 นิ้ว และนันทะฟันได้ 9 นิ้ว แต่ยังมีต้นไม้ขนาดเท่ากันขึ้นชิดเคียงอยู่สองต้นควบกัน และคมดาบของพระสิทธัตถะตัดขาดได้ทั้งสองต้นในขวับเดียว ลึกแต่ฟันอย่างสุดแม่นยำ จนลำต้นไม้ทั้งสองนั้นคงยืนอยู่ตรงที่ ถึงกับทำให้นันทะร้องขึ้นว่า "คมดาบของเขาวิ่นไปแล้ว"

ฝ่ายพระนางยโสธรา เมื่อเห็นต้นไม้ยังยืนตรงอยู่ก็สั่นระรัวทั่วทั้งสรรพางค์ แต่ในขณะนั้นเอง เหล่าเทวดาแห่งเวหาสทั้งหลายซึ่งดูแลจึงบันดาลให้บังเกิดลมพัดเฉื่อยมาทาง ทิศใต้ ทำให้ต้นไม้ซึ่งเป็นพุ่มประดุจพวงหญ้าอ่อนอันเขียวชะอุ่ม ล้มลงมาบนทรายเสียงดัง ขาดสะบั้นอย่างเด็ดขาด

ครั้นแล้วเขาจึงนำม้าแข่งพันธุ์ที่พยศจริงๆ มาคู่แข่งขัน ทุกคนก็ขี่แข่งกันรอบสนามสามรอบ แต่เศวตกัณฐกะอัศดรทิ้งระยะให้ตัวที่เร็วที่สุดต้องอยู่หลัง และวิ่งไปเร็วจนกระทั่งว่าในระหว่างที่ฟองน้ำลายกำลังจะตกจากปากนั้น เขาก็วิ่งไปถึงระยะ 20 ศอกแล้ว แต่นันทะกล่าวว่า "เราเองก็อาจชนะได้ ถ้าหากเรามีม้าเช่นกัณฐกะ จงไปนำม้าพยศมา แล้วก็จะได้เห็นกันว่าใครจะขี่ดีกว่าเพื่อน" ดังนั้นแล้ว พวกเลี้ยงม้าจึงไปนำเอาม้าผู้ลำพองที่เลี้ยงไว้สำหรับผสม และดำเหมือนราตรีกาล ล่ามด้วยโซ่สามเส้น ตาตื่นลำพอง จมูกเบ่ง ไรบังเหียน ไร้อาน เพราะยังไม่มีคนใดได้เคยขับขี่เลย

เหล่าศากิยะหนุ่มต่างก็ผลัดกันกระโดดขึ้นหลังอันกว้างสามครั้ง แต่เจ้าม้าใจร้อนพยศอย่างร้ายกาจ จนสะบัดให้ศากิยะหนุ่มเหล่านั้นตกลงมายังพื้นดิน แปดเปื้อนไปด้วยฝุ่น ให้ได้ความอับอาย อรชุนคนเดียวสามารถรั้งให้นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อให้แก้โซ่ออกแล้วก็เอาเท้ากระตุ้นสีข้างเจ้าม้าตัวดำ รวบบังเหียนและรั้งปากให้อยู่มือได้ จนกระทั่งว่าโดยลมแห่งแห่งความโกรธ ความบ้าคลั่งและความกลัว เจ้าม้าผสมตัวคะนองก็วิ่งไปตามทุ่งได้รอบหนึ่ง โดยอาการค่อนข้างจะเชื่องๆ แล้ว แต่ทันใดนั้นเอง มันก็หันหน้ามากลับมาแยกเขี้ยว งับเอาเท้าอรชุนข้างหนึ่งจนอรชุนตก แล้วก็จะพิฆาตเสีย หากว่าพวกคนเลี้ยงวิ่งไปดึงเจ้าสัตว์ตัวนั้นทัน

ครั้นแล้วทุกคนจึงว่า "อย่าปล่อยให้พระสิทธัตถะไปยุ่งกับภูตผี ซึ่งตับของมันเป็นลมร้ายและเลือดของมันเป็นเปลวไฟอันแดงนั้นเลย"

แต่พระราชโอรสตรัสว่า "จงแก้โซ่ออกเสียเถิด แล้วจูงแต่ผมมันมา" ตรัสแล้วทรงจับผมม้านั้นอย่างสงบเสงี่ยม พลางตรัสด้วยเสียงอันเบาสองสามคำ ทรงวางพระหัตถ์ขวาที่ตาม้านั้นแล้ว ค่อยๆ ลูบหน้าอันถมึงทึงของมันตลอดตามยาวของลำคอ และตามสีข้างอันสั่นเทิ้ม กระทำให้ฝูงชนที่มาดูอัศจรรย์ใจที่มาเห็นเจ้าม้าตัวดำเหมือนกลางคืนสิ้นพยศ แสดงอาการอ่อนและนิ่งประดุจว่ามันรู้จักองค์ตถาคตของเรา แล้วก็เคารพต่อพระองค์ด้วยดุษณีภาพในขณะที่พระสิทธัตถะเสด็จขึ้น แล้วเดินไปโดยเชื่อง ตามที่พระองค์ยักมันด้วยพระชานุและบังเหียนต่อหน้าหมู่ชนทั้งมวล จนทวยชนทั้งหลายนั้นร้องขึ้นว่า "คนอื่นอย่าสู้มากมายไปอีกเลย เพราะพระสิทธัตถะดีกว่าเพื่อนแล้ว" คู่แข่งขันทุกคนก็ตอบว่า "เขาเก่งกว่าเพื่อนแล้ว"

ดังนั้น สุปปพุทธะพระบิดาของเจ้าสาวจึงตอบว่า "ความต้องการในใจของเราก็คือ ให้ได้เห็นเธอมีชัยในรางวัล เพราะเธอเป็นผู้ที่เราชอบ แต่เธอจงบอกเราหน่อยเถิดว่า โดยกลอุบายอันใดหรือที่สอนให้เธอรู้ดียิ่งในศิลปวิทยา อยู่ในท่ามกลางแห่งพุ่มกุหลาบและความเพ้อฝันของเธอ ถึงกับรู้ในวิชาการสงคราม การล่าสัตว์และกายบริหารทั้งปวง หาผู้อื่นรู้เสมอเหมือนมิได้

โอ! พระราชโอรส จงพาเอาขุมทรัพย์ซึ่งเธอได้รับเป็นรางวัลสำหรับความสามารถของเธอไปเถิด" เมื่อพระบิดารับสั่งดังนั้น เจ้าหญิงจึงลุกขึ้นจากที่ เดินผ่านฝูงชนหยิบเอาพวงมะลิพวงหนึ่ง ค่อยๆ ประคองสไบบางสีดำและปักทองแย้ม ดวงพักตร์ผ่านหน้าชายหนุ่มทั้งปวงไปโดยสง่า และถึงที่ซึ่งพระสิทธัตถะประทับอยู่ด้วยพระวรลักษณ์อันวิเศษ สูงตระหง่านยิ่งขึ้น เพราะอัศดรตัวดำซึ่งก้มคออันแข็งแรงของมัน แล้วค่อยๆ ลอดใต้พระกรของผู้เป็นเจ้าแม่แห่งมัน นางน้อมกายอย่างต่ำยิ่งต่อพระพักตร์พระราชโอรส พลางแสดงดวงพักตร์ว่าเปล่งปลั่งไปด้วยความปลื้ม โดยความปฏิพัทธ์อันสันติสุข

ครั้นแล้วนางก็สวมพวงมาลัยอันมีรสสุคนธ์ ณ พระศอ และแนบเศียรเกล้าอันงามวิเศษ ณ พระอุรประเทศของพระองค์ แล้วน้อมกายกราบบาทของพระองค์ด้วยดวงเนตรอันแวววับ พร้อมด้วยความยินดี พลางทูลว่า "เจ้าชายที่รัก จงมองดูข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์ซึ่งเป็นของพระองค์" ฝ่ายหมู่ชนก็เบิกบานเมื่อได้เห็นเจ้าชายกับเจ้าหญิงเสด็จผ่านไป พระหัตถ์เกี่ยวพระหัตถ์ซึ่งกันและกัน และพระทัยกำลังเต้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน วาระนี้สไบดำและปักทองก็คลุมนางใหม่อีก

ช้านานต่อมา เมื่อความตรัสรู้ของพระองค์เป็นที่แพร่หลายแล้ว มีผู้ทูลถามพระพุทธเจ้าถึงเรื่องนี้ และทูลถามพระองค์ว่าเหตุใดพระนางยโสธราจึงทรงสไบดำและทอง และดำเนินสวยยิ่งนัก พระองค์ผู้ซึ่งสากลโลกบูชาเคารพจึงตรัสตอบว่า "นอกจากเราไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ถึงนัยว่ารู้ก็รู้อย่างครึ่งๆ กลางๆ คือ ในระหว่างที่วัฏสงสารแห่งความเกิดและความตายกำลังหมุนอยู่นั้น สิ่งต่างๆ และความรู้สึกที่ล่วงมาแล้วกับความเป็นไปในปางก่อนๆ ก็กลับมาเป็นอีก

บัดนี้ เราจำๆได้แล้วเมื่อหวลนึกไปถึงหลายหมื่นปีมาแล้ว เหลือที่จะคณนาก็พึงเห็นได้ว่า กาลเมื่อเราพเนจรไปตามเขาต่างๆ ซึ่งเป็นป่าแห่งเขาหิมาลัยนั้น เราเป็นเสือหิวโดยมีหนังลาย เราซึ่งเป็นพุทธะบัดนี้ ขณะที่กำลังนอนบนหญ้ากุสา (คือหญ้าซึ่งชาวฮินดูใช้ในพิธีต่างๆ ที่เกี่ยวกับศาสนา) เราแอบมองดูฝูงสัตว์ที่กำลังเล็มหญ้าอยู่ด้วยตาอันริบหรี่ และสัตว์เหล่านั้นค่อยๆ เดินใกล้มาสู่ความตายของมันทุกที โดยที่มันเดินมาสู่ซ่องของเรา หรือมิฉะนั้นเวลากลางคืนระยับด้วยแสงดาว เราซัดเซลัดเลาะไปด้วยความกระหายเลือดไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อหาอาหารสักตัวโดยดูดดมกลิ่นมนุษย์หรือเนื้อทรายเรื่อยไปตามทาง

ในท่ามกลางสัตว์ป่าซึ่งบัดนั้นเป็นพวกพ้องของเราผู้อาศัยป่าหนาทึบ หรือพื้นดินที่แฉะชื้นเป็นหนอง เป็นบึงอันเต็มไปด้วยต้นอ้อ มีนางพยัคฆีตัวหนึ่ง งามกว่าพยัคฆีทั้งหลาย จนทำให้หมู่พยัคฆ์ทั้งหลายทำสงครามต่อกัน สีขนของพยัคฆีตัวนั้นเป็นทองเหลือบสลับดำดุจกันกับสีสไบยโสธราปกคลุมนั้น การทำสงครามภายในป่านั้นนับว่าแรงกล้า ฟันกับเล็บเป็นศาสตราวุธ

ลำดับนั้น นางพยัคฆีตัวงามซึ่งอยู่ภายใต้ต้นพลับพลึงก็มองดูเราซึ่งโทรมไปด้วยโลหิต เพราะบาดเจ็บอย่างสาหัส และยังจำได้อีกว่า ในที่สุดนางพยัคฆีตัวนั้นก็มา พลางบ่นพึมพำผ่านหน้าเจ้าแห่งป่าอื่นๆ ซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลและซึ่งเราได้ผจญให้แพ้ไปแล้ว และด้วยปากอันถนอมกล่อมเกลี้ยง นางพยัคฆีก็ใช้เลียสีข้างอันหอบเหนื่อยของเรา ครั้นแล้วค่อยดำเนินอย่างสง่ามาสมสู่อยู่ในป่ากับเราด้วยความปฏิพัทธ์ วัฏสงสารแห่งความเกิดและความตายหมุนจากกำเนิดที่ต่ำมาสู่ที่สูงดังนี้แหละ"

ดังนั้นเป็นอันว่า เจ้าสาวย่อมได้แก่พระสิทธัตถะโดยเจตนาสันนิวาส (ตาม ประเพณีคันธาวาสหรือนักดนตรีในสวรรค์ เป็นประเพณีเษกสมรสอันหนึ่งแห่งแห่งประเพณีทั้ง 8 ตามบัญญัติพระมนู ซึ่งย่อไว้ว่า "การร่วมภิรมย์แห่งหญิงสาวกับชายหนุ่ม ย่อมเป็นมาจากบุพเพสันนิวาส") และเมื่อเหล่าดาราได้ศุภฤกษ์ เมษะ แกะแดงเป็นเจ้าแห่งสวรรค์ พระราชพิธีอภิเษกสมรสก็สมโภชตามขัตติยราชประเพณี มีการตั้งพระแท่นทอง ปูพรมเจียม ห้อยพวงมาลาแห่งพิธีเษกสมรส ผูกด้ายที่ข้อพระหัตถ์คู่หมั้นแล้ว ถวายขนมหวานให้เสวย ซัดข้าวและน้ำอบ เส้นฟางทั้งสองลอยล่องอยู่บนน้ำนมสีแดง และค่อยๆ ลอยเข้าหากัน ซึ่งเป็นศุภนิมิตแห่งความเสน่หาอันยืนยงคงอยู่จนกระทั่งถึงวันตาย ครั้นแล้วองค์เจ้าบ่าวและเจ้าสาวก็ก้าว 7 ก้าว สามรอบแห่งพระเพลิง (ตามประเพณีเษกสมรสของพราหมณ์) แจกจ่ายสิ่งของให้แก่พวกนักบวช ไทยทานและเครื่องสังเวยก็ส่งไปบูชาตามบรรดาศาลพระผู้เป็นเจ้า

ในที่สุดก็มีการสวดมนต์ และผูกฉลองพระองค์ขององค์เจ้าบ่าวติดกันกับขององค์เจ้าสาว แล้วเฒ่าแก่จึงกล่าวว่า "พระองค์ผู้ทรงเกียรติยศ เจ้าหญิงซึ่งเดิมเป็นของเราทั้งหลาย บัดนี้เป็นของพระองค์แต่ผู้เดียวแล้ว จงทรงกรุณากับเธอซึ่งมีชนมชีพอยู่ในสิทธิของพระองค์ด้วยเถิด" เสร็จแล้วเขาจึงเชิญเจ้าหญิงยโสธราไปสู่เรือนหอ แวดล้อมไปด้วยการขับร้องแตรบรรเลง เมื่อนางไปสู่ภายในพระกรทั้งคู่ของพระสาวมีแล้ว ในที่สุดก็เป็นอันเสร็จพิธีซึ่งทำให้เกิดดูดดื่มแก่ความปฏิพัทธ์นั้น

ฝ่ายพระราชานั้น ไม่เป็นแต่เพียงไว้วางพระทัยในความปฏิพัทธ์แห่งเจ้าชายและเจ้าหญิงแต่อย่าง เดียว พระองค์ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างปราสาทอันงามวิจิตรเพื่อยังความเปรมปรีด์ของพระราชโอรสและเจ้าหญิง อีกด้วย เป็นปราสาทซึ่งทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่มีปราสาทวิเศษใดจะงามเสมอเหมือนกับปราสาทหลังนี้ซึ่งมีนามว่า วิศรัมวัน คือวิมานเกษมสันต์ของพระราชโอรส

ในท่ามกลางแห่งพื้นที่โดยรอบปราสาทก็สูงตระหง่านด้วยเขาเขินเนินอรัญญ์ มีพฤกษชาติเขียวชอุ่มซึ่งภายใต้ก็ลอดไหลหลั่งด้วยลำน้ำโรหิณีที่ไหลมาจาก เชิงเขาหิมาลัยอันกว้าง เพื่อนำเครื่องบรรณาการคือธาราไปสู่ลำแม่คงคา ทางด้านใต้มีต้นมะขามและรุกขชาติเรียงเป็นพุ่มๆ เต็มไปด้วยไม้ดอกชื่อคันธีสีฟ้าอ่อนกั้นเป็นรั้ววัง   

ทุกครั้งมีเสียงกระหึ่มแห่งพระนครขจรมาตามความกระพือของลม เสนาะประดุจเสียงครวญของภมรที่ร่อนวนอยู่ ณ พุ่มไม้ซึ่งห่างไกลทางด้านเหนือ ผาอันนฤมลแห่งเขาหิมาลัย ซึ่งมหึมาซับซ้อนรายเรียงเป็นแถวแนวขาวอย่างแวววับ สูงตระหง่านเยี่ยมเวหาอันเขียวดูมโหฬารตระการตาไม่รู้จักสิ้น วิเศษนักและโดยภูมิภาคซึ่งมียอดและศิลาแหลม กลมหรือแบน ลาดผาอันเขียว ก้อนน้ำแข็งอันเรียว (ยอดเขาหิมาลัยหนาวเย็นมีน้ำแข็งอันเกิดจากหิมะ ซึ่งตกลงมาทับถมกันอัดแน่นจนเป็นน้ำแข็ง) เหวลึกและหน้าผาอันชัน

ทั้งหลายแหล่เหล่านี้ ล้วนแต่เป็นภาพซึ่งดลให้มีความคิดอันสูงยิ่ง จนประหนึ่งว่าสูงแล้วจนถึงสวรรค์และอยู่ร่วมด้วยพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย เบื้องใต้แห่งหิมะมีแนวป่าอันขมุกขมัว สลับด้วยแสงอันแวววับแห่งน้ำตกซึ่งไหลซู่ซ่าและปิดบังครึ้มไปด้วยหมอก ต่ำลงมาหน่อยก็มีต้นฉำฉาและต้นสนซึ่งกู่ก้องไปด้วยเสียงร้องเรียกแห่งไก่ฟ้า เสียงร้องของเสือดาว เสียงร้องของแกะป่าเหนือก้อนศิลา และเสียงร้องของนกอินทรีอันโหยหวน ต่ำลงมาอีกมีทุ่งอันตระการตาประดุจดังปูลาดพรมเพื่อสวดมนต์ภาวนา

ณ เชิงเขาพระแท่นอันศักดิ์สิทธิ์ ข้างหน้านายช่างก็สร้างพลับพลาอันวิจิตรบนพื้นที่สูง มีหอข้างเคียงและระเบียงซึ่งมีเสาเรียงรายอยู่โดยรอบ ลวดลายแห่งขื่อเป็นภาพแสดงเรื่องราวในโบราณกาลมีราธา (คู่รักของกฤษณะผู้อุโฆษในเรื่องเสน่ห์ จนมีกาพย์คดีแพร่หลายมากในประเทศอินเดีย) และกฤษณะ เหล่าพรหมจารีแห่งป่า นางสีดา หนุมาน และนางเทราบที และบนซุ้มประตูด้านกลางก็มีคเณศวรผู้เป็นพระเจ้าแห่งฤกษ์ นั่งหดงวงถือกงจักรและของ้าว ตั้งไว้ที่นั่นเพื่อให้มีความดีและความเจริญ โดยวิถีทางอันคดเคี้ยวแห่งอุทยานและลาน ก็เดินไปสู่ทวารน้อยเป็นหินอ่อนขาวลายและกุหลาบ ก็ได้ธรณีหินอ่อนเป็นเงาและประตูไม้จันทน์มีลวดลายระบายสี เมื่อผ่านธรณีแล้วก็เดินเล่นได้อย่างร่าเริง

ภายในห้องนอกอันงามและในห้องเงาอันขมุกขมัว ขึ้นบันไดอันวิจิตร เดินไปตามระเบียงชั้นๆ ฝาระบายสีและเสาเป็นหมู่ๆ มีน้ำพุประดับ บัวรายเรียงและกระจับซึ่งพ้นน้ำออกมา มัจฉาชาติซึ่งตระการตาภายในแก้วเจียระไนสีเข้มสีทองและสีเขียว

ณ ภายในแห่งเรือนกลางแจ้ง นางเก้งตาใหญ่เล็มดอกกุหลาบซึ่งมีรสสุคนธ์ ฝูงนกสีรุ้งบินร่อนท่ามกลางแห่งต้นตาล นกพิราบสีเขียวสีเทาสร้างรังด้วยความปลอดภัย ณ เบื้องบนหัวเสาสีทอง ณ พื้นศิลาใสเป็นเงา เหล่านกยูงคลี่หางอันงามออกลำแพน ฝ่ายนกกระสาสีขาวดุจน้ำนมและนกฮูกตัวน้อยก็ชมดูนกยูงด้วยอาการสงบเสงี่ยม นกแก้วคอสีดินแดงก็ไกวแกว่งตัวจากผลไม้นี้ไปสู่ผลไม้นั้น เหล่าจิ้งจอก กิ้งก่าเจ้าตัวไวก็ผิงแดดบนกิ่งไม้ปราศจากความกลัวเหล่ากระรอก กระแตก็มีมากินอาหารที่อยู่ในมือ เพราะความสันติสุขอุบัติอยู่ทั่วไป งูดำซึ่งเป็นลางแห่งโชคดีแก่ครอบครัวขดตัวนอนอยู่กลางแดดภายใต้ดอกไม้นามว่า ดอกจันทน์ ใกล้ๆ ณ ที่นั้น หมู่วานรตาสีน้ำตาลเข้มทำท่าหลอนหลอกแก่ฝูงกา

นอกจากนี้ยังมีบริวาร บ่าวไพร่อันซื่อสัตย์ก็มีอยู่มากมายภายในพระราชวังนั้น จะให้สัญญาแต่เพียงน้อยหนึ่งก็มีผู้คนหน้าตาสุภาพและเสียงพูดอันไพเราะตะลี ตะลานมาปฏิบัติรับใช้อย่างขมีขมัน ต่างคนต่างยินดีบำเพ็ญความสันติสุข แสดงความร่าเริงเพื่อให้อุบัติความปราโมทย์ ภูมิใจที่จะปฏิบัติเคารพ ประหนึ่งว่าต้องการให้ชีวิตความเป็นอยู่ไหลหลั่งความปรีด์เปรมเหมือนแม่น้ำ ที่มีขอบเขตเป็นดอกไม้คืออมรบุปผา และยโสธราเป็นราชินีแห่งพระราชสำนักเกษมสันต์นี้แล

แต่นอกจากห้องตั้งร้อยห้องซึ่งงามวิจิตร ยังมีห้องลับอีกห้องหนึ่งซึ่งศิลปะได้ประณีตความงามทุกกระบิดกระบวนเพื่อ หย่อนใจ เมื่อไปสู่ห้องนี้ต้องผ่านลานลับซึ่งอยู่ภายในปราสาทนั้นไป แต่เป็นลานโปร่ง ในท่ามกลางมีสระน้ำทำด้วยศิลาอ่อนขาวดุจน้ำนม ซึ่งแคมขอบบันไดและรั้วกั้นสลักเป็นลวดลายประดับหินเป็นสีต่างๆ อย่างงดงาม ช่างชื่นอกชื่นใจเสียนี่กระไร เมื่อได้สงบอารมณ์ตามอำเภอใจภายในราชสถานอันสำราญรื่น ประดุจได้เดินบนน้ำแข็งในฤดูร้อน รัศมีแห่งดวงอาทิตย์ส่องแสงสีทอง ผ่านทางประตูและส่องแสงอ่อนลงๆ จนเป็นสีขาวอย่างเงินจางลงเกือบขมุกขมัวประดุจหนึ่งว่า แสงตะวันนั้นได้หยุดแล้ว เปลี่ยนเป็นแสงแห่งความเสน่หาและความสงบเสงี่ยมซึ่งสิงสถิตอยู่ ณ ประตูมีห้องอันโอ่โถงตระการตาวิเศษกว่าที่อื่นๆ มีโคมอันอ่อนหอมส่องแสงลอดมาทางหน้าต่างมุข และม่านดอกดาราซับเยียระบับสีทอง ที่นอนแพรและฉากอันหนักและงามตระการตา ซึ่งถูกเปิดออกแต่เฉพาะสำหรับปล่อยให้สตรีที่งามเลิศเข้าไปเท่านั้น

ณ ที่นั้นไม่มีใครรู้ได้เลยว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน เพราะประทีปที่ค่อยสว่างไสวอยู่เสมอนั้น สว่างกว่าเวลาสว่างเมื่อย่ำรุ่ง แต่แสงระเรื่อกว่าแสงเงินแสงทองแห่งอาทิตย์อุทัย ลมเฉื่อยพัดมาสบายกว่าเวลาเช้า แต่เย็นเหมือนเวลาเที่ยงคืน เสียงพิณบรรเลงทั้งกลาวันกลางคืน กระยาหารอันโอชาก็มีมาไม่ว่ากลางวันกลางคืน ผลไม้ชุ่มชื่นด้วยน้ำค้าง เครื่องดื่มปรุงด้วยหิมะแห่งเขาหิมาลัย แป้งอันมีรสโอชา และน้ำกะทิใส่มาในภาชนะซึ่งทำด้วยงา

ทั้งกลางคืนกลางวันก็มีหมู่นางระบำที่เลือกเฟ้นมาแล้ว ประจำอยู่พร้อมทั้งนักร้องนักดนตรีเป็นบริวารประโคมโลมเล้าความเสน่หา เป็นการปลุกดวงพระเนตรอันสงบแห่งพระสิทธัตถะผู้ทรงสันติสุขและเมื่อตื่นแล้ว ก็นำพาให้วิญญาณของพระองค์กลับไปตกอยู่ในความบันเทิงใหม่อีก โดยดนตรีซึ่งก้องกังวานอยู่กลางดอกไม้หรือโดยกามแห่งเสียงจำเรียงร้องยั่ว ความเสน่หา และการฟ้อนรำอันร่าเริงเป็นจังหวะกันด้วยระฆังและลูกพรวนซึ่งผูกที่ข้อเท้า ของนางระบำท่าทางรำทำแขนและเสียงพิณสายเงิน

ส่วนน้ำมันชะมดและจำปากับแสงสีเขียวซึ่งเผาอบระเหยหอมให้ฟุ้งขจรก็ทำความเคย ชินให้แก่วิญญาณของพระองค์อีกำ แล้วเชิญเสด็จให้บรรทมเหนือกรพระนางศรียโสธรา พระสิทธัตถะทรงสำราญพระอิริยาบถดังนี้ก็ทรงลืมเสียซึ่งสิ่งอื่นๆทั้งหมดใน โลก

อนึ่ง พระราชายังทรงบัญญัติว่า ภายในกำแพงพระราชวังนั้นมิให้ผู้ใดพูดถึงความตาย ความแก่ชรา ความทุกข์โศก ความแร้นแค้น หรือความเจ็บป่วย นางใดหากความงามลดละลง ณ พระราชสถานอันสง่า หากเท้าไม่สามารถเต้นรำได้แล้ว นางใดที่เป็นเช่นนั้นซึ่งแม้ไม่เป็นโทษอาชญาอันหาทุจริตมิได้ก็ถูกเนรเทศให้ ออกจากพระราชวังสวรรค์นั้น โดยเกรงว่าพระราชโอรสจะได้เห็นความทุกข์ความทรมานแห่งนางนั้นๆ แลมีเจ้าหน้าที่ผู้เคร่งคอยแต่พิพากษาโทษผู้ซึ่งพูดถึงความทุกข์ภัยในโลกอัน เต็มไปด้วยความทรมาน ความครวญคร่ำ ความโหยไห้ ความหวาดเสียว และความครวญครางของผู้ต้องทุกข์ และควันอันน่าสยองแห่งกองอัคคี หากมีเส้นผมหงอกขาวแต่เส้นเดียวปรากฏอยู่ในมวยผมของนางนักร้องบำเรอ หรือนางละครคนใดจะถือว่ามีโทษฐานทรยศ และทุกๆ เวลาย่ำรุ่ง ดอกกุหลาบที่เหี่ยวแห้งแล้วก็ถูกเก็บเสีย

ใบไม้ตายก็ถูกกวาดทิ้ง บรรดาภาพอันทำให้บังเกิดความทุกข์ต้องกำจัดให้พ้นจากราชสถานนี้โดยสิ้นเชิง เพราะพระราชาตรัสว่า "หากเขา (คือพระราชโอรส) ดำรงประถมวัยไกลจากสิ่งซึ่งยั่วให้เกิดสังเวช และเกิดเจริญขึ้นในญาณคติที่ยังไม่ปรากฏนั้นแล้ว เงาแห่งโชคซึ่งล้ำมนุษย์สามัญจะพึงได้ (โพธิญาณ) ก็จะอ่อนลงได้ และเราก็จะได้เห็นเขาเป็นเจ้าผู้มีอานุภาพิ่งซึ่งจะได้ครองทั่วทุกประเทศ (จักรพรรดิราช) หากเขาต้องการ และจะได้เป็นเจ้าแห่งกษัตริย์ทั้งหลายซึ่งเป็นเกียรติศักดิ์แห่งสมัยกาลของ เขา"

ฉะนั้นโดยรอบแห่งที่ขังอันงามวิจิตร ซึ่งมีแต่ราคตัณหาเป็นผู้คุมและความบันเทิงเป็นกรงกั้นขังแต่ไกลจากที่ใครแล เห็นได้นั้น พระราชาได้ทรงจัดให้สร้างกำแพงอันหนามีประตูสำริดมีบานสองบาน ประตูหนึ่ง ประตูนี้ต้องใช้คนตั้งร้อยคนสำหรับเปิด ขณะที่เปิดก็มีเสียงดังสนั่นไกลไประยะครึ่งโยชน์ หลังประตูนี้ก็มีประตูที่สองที่สามถัดกันไปอีก

เป็นอันว่า เมื่อจะออกจากพระราชสถานอันเกษมนั้นแล้ว ต้องผ่านประตูสามประตูนั้นมาก่อนจึงจะออกได้ เป็นประตูมหึมา ลั่นกลอนและกั้นด้วยลูกกรงอีกชั้นหนึ่งกับที่ใกล้ๆ ประตูแห่งหนึ่งๆ ก็มีคนยามซื่อสัตย์รักษาการอยู่ และตามพระบรมราชโองการแห่งพระราชามีอยู่ว่า

"อย่าปล่อยให้ใครผ่านไปมาจนแม้แต่โอรสของเรา เจ้าต้องรับผิดชอบด้วยศีรษะของเจ้า"


จาก http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/light_of_asia/02.html

http://www.dhammatalks.net/Articles/Life_of_the_Buddha_in_Pictures.htm
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...