แสงธรรมนำใจ > จิตวิวัฒน์ กระบวนการนิวเอจ นิเวศแนวลึก
นักรบแห่งแสงสว่าง : การรู้เแจ้งในยุคพลังงานใหม่
มดเอ๊กซ:
จากจักรวาลโบราณคดี สู่ จิตวิญญาณโบราณคดี
- ว่าด้วยการสืบค้นประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นของมนุษยชาติ -
ความรู้ใหม่จาก จิตจักรวาล ได้บอกกับเราว่า มนุษยชาติเป็นผลพวงทางพันธุกรรมจากรูปธรรมชั้นสูงของดวงดาว 7 พี่น้อง หรือดาวลูกไก่ หาได้วิวัฒนาการมาจากลิงอย่างที่ทฤษฎีดาร์วินเชื่อกันแต่อย่างใดไม่ การจะตรวจสอบในเรื่องนี้จะต้องใช้ความรู้ทาง จักรวาลโบราณคดีค่อนข้างมาก แน่นอนว่า ผมพอมีความรู้ในด้านนี้อยู่บ้าง แต่ความจำกัดของเวลาประกอบกับการงานที่รัดตัว ทั้งสำนักยุทธธรรม ชมรมมังกรธรรม และสำนักอิสระธรรม ทำให้ผมผัดผ่อนที่จะเขียนถึงเรื่องนี้เสมอมา นับเป็นโชคดีของผมที่ เวทิน ชาติกุล ศิษย์คนที่หนึ่งของผม ผู้มีความรู้ทางด้านจักรวาลโบราณคดีไม่น้อยไปกว่าผมได้อาสาสืบทอดรับหน้าที่นี้จากผมมาทำแทน ข้อเขียนของเขาเรื่อง จากจักรวาลโบราณคดีสู่จิตวิญญาณโบราณคดี - ว่าด้วยการสืบค้นประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นของมนุษชาติ ดังต่อไปนี้อาจจะเป็นวิชาการและติดตามเข้าใจยากสักหน่อย สำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่ค่อยมีพื้นฐานความรู้ด้านนี้มาก่อน แต่ถ้าพยายาม ติดตามอ่านจนจบอย่างตั้งใจ ขอรับรองว่าท่านจะได้รับความรู้และเปิดหูเปิดตาให้กว้างขึ้นได้อย่างแน่นอน
4.1 รำพึงรำพัน
เมื่อดวงตาของมนุษย์จ้องมองไปยังอนาคต ที่เขาเห็นคือความหลายหลากของโลกที่เป็นไปได้ โดยที่เขาไม่มีทางรู้ว่าโลกไหนมันจะเป็น จริงจนกว่า เขา หรือ เขาทั้งหมด จะได้เลือก
เมื่อมองย้อนกลับไปยังอดีต อุ้งหัตถ์ของพระเจ้าก็ปิดบังเขาไว้จากกำเนิดของเขา คำถามว่า เรามาจากไหน ? และ เราจะไปไหน ? จึงเป็นคำถามที่ใม่มีวันล้าสมัยมาเป็นพัน ๆ ปีแล้ว และคงเป็นเช่นนี้ไปอีกนาน
ผมไม่คิดว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ด้อยภูมิปัญญา เรามีความคิดสร้างสิ่งประดิษฐ์ล้ำยุคมากมาย ว่ากันว่าอีกไม่นานก็จะมีนิคมบนดวงจันทร์ นอกจากนี้ เรายังมีวิธีฝึกจิตให้มีอำนาจมากมายซึ่งเชื่อกันว่า หากทำได้จะไปที่ไหนทางจิตก็ได้ทั่วจักรวาล แต่ต่อคำถามที่ไม่ยากไม่ซับซ้อน ข้างต้นนี้ จะไปถามในยุคสมัยไหน มนุษย์เราก็ยังไม่เคยได้คำตอบ หรือไม่มีทางได้คำตอบ
ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า มันไม่มีคำตอบ แต่คำตอบมันมีเยอะมากไปจนไม่รู้จะเลือกเชื่อคำตอบอันไหนต่างหาก ผมเขียนชื้นนี้ โดยเริ่มจากจักรวาลโบราณคดี แต่ไปจบลงที่ จิตวิญญาณโบราณคดี ... เริ่มจาก แอตแลนติส แต่ไปจบลงที่ ลม 7 ฐาน
มันเป็นความประสงค์ของใครหรือสิ่งใด ท ผมไม่รู้ ที่รู้คือ นั่นไม่ใช่ความตั้งใจที่ผมคิดไว้แต่เดิม เท่าที่รู้ ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะจบเรื่องนี้ ลงได้อย่างไรเมื่อผมเริ่มเขียนมัน
ผมคงยืนยันไม่ได้หรอกว่า แอตแลนติสมีอยู่จริง ๆ หรือไม่ หลังจากเขียนจบแล้ว ผมคงตอบไม่ได้หรอกว่า กำเนิดของมนุษย์ที่แท้จริง มันเป็นอย่างไรกันแน่ ผมไม่รู้หรอกว่าระหว่าง Bailey , Kryon , จิตจักรวาล หรือ Handcock ใครจะถูกต้องกว่ากัน
แต่ที่ผมรู้ก็คือ ความกระหายในคำตอบเหล่านั้นของผมมันหายไปเยอะเลย ไม่ใช่เพราะหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ... เท่าที่ค้นคว้ามาก็พอ จะตอบได้ แต่ไม่รู้จะตอบอย่างไรต่างหาก
ความจริง มันเป็นเรื่องของการ ก้าวข้าม และ หมดคำถาม มันไม่ใช่เรื่องของการ เข้าถึง หรือ ได้คำตอบ และถ้าท่านเข้าใจก็คงพอ เห็นภาพในใจได้ว่าทำไมข้อเขียนชิ้นนี้ถึงเริ่มที่ แอตแลนติส แล้วไปจบที่ลงที่ ลม 7 ฐาน ประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ไม่ใช่เรื่อง มั่ว หรือ บังเอิญ อย่างเด็ดขาด ผมกล้ายืนยันได้
4.2 ปริศนา 3 ข้อในจักรวาลโบราณคดี
ในประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นหรือถูกซ่อนไว้ของมนุษยชาติ มีปริศนา 3 ข้อ ที่ยังขบกันไม่แตก ... เรื่องมีอยู่ว่า ประวัติศาสตร์ของการ วิวัฒนาการของมนุษย์จากมนุษย์วานร สู่บรรพบุรุษของมนุษย์สมัยใหม่จนถึงพวกเรานั้น มันมีช่องว่างหรือรอยต่อที่ขาดหายไปมาก เหลือเกิน พวกนักวิทยาศาสตร์พยายามทำให้เราเชื่อว่า เรามีบรรพบุรุษร่วมสายพันธุ์กับลิง แล้วแยกตัวออกมาเมื่อ 2.5 ล้านปีก่อน ทำไมแยกตัว ? ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน คล้าย ๆ จู่ ๆ วันดีคืนดีก็มี มนุษย์ ที่เป็นบรรพบุรุษของเราเกิดขึ้นในโลกโดยบังเอิญ หรือตามทฤษฎี การเอาตัวรอดอย่างที่เชื่อหรือพยายามทำให้เชื่อ นี่คือปริศนาข้อที่หนึ่ง ที่ว่า พวกเรามาจากไหน ? ที่มันเป็นปริศนาเพราะไม่ทุกคนที่ ' เชื่อ ' ตามนักวิทยาศาสตร์และเรามีสิทธิ์ที่จะคิดเช่นนั้นด้วย
แค่นั้นไม่พอ ร่องรอยทางโบราณคดี ตำนานต่าง ๆ ได้ระบุเป็นเสียงเดียวกันแต่หลายโทนว่า เคยมีการดำรงอยู่ของอารยธรรมที่สาบสูญ ไปพร้อมกับน้ำท่วมโลก พวกนักโบราณคดีไม่สามารถตอบได้เต็มปากว่า คนโบราณสร้างสิ่งก่อสร้างที่โอฬารมหัศจรรย์พันลึกขึ้นมาทำไม ? และสร้างได้อย่างไร ? และเป็นที่แน่นอนว่าคนโบราณเหล่านี้มีความรู้ในศาสตร์บางอย่างเช่น ดาราศาสตร์ และโหราศาสตร์เป็นอย่างดี มันน่าคิดว่า คน ที่เพิ่งแยกสายพันธุ์กับลิงไม่นาน อาศัยตามป่าตามถ้ำ หาอาหารย้ายถิ่นฐานไปเรื่อย ๆ จู่ ๆ ก็สร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นมา แถมไม่นาน ยังเรียนรู้เชี่ยวชาญศาสตร์บางอย่างได้อย่างล้ำลึก เขาเอาเวลาที่ไหนไปเรียน ? หรือว่ามีติวเตอร์ ( จากนอกโลก ) นี่คือปริศนาข้อที่สอง
ยังมีอีก ... เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า คนโบราณมีความคิดความอ่านเชิงศาสนาที่ล้ำลึกว่าเรา แถมยังอยู่อย่างเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติอย่าง กลมกลืน ความล้ำลึกในทางจิตวิญญาณของคนเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ? คำตอบง่าย ๆ แบบขอไปที ก็คือ เพราะเขากลัวต่อธรรมชาติ ซึ่งคำตอบแบบนี้ไม่เพียงพอต่อไปแล้วในยุคนี้ ความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณเหล่านี้มาจากไหน ? นี่คือปริศนาข้อที่สาม
เมื่อความรู้แบบเผยแจ้งตอบปริศนาเหล่านี้แบบขอไปที จึงมีผู้เสนอความคิดขึ้นมามากมาย ตั้งแต่ทฤษฎี พระเจ้าจากต่างดาว อันลือลั่น ทฤษฎีมนุษย์ 7 พันธุ์ของสมาคมเทวญาณวิทยา ทฤษฎีว่าด้วยการมีอยู่ของเกาะแอตแลนติส เลอมูเรียหรือทวีปมูอีกนับไม่ถ้วน จนถึง ทฤษฎีทางจักรวาลโบราณคดีของนักค้นคว้ารุ่นหลัง ๆ
เนื่องจากข้อเขียนชิ้นนี้เขียนขึ้นในบริบทของ มังกรจักรวาล ดังนั้นทฤษฎีหรือข้อเสนอที่จะนำเสนอต่อไปนี้จึงต้องเกี่ยวข้องกับเรื่อง ทางจิตวิญญาณด้วย และจำเป็นที่จะต้องเลือกบางทฤษฎีที่มีที่มาจากการ สื่อสัญญาณ เพราะโดยมากข้อมูลแบบนี้จะพูดถึงเรื่องวิวัฒนาการ ทางจิตโดยตรง ข้อมูลที่เลือกมานี้จะเลือกจากการสื่อสัญญาณที่ได้รับความเชื่อถืออยู่ในวงการระดับหนึ่ง และตัวมันเองก็สอดคล้อง กับความรู้ทางจิตวิญญาณที่ มังกรจักรวาล ได้นำเสนอไปแล้วอยู่พอสมควร
มดเอ๊กซ:
4.3 กำเนิดมนุษยชาติ - หายนะกับอารยธรรมที่สาบสูญ
โดยทั่วไปแล้ว เรามักเรียกประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นของมนุษยชาติว่า โบราณคดีแบบแฟนตาซี เพราะข้อมูลกำเนิดมนุษยชาติมักจะสัมพันธ์ กับข้อมูล อารยธรรมที่สาบสูญ ไม่มากก็น้อยเสมอ ที่มาของข้อมูลเหล่านี้มีตั้งแต่ การสื่อสัญญาณ ญาณทัศนะ หรือการศึกษาโบราณคดี ตำนาน จารึกโบราณ วิชาดาราศาสตร์แบบโบราณ วิชาตัวเลขศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงพิธีกรรมของคนโบราณที่รวม ๆ แล้วเราเรียกว่า จักรวาลโบราณคดี นั่นเอง
ที่น่าสนใจก็คือ ข้อมูลที่ได้มาเหล่านี้แทบจะไม่มีความตรงกันในรายละเอียดเลย เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ! แถมยังหารอยต่อกับข้อมูลของ วิทยาศาสตร์ หรือนักโบราณมานุษยวิทยาได้ยากเต็มทน อย่างไรก็ตามในที่นี้เราจะเลือกพูดถึงประวัติที่ซ่อนเร้นเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ และวิวัฒนาการของจิตวิญญาณเท่านั้น
หนึ่ง ข้อมูลกำเนิดมนุษย์และเผ่าพันธุ์สายเทวญาณวิทยาของ Alice Bailey ความสำคัญของข้อมูลชุดนี้ก็คือ เป็น หัวขบวน ของแนวคิด เรื่อง อารยธรรมที่สาบสูญ แก่พวกนิวเอจรุ่นต่อ ๆ มา เนื้อหาหลัก ๆ ของข้อมูลชุดนี้มีดังนี้ คือ
... ประมาณ 18 ล้านปีมาแล้ว กลางยุคสมัยของ เลอมูเรีย หนึ่งในจิตวิญญาณชั้นสูง 7 ดวงที่อยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้า ได้ลงมาถือกำเนิด ทางกายภาพและยังอยู่กับเราจนถึงปัจจุบัน ความบริสุทธิ์แห่งธรรมชาติของ เขา การไร้ซึ่งบาปของ เขา ทำให้ เขา ไม่สามารถคงอยู่ใน ร่างกายภาพได้นาน และต้องสร้างร่างทิพย์ขึ้นมา เขา คือ องค์อวตารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด รูปธรรมที่ยิ่งใหญ่ใด ๆ ที่เป็นผลสะท้อนมาจาก เขา โดยตรงจะอยู่ภายใต้ขอบเขตสนามแม่เหล็ก หรือ ออร่า ของเขาผู้นี้ทั้สิ้น และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถพ้นไปจาก ออร่า ของเขาได้ และเขาคือผู้อภิเษกคนแรก ซึ่งตามมาด้วยกลุ่มของรูปธรรมที่มี วิวัฒนาการชั้นสูงอื่น ๆ ที่ลงมา ช่วยในแผนการที่จะทำให้มีการปรากฏออกมาของการรับรู้ ตัวตน ของทุก ๆ ชีวิต
จนถึงประมาณ 1 ล้านปีที่แล้ว ผลพวงแห่งแผนการนี้ก็เริ่มปรากฏ โดย ทำให้ภายในศีรษะของมนุษย์มีศูนย์พลัง ( จักร 7 ) ศูนย์ที่สัมพันธ์ กับศูนย์พลังอื่น ๆ ในร่างกาย และทำให้พลังของ ตัวตน ที่สัมพัทธ์กับระดับชั้นทางวิญญาณที่สูงขึ้นไป ทำงานผ่านศูนย์ต่าง ๆ ที่ว่านี้ จิตวิญญาณชั้นสูงอีก 6 ดวงที่เหลือก็จะผ่านพลัง และเจตจำนงของตนมาในศูนย์บนศีรษะทั้ง 7 ศูนย์นี้ด้วย ศูนย์ที่ว่านี้จะเรียกว่า ดารา-จักร ( ผมคิดว่าน่าจะเป็น เจ็ดดาวเหนือ - สุวินัย ) ที่จะทำงานเชื่อมต่อกับจักรหัวใจ จักรคอและจักรอื่น ๆ ในร่างกาย นี่คือ ความสัมพันธ์แนวตั้ง ระหว่าง จิตกำเนิดแห่งดวงดาว กับ มนุษย์
ในพัฒนาการนี้ทำให้มนุษย์ต่างออกมาจาก มนุษย์วานร แรกเริ่มนั้นมนุษย์วานรมีร่างกายทางกายภาพที่แข็งแร็ง ครั้นเมื่อวิวัฒนาการผ่านไป เป็นเวลานานมนุษย์วานรก็เริ่มก้าวเข้าสู่ความเป็นมนุษย์มีสำนึกของการมีตัวตน เริ่มเป็นรูปธรรมที่ใช้เหตุผล แต่วิวัฒนาการนี้ดำเนินไปอย่าง เชื่องช้ามาก จนในที่สุด จิตกำเนิดแห่งดวงดาว จึงได้ตัดสินใจกระตุ้น เชื้อแห่งจิต ของมนุษย์วานรเหล่านี้ขึ้นให้เหมาะสมกับการลงมาจุติ ของรูปธรรมที่มีจิตสำนึกแห่งการมีตัวตนอื่น ๆ ซึ่งมีเจตจำนงทางจิตวิญญาณ มีปัญญาญาณ มีญาณทัศนะและมีจิตใจที่สูงส่งกว่า ที่รออยู่นานแล้วสำหรับร่างที่เหมาะสมอันนี้ มนุษย์ หรือพวกเราก้มีจุดกำเนิดมาจากตรงนั้น
เหตุการณ์นี้เกิดในสมัย เลอมูเรีย หลังจากที่มีจิตวิญญาณเหล่านั้นลงมาสวม รูปธรรมที่เหมาะสมนี้แล้ว แผนงานทั้งหมดก็เป็นไปอย่าง มีระบบ ซึ่งจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกลุ่มที่ได้รับการอภิเษกกลุ่มหนึ่งที่มีชื่อว่า องค์กรเหล่าพี่น้องแห่งแสงสว่าง ซึ่งปัจจุบันก็ยัง คงมีอยู่ รูปธรรมกลุ่มนี้จะอยู่ในร่างกายภาพแบบมนุษย์ หรือไม่ก็อยู่ในกายทิพย์เช่น พวก มาสเตอร์ ทั้งหลายซึ่งคอยควบคุมทิศทางของ การวิวัฒนาการของโลก เพื่อนำมันไปสู่ความสมบูรณ์ที่สุด ศูนย์กลางขององค์กรกลุ่มนี้อยู่ที่ ชัมบาลา ( Shamballa ) ในทะเลทรายโกบี หรือที่เรียกกันในตำนานว่า เกาะสีขาว ชัมบาลานี้จะอยู่ในอีกมิติคลื่นความถี่อื่น ซึ่งเฉพาะคนที่มีการพัฒนาตาที่สามแล้วเท่านั้นจึงจะ มองเห็นได้ มาสเตอร์ หลายคนอาศัยอยู่ในแถบเทือกเขาหิมาลัย แต่ก็มีไม่น้อยที่อาศัยอยู่ที่อื่น ๆ อย่างซ่อนเร้น ทุกท่านล้วนเป็นผู้ที่แผ่ กระจายความรัก และภูมิปัญญาทางวิญญาณในที่ที่ตนอาศัยอยู่
อย่างไรก็ตาม พัฒนาการยังเป็นไปอย่างเชื่องช้าสำหรับมนุษย์ หลายเผ่าพันธ์ของมนุษย์เกิดขึ้นและสาบสูญไปก่อนที่จะสามารถเป็น ตัวแทน ในการคงแผนการวิวัฒนาการนี้ได้ ดังนั้นในสมัยกลางยุค แอตแลนติส ซึ่งเป็นเผ่าพันธ์ที่ 4 จึงมีการตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้ง คือ ( 1 ) ปิดประตูการพัฒนาทางจิตจากมนุษย์วานรไปสู่มนุษย์ ไม่มีการลงมา สวม ร่างที่เหมาะสมของจิตวิญญาณระดับสูง จำนวนเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ในยุคที่ 4 จึงตายตัว ( 2 ) เปิดประตูอีกบานที่เชื่อมระหว่างระดับจิตของมนุษย์กับอาณาจักรของโลกวิญญาณ สำหรับคนที่ประสงค์จะเข้าสู่โลกวิญญาณ ( 3 ) ทำให้ขอบเขตระหว่างกายภาพกับจิตวิญญาณมีความชัดเจน และทำให้เกิด ทวิภาวะ ขึ้น เพื่อให้เป็นบทเรียนแก่มนุษย์ในการปลดปล่อยตนเองออกจากข้อจำกัดของโลกกายภาพ และผ่านเข้าสู่โลกวิญญาณ มนุษย์จะเรียนรู้ ผ่านประสบการณ์และความเจ็บปวดจากข้อเท็จจริงของการมีทวิภาวะ การเรียนรู้นี้จะทำให้เขาเลือกที่จะให้ความใส่ใจกับด้านจิตวิญญาณ ในตัวเอง การเป็นอิสระคือการพบว่าทุกสิ่งคือหนึ่งเดียวกัน
การตัดสินใจนี้ ทำให้อารยธรรมแอตแลนติสสูญสิ้น และเกิดน้ำท่วมโลก ดังปรากฏตามตำนาน พลังแห่งความสว่างกับพลังแห่งความมืด จะฉายส่องปะทะกันและกันเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติ ดังปรากฏเป็นสงครามของโลกที่จะมี 2 กลุ่ม โดยที่ กลุ่มหนึ่งจะมีอุดมการณ์หรือ มีจินตภาพของตนอันสูงส่ง ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งจะเป็นพวกไม่มีอุดมการณ์และเห็นแก่ตัวเสมอ แต่หลายต่อหลายครั้งที่บทเรียนของ ความเป็นทวิภาวะไม่ถูกเรียนรู้ การต่อสู้จึงเป็นไปอย่างมืดบอดและโง่เขลา ที่ตามมาก็คือกรรมและหายนะ ...
ทั้งหมดข้างต้นคือกำเนิดมนุษยชาติตามที่ Bailey ได้รับการสื่อสัญญาณ เป็นที่น่าสังเกตได้ว่า ข้อมูลนี้ก็มีการพูดถึงสนามแม่เหล็ก เหมือนกัน แต่พูดในความหมายของ ออร่า แห่งผู้สร้าง มีการพูดถึง ชัมบาลา มีความพยายามเชื่อมโยงจิตวิญญาณศาสตร์กับโบราณคดี มานุษยวิทยาอย่างชัดเจน แต่ไม่ได้พูดถึงความเจริญของอารยธรรมแอตแลนติสเลย
สอง ข้อมูลของครายออน
ครายออน มายังโลกครั้งแรก เมื่อโลกมีอายุพอสมควร และเหมาะสมสำหรับการวางระบบ เขามาเพื่อสร้างเส้นแรงแม่เหล็กขึ้นเพื่อรองรับ ระบบชีวภาพของโลก ภายใต้อำนาจของกลุ่มที่ดูแลเรื่องนี้ คูหาแห่งการสร้าง ก็ถูกสร้างขึ้นในตอนนี้ด้วย โลกถูกสร้างให้เป็น ดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรี เพียงดวงเดียว โดยการช่วยเหลือด้วยความรักจากรูปธรรมมากมาย นี่คือความพิเศษของโลกที่เป็นทั้งโรงเรียน และโรงละครทางวิญญาณ
เมื่อการวางแนวเส้นแรงแม่เหล็กเสร็จสิ้น มนุษย์คนแรกก็ได้รับการ ผนึกวิญญาณ ( Soul Imprint ) ครายออนกล่าวว่ามันเป็นเวลานานมาก และเราเอง ( มนุษย์ ) ก็ไม่รู้ว่าอารยธรรมแรกของเราเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด แต่ภายหลังครายออนก็บอกว่าไม่เกิน 250 , 000 ปี ก่อนคริสตกาล มนุษย์ได้รับระบบชีวภาพหรือร่างกายนี้มาจากรูปธรรมชั้นสูงจากดวงดาวเจ็ดพี่น้อง ( จิตจักรวาลกล่าวว่าใช้วิธีการโคลนนิ่ง ) นั่นทำให้เกิด รอยต่อที่ขาดหายไป ขึ้นในสายพันธุ์วิวัฒนาการของมนุษย์ และจิตวิญญาณของมนุษย์ก็แยกออกมาจากสัตว์
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก็มีการต้องปรับแนวเส้นแรงเพื่อให้เกิดความสมดุลในบทเรียนทางวิญญาณมากที่สุด มีการปรับใหญ่ 2 ตรั้ง ครั้งแรกเกี่ยวข้องกับการ ล่มสลายของอารยธรรม เลอมูเรีย และ แอตแลนติส เหตุที่ต้องปรับเพราะ ม่าน ที่บดบังความมี 2 ภาคมันอ่อนไป ชาวแอตแลนติสบางคนมีไวเบรชั้นสูงติดต่อกับจิตวิญญาณอื่น ๆ ได้ แต่ไม่รู้ความหมายของมัน บทเรียนที่ได้มาก็ไม่ผ่านการเรียนรู้ คำตอบทางวิญญาณก็ได้มาโดยง่าย ครายออนรออยู่นานเพื่อให้ปรับปรุงแก้ไขกันเองแต่ก็ไร้ผล การวางแนวเส้นแรงครั้งแรกเกิดความไม่ สมดุลระหว่างบางพื้นที่ บางที่อ่อน บางที่เข้ม พวกที่อยู่ในที่เข้มกลายเป็น นาย มีอารยธรรมสูงกว่า มีอายุยืนกว่า ขณะที่พวกที่อยู่ในที่อ่อน กว่าตกเป็น ทาส ที่มีสภาพใกล้เคียงกับสัตว์ การปรับครั้งนี้ได้สร้างความหายนะจนถึงขั้นสิ้นเผ่าพันธุ์ และเกิดยุคน้ำแข็งในช่วงสั้น ๆ รูปธรรมจาก ดวงดาวเจ็ดพี่น้อง ต้องลงมาโคลนนิ่งระบบชีวภาพให้มนุษย์ใหม่ และก่อนสิ้นยุคน้ำแข็ง ครายออน ก็ปรับแนวเส้นแรงอีกครั้ง เพื่อให้ม่านที่บดบังความมี 2 ภาค เข้มขึ้น คือให้อยู่ในความโน้มเอียงที่จะรู้แจ้งได้ยากยิ่งขึ้น จากนั้น ครายออน ก็ต้องกลับมาอีกเป็นครั้งที่ 3 เพราะความมี 2 ภาคนั้นมีการเสียสมดุลคือ มีบางคนที่ไม่สนใจหรือใส่ใจมันเลย คนที่ไม่รู้แจ้งมีมากมายและโลกก็ไม่มีโอกาสที่จะยกระดับ พลังด้านบวก มีคนเพียงน้อยนิดที่สนใจเรื่องจิตวิญญาณ เมื่อเป้าหมายไม่เป็นไปตามที่ได้วางไว้ การปรับครั้งสุดท้าย ( ก่อนจะมีครั้งนี้ ) ได้เกิดขึ้น นั่นก็คือ การเกิดน้ำท่วมโลกดังปรากฏในตำนาน แต่ครั้งนี้มีคนรอดชีวิต รูปแบบทางชีวภาพของมนุษย์จึงยังคงเหลืออยู่ และก็สืบเผ่าพันธุ์มนุษย์มาถึงปัจจุบัน ( ครั้งนี้ครายออนเองไม่ได้พูดถึงอารยธรรมแอตแลนติสเลย )
ถึงตรงนี้มีความสับสนเกิดขึ้นระหว้างข้อมูลของ ครายออน กับข้อมูลของ จิตจักรวาล คือ ครายออนกล่าวว่ามีการปรับสนามแม่เหล็กโลก ครั้งใหญ่ ๆ 2 ครั้ง ในอดีต ขณะที่จิตจักรวาลกล่าวว่ามีการปรับสนามแม่เหล็ก 3 ครั้ง คือ ประมาณ 52 , 000 ปี ก่อนคริสตกาล เป็นครั้งแรก ประมาณ 30 , 000 ปี เป็นครั้งที่สอง และครั้งสุดท้ายในอดีตคือ 12 , 000 ปี โดยที่แต่ละครั้งมีอารยธรรมล่มสลายไปทุกครั้ง คือ แอตแลนติส เราคงหาข้อสรุปในเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ถ้าหากยึดถือตามข้อมูลของ ครายออน ก็จะเป็นว่าอารยธรรมที่เรียกว่า แอตแลนติส นั้นอยู่ในช่วงก่อน 30 , 000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นคนละอารยธรรมกับอารยธรรมที่ล่มสลายไปกับน้ำท่วมโลกก่อน 12 , 000 ปีก่อน คริสตกาลที่มีผู้รอดชีวิต
สาม ข้อมูลการค้นคว้าสายจักรวาลโบราณคดี ของ Graham Handcock ขอเสนอของ Colin Wilson
จริง ๆ แล้ว การค้นคว้าของ Handcock ไม่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณเลย แต่พรรคพวกของเขา คือ Colin Wilson ได้นำมาสังเคราะห์ รวมกับข้อมูลการค้นคว้าอื่น ๆ จนได้ข้อเสนอของประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้น ซึ่งมีความเป็นวิชาการและมีฐานอยู่บน วิทยาศาสตร์และ การอ้างเหตุผลมากที่สุดเลยทีเดียว ตามข้อเสนอของ Wilson ไม่มีการอ้างรูปธรรมหรืออรูปธรรมจากนอกโลก ไม่มีการสวมหรือ ผนึกวิญญาณ ไม่มีการพูดถึงความล้ำยุคของอารยธรรมโบราณระดับมีจานบินขี่ และไม่มีใครที่จะมาตัดสินใจขบวนการวิวัฒนาการ ของมนุษย์ แต่เขามีข้อมูลดังต่อไปนี้
( 1 ) เมื่อ 500, 000 ปี ก่อนคริสตกาลโดยประมาณมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การเติบโตของสมองอย่างฉับพลัน ( Brain Explosion ) ในวิวัฒนาการของมนุษย์คือสมองส่วนที่เรีบกว่า Cerebrum ซึ่งเป็นส่วนบนของสมองทั้งหมด และเป็นส่วนที่เราใช้คิดได้เติบโตขึ้นมา อย่างมาก ซึ่งคำอธิบายของนักวิทยาศาสตร์ที่ว่าบังเอิญประมาณ 700 , 000 ปีก่อนคริสตกาล มีอุกาบาตตกลงมาใส่โลกแล้วทำให้โลกไม่มี สนามแม่เหล็กป้องกันอยู่นาน ทำให้มีรังสีต่าง ๆ จากอวกาศผ่านเข้ามาจนเกิดการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมขึ้นดูจะไม่เพียงพอ สำหรับเรื่องนี้
( 2 ) การเติบโตของสมองอย่างฉับพลัน เป็นจุดเริ่มต้นของมนุษย์ยุคใหม่อย่างแท้จริง
( 3 ) จากการค้บพบทางโบราณมานุษยวิทยา ได้พบร่องรอยของ ลัทธิการกินมนุษย์ด้วยกันเอง ภายหลังการโตขึ้นของสมองอย่างฉับพลัน จึงสันนิษฐานได้ว่าคนโบราณในยุคนั้นมีความเชื่อเรื่องพิธีกรรม หรือศาสนาในระดับหนึ่ง
( 4 ) จากการค้นคว้ามากมายเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมือง พบว่าคนเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับธรรมชาติรอบตัวเขาอย่างลึกซึ้ง และมีการรับรู้โลก ที่ต่างออกไปจากคนเมืองในยุคปัจจุบัน รวมถึงมีความรู้และความสามารถในการใช้ศาสตร์เร้นลับบางอย่าง ( เวทมนตร์ ) เพื่อจัดการบางอย่าง กับธรรมชาติโดยผ่านพิธีกรรม
( 5 ) Graham Handcock และ Robert Bauval เชื่อว่ามีอารยธรรมโบราณที่รุ่งเรืองทางทะเลก่อนยุคน้ำท่วมใหญ่ตามตำนาน คือ ประมาณ 12 , 000 ปีก่อน และผู้รอดชีวิตจากน้ำท่วมครั้งนั้น นำ ความรู้เร้นลับ ที่ตนมีมาด้วย ซึ่งกลายเป็นที่มาของตำนาน เทพเจ้า หรือ ผู้วิเศษ ต่าง ๆ ที่ปรากฏในยุคเริ่มต้นอารยธรรมของโลกตามที่รู้กันดีโดยเฉพาะที่อียิปต์ และอารยธรรมโบราณแนวชายฝั่งแอตแลนติคของทวีป อเมริกาใต้
( 6 ) มีการเสนอข้อสันนิษฐานใหม่เกี่ยวกับอายุของคัมภีร์พระเวท และอารยธรรมของหุปเขาอินดัส โดยเทียบระหว่างสัญลักษณ์ของเทพเจ้า ในพระเวทกับความรู้ด้านดาราศาสตร์โบราณ จะได้ช่วงเวลาที่พระเวทถูกถ่ายทอดน่าจะเป็นช่วง 7, 000 ปีก่อนคริสตกาลขึ้นไป ไม่ใช่ 2 , 000 ปีก่อนคริสตกาลตามที่เข้าใจกัน
( 7 ) จากการค้นคว้า Julian Jaynes พบว่า มโนทัศน์เรื่องอัตตาแบบอัตวิสัยหรือแบบตัวกู-ของกู ไม่มีอยู่ในช่วงเวลาก่อน 1 , 250 ปีก่อน คริสตกาล โดยการศึกษาจากตำนานโบราณต่าง ๆ และทฤษฎีสมองซีกซ้าย-ซีกขวา ทำให้เธอเชื่อว่า อารยธรรมทักษะสมองซ้าย เริ่มมีครั้งแรกในโลกประมาณ 1 , 250 ปีคริสตกาลที่เมโสโปเตเมีย ส่วนในยุคก่อนหน้านั้นขึ้นไปเป็นอารยธรรมทักษะสมองซีกขวา พูดง่าย ๆ ก็คือ การพัฒนาของ อัตตา เริ่มมีขึ้นประมาณ 3 , 000 ปีก่อน พร้อม ๆ กับ การประดิษฐ์ การเขียน และช่วงสงครามครั้งแรก ของโลกในแถบตะวันออกกลางและเมดิเตอร์เรเนียน
( 8 ) มีร่องรอยของความเจริญทางอารยธรรมบางอย่างที่โบราณคดีสายตรงอธิบายไม่ได้ว่า คนในยุคนั้นประดิษฐ์หรือทำหรือสร้างเครื่องมือ ขึ้นมาได้อย่างไร เช่น เทคนิคในการสลักและขนย้ายหินที่ใช้ในการสร้างมหาปิรามิดที่อียิปต์
ฯลฯ
มดเอ๊กซ:
รายละเอียดของการปะติดปะต่อข้อมูลของ Wilson มีความซับซ้อนกว่านี้อีกมาก หากใครที่เคยตามข้อมูลเรื่องนี้มาบ้างก็คงพอจะมองออก แล้วว่า Wilson กำลังจะทำอะไร ... ประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้น ของ Wilson อาจเขียนออกมาเป็นลำดับได้ดังต่อไปนี้
ตารางประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นของมนุษยชาติ
( ก่อนคริสตกาล )
* 500 , 000 ปี การเติบโตของสมองอย่างฉับพลัน จุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นของ Wilson และเป็นการเริ่มยุคโฮโม-เซเปียนส์
* 100 , 000 ปี ร่องรอยของพิธีกรรมทางศาสนาของมนุษย์โบราณ
* 40 , 000 ปี การรับรู้โลกอีกแบบหนึ่ง ไม่มีมโนทัศน์ของอัตตา มีความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและจักรวาล
( เริ่มยุคน้ำเแข็ง )
* 20 , 000 ปี ความสามารถในศาสตร์เร้นลับและเวทมนตร์ อารยธรรมที่มีความรุ่งเรืองทางทะเล ( แอตแลนติส ? )
* 12 , 000 ปี น้ำท่วมโลก ( ยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย ) กำเนิดตำนานผู้รอดชีวิต เทพเจ้า ผู้วิเศษทั้งหลาย
* 10, 500 ปี เริ่มสร้างสฟิงค์
* 8, 000 ปี เริ่มสร้างมหาปิรามิด
* 7, 000 ปี เริ่มยุค พระเวท อารยธรรมหุบเขาอินดัส
* 3, 500 ปี บันทึกอักษรคุนิฟอร์มที่เก่าแก่ที่สุด ( สงครามครั้งแรกของมนุษย์ อัตตา เริ่มพัฒนาขึ้นมา )
* 2, 800 ปี ยุคราชวงศ์อียิปโบราณ
* 2, 000 ปี สงครามในเมโสโปเตเมีย
* 1, 500 ปี สโตนเฮนจ์
* 1, 250 ปี จุดสิ้นสุดประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นของ Wilson จุดสิ้นสุดยุคตำนานเทพเจ้า มโนทัศน์ของ อัตตา
ที่เก่าแก่ที่สุดในเมโสโปเตเมีย อัตตา ปรากฏอย่างชัดเจน เริ่มพัฒนาการใช้สมองซีกซ้าย
( ยุคแห่งศาสนา ยุคแห่งการรู้แจ้งทางวิญญาณ )
* 600 ปี เล่าจื้อ โซโรแอสเตอร์
* 570 ปี พระพุทธเจ้า
* 551 ปี ขงจื้อ
* 470 ปี โสเครตีส
( ปรัชญายุคเริ่มแรก เริ่มต้น อารยธรรมตะวันตก เริ่มใช้เหตุผลในการหาความรู้อย่างจริงจัง )
* 429 ปี พลาโต
* 384 ปี อริสโตเติล
* 2 ปี พระเยซูคริสต์
* ค.ศ. 1641 - 1687 โลกทัศน์แบบนิวตัน เริ่มต้นวิทยาศาสตร์แบบคลาสสิก เริ่มยุคอารยธรรมทักษะสมองซ้าย
* ค.ศ. 1930 โลกทัศน์ของแควนตัมแมคานิคส์
จะเห็นได้ว่า Wilson เขาไม่ได้สนใจประเด็นว่า แอตแลนติส จะมีอยู่จริงหรือไม่ แต่ที่เขาสนใจก็คือ ก่อนที่จะมี อัตตา แบบตัวกู-ของกู เกิดขึ้นครั้งแรกในโลก ความรู้ ของมนุษย์นั้นแตกต่างไปจาก ความรู้ อย่างที่เราเข้าใจกันอย่างสิ้นเชิง มันเป็นความรู้ของมนุษย์ที่มีทักษะ สมองซีกขวามากกว่าสมองซีกซ้าย ( ความรู้เช่นนี้ดูได้จาก มังกรจักรวาล ภาค 6 บูรพาไม่แพ้ ) ความรู้ที่เกี่ยวพันอย่งแยกไม่ออกระหว่าง มนุษย์ในยุคนั้นกับโลกและจักรวาล มันเป็นความรู้ที่ปัจจุบันเราเรียกว่า ศาสตร์เร้นลับ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องจิตวิญญาณอย่าวลึกซึ้ง และยัง คงหลงเหลือมาถึงยุคเริ่มแรกของอารยธรรมมนุษย์แบบเผยแจ้งในลักษณะของเวทมนตร์ การติดต่อกับจิตวิญญาณชั้นสูง ฯลฯ ของพระ หรือผู้วิเศษทั้งหลายในยุคนั้น
ลองคิดดูสิว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ ที่วิวัฒนาการของการใช้ทักษะสมองซีกขวาที่มีมาเป็นแสน ๆ ปีนี้ จะก่อให้เกิดอารยธรรมที่รุ่งเรืองขึ้น ก่อนที่น้ำจะท่วมโลก ? คำตอบก็คือ หากเราคิดว่าอารยธรรมทักษะสมองซ้ายในยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่ของเราใช้เวลาแค่ไม่เกิน 2 , 000 ปี ในการก่อตัว ( จริง ๆ แล้วประมาณ 400 ปีเท่านั้น ! ) แล้วทำไมจะเป็นไปไม่ได้เล่าที่เวลานับเป็นหมื่น ๆ ปีในช่วงนั้น จะทำให้เกิดอารยธรรม ทักษะสมองขวารุ่งเรืองขึ้น ... มันน่าจะเป็นไปได้และอาจมีได้มากกว่าหนึ่งอารยธรรมด้วยซ้ำไป
ประเด็นต่อมาคือ Wilson สนใจเรื่องนี้ไปทำไม เพื่อประโยชน์อะไร ? เขากล่าวในหน้าท้าย ๆ ของหนังสือของเขาที่ชื่อ From Atlantis to the Sphinx ( 1996 ) ว่า
ทำไมการประจักษ์ในอารยธรรมโบราณที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้จึงสำคัญ ? เรามักจะมองว่าคนโบราณเหล่านั้นเป็นพวกงมงาย ไม่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และไม่มีความสามารถเพียงพอในเรื่องเหตุผลและตรรกะ ซึ่งเราชัดเจนแล้วว่าคิดผิด ! ในความเป็นจริง แล้ว พวกเขารู้บางอย่างที่เราไม่รู้ ลองเทียบกับการมีจิตวิญญาณแบบรวมหมู่ของพวกเรา เราจะพบว่า จิตมนุษย์สมัยใหม่นั้น แห้งแล้ง และมีข้อจำกัดมากมาย พวกเขายังรู้มากกว่าเราเรื่องอำนาจที่ซ่อนเร้นของจิต และใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าพวกเราเสียอีก ในบางวิธี ...
การเข้าใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง นำมาสู่การเปิดเผยความจริงบางอย่างที่สอนเราอย่างมากให้รู้ถึง ความหมาย ของการเป็นมนุษย์ ... ความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์ในอดีตเป็นความเข้าใจที่สำคัญสำหรับเราเป็นอย่างมาก รวมถึงเหตุผลสำคัญในอดีตเมื่อ 3 , 500 ปีที่แล้วนำเรา มาอยู่ ณ ที่เราอยู่ตรงนี้ เราไม่ได้สูญเสียสิ่งที่พวกเขามี เรายังคงมีมันอยู่และมีเรื่องยิ่งใหญ่ที่ต้องจัดการต่อ ความงี่เง่าเปล่าประโยชน์ ของเราก็คือ เราไม่รู้ว่าเรามี มัน และไม่รู้ไม่เข้าใจว่าจะทำอย่างไรกับ มัน ...
จากความตั้งใจของ Wilson เราได้เห็นจุดเปลี่ยนจาก จักรวาลโบราณคดีมาสู่จิตวิญญาณโบราณคดี Wilson เชื่อว่าทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ วิวัฒนาการของมนุษย์ โดยวิวัฒนาการครั้งสำคัญครั้งแรก เกิดขึ้นตอนที่มีการเติบโตทางสมองแบบฉับพลัน เมื่อ 500 , 000 ปีมาแล้ว ( ที่จริงต้องหาคำตอบให้ได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไรแต่ Wilson ไม่ได้ทำ - สุวินัย ) มนุษย์ได้พัฒนาทักษะสมองซีกขวาจนเกิดศาสตร์แห่ง เวทมนตร์ หรือพลังอำนาจแห่งจิตวิญญาณขึ้นมา ซึ่งเป็นพลังที่หนึ่ง ขณะที่เมื่อ 3 , 500 ปีที่แล้ว ( 1 , 250 ปีก่อนคริสตกาล ) มีการวิวัฒนาการขึ้นมาอีกครั้ง มนุษย์จึงเริ่มพัฒนาทักษะสมองซีกซ้ายควบคู่กันไปจนใช้มันได้ดี ( และหลงลืมทักษะสมองซีกขวาไป ) เมื่อไม่ถึง 100 ปีที่ผ่านมานี้เอง นั่นคือยุคแห่งพลังของเหตุผลและสติปัญญา ซึ่งเป็นพลังที่สอง
Wilson คิดว่า สมองซ้ายไม่ใช่การพัฒนาที่ผิดพลาดทางวิวัฒนาการ เพราะจริง ๆ แล้วมันสามารถย้อนกลับไปครุ่นคิด เป็นดังกระจกส่อง อัตตา ของคนเราได้ ความผิดพลาดคือเราพัฒนามันแค่ด้านเดียวจนลืมทักษะสมองขวาไป ( ผมพูดเรื่องนี้ก่อนหน้า Wilson อีก โปรดดู วิถีมังกร - สุวินัย ) อีกครั้งซึ่งเกี่ยวข้องกับ พลังที่สาม ในแง่จิตวิทยา Wilson กล่าวว่า พลังที่สาม ก็คือ พลังจินตนาการ ที่จะทำตัวเอง ให้เป็น อิสระ จากความตึงเครียดของจิตอันเกิดจากความเดียวดายของอัตตา หลังจากยุคสิ้นสุดสายสัมพันธ์กับเทพเจ้าในตำนาน เพื่อให้เกิดความสุข ความเสรี ความเบิกบาน และความผ่อนคลายของจิต ซึ่งในทางจิตวิทยาเรียกว่า ประสบการณ์สุดยอดแบบชั่วขณะ ( Peak Experience ) แต่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ Wilson กล่าวว่า มันคืออย่างเดียวกันกับประสบการณ์บรรลุธรรมแบบฉับพลัน หรือ ซาโตริ ของ เซน ซึ่ง Ken Wilber เรียกมันว่า Transcendelia หรือเราจะขอเรียกรวม ๆ ได้ด้วยศัพธ์ง่าย ๆ ว่า การก้าวข้าม
คงไม่บังเอิญอีกเช่นกันที่ Wilson และ Wilber จะได้ข้อสรุปที่ใกล้เคียงกันจากการศึกษาที่แตกต่างกันอย่างลิบลับ ถ้าหากข้อสรุปของทั้งคู่ ถูกต้อง คงไม่เกินไปนัก หากเราจะกล่าวว่า จริง ๆ แล้วจุดเริ่มต้นของพลังที่สาม หรือพลังแห่งการก้าวข้าม หรือพลังแห่งการรู้แจ้งทางวิญญาณนี้ ได้มีสัญญาณขึ้นเป็นครั้งแรกอย่างชัดเจนในยุคอารยธรรมของเราประมาณ 2 ,500 ปีมาแล้ว โดยบุคคลที่เราชาวพุทธให้ความ เคารพสูงสุดคือ " มหาโยคีสิทธัตถะ " หรือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง ซึ่งการสืบสานพลังแห่งการรู้แจ้งนี้ได้ปรากฏอย่างเป็น รูปธรรมอย่างชัดเจนที่สุดในสมัยปัจจุบัน ในพุทธสาย เซน และวัชรยาน
มดเอ๊กซ:
4.4 จาก จักรวาลโบราณคดี สู่ จิตวิญญาณโบราณคดี
จากข้อมูลประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นของมนุษยชาติทั้ง 3 แบบ ที่เราพูดมานี้หลายคนอาจจะบอกว่า ไม่เห็นตรงกันเลย เหมือนต่างคน ต่างพูด ดูไปแล้วทั้งหมดอาจจะมั่วก็ได้ ผมเองก็ยอมรับว่า นี่คือสิ่งที่มีปัญหาที่สุดของการค้นคว้าในเรื่องนี้เพราะทุกคนพูดไม่ตรงกัน และนำมาปะติดปะต่อกันไม่ได้ และก็ไม่เข้ากับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่แบบ เผยแจ้ง อีก อย่างไรก็ตาม หากเรายอมรับว่าเป็นไป ได้ที่อาจจะมีการระบุเวลาคลาดเคลื่อนโดยเฉพาะข้อมูลที่มาจากการสื่อสัญญาณและหากเราพิจารณาเฉพาะประเด็นหลัก ๆ ของประวัติศาสตร์ในแต่ละชุด เราสามารถค้นพบความคล้ายคลึงกันได้บ้างไม่มากก็น้อย
เพราะทุกฝ่ายพูดตรงกันหมดคือ ตำนานน้ำท่วมโลก กับมีอารยธรรมที่รุ่งเรืองก่อนน้ำท่วมโลก ไม่ว่าเราจะเรียกชื่อว่าอะไรก็ตาม ทำให้มีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียวที่จะมีอารยธรรมที่ว่านี้จริง ส่วนความสอดคล้องเรื่องอื่น ๆ ที่เราไม่น่ามองข้ามคือ
( 1 ) ทั้ง Bailey และ Kryon พูดถึงการลงมา สวม ร่างกายของจิตวิญญาณชั้นสูงเหมือนกัน เพราะนั่นเป็นที่มาของการรับรู้ตัวตนของ มนุษย์หรือจิตมนุษย์ ข้อต่างคือ Bailey กล่าวว่า ลงมาสวมร่างของมนุษย์วานรที่ถูกปรับแล้ว ขณะที่จิตจักรวาลและครายออนกล่าว่า มนุษย์มาจากการโคลนนิ่งของรูปธรรมจากดวงดาวเจ็ดพี่น้อง
( 2 ) ทั้ง Bailey และ Kryon พูดถึงการตัดสินใจและความเปลี่ยนแปลง 2 ครั้งใหญ่ ๆ เหมือนกัน โดยเฉพาะ การเปิดประตูอภิเษก และการทำให้มี ทวิภาวะ ของ Bailey และการเพิ่มความเข้มของม่านบดบังความมี 2 ภาค ทั้ง 2 ครั้งมีผลกระทบสู่การล่มสลายของ อารยธรรมก่อนยุคน้ำท่วมโลกทั้งสิ้น ข้อต่างคือ Handcock คิดว่า การเกิดน้ำท่วมโลกเป็นเรื่องของภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามวัฏฏะของ จักราศี โดยที่มหาปิรามิดถูกสร้างขึ้นเพื่อเตือนภัยคนรุ่นหลังเกี่ยวกับอันตรายนี้ แต่จะบังเอิญหรืออย่างไรไม่ทราบ ภัยธรรมชาติที่ว่านี้ Handcock ก็เห็นว่า เกิดขึ้นมาจากการปรับขั้วแม่เหล็กโลก ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของครายออนและจิตจักรวาล
ที่เราไม่มีทางพิสูจน์ได้ก็คือ เรื่อการ ปรับ ครั้งแรกของครายออนและการล่มสลายชนิดสูญพันธุ์ของอารยธรรมที่รุ่งเรืองใยยุคนั้น ซึ่งเป็นอารยธรรมแบบนาย-ทาส อย่างไรก็ตาม ร่องรอยตำนานของอารยธรรมที่รุ่งเรืองขนาดมีจานบินขี่และเป็นอารยธรรมนาย-ทาส นั้นกลับไปปรากฏในงานถอดรหัสจารึกโบราณของ เซกาเรีย สิทจิน ( Zecharia Sitchin ) นักโบราณคดีเจ้าของทฤษฎีดาวเคราะห์ดวง ที่ 12 ( รายละเอียดโปรดดู มังกรจักรวาล ภาค 2 เทพอวตาร บทที่ 7 หัวข้อ 7.8 ) กล่าวคือ สิทจินคิดว่า เทพเจ้า ที่ปรากฏอยู่ในตำนาน โบราณ คือรูปธรรมที่มาจากดาว นิบิล ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ในระบบสุริยะ ซึ่งมีวงโคจร 3 , 600 ปี ถึงจะมาใกล้โลกครั้งหนึ่ง รูปธรรมเหล่านี้ต้องการแร่ธาตุบนโลก จึงลงมาดัดแปลงพันธุกรรมของมนุษย์วานรเอาไว้ใช้เป็นทาส ซึ่งมนุษย์วานรดัดแปลงเหล่านี้คือ ต้นกำเนิดของพวกเรานั่นเอง ฟังดูแล้วก็เป็นตุเป็นตะดีเหมือนกัน แต่จะว่าสิทจินนั่งเทียนเขียนก็ไม่ได้ เพราะเขามีข้อมูลทางโบราณคดี ที่แน่นหนามาก
ข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่มีใครรู้ระยะเวลาที่แท้จริงของเรื่องราวในตำนาน หากมันเกิดขึ้นจริงและไม่มีใครรู้ว่าระยะห่างระหว่าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสมัยที่มันถูกบันทึกห่างกันเท่าไร หากข้อเสนอของผมเกี่ยวกับความคลาดเคลื่อนของความเข้าใจ เรื่องแอตแลนติส 2 ยุคเกิดขึ้นจริง ก็เป็นไปได้ที่สิทจินอาจจะถอดรหัสบางตัวพลาด เป็นที่น่าสังเกตว่า อารยธรรมนาย-ทาส ของทั้งสิทจินและของครายออน นั้นมีความไกล้เคียงกันมากทั้งประเด็นหลักและรายละเอียด แต่สิทจิน อาจจะชอบใจกับแนวคิดของ Von Daniken เรื่อง " พระเจ้าจากต่างดาว " ที่โด่งดังมาก่อนงานของเขา เขาจึงเข้าใจว่า เทพเจ้า เหล่านั้นมาจากดาว นิบิล ซึ่งเป็นข้อเสนอที่อ่อนที่สุดของเขา เพราะถ้ามันอยู่ในระบบสุริยะของเราจริง ๆ เราน่าจะค้นพบนานแล้วหรือน่าจะมีหลักฐานที่พูดถึงมากกว่านี้
ทำไมผมจึงมีข้อสันนิษฐานเรื่องความคลาดเคลื่อนของแอตแลนติส 2 ยุค ? เหตุผลของผมก็คือ ( 1 ) จิตวิทยาลึก ๆ ของคนในเรื่อง ตำนานการสิ้นโลกกับ ( 2 ) ตำนานผู้รอดชีวิต กล่าวอย่างสั้น ๆ คือ มันเป็นความกลัวระดับฝังรากลึกของผู้คน ( ครายออน เรียกว่า seed fear ความกลัวที่เป็นหน่อพันธุ์ ) ในเรื่องตำนานวันสิ้นโลกแบบวิบัติ คือไม่มีใครเหลือรอดชีวิตเลย แทบทุกศาสนาและความเชื่อ ในหลาย ๆ วัฒนธรรมก็ปรากฏคำทำนายทำนองนี้ทั้งสิ้น ทีนี้ถ้าหากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นมีผู้รอดชีวิต ความกลัวเรื่องสิ้นโลก มันก็ไม่น่าจะฝังอยู่ลึกมากในจิตใจขนาดนั้นไม่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม มันเหมือนมีนัยว่า จิตไร้สำนึกรวมหมู่ของเรามีข้อมูลเหล่านี้ ผนึกประทับเอาไว้ว่า เราเคยสูญพันธุ์กันมาครั้งหนึ่งแล้วและกลับมาเกิดใหม่ บังเอิญทั้งหมดที่ผมค้นคว้ามา ครายออน เป็นเพียงข้อมูลเดียวที่พูดถึงการล่มสลายระดับไม่มีใครเหลือรอดชีวิตเลย มันจึงน่าถือไว้เป็นตัวตั้ง หรือข้อสมมติฐานก่อนจนกว่า จะมีข้อมูลอื่นมาขัดแย้ง
เหตุผลอย่างที่สอง เรื่องตำนานผู้รอดชีวิตจากน้ำท่วมโลก เหตุที่รอดก็เพราะมีการเตรียมตัวล่วงหน้า ซึ่งมีนัยว่า หายนะภัยที่เกิดขึ้น สมัยน้ำท่วมโลกนั้นมันไม่ได้เกิดแบบฉับพลัน มีการรู้ล่วงหน้าด้วยวิธีบางอย่างและวางแผนรับมือ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่ การล่มสลายของอารยธรรมโบราณอาจจะมี 2 ครั้ง ใหญ่ ๆ จริงตามที่ครายออนกล่าว ปัญหาที่เหลือก็คือ เมื่อเทียบกับข้อมูลของ Wilson มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ในยุคสมัยนั้น คือ 250 , 000 ปี - 300 , 000 ปี ก่อนคริสตกาลจะเกิดอารยธรรมสมองขวา หรืออารยธรรมแห่ง พลังอำนาจทางวิญญาณที่ก้าวหน้าถึงขนาดสร้าง ยานบิน ได้ ? หากอ่านระหว่างบรรทัดของ Wilson เขาคงคิดว่ามันเป็นไปได้ แต่อย่างไรทั้งหมดมันก็เป็นเพียงสมมติฐานใหม่ในเรื่องจักรวาลโบราณคดีเท่านั้น และคงไม่มีทางพิสูจน์ได้ด้วย ถ้าเป็นเช่นนี้ เราควรสนใจเรื่องนี้ทำไม ? คำตอบของผมก็เป็นเช่นเดียวกับของครูสุวินัยและของ Wilson คือ เราเรียนรู้ อดีต เพื่อก้าวไปอีกก้าวหนึ่งใน อนาคต สำหรับตัวผมแล้วข้อมูลของ ครายออน จะเป็นจริงหรือไม่ มันไม่สำคัญเท่ากับจุดประสงค์ในการเรียนรู้ของพวกเราที่ควรจะ เป็นอีกก้าวหนึ่งของการวิวัฒนาการทางจิตของมนุษยชาติ เพราะนี่คือ ก้าวสำคัญที่เราต้องก้าวให้ข้ามจาก จักรวาลโบราณคดี ไปสู่ จิตวิญญาณโบราณคดี
สิ่งที่ผมประจักษ์แจ้งจากการศึกษาข้อมูลของ Wilson ก็คือ ผมเห็นความแตกต่างระหว่างการเข้าถึง อาตมัน ของฮินดูในยุคนั้นกับ การตรัสรู้ ของพระพุทธองค์อย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ผมเข้าใจว่า การเข้าถึงอาตมัน คือการขยายอัตตาออกไปจนใหญ่อย่างไม่มีประมาณ คือรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ขณะที่การตรัสรู้คือ การลดความสำคัญของ อัตตา ลงจนเป็น สูญ คือไร้ความเป็นตัวตน แต่จากข้อมูล ของ Wilson ทำให้ผมต้องกลับมาคิดใหม่ เพราะ Wilson บอกว่า การเข้าถึง อาตมัน เป็นจุดสุดยอดของพัฒนาการทางวิญญาณของ พลังหนึ่ง คือพลังแห่งอำนาจทางวิญญาณ เนื่องเพราะคนในยุคนั้นมีทักษะสมองซีกขวาที่ไม่ถือว่าตัวเองแยกออกมาจากจักรวาลอยู่แล้ว การหลอมรวมกลับเข้าไปมันจึงง่ายและเป็นจุดสุดยอดของการพัฒนาทางวิญญาณในยุคนั้น ซึ่งความคิดนี้ปรากฏอยู่ในคัมภีร์อุปนิษัท และเป็นที่มาของแนวคิดแบบเอกเทวะนิยมทั้งปวง
ขณะที่เราต้องถามว่าทำไม มนุษย์ผู้สมบูรณ์ อย่าง พระพุทธเจ้า ท่านถึงไม่คิดว่านั่นเป็นที่สุดของการค้นหาของพระองค์ เหตุผลแบบ Wilson ก็คือ เนื่องจากสมัยนั้น ( 500 ปีก่อนคริสตกาล ) อัตตา แบบแยกตัวตนออกจากธรรมชาติได้เติบโตขึ้นพอสมควรแล้วในจิตใจมนุษย์ พลังที่สองได้ถูกพัฒนาขึ้นมาจะเข้าถึงแนวคิดแบบเดิมก็ยากขึ้น มีคนทำได้น้อยลงและคนที่ทำได้อาจยังไม่มีประสบการณ์แบบสุดยอดชั่วขณะ จึงรู้สึกว่ามันเหมือนมีอะไรขาดหายไปอยู่
พระพุทธองค์อาจเป็นคนแรก ๆ ในยุคนั้น และของมนุษยชาติที่มีประสบการณ์ของพลังที่สาม คือทรงก้าวข้ามทางสุดโต่งหรือทวิภาวะ ที่เกิดจากสมองทั้ง 2 ซีก หรือพลังที่หนึ่ง กับ พลังที่สอง ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร แล้วนำมาถ่ายทอดให้แก่ผุ้อื่น ซึ่งสังเกตได้ว่า มันไม่ได้ ทำให้พระองค์ได้คำตอบอย่างใดอย่างหนึ่งแบบตายตัว แต่เป็นประสบการณ์ของการหมดคำถาม ปัญหาก็คือ
ประสบการณ์แบบนี้อธิบาย ให้ฟังเป็นคำพูดไม่ได้ และเข้าใจด้วยความคิดแบบตรรกะเหตุผลก็ไม่ได้อีก ครั้นจะเข้าถึงด้วยการฝึกจิตจนมีอำนาจพิเศษต่าง ๆ ก็อาจจะ ไม่เจอ จึงมีน้อยคนเท่านั้นที่รู้ว่ามันคืออะไร และโชคดีที่พระมหากัสสปะท่านได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์แบบนี้มากจากพระพุทธองค์ และสืบสายมาให้หลงเหลืออยู่เป็น เซน เป็นอย่างน้อยที่สุด
และที่น่าโชคดียิ่งกว่านั้นสำหรับพวกเราที่เป็นคนไทยก็คือ วิชาลม 7 ฐานที่หลวงปู่พุทธะอิสระท่านได้ท่านได้สั่งสอนให้แก่ลูกหลานก็คือ มรรควิธีที่ครอบคลุมประสบการณ์ที่ว่านี้ด้วย ประตูสู่ ลม 7 ฐาน เป็นประตูที่ต้อง ก้าวข้าม ไม่ใช่ เข้าถึง ซึ่งเป็นประสบการณ์ทางวิญญาณ ที่ครูสุวินัยมี เป็นเครื่องยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเราจะได้พูดถึงในบทต่อไป ...
บทสรุป ...
วิวัฒนาการของมนุษย์ไม่น่าจะใช่วิวัฒนาการทางกายภาพหากเราพิจารณารจากมุมมอง จิตวิญญาณโบราณคดี แต่มันเป็นวิวัฒนาการที่นำเรา ไปสู่การยกระดับทางจิตวิญญาณ จะเห็นได้ว่ามีสงครามระหว่าง พลังที่หนึ่ง กับ พลังที่สอง ที่ชัดเจนมากขึ้นจนมาถึงยุคปัจจุบัน และขณะนี้เรากำลังก้าวไปสู่วิวัฒนาการครั้งสำคัญอีกครั้งนั่นคือ การก้าวข้าม เพราะเมื่อขบวนการวิวัฒนาการมันซับซ้อนถึงจุดหนึ่ง การวิวัฒนาการของทั้งระบบจะเป็นแบบ ก้าวกระโดดและหลอมรวม ( Jump and Include ) ซึ่งสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
ทั้งหมดคือสิ่งที่ ประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้น ได้นำพาเรามาจาก แอตแลนติส สู่ ลม 7 ฐาน ที่เหลือสำหรับพวกเราคือ การทำให้มันเกิดขึ้น จริง ๆ อันจะเป็นการร่วมบันทึกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ในยุคต่อไปของพวกเรา ซึ่งอาจจะเป็นหน้าของประวัติศาสตร์ที่ หัตถ์ของพระเจ้า ได้ฉีกเอาไปจาก บันทึกจักรวาล เพื่อเก็บไว้ใน หัวใจ และ วิญญาณ ของพระองค์ ...
- คัดบางส่วนจาก มังกรจักรวาล เล่ม นักรบแห่งแสงสว่าง -
http://board.agalico.com/showthread.php?t=33068
แก้วจ๋าหน้าร้อน:
:13: อนุโมทนาครับ ขอบคุณครับพี่มด
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version