ผู้เขียน หัวข้อ: วิมลเกียรตินิรเทศสูตร ปริเฉทที่ ๖ อจินไตยวรรค  (อ่าน 2477 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



       ปริเฉทที่ ๖
      อจินไตยวรรค

ก็โดยสมัยนั้นแล พระสารีบุตร ทัศนาดูคฤหาสน์ของวิมลเกียรติคฤหบดีปราศจากอาสนะที่นั่ง จึงเกิดมนสิการขึ้นว่า ก็พระโพธิสัตว์บริษัทกับพระมหาสาวกบริษัทจำนวนมากเห็นปานฉะนี้ จักนั่งด้วยอาสนะอะไรหนอ ?
ครั้งนั้นแล ท่านวิมลเกียรติคฤหบดีได้ทราบถึงมนสิการของพระสารีบุตรแล้ว จึงกล่าวกับพระสารีบุตรว่า

“นี้อย่างไรกัน พระคุณมา ณ สถานที่นี้เพื่อแสวงหาธรรม ฤๅว่ามาเพื่อแสวงหาอาสนะที่นั่งเล่า ?”
พระสารีบุตร ตอบว่า “อาตมภาพมาเพื่อแสวงหาธรรม มิได้มาเพื่อแสวงหาอาสนะที่นั่งหรอก.”

วิมลเกียรติคฤหบดี จึงว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร อันผู้แสวงหาธรรมนั้น ย่อมไม่ละโมบติดใจในสรีระหรือในชีวิต จักป่วยกล่าวไปไยกับเรื่องอาสนะที่นั่ง อันผู้แสวงหาธรรมนั้น ย่อมเป็นผู้ไม่แสวงหารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่แสวงหาธาตุ ๑๘ อายตนะ ๑๒ ไม่แสวงหากามาวจรภพ รูปาวจรภพ อรูปาวจรภพ พระคุณเจ้าสารีบุตร อันผู้แสวงหาธรรมนั้น ย่อมไม่แสวงหาด้วยการยึดติดในพระพุทธองค์ ยึดติดในพระธรรม ยึดติดในพระสงฆ์ ผู้แสวงหาธรรม ย่อมไม่แสวงหาด้วย (ความสำคัญตน) ในการกำหนดรู้ทุกข์ ละสมุทัยทำให้แจ้งในนิโรธ เจริญในมรรค ข้อนั้นเพราะเหตุไฉน ? ก็เพราะว่า ธรรมนั้นย่อมปราศจากปปัญจธรรม หากกล่าวว่ามีตัวตนเป็นผู้กำหนดรู้ทุกข์ละสมุทัย ทำให้แจ้งในนิโรธ เจริญในมรรคไซร้ ย่อมชื่อว่าเป็นปปัญจธรรมหาชื่อว่าเป็นการแสวงหาธรรมไม่ พระคุณท่านสารีบุตร ธรรมนั้นย่อมชื่อว่าเป็นธรรมอันสงบ ระงับดับสนิทโดยไม่เหลือเชื้อ หากมีจิตประพฤติในความเกิดขึ้นแลดับไปในธรรมไซร้ หาชื่อว่าเป็นการแสวงหาธรรมไม่ธรรมนั้นชื่อว่าปราศจากความเศร้าหมองฉันทราคะ ถ้ามีฉันทราคะในธรรมฤๅจนที่สุดในพระนิพพานย่อมชื่อว่าเป็นฉันทะราคะกิเลส หาชื่อว่าเป็นการแสวงหาธรรมไม่ ฯลฯ ธรรมนั้นไม่สามารถจะรู้เห็น รู้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส รู้นึกคิดได้ ถ้ามีความรู้เหล่านี้เป็นไปอยู่ ก็เป็นแต่ความรู้เห็น ฯลฯ รู้นึกคิดเท่านั้น หาชื่อว่าเป็นการแสวงหาธรรมไม่ ธรรมนั้นชื่อว่าเป็นอสังขตะ ถ้ายังเป็นไปในความปรุงแต่งอยู่ ย่อมชื่อว่า เป็นการแสวงหาสังขตะ หาชื่อว่าเป็นการแสวงหาธรรมไม่ เพราะฉะนี้แล ข้าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ถ้าเป็นผู้แสวงหาธรรมไซร้ ก็พึงเป็นผู้ไม่ปรารถนาแสวงหา โดยยึดมั่นในธรรมทั้งปวงนั่นเอง.”

เมื่อวิมลเกียรติอุบาสก แสดงธรรมกถานี้จบลง มีเทพบุตร ๕๐๐ องค์ บรรลุธรรมจักษุอันบริสุทธิ์ ด้วยมารู้แจ้งว่า ธรรมทั้งปวงไม่พึงปรารถนาแสวงหาโดยยึดมั่น.
ครั้นแล้ว ท่านวิมลเกียรติคฤหบดีจึงถามพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ว่า

“ข้าแต่ท่านมัญชุศรีผู้เจริญ พระคุณจาริกท่องเที่ยวไปในอสงไขยโลกธาตุอันนับประมาณมิได้ ยังมีพุทธเกษตรใดหนอที่มีสิงหาสนะอันอุดมวิเศษสมบูรณ์ด้วยสรรพคุณาลังการ ?”
พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ตอบว่า

“ดูก่อนคฤหบดีจากที่นี้ไปเบื้องบนบูรพาทิศผ่านโลกธาตุจำนวนมากดุจเม็ดทรายในคงคานที ๓๖ นทีรวมกัน มีโลกธาตุหนึ่งชื่อว่าสุเมรุลักษณะ ณ โลกธาตุนั้น มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สุเมรุประทีปราชาตถาคต ยังประทับอยู่ ณ กาลบัดนี้ พระวรกายแห่งพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นสูงถึง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สิงหาสนะที่ประทับก็สูง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สมบูรณ์ด้วยสรรพคุณาลังการอย่างยอดเยี่ยม.”

โดยสมัยนั้นแล ท่านวิมลเกียรติคฤหบดีจึงบันดาลด้วยอานุภาพแห่งฤทธิ์ ทูลขอประทานสิงหบัลลังก์จากพระสุคตเจ้าพระองค์นั้น พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น จึงประทานสิงหบัลลังก์จำนวน ๓๒,๐๐๐ อันสูงสะอาดหมดจดวิจิตรตระการ มาสู่คฤหาสน์ของอุบาสกนั้น บรรดาพระโพธิสัตว์ พระมหาสาวก ท้าวพรหมราช ท้าวศักรินทร์ ท้าวจาตุมมหาราชเป็นอาทิ ต่างก็มิได้ทัศนาเห็นคฤหาสน์ของท่านวิมลเกียรติกว้างขวางขยายออกไป แต่ก็สามารถรองรับสิงหบัลลังก์ทั้ง ๓๒,๐๐๐ บัลลังก์ได้อย่างสะดวกไม่ขัดข้อง แม้ตัวนครเวสาลีตลอดถึงชมพูทวีป ก็มิได้เกิดความคับแคบ คงดูเป็นปกติธรรมดาดุจเดิม.

ครั้นแล้ว ท่านวิมลเกียรติจึงกล่าวกับพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ว่า
“ขอนิมนต์นั่งบนสิงหบัลลังก์ ขอพระคุณพร้อมทั้งปวงพระโพธิสัตว์แลท่านผู้เป็นอุดมบุรุษทั้งหลายขึ้นนั่งบนบัลลังก์ พึงยังสรีรกายของท่านผู้เจริญให้ได้ระดับเสมอด้วยกับระดับแห่งสิงหาสนะนี้.”

บรรดาพระโพธิสัตว์ ที่ได้สำเร็จอภิญญาต่างก็บันดาลด้วยฤทธิ์นิรมิตกายสูง ๓๔,๐๐๐ โยชน์ ขึ้นประทับนั่งบนสิงหบัลลังก์ ฝ่ายบรรดาพระโพธิสัตว์ซึ่งเพิ่งมีจิตปณิธานในพระโพธิญาณใหม่ ๆ กับทั้งปวงพระมหาสาวก ล้วนไม่สามารถจักขึ้นไปนั่งได้.

ครั้งนั้น ท่านวิมลเกียรติจึงกล่าวกับพระสารีบุตรว่า “นิมนต์พระคุณเจ้านั่งบนสิงหาสนบัลลังก์.”
พระสารีบุตร ตอบว่า “ดูก่อนคฤหบดี อาสนะนี้สูงใหญ่นัก อาตมภาพขึ้นไปถึงมิได้.”

ท่านวิมลเกียรติ จึงว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร พระคุณจงกระทำความนอบน้อมอภิวันทนาพระสุเมรุประทีปราชาตถาคตเจ้าเสียก่อน แล้วพระคุณเจ้าจักสามารถขึ้นไปนั่งได้.”
ด้วยประการฉะนี้ บรรดาพระโพธิสัตว์ผู้เพิ่งมีจิตปณิธานในพระโพธิญาณกับทั้งพระมหาสาวก ต่างกระทำความนอบน้อมอภิวันทนาพระสุเมรุประทีปราชาตถาคตเจ้า ทันใดนั้นต่างก็ได้ขึ้นไปประดิษฐานบนสิงหาสนะบัลลังก์โดยทั่วหน้ากัน.

               

พระสารีบุตร กล่าวว่า
“ดูก่อนคฤหบดี น่าอัศจรรย์ยิ่งนักแล้ว คฤหาสน์อันน้อยนิดเท่านี้ สามารถรองรับบรรจุอาสนะอันสูงใหญ่พิลึกมหึมา แม้นครเวสาลีก็มิได้มีที่กีดขวาง ในชมพูทวีปทุกคามนิคมชนบทราชธานีน้อยใหญ่วิมานเวียงวังสถานที่อยู่แห่งทวยเทพนิกร ฤๅของนาคราชอสูรยักษ์ปีศาจก็มิได้เกิดความคับแคบขึ้นแลย.”

ท่านวิมลเกียรติ ตอบว่า
“พระคุณเจ้าสารีบุตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ กับทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย มีวิมุตติธรรมชื่ออจินไตย ถ้าพระโพธิสัตว์ใดตั้งอยู่ในวิมุตติดังกล่าวนี้ แม้ความสูงใหญ่แห่งขุนเขาพระสุเมรุก็ยังอาจสามารถนำเอามาบรรจุไว้ในเมล็ดพันธุ์ผักเมล็ดหนึ่ง โดยไม่เต็มไม่หย่อนคือบรรจุได้พอดี ทั้งนี้เพราะสภาวะแห่งจอมเขาพระสุเมรุนั้นเป็น ตถตา นั่นเอง แต่ถึงกระนั้นทวยเทพนิกรในชั้นจาตุมมหาราชิกาตาวติงสา (สวรรค์ ๒ ชั้นนี้อยู่ที่เขาพระสุเมรุ) ก็ยังไม่รู้สึกตนเองว่าเข้าไปสถิตอยู่ในเมล็ดพันธุ์ผักนอกจากผู้ที่เป็นเวไนยสัตว์อันพึงโปรดได้เท่านั้น จึงสามารถทัศนาเห็นจอมสุเมรุมาศตั้งอยู่ในท่ามกลางเมล็ดพันธุ์ผักได้ นี้แลชื่อว่าอจินไตยวิมุตติธรรม อนึ่ง การยังน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ให้เข้าไปบรรจุอยู่ในขุมรูโลมาขุมหนึ่ง โดยมิได้รบกวนบรรดาสัตว์น้ำทั้งหลาย มีปลา เต่า ตะพาบ เป็นอาทิ แต่สภาวะแห่งมหาสมุทรหลวงนั้นก็ยังไม่หวั่นไหวฉันใด บรรดาทวยเทพนาคราชอสูรยักษ์ภูตผีปีศาจ ต่างก็ไม่รู้ตนเองว่ากำลังเข้าไปสถิตอยู่ภายใน โดยมิได้เกิดความรบกวนต่อสรรพสัตว์เหล่านี้เลย.”

“อนึ่ง ท่านสารีบุตร ! พระโพธิสัตว์ผู้ตั้งอยู่ในอจินไตยวิมุตติธรรมย่อมถือเอามหาตรีสหัสสโลกธาตุ ดุจเครื่องปั้นหมุนของนายช่างปั้นมาประดิษฐานไว้ในอุ้งมือ แล้วแลโยนขว้างออกนอกเขตแห่งอนันตโลกธาตุอันมีจำนวนดุจเมล็ดทรายในคงคานทีได้โดยง่าย สรรพสัตว์ในโลกานุโลกเหล่านั้น ต่างก็ไม่รู้สึกทิศทางไปแห่งหน และพระโพธิสัตว์นั้นย่อมนำมหาตรีสหัสสโลกธาตุกลับคืนมาไว้ ณ ที่เดิม กระทำมิให้สรรพสัตว์ผู้อาศัยในโลกธาตุเหล่านั้นมีความรู้สึกในการไปแลมาแห่งตน ถึงกระนั้นสภาวะของโลกธาตุก็ยังมิไหวหวั่นประการใด.”

“อนึ่ง พระคุณเจ้าสารีบุตร หากมีสรรพสัตว์ใดที่มีความยินดีต่อการดำรงอยู่ในโลก กับทั้งเป็นเวไนยสัตว์ที่จักโปรดได้อีกด้วย พระโพธิสัตว์ย่อมสำแดงระยะกาลเพียง ๗ ทิวาให้ยาวนานดุจ ๑ กัลป์ กระทำให้สัตว์เหล่านั้นรู้สึกว่าเป็นกาลนาน ๑ กัลป์ ฤๅหากมีสรรพสัตว์ที่ไม่ยินดีต่อการดำรงอยู่ในโลกนาน กับทั้งเป็นเวไนยสัตว์ที่จักโปรดได้อีกไซร้ พระโพธิสัตว์ ผู้สำแดงย่นระยะกาลยาว ๑ กัลป์ให้สั้นเหลือดุจ ๗ ทิวา กระทำให้สัตว์เหล่านั้นรู้สึกว่าเป็นกาลสั้น ๗ ทิวาเท่านั้น ข้าแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร พระโพธิสัตว์ผู้ดำรงอยู่ในอจินไตยวิมุตติธรรม
ย่อมยังสรรพคุณาลังการแห่งพุทธเกษตรทั้งปวงมาประชุมอยู่ ณ โลกธาตจุแห่งเดียวสำแดงปรากฏต่อสรรพสัตว์ อนึ่ง พระโพธิสัตว์ยังสามารถนำสรรพสัตว์ในพุทธเกษตรทั้งปวงมาประชุมอยู่ ณ โลกธาตุแห่งเดียวสำแดงปรากฏต่อสรรพสัตว์ อนึ่ง พระโพธิสัตว์ยังสามารถนำสรรพสัตว์ในพุทธเกษตรทั้งสิ้นประดิษฐานไว้ในอุ้งหัตถ์ขวาแล้ว แลกระทำปาฏิหาริย์เหาะลอยไปสู่ทศทิศ เพื่อสำแดงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยลสรรพสิ่งโดยทั่วถึง แต่ก็มีสถานะเดิม ไม่หวั่นไหวอันใด.”

“ข้าแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร สรรพภาชนะวัตถุซึ่งสัตว์ทั้งหลายในทศทิศถวายเป็นพุทธบูชา พระโพธิสัตว์ย่อมสำแดงให้สรรพสัตว์เห็นประจักษ์ได้ในรูขุมขนเพียงรูเดียว แลดวงภาณุมาศ ดวงศศิธร ดวงดาราใหญ่น้อยแห่งโลกธาตุทั้งหมดในทศทิศ ก็บันดาลให้มาปรากฏอยู่ในรูขุมขนเพียงรูเดียว แต่ให้ยลกันได้ทั่วถึง.”

“อีกประการหนึ่ง พระคุณเจ้าสารีบุตร วายุแห่งโลกธาตุทั่วทศทิศ พระโพธิสัตว์ย่อมสามารถอมเข้าไว้ในโอษฐ์ได้ โดยจักเป็นอันตรายต่อสรีระก็หามิได้ สรรพพฤกษชาติรุกขพรรณภายนอกก็บ่ห่อนได้หักล้มไปเพราะแรงวายุนั้นเลย อนึ่งเล่า ครั้นเมื่ออัคนีประลัยกัลป์ล้างโลกานุโลกในทศทิศไซร้ พระโพธิสัตว์ก็ยังนำเพลงประลัยกัลป์นั้นมาบรรจุไว้ในท่ามกลางอุทรประเทศได้ โดยที่สภาวะแห่งอัคนีนั้นเป็น ตถตา จึงมิได้เกิดเป็นอันตรายแต่อย่างใด อีกประการหนึ่ง นับจากทิศเบื้องต่ำผ่านโลกธาตุอันมีจำนวนปริมาณดุจเม็ดทรายในคงคานที พระโพธิสัตว์สามารถถือเอาพุทธเกษตรแห่งหนึ่งยกเทิดขึ้นไปสู่ทิศเบื้องบน โดยผ่านโลกธาตุอันมีจำนวนปริมาณดุจเม็ดทรายในคงคานทีดุจกันโดยง่าย เฉกเช่น บุคคลผู้ถือเอาเข็มเล่มหนึ่ง ฤๅใบพุทราใบหนึ่ง ปราศจากน้ำหนักรบกวนแต่อย่างใด.”

“ข้าแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร พระโพธิสัตว์ผู้ตั้งอยู่ในอจินไตยวิมุตติธรรม ย่อมสามารถบันดาลด้วยมหิทธิฤทธิ์สำแดงตนเป็นพุทธกาย ฤๅสำแดงตนเป็นพระปัจเจกพุทธกาย ฤๅสำแดงตนเป็นพระสาวกกาย ฤๅสำแดงตนเป็นท้าวศักรินทรกาย ฤๅสำแดงตนเป็นท้าวพรหมราชกาย ฤๅสำแดงตนเป็นพระปชาบดีกาย ฤๅสำแดงตนเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์กายได้ อนึ่ง สรรพสำเนียงเสียงจำนวนที่มีอยู่ทั่วไปในโลกานุโลกทั่วทศทิศ ไม่ว่าจักเป็นเสียงสูง เสียงกลาง เสียงต่ำ พระโพธิสัตว์นั้น ย่อมสามารถกระทำให้เสียงเหล่านั้นสำเร็จ แปรเป็นพุทธศัพทโฆษได้ ประกาศซึ่งธรรม มีอนิจจตา ทุกขตา สุญญตา อนัตตา ตลอดทั้งเป็นเสียงแห่งพระสัทธรรม เทศนาประการต่าง ๆ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในทศทิศ ยังสรรพสัตว์ให้ได้สดับฟังโดยทั่วหน้ากันได้ ข้าแต่พระคุณท่านสารีบุตรผู้เจริญ กระผมได้บรรยายถึงพลานุภาพแห่งวิมุตติ อันเป็นอจินไตยแห่งพระโพธิสัตว์แต่เพียงสังเขปนัยเท่านี้หนา หากจักให้กระผมแถลงไขโดยพิสดารไซร้ แม้กัลป์จักบรรลัยหมดสิ้นไป ก็ยังไม่อาจบรรยายให้จบสมบูรณ์ได้แล.”

           

สมัยนั้น พระมหากัสสปเถรเจ้า ได้สดับธรรมทวารแห่งวิมุตติอันเป็นอจินไตยของพระโพธิสัตว์นี้แล้ว ก็บังเกิดความปสาทะเลื่อมใสนักสดุดีว่า “สิ่งที่ไม่เคยมีก็ได้มีขึ้นแล้วหรอ” แล้วกล่าวกับพระสารีบุตรเถรเจ้าว่า

“ท่านสารีบุตรผู้เจริญ อุปมาบุคคลผู้นำรูปวัตถุสีสันต่าง ๆ มาสำแดงแก่ผู้มีอันธจักษุ ย่อมไม่เป็นวิสัยที่ผู้นั้นจักทัศนาได้ฉันใด บรรดาพระสาวกทั้งหลาย ได้สดับธรรมทวารแห่งวิมุตติอันเป็นอจินไตยนี้แล ย่อมมิอาจจักเข้าใจได้ก็มี  อุปไมยฉันเดียวกัน เมธีชนผู้ได้สดับธรรมกถานี้แล้ว ใครเล่าจักไม่ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะไฉนผู้มีอันธจักษุถึงได้มีอุปนิสัยอินทรีย์ในมหายานธรรม ขาดถึงมูลเฉทฉะนี้เล่า ก็มหายานธรรมเป็นดุจเมล็ดพืชซึ่งเสื่อมจากคุณภาพแล้ว (คือไม่มีอัธยาศัยโน้มไปเป็นมหายานิกะ) ส่วนพระสาวกทั้งปวง เมื่อสดับธรรมทวารแห่งวิมุตติอันเป็นอจินไตยนี้ ควรแล้วหนอที่จักร้องไห้คร่ำครวญ ยังเสียงร้องไห้นั้นให้สนั่นก้องไปทั่ว   มหาตรีสหัสสโลกธาตุ (คือร้องไห้เสียดายที่มิได้สดับธรรมอันล้ำลึกอย่างนี้มาก่อน เป็นเหตุให้พลาดจากการเป็นมหายานนิกรชน** (ตรงนี้ ท่านผู้ประพันธ์พระสูตรนี้คงเผลอลืมไปว่า พระอรหันตสาวกย่อมพ้นจากกิเลส อันเป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าโศกเพลิดเพลินทั้งปวงแล้ว เจตนาของผู้ประพันธ์ต้องการยกย่องคติมหายานว่าประเสริฐกว่าเท่านั้น.) ส่วนพระโพธิสัตว์ทั้งหลายพึงโสมนัสปรีดาปราโมทย์นำศรีษะเข้ามารองรับพระสัทธรรมนี้ ถ้ามีพระโพธิสัตว์ใดมีจิตศรัทธาเข้าใจถ่องแท้ในธรรมทวารแห่งวิมุตติอันเป็นอจินไตยนี้ไซร้ สรรพมารย่อมบ่หาญอาจทำอะไรกับพระโพธิสัตว์นั้น ๆ ได้เลย.”
เมื่อพระมหากัสสป กล่าวจบลง ก็มีเทพบุตร ๓๒,๐๐๐ องค์ ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

ลำดับนั้น ท่านวิมลเกียรติได้พูดกับพระมหากัสสปว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้ามหากัสสปผู้เจริญ บรรดาผู้ที่เป็นพญามาราธิราชในอสงไขยโลกธาตุทั่วทศทิศ แต่ละล้วนเป็นพระโพธิสัตว์ผู้สถิตอยู่ในวิมุตติธรรมอันเป็นอจินไตย แต่หากได้สำแดงโดยอุบายพละในอันจักสั่งสอนสรรพสัตว์ จึงกระทำเป็นพญามาราธิราช พระคุณท่านมหากัสสปพระโพธิสัตว์ทั้งหลายในโลกานุโลกอันมิอาจประมาณทั่วทศทิศ บ้างก็ปรากฏว่ามีผู้มาร้องขอหัตถ์ บาท กรรณ นาสิก ศีรษะ จักษุ ฯลฯ ร้องขอคามนิคม ปุระ บุตร ธิดา ภริยา บริวารชน ช้าง ม้า ยานพาหนะ สรรพสุวรรณ หิรัญ ไพฑูรย์ ฯลฯ เพชร นิล จินดา มณีรัตน์ สิ่งบริโภคอุปโภค ประการต่าง ๆ บรรดาผู้มาร้องขอเหล่านี้ ส่วนมากล้วนเป็นพระโพธิสัตว์ผู้สถิตอยู่ในวิมุตติธรรมอันเป็นอจินไตย ได้สำแดงโดยอุบายพละมาเพื่อทดลอง(บุคคลผู้บำเพ็ญโพธิสัตวจริยา) แลเพื่อประสงค์กระทำให้ผู้มีจิตปณิธานต่อพระโพธิญาณ มีความเข้มแข็งมั่นคง ข้อนั้นเพราะเหตุไฉน ? ก็เพราะพระโพธิสัตว์ผู้ตั้งอยู่ในวิมุตติธรรมอันเป็นอจินไตย ย่อมมีเดชพละ จึงสามารถกระทำการดุจรุกรานบีบคั้น (ให้พระโพธิสัตว์ด้วยกันกระทำการบริจาค เป็นต้น) สำแดงปรากฏต่อสรรพสัตว์ อันการกระทำที่ยากเห็นปานฉะนี้ ไหนเลยปุถุชนจักมีเดชพละถึงปานนั้นได้ ปุถุชนย่อมไม่อาจรุกรานบีบคั้นพระโพธิสัตว์ได้ อุปมาดั่งรอยเหยียบแห่งบาทพญามังกรแล พระโพธิสัตว์อยู่ในวิมุตติธรรมอันเป็นอจินไตย เป็นทวารแห่งปรัชญาแลอุปายะด้วยประการฉะนี้แล.

ปริเฉทที่ ๖ อจินไตยวรรค จบ.




http//www.mahayana.in.th/#ปริเฉทที่_๖_อจินไตยวรรค_

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 14, 2011, 01:52:57 pm โดย ฐิตา »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :13: อนุโมทนาครับพี่มด
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
 
 
 
                                         :13: :45: