แสงธรรมนำใจ > วัชรยาน

.......เหนือห้วงมหรรณพ คำสอนธิเบตเพื่อการอยู่และตายอย่างไร้ทุกข์ ( บางส่วน )

(1/3) > >>

มดเอ๊กซ:



พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายมักมีการอธิบายในแง่ที่เป็น "พื้นภูมิ มรรคและผล" พื้นภูมิของโซะเชนคือ สภาวะดั้งเดิมขั้นพื้นฐาน เป็นธรรมชาติขั้นปรมัตถ์ของเรา ซึ่งสมบูรณ์อยู่แล้วและมีอยู่ตลอดเวลา ท่านพาทรุลรินโปเช กล่าวว่า " มันมิใช่สิ่งซึ่งต้องแสวงหาจากภายนอก ทั้งมิใช่สิ่งซึ่งเธอไม่มีมาก่อน และบัดนี้ต้องเกิดใหม่ในใจเธอ" ดังนั้นในแง่ของพื้นภูมิหรือปรมัตถ์สัจจะ ธรรมชาติของเราเป็นสิ่งเดียวกับธรรมชาติของพระพุทธเจ้า และไม่มีคำสอนและการปฎิบัติใดๆที่ต้องทำในขั้นนี้แม้แต่น้อย

กระนั้นเราต้องเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงดำเนินบนมรรคสายหนึ่ง ส่วนเราดำเนินบนมรรคอีกสายหนึ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงประจักษ์แจ้งซึ่งธรรมชาติดั้งเดิมของพระองค์เองแล้วก็ตรัสรู้ แต่เราไม่ได้ประจักษ์แจ้งธรรมชาตินั้นดังนั้นจึงสับสน ตามพระธรรมคำสอน ภาวะดังกล่าวเรียกว่า " หนึ่งพื้นภูมิ สองมรรคา " ในยามปรกติ ธรรมชาติประจำจิตของเราจะถูกเคลือบคลุมบดบัง ดังนั้นเราจึงต้องทำตามคำสอนและปฎิบัติเพื่อกลับสู่สัจธรรมของเรา นี้คือมรรคาแห่งโซะเชน

ครูบาอาจารย์ในแนวโซะเชน รู้ดีว่าการสับสนปนเประหว่าง สมมติสัจจะกับปรมัตถ์สัจจะเป็นเรื่องอันตราย คนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้อาจมองข้ามหรือถึงขั้นรังเกียจด้านที่เป็น สมมติสัจจะ ได้แก่การปฎิบัติธรรม และกฎแห่งกรรม อย่างไรก็ตามคนที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของโซะเชนมีแต่จะเคารพกรรมอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งยังมีความเข้าใจมากขึ้นและรู้สึกถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปฎิบัติธรรมและชำระกรรมให้บริสุทธิ์ ทั้งนี้ก็เพราะเขาเข้าใจความไพศาลของสิ่งที่อยู่ในการปฎิบัติดังกล่าว ซึ่งถูกเคลือบคลุมบดบัง และดังนั้นจึงมีความพยายามอย่างแรงกล้า ทั้งมีวินัยที่สดใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ ที่จะขจัดอะไรก็ตามที่จะขวางกั้นระหว่างเขากับธรรมชาติที่แท้จริงของเขา

มดเอ๊กซ:
โญะซุล ลังต็อก ซึ่งต่อมาได้เป็นอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของโซะเชนในยุคหลังๆ ได้ปฎิบัติตามอาจารย์ของท่าน คือ ท่านพาทรุลรินโปเช นาน18ปี ตลอดเวลาดังกล่าวทั้ง2ท่านแทบไม่แยกจากกันเลย ท่านโญะซุล ศึกษาและปฎิบัติด้วยความเพียรยิ่ง ประสบความก้าวหน้าในการชำระจิต การสะสมบุญและการปฎิบัติ ท่านพร้อมที่จะประจักษ์แจ้งซึ่งริกปะ แต่ยังไม่ได้รับการแนะนำขั้นสุดท้ายจากอาจารย์ และแล้วในเย็นวันหนึ่งซึ่งเป็นที่กล่าวขานกันต่อมา ท่านพาทรุลรินโปเช ก็ได้ให้คำแนะนำแก่ท่า่น ตอนนั้นทั้งสองท่านกำลังอยู่ด้วยกันในกระท่อม คืนนั้นงดงามมาก ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มใสกระจ่างดวงดาวส่องสว่าง เสียงของความสงบเด่นชัดตัดกับเสียงเห่าลางๆของสุนัขจากวัดข้างล่าง

ท่านพาทรุลรินโปเช นอนเหยียดยาวบนพื้น ขณะปฎิบัติโซะเชนขั้นพิเศษ ท่านเรียก ท่านโญะซุลเข้ามาหาแล้วพูดว่า " เธอบอกใช่ไหมว่าไม่รู้จักสารัตถะของจิต?"
ท่านโญะซุล ลังต็อก เดาจากน้ำเสียงว่าเวลาพิเศษมาถึงแล้ว จึงพยักหน้าด้วยความคาดหวังอยู่ในใจ

จริงๆแล้วไม่มีอะไรหรอก ท่านพาทรุลรินโปเช พูดอย่างสบายๆ แล้วกล่าวต่อว่า "ลูกรักมานอนตรงนี้ ให้เหมือนกับพ่อผู้ชราของเธอ" ท่านโญะซุล ลังต็อก นอนเหยียดตัวอยู่ข้างๆ
จากนั้นท่านพาทรุลรินโปเช ก็ถามท่านว่า "เธอเห็นดาวบนฟ้าไหม?"

"ครับ"
"เธอได้ยินเสียงหมาเห่าในวัดไหม?"
"ครับ"
"เธอได้ยินฉันพูดกับเธอไหม?"
"ครับ"
"ดีแล้ว ธรรมชาติของโซะเชน เป็นอย่างนี้ มีแค่นี้แหละ"

มดเอ๊กซ:
ท่านโญะซุล ลังต็อก บอกกับเราว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน "ขณะนั้นเองเราได้บรรลุถึงการประจักษ์แจ้งจากภายใน เราหลุดพ้นจากพันธนาการของ "นี่คือ" และ"นี่ไม่ใช่" เราประจักษ์ซึ่งปัญญาดั้งเดิม ความเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างและความตระหนักรู้ภายในโดยปราศจากความเคลือบคลุมใดๆ เราได้รับการแนะนำให้เข้าถึงการประจักษ์แจ้งด้วยการเอื้อเฟื้อของท่าน ดัง ซาฮารา ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวอินเดีย ได้กล่าวว่า

ถ้อยคำของอาจารย์เข้าสู่ใจของผู้ใด
ผู้นั้นย่อมเห็นสัจธรรมดังสมบัติในฝ่ามือของตน

ชั่วขณะนั้นทุกอย่างเข้าสู่ที่ทางของมัน หลายปีของการเรียนรู้ ชำระจิต และปฎิบัติของท่านโญะซุลลังต็อก บังเกิดผลในที่สุดท่านได้ประจักษ์แจ้งซึ่งธรรมชาติของจิต ถ้อยคำที่ท่านพาทรุลรินโปเชใช้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ หรือลี้ลับเลย อันที่จริงถ้อยคำของท่านแสนจะธรรมดามาก แต่เบื้องหลังถ้อยคำนั้นมีบางสิ่งบางอย่างถูกถ่ายทอดออกมา

มดเอ๊กซ:
ทีนี้ข้าพเจ้าจะพยายามอธิบายว่าญาณทัศนะนั้นเป็นอย่างไร และเราจะรู้สึกอย่างไรเมื่อริกปะ ได้รับการเปิดเผยอย่างชัดๆตรงๆ ถึงแม้ว่าถ้อยคำและความคิดทั้งหลายไม่สามารถอธิบายได้จริงๆก็ตาม

ท่านดูจมรินโปเชกล่าวว่า "ชั่วขณะนั้นเหมือนดึงผ้าคลุมหัวออก เราจะรู้สึกว่าช่างปลอดโปร่งโล่งแจ้งเสียนี่กระไร นี้คือการเห็นขั้นสูงสุด เห็นสิ่งที่ไม่ได้เห็นมาก่อน" ทุกอย่างเปิดออก แผ่กว้าง และเริ่มแจ่มชัด เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา สดใสน่าพิศวงและสดชื่น ราวกับว่าหลังคาของจิตคุณถูกพัดลอยไป หรือฝูงนกพลันหลุดจากตาข่ายอันดำมืด ข้อจำกัดทั้งหลายเลือนหายไป ชาวธิเบตเปรียบว่าเสมือนฝาถูกเปิดออก

ลองนึกว่าคุณกำลังอาศัยในบ้านบนยอดเขา ซึ่งอยู่บนหลังคาโลกอีกที ทันใดนั้นโครงบ้านทั้งหมดซึ่งจำกัดสายตาคุณพังครืน คุณสามารถเห็นทุกอย่างรอบตัวคุณ ทั้งข้างนอก ข้างใน แต่ไม่มี"สิ่ง"ใดให้เห็น สิ่งที่เกิดขึ้นไม่อาจเปรียบกับอะไรได้ที่เราเคยเห็นตามปรกติ มันเป็นการเห็นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนอย่างไำม่เคยปรากฎมาก่อน

ท่านดูจมรินโปเชกล่าวว่า "ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดที่พันธนาการเธอไว้กับสังสารวัฎนับชาติไม่ถ้วน ตั้งแต่อดีตที่ไร้จุดเริ่มต้นมาจนถึงปัจจุบัน คือตัวติดยึด และตัวถูกติดยึด " เมื่อครูบาอาจารย์แนะนำและคุณจำได้ "ทั้งสองสิ่งก็จะถูกเผาผลาญอย่างสิ้นเชิง เหมือนขนที่อยู่ในกองเพลิง ไม่ทิ้งร่องรอยไว้อีก" ทั้งตัวติดยึดและตัวถูกติดยึด หลุดพ้นเป็นอิสระจากรากฐานของมันอย่างสิ้นเชิง หลังคาแห่งอวิชชาและความทุกข์ถูกตัดขาดไม่เหลือเยื่อใย แล้วทุกสิ่งก็เหมือนกับภาพสะท้อนในกระจก โปร่งใส แวววาว เป็นมายาภาพ และเหมือนฝัน

มดเอ๊กซ:
เมื่อคุณบำเพ็ญสมาธิมาถึงจุดนี้ โดยมีญาณทัศนะเป็นปัจจัยเกื้อหนุน คุณสามารถอยู่ในสภาวะนั้นได้นานโดยปราศจากสิ่งรบกวนจิตใจ และไม่ต้องใช้ความพยายามมาก ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "สมาธิภาวนา" ที่จะต้องปกป้องหรือรักษา เพราะคุณอยู่ในกระแสหรือปัญญาของริกปะ อย่างเป็นธรรมชาติ และคุณตระหนักว่า การอยู่ในสภาวะนั้นคือสิ่งที่เคยเป็นมาก่อนและจักเป็นเสมอ เมื่อปัญญาแห่งริกปะฉายฉาน เงาแห่งความลังเลสงสัยแม้เพียงเล็กน้อยก็ปลาสนาการไปสิ้น ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งสมบูรณ์บังเกิดขึ้น โดยไม่ต้องใช้ความพยายามและเกิดขึ้นตรง ๆ

ภาพและอุปมาอุปไมยทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้ใช้นี้ คุณจะพบว่ามันได้ผสานรวมอยู่ในประสบการณ์เดียวที่ครอบคลุมทุกสิ่ง นั่นคือการได้ประสบสัมผัสกับสัจจธรรม ความรู้สึกนอบน้อมอยู่ในภาวะนี้ กรุณาก็อยู่ในภาวะนี้ ปัญญา ปิติ ความกระจ่างชัด และการไร้ความคิดก็เช่นกัน โดยที่ไม่ได้แยกจากกัน ได้ผสานรวมและเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นในความรู้สึกเดียว ชั่วขณะดังกล่าวคือช่วงเวลาแห่งการตื่นรู้ อารมณ์ขันอันลึกซึ้งจะผุดขึ้นจากภายใน และคุณจะหัวเราะขบขันในความน้อยนิดจำกัดของความคิด และความเข้าใจทั้งหมดของคุณเกี่ยวกับธรรมชาติของจิต


สิ่งที่ผุดขึ้นจากภาวะดังกล่าวคือ ความรู้สึกมั่นคง และแน่ใจอย่างยิ่งยวดไม่คลอนแคลน "มันเป็นอย่างนี้เอง" ไม่มีอะไรอีกแล้วที่ต้องแสวงหา ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะคาดหวังได้ ความแน่นอนของญาณทัศนะ คือสิ่งที่ต้องตอกย้ำให้หยั่งลึก ด้วยการแลเห็นประพิมประพายแห่งธรรมชาติของจิตครั้งแล้วครั้งเล่า และทำให้คงตัวด้วยการทำสมาธิอย่างต่อเนื่อง

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version