แสงธรรมนำใจ > ดอกบัวโพธิสัตว์

มิลินทปัญหา

<< < (26/78) > >>

ฐิตา:


ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องความไกลแห่งพรหมโลก
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน พรหมโลกไกลจากโลกนี้สักเท่าไร ?"
   
   " ขอถวายพระพร พรหมโลกไกลจากโลกนี้มาก ถ้ามีผู้ทิ้งก้อนศิลาโตเท่าปราสาทลงมาจากพรหมโลก ก้อนศิลานั้นจะตกลงมาได้วันละ ๔๘,๐๐๐ โยชน์ ต้องตกลงมาถึง ๔ เดือน จึงจะถึงพื้นดิน "
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน มีคำกล่าวว่า ภิกษุผู้มีฤทธิ์ ผู้มีอำนาจทางจิต หายวับจากชมพูทวีปนี้ ขึ้นไปปรากฏในพรหมโลกได้เร็วพลัน เหมือนกันกับบุรุษผู้มีกำลังคู้แขนเหยียดแขนฉะนั้นดังนี้ โยมไม่เชื่อ เพราะถึงเร็วอย่างนั้น ก็จักไปได้เพียงหลายร้อยโยชน์เท่านั้น"
   
   " ขอถวายพระพร ชาติภูมิ ของมหาบพิตรอยู่ที่ไหน? "
   
   " อยู่ที่เกาะอลสัณฑะ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร เกาะอลสัณฑะไกลจากที่นี้สักเท่าไร ?"
   
   " ไกลประมาณ ๒๐๐ โยชน์ "
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้ในที่นั้น แล้วเคยนึกถึงมีอยู่หรือ ? "
   
   " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรนึกไปถึงทีไกลประมาณ ๒๐๐ โยชน์ ได้โดยเร็วพลันไม่ใช่หรือ ? "
   
   " ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "

ฐิตา:

*   ปัญหาที่ ๕ ถามถึงความไปเกิดในพรหมโลกและเมืองกัสมิระ
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ถ้ามีคน ๒ คนตายจากที่นี้แล้วไปเกิดในที่ต่างกัน คือคนหนึ่งขึ้นไปเกิดในพรหมโลก อีกคนหนึ่งเกิดในเมืองกัสมิระ คนสองคนนี้ คนไหนจะไปช้าไปเร็วกว่ากัน ? "   
   " ขอถวายพระพร เท่ากัน "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "   
   " ขอถวายพระพร ชาติภูมิของมหาบพิตรอยู่ที่ไหน ? "
   
   " อยู่กาลสิรคาม "   
   " ขอถวายพระพร กาลสิรคามอยู่ไกลจากที่นี้สักเท่าไร? "
   
   " ประมาณ ๒๐๐ โยชน์ พระผู้เป็นเจ้า "   
   " เมืองกัสมิระไกลจากที่นี้สักเท่าไร ? "
   
   " ประมาณ ๑๒ โยชน์ พระผู้เป็นเจ้า "   
   " เชิญมหาบพิตรนึกถึงกาลสิรคามดูซิ "
   
   " โยมนึกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "   
   " เชิญมหาบพิตรนึกถึงเมืองกัสมิระดูซิ "
   
   " โยมนึกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "   
   " ขอถวายพระพร ทางไหนนึกถึงช้าเร็วกว่ากันอย่างไร ?"
   
   " เท่ากัน พระผู้เป็นเจ้า "   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ที่ขึ้นไปเกิดในพรหมโลก กับผู้ที่ไปเกิดในเมืองกัสมิระ เร็วเท่ากัน ไปถึงพร้อมกัน"

   
   " ขอนิมนต์อุปมาอีก "

      :14: :07:     

อุปมาด้วยเงาของนก
   
   " ขอถวายพระพร ถ้ามีนก ๒ ตัวบินมาจับต้นไม้พร้อมกัน ตัวหนึ่งจับต่ำ ตัวหนึ่งจับสูง
   เงาของนกตัวไหนจะถึงพื้นดินก่อนกัน"
   
   " ถึงพร้อมกัน พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาอีก "

ฐิตา:


อุปมาด้วยการแลดู 
 
   " ขอถวายพระพร ขอได้โปรดแลดูอาตมา "
   
   " โยมแลดูแล้ว "
   
   " ขอได้โปรดแหงนดู ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ "
   
   " โยมแหงนดูแล้ว "
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรแลดูอาตมากับแลดูดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ อันอยู่ไกลถึง ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ข้างไหนจะเร็วช้ากว่ากัน? "
   
   " เท่ากัน พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ที่ขึ้นไปเกิดในพรหมโลก กับผู้ที่ไปเกิดในเมืองกัสมิระ ไปถึงพร้อมกัน "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เป็นเช่นนั้น "
 

ฐิตา:

ปัญหาที่ ๖ ถามถึงวรรณะสัณฐานของผู้ไปเกิดในโลกอื่น
   
   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามอีกว่า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน โยมจักถามถึงเหตุอันยิ่งขึ้นไป คือผู้ไปสู่โลกอื่น ไปด้วยสีเขียว แดง เหลือง ขาว แสด เลื่อม อย่างไร...หรือ ไปด้วยเพศช้าง ม้า รถ อย่างไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ข้อนี้พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติไว้ในพระไตรปิฎกพุทธวจนะ"
   
   พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าพระสมณโคดมไม่บัญญัติไว้ว่า ผู้ไปเกิดในโลกอื่น ในระหว่างทางนั้นต้องมีสีเขียว หรือสีเหลือง แดง ขาว แสด เลื่อม อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว จะว่าพระสมณโคดมทรงรู้จักทุกสิ่งได้หรือ... คำของ คุณาชีวก ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่กล่าวไว้ว่า ผู้ไปสู่โลกอื่นไม่มี ก็ต้องเป็นของจริง ผู้ใดกล่าวว่า โลกนี้ไม่มี โลกอื่นไม่มี ผู้ไปเกิดในโลกอื่นไม่มี ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่ากล่าวถูก ได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิต "
   
   พระนาคเสนตอบว่า
   
   " ขอถวายพระพร ขอมหาบพิตรจงตั้งพระทัยฟังถ้อยคำของอาตมภาพ"
   
   " โยมตั้งใจฟังผู้แล้ว "
   
   " ขอถวายพระพร ถ้อยคำของอาตมภาพที่พ้นออกไปจากปาก ไปถึงพระกรรณของมหาบพิตรนั้น ในระหว่างที่ยังไปไม่ถึงนั้นเสียงของอาตมภาพมีสีอย่างไร มีทรวดทรงอย่างไร ? "
   
   " เห็นไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร ถ้ามหาบพิตรว่าเห็นไม่ได้ เสียงของอาตมภาพก็ไม่ไปถึงพระกรรณของมหาบพิตร มหาบพิตรก็ตรัสคำเหลาะแหละน่ะซิ "
   
   " โยมไม่ได้พูดเหลาะแหละ ถึงถ้อยคำของพระผู้เป็นเจ้าไม่ปรากฏสีเขียว หรือสีเหลืองในระหว่างทางก็จริง แต่ถ้อยคำของพระผู้เป็นเจ้าก็มาถึงโยมจริง"
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถึงผู้ไปเกิดในโลกอื่นนั้น จะไม่ปรากฏสีเขียวหรือสีเหลืองในระหว่างทางก็จริง แต่ผู้ไปเกิดในโลกอื่นนั้นก็มีอยู่ เหมือนกับถ้อยคำของอาตมา "
   
   " น่าอัศจรรย์ พระนาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าจงเสวยราชสมบัติใหญ่ในชมพูทวีปทั้งสิ้นนี้เถิด เพราะขันธ์ ๕ นี้ไม่ได้ไปสู่โลกอื่น ขันธ์ ๕ ไม่มีอะไรตกแต่ง เกิดขึ้นเอง สงสารก็ไม่มี "

ฐิตา:

  อุปมาด้วยการทำนา
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยโปรดให้ทำนาหรือไม่ ? "
   
   " อ๋อ...เคยให้ทำ "
   
   " ขอถวายพระพร ข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดินย่อมมีรวงงอกขึ้น เมื่อรวงข้าวสาลีงอกขึ้น จะว่างอกขึ้นเองหรืออย่างไร? "
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดินย่อมมีรวงงอกขึ้น จะว่างอกขึ้นเอง ไม่มีผู้ใดกระทำไม่ได้ "
   
   " ขอถวายพระพร ถ้าข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดิน ยังไม่มีรวงงอกขึ้น เมื่อรวงยังไม่งอกขึ้น จะว่าไม่มีผู้ปลูก จะว่าข้าวสาลีไม่มีจะได้หรือไม่? "
   
   " ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถ้าขันธ์ ๕ นี้ไปเกิดเอง คนตาบอดก็จะเกิดเป็นคนตาบอดอีก คนใบ้ก็จะเกิดเป็นคนใบ้อีก บุญก็ไม่มีประโยชน์อันใด ถ้าขันธ์ ๕ ไม่มีสิ่งใดตกแต่ง เป็นของเกิดขึ้นเอง ขันธ์ ๕ ก็จะต้องไปนรกด้วยอกุศลกรรม"
   
   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้น "

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version