แสงธรรมนำใจ > ดอกบัวโพธิสัตว์

มิลินทปัญหา

<< < (48/78) > >>

ฐิตา:

ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องทรงขวนขวายน้อยในการแสดงธรรม

" ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้ว่า
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดถึง ๔ อสงไขยกับอีกแสนกัป เพื่อจะช่วยชนหมู่ใหญ่

แต่กล่าวอีกว่า เมื่อสำเร็จพระสัพพัญญุตญาณแล้ว จิตขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมเพื่อทรงแสดงธรรม ดังนี้

โยมเห็นว่า ข้อที่พระพุทธองค์ทรงย่อท้อในการแสดงธรรมนั้น เหมือนกับนายขมังธนูหรือศิษย์ของนายขมังธนู ที่ฝึกหัดธนูไว้เป็นอันมากแล้ว พอสงครามเกิดขึ้นก็ย่อท้อฉะนั้น
หรือไม่อย่างนั้นก็เปรียบเหมือนกับนักมวย หรือศิษย์ของนักมวยที่ฝึกหัดไว้มากแล้ว เมื่อจะเกิดต่อยกันขึ้นก็ท้อใจฉะนั้น

ข้าแต่พระนาคเสน พระตถาคตเจ้าทรงย่อท้อพระทัยเพราะความกลัว หรือเพราะความขวนขวายน้อย หรือเพราะไม่มีกำลังพอ หรือเพราะไม่รู้ทุกสิ่ง ขอจงแก้ไข
ถ้าพระตถาคตเจ้าผู้สร้างบารมีมาตลอดถึง ๔ อสงไขยกับอีกแสนกัป เพื่อโปรดเทพยดามนุษย์เป็นอันมากจริงแล้ว ข้อที่ว่าเมื่อสำเร็จพระสัพพัญญุตญาณแล้ว พระหฤทัยได้น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อจะทรงแสดงธรรมนั้นก็ผิดไป

ถ้าข้อนี้ถูก ข้อที่ว่า ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา เพื่อจะทรงเทศนาโปรดเทพยดามนุษย์เป็นอันมากนั้นก็ผิดไป
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดวิสัชนาให้สิ้นสงสัยเถิด"

พระนาคเสนถวายพระพรว่า
" มหาบพิตรพระราชสมภาร ข้อที่ว่า ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา เพื่อจะทรงเทศนาโปรดเทพยดามนุษย์เป็นอันมาก เวลาได้สำเร็จพระสัพพัญญุตญาณแล้ว พระหฤทัยของพระองค์ได้น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อยไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรมนั้น เป็นเพราะเหตุว่า

๑. ธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้นั้น เป็นของลึกซึ้ง รู้ตามได้ยาก เป็นของละเอียดเป็นของหยั่งรู้ได้ยาก
๒. สัตว์โลกทั้งหลายก็มีความอาลัยอยู่ในโลกเป็นอันมาก เพราะมากไปด้วย สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวตนเราเขา ดังนี้

อุปมาอุปมัยเปรียบเหมือนแพทย์ที่จะรักษาคนไข้ซึ่งมีโรคมากอย่าง ก็คิดว่าโรคทั้งปวงของบุรุษนี้จะหายไปด้วยการกระทำชนิดใด หรือด้วยยาชนิดใด ข้อนี้มีอุปมาฉันใด
สมเด็จพระจอมไตรก็ได้ทรงเห็นหมู่สัตว์ที่เป็นโรคกิเลสทั้งสิ้น และทรงเห็นธรรมอันเป็นของเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก ก็มีพระหฤทัยน้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรมฉันนั้น

อีกประการหนึ่ง พระราชาผู้ได้เสวยราชย์แล้ว ได้ทรงพิจารณาเห็นประชาราษฏร์ที่พึ่งพระองค์ มีนายประตู แม่ทัพนายกอง ราชบริพาร ข้าราชการ ชาวนิคม อำมาตย์ราชกัญญาทั้งหลายแล้ว ก็ทรงรำพึงว่า เราจะสงเคราะห์คนเหล่านี้อย่างไร ข้อนี้ฉันใด พระตถาคตเจ้าทรงเล็งเห็นธรรมอันเป็นของลึก เป็นของละเอียด เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก และทรงเล็งเห็นจิตของสัตว์ทั้งหลาย ผู้ยินดีในกามารมณ์ มากไปด้วยความเห็นว่าเป็นตัวตนเราเขา ก็มีพระหฤทัยน้อมไปในความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรมฉันนั้น

อีกอย่างหนึ่ง ข้อที่มีพระหฤทัยน้อมไปในความขวนขวายน้อยนั้น เป็นธรรมดาของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ผู้ที่ ท้าวมหาพรหม ทูลอาราธนาแล้วจึงทรงแสดงธรรม เพราะเหตุว่าในคราวนั้น ดาบส ปริพาชก สมณพราหมณ์ เทพยดา มนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้นับถือพระพรหมทั้งนั้น เมื่อพรหมได้อาราธนาแล้วจึงจักแสดงธรรม ข้อนี้เปรียบเหมือนพระราชา หรือมหาอำมาตย์ แสดงความเคารพต่อผู้ใด คนทั้งหลายก็จะเคารพผู้นั้นยิ่งขึ้น ฉันนั้น

เพราะฉะนั้น ท้าวมหาพรหมจึงได้ทูลอาราธนาพระตถาคตเจ้าทั้งปวง เพื่อให้ทรงแสดงธรรม พระตถาคตเจ้าทั้งปวงที่มหาพรหมทูลอาราธนาแล้ว จึงได้ทรงแสดงธรรม ดังนี้ ขอถวายพระพร "

" ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน "

ฐิตา:

ปัญหาที่ ๙ ถามถึงความมีอาจารย์และไม่มีอาจารย์ของพระพุทธเจ้า

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า
" อาจารย์ของเราไม่มี ผู้เสมอเราไม่มี ผู้เปรียบกับเราในมนุษย์โลกหรือเทวโลกไม่มี" ดังนี้

แต่ตรัสไว้อีกแห่งหนึ่งว่า " อาฬาระ กาลามะ ผู้เป็นอาจารย์ของเรา ได้ยกย่องเราผู้เป็นศิษย์ว่า มีความรู้เสมอกับตน ได้บูชาเราด้วยการบูชาอย่างเยี่ยม" ดังนี้

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระตถาคตเจ้าไม่มีอาจารย์ ข้อที่ว่า " อาฬาระ กาลามะ ผู้เป็นอาจารย์ของเราได้ยกย่องเรา" ก็ผิดไป
ถ้าข้อที่ว่า " อาฬาระ กาลามะ ผู้เป็นอาจารย์ของเราได้ยกย่องเรา" นั้นถูก ข้อที่ว่า " เราไม่มีอาจารย์" นั้นก็ผิด
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ ขอได้โปรดวิสัชนาให้สิ้นสงสัยเถิด"

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ข้อที่ตรัสไว้ทั้งสองนั้นถูกทั้งนั้น แต่ข้อที่ตรัสว่า " อาฬาระ กาลามะ ผู้เป็นอาจารย์ของเราได้ยกย่องเรานั้น" ตรัสหมายถึงพระองค์ยังไม่ได้ตรัสรู้ คือในเวลานั้นมีอาจารย์สั่งสอนอยู่ถึง ๕ จำพวกคือ

๑. พราหมณ์ทั้ง ๘ ที่เป็นผู้ทำนายพระลักษณะ ได้ถวายสวัสดิมงคล กระทำการรักษาซึ่งนับว่าเป็นอาจารย์จำพวกแรก
๒. สัพพมิตตพราหมณ์ ที่พระเจ้าสุทโธทนะทรงมอบให้สอนศิลปวิทยา
๓. เทวดา ที่ทำให้สลดพระทัยแล้วเสด็จออกบรรพชา
๔. อาฬารดาบสกาลามโคตร
๕. อุทกดาบสรามบุตร

อาจารย์ทั้ง ๕ จำพวกนี้ เป็นอาจารย์ในทางโลกิยธรรม ของพระโพธิสัตว์ผู้ยังไม่ได้ตรัสรู้ต่างหาก ส่วนในทางโลกุตรธรรมนั้น ไม่มีอาจารย์สั่งสอน พระองค์ทรงสำเร็จได้ด้วยพระบารมีของพระองค์เอง จึงตรัสว่าพระองค์ไม่มีอาจารย์ ขอถวายพระพร "

" ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน "

ฐิตา:

ปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงสมณะที่เลิศและไม่เลิศ

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
" ชื่อว่าเป็นสมณะเพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย "
แล้วตรัสไว้อีกว่า " เราเรียกผู้ที่ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ว่าเป็นสมณะ"

ธรรม ๔ ประการนั้น คือ ขันติ ความอดทน ๑ อัปปาหารตา ความเป็นผู้บริโภคอาหารน้อย ๑ รติวิปปหานัง การละความยินดี๑ อากิญจัญญัง ความไม่มีอะไรเหลือ ๑

ธรรมทั้ง ๔ นี้ ย่อมมีแก่ผู้ยังไม่สิ้นอาสวะ ผู้ยังมีกิเลส
ถ้าชื่อว่าเป็นสมณะเพราะความสิ้นอาสวะทั้งหลาย เป็นของถูกแล้ว ข้อที่ว่าผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้เป็นสมณะก็ผิดไป

ถ้าผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้เป็นสมณะ ข้อที่ว่า เป็นสมณะเพราะสิ้นอาสวะนั้นก็ผิดไป
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดแก้ให้สิ้นสงสัยเถิด "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ข้อที่ตรัสไว้ทั้งสองประการนั้นถูกทั้งนั้น ส่วนข้อที่ตรัสไว้ว่า " ผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ชื่อว่าสมณะนั้น" ตรัสไว้ด้วยทรงถือ คุณวิเศษ เป็นสำคัญ

ส่วนข้อที่ตรัสว่า " ชื่อว่าเป็นสมณะเพราะสิ้นอาสวะนั้น" เป็นคำที่ตรัสไว้อย่างไม่เหลือ

อนึ่ง ผู้สิ้นอาสวะแล้ว ชื่อว่าเป็นสมณะยิ่งกว่าผู้ปฏิบัติเพื่อให้สิ้นกิเลสทั้งสิ้น ดอกไม้ที่เกิดบนบกทั้งหลาย มีดอกมะลิเป็นอย่างเลิศ ดอกไม้ที่ร้อยแล้ว ดีกว่าดอกไม้ที่ไม่ได้ร้อยฉันใด ข้าวสาลีดีกว่าข้าวทั้งปวงฉันใด ผู้สิ้นอาสวะแล้ว ก็เป็นสมณะ ดีกว่าสมณะทั้งหลายฉันนั้น ขอถวายพระพร "

" ถูกต้องแล้ว พระนาคเสน "

จบวรรคที่ ๓

ต่อที่ #๒๕๕ น.๑๘ :http://agaligohome.com/index.php?topic=205.255

ฐิตา:

เมณฑกปัญหา วรรคที่ ๔

ปัญหาที่ ๑ ถามเกี่ยวกับเรื่องสรรเสริญ

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อมีผู้สรรเสริญเรา หรือสรรเสริญธรรม สรรเสริญสงฆ์ พวกเธอไม่ควรทำความร่าเริง ความดีใจ ความมีใจแปรปรวน อย่างใดอย่างหนึ่ง "
แล้วตรัสไว้อีกว่า
" เมื่อเสลพราหมณ์สรรเสริญตามความเป็นจริง พระตถาคตก็ทรงดีพระทัย "

แล้วได้แสดงพระคุณของพระองค์ยิ่งขึ้นไปว่า
" ดูก่อนเสลพราหมณ์ เราเป็นพระธรรมราชาผู้เยี่ยม ได้ยังธรรมจักรอันไม่มีผู้ปฏิบัติได้ให้เป็นไปโดยชอบธรรม" ดังนี้

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าพระตถาคตเจ้าได้ตรัสว่า " เวลามีผู้สรรเสริญเราหรือสรรเสริญธรรม สรรเสริญสงฆ์ พวกเธอไม่ควรร่าเริง ไม่ควรดีใจ ไม่ควรมีใจตื่นเต้น" ดังนี้ถูกแล้ว คำที่ตรัสว่า " เมื่อเสลพราหมณ์สรรเสริญตามเป็นจริง เราตถาคตก็ร่าเริงดีใจ แล้วได้แสดงคุณของเราตถาคตให้ยิ่งขึ้นไป" ดังนี้ก็ผิด

ถ้าคำว่า " เมื่อเสลพราหมณ์สรรเสริญเราตามจริง เราก็ร่าเริงดีใจ ได้แสดงคุณของเราให้ยิ่งขึ้นไป " ดังนี้ถูกแล้ว คำที่ตรัสว่า " เวลามีผู้อื่นสรรเสริญมา หรือธรรม หรือสงฆ์ พวกเธอไม่ควรร่าเริงดีใจ มีใจตื่นเต้น " ดังนี้ก็ผิด
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดวิสัชนาให้สิ้นสงสัยเถิด "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร คำทั้งสองนั้นจริงทั้งนั้น เมื่อสมเด็จพระภควันต์จะทรงแสดงลักษณะแห่งสภาวธรรมตามความเป็นจริง ก็ได้ตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายไว้อย่างนั้น เมื่อเสลพราหมณ์สรรเสริญพระองค์ตามความเป็นจริง ก็ได้ทรงแสดงคุณของพระองค์ให้ยิ่งขึ้นไป ดังที่ว่าแล้วนั้น

แต่การที่ทรงแสดงคุณของพระองค์ให้ยิ่งขึ้นไปนั้น ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ลาภยศ พรรคพวกบริวารอย่างไร เป็นเพราะทรงพระเมตตากรุณาแก่ผู้ฟังทั้งหลายว่า ความรู้แจ้งธรรมจักมีแก่พราหมณ์นั้น พร้อมกับมาณพ ๓๐๐ คน จึงได้ทรงแสดงคุณของพระองค์ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ขอถวายพระพร "

" ดีแล้วพระนาคเสน โยมรับว่าถูกต้องดี "

ฐิตา:

ปัญหาที่ ๒ ถามเรื่องไม่เบียดเบียนและไม่ข่มเหง

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า
" จงอย่าเบียดเบียนผู้อื่นในโลก จงถือว่าผู้อื่นจงเป็นที่รักของเราจงเป็นพวกของเรา" ดังนี้

แล้วตรัสอีกว่า " ควรข่มขี่ ผู้ที่ควรข่มขี่ ควรยกย่องผู้ที่ควรยกย่อง " ดังนี้
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า การตัดมือ ตัดเท้า การฆ่า การจองจำ การทำให้ตาย การทำให้สิ้นเครื่องสืบต่อชีวิต ชื่อว่าการข่มขี่ คำว่า " ข่มขี่ " นี้ ไม่สมควรแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ไม่ควรจะตรัสคำนี้

ถ้าตรัสว่า " อย่างเบียดเบียนผู้อื่นในโลกจงรักผู้อื่น ถือว่าผู้อื่นเป็นพวกของเรา " ดังนี้ถูกแล้ว คำที่ว่า"ควรข่มขี่ผู้ที่ควรข่มขี่ควรยกย่องผู้ที่ควรยกย่อง" ก็ผิด

ไปถ้าคำว่า " ควรข่มขี่ผู้ที่ควรข่มขี่ ควรยกย่องผู้ที่ควรยกย่อง" ดังนี้ถูกแล้ว คำที่ว่า " อย่าเบียดเบียนผู้อื่นในโลก จงทำผู้อื่นให้เป็นที่รักของตัว จงนึกว่าเป็นพวกของตัว" ดังนี้ก็ผิด

ปัญหานี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ ควรแก้ไขให้สิ้นสงสัยด้วยเถิด"
พระนาคเสนตอบว่า

" ขอถวายพระพร คำทั้งสองนั้นถูกทั้งนั้นคำว่า " อย่าเบียนเบียดผู้อื่นในโลก" เป็นคำอนุมัติ เป็นคำพร่ำสอน เป็นคำแสดงธรรมของพระตถาคตเจ้าทั้งปวง เพราะว่าธรรมมีความไม่เบียดเบียนเป็นลักษณะ การที่ตรัสอย่างนั้น ตรัสตามสภาพ คือความเป็นจริง

คำที่ตรัสว่า " ควรข่มขี่ผู้ที่ควรข่มขี่ ควรยกย่องผู้ที่ควรยกย่อง" เป็นการมุ่งการปฏิบัติธรรม คือจิตที่ฟุ้งซ่านควรข่ม จิตที่หดหู่ควรประคองขึ้น จิตที่เป็นอกุศลควรข่มขี่เสีย จิตที่เป็นกุศลควรประคองไว้ การนึกผิดทาง ควรข่มขี่เสีย การนึกถูกทาง ควรประคองไว้ การปฏิบัติผิดควรข่มขี่เสีย การปฏิบัติถูกควรประคองไว้ ผู้ไม่ใช่อริยะควรข่มขี่เสีย ผู้เป็นอริยควรประคองไว้ ผู้เป็นโจรควรข่มขี่เสีย ผู้ไม่ใช่โจรควรประคองไว้ ขอถวายพระพร "

" เอาละ พระนาคเสน คราวนี้พระผู้เป็นเจ้าหวนกลับมาสู่วิสัยของโยมแล้ว โยมถามถึงข้อความอันใด ข้อความอันนั้นได้เข้ามาถึงโยมแล้ว โยมจึงขอถามว่า ผู้ที่เป็นโจร เราจะควรข่มขี่อย่างไร? "
" ขอถวายพระพร โจรที่ควรด่าว่าก็ต้องด่าว่า ที่ควรปรับไหมก็ต้องปรับไหม ที่ควรขับไล่ก็ต้องขับไล่ ที่ควรจองจำก็ต้องจองจำ ที่ควรฆ่าก็ต้องฆ่า ควรข่มขี่โจรอย่างนี้ "

" ข้าแต่พระนาคเสน การฆ่าโจรเป็นพระอนุมัติของพระตถาคตเจ้าทั้งหลายหรือ ? "
" ไม่เป็น มหาราชะ "
" ถ้าไม่เป็น เพราะเหตุไรจึงกล่าวว่า โจรนั้นเป็นผู้ควรสั่งสอนตามพระอนุมัติของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย? "

" ขอถวายพระพร การฆ่าโจรนั้น คนทั้งหลายไม่ได้ฆ่าตามพระอนุมัติของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย โจรนั้นถูกฆ่าด้วยความผิดที่เขากระทำเอง ก็แต่ว่าโจรนั้นบุคคลควรสั่งสอนตามเหตุผล บุคคลอาจจับบุรุษผู้ไม่มีความผิด จูงตระเวนไปตามถนน แล้วฆ่าเสียตามมติได้หรือ ? "

" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "
" เพราะเหตุไรล่ะ ? "
" เพราะเขาไม่ได้ทำความผิด "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร โจรไม่ได้ถูกฆ่าด้วยพระอนุมัติของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ถูกฆ่าด้วยการกระทำของเขาเองต่างหาก ผู้ที่สั่งสอนโจรจะได้รับโทษอย่างไรบ้างหรือ? "
" ไม่ได้รับโทษอย่างไรเลย ผู้เป็นเจ้า "

" ถ้าอย่างนั้น คำสอนของพระตถาคตเจ้าก็เป็นคำสอนที่ถูกต้องดีแล้ว ขอถวายพระพร "
" พระผู้เป็นเจ้าแก้ปัญหาข้อนี้ดีแล้ว "

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version