แสงธรรมนำใจ > ดอกบัวโพธิสัตว์

มิลินทปัญหา

<< < (76/78) > >>

ฐิตา:


   องค์ที่ ๓ แห่งต้นไม้
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๓ แห่งต้นไม้ได้แก่อะไร ?"   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ต้นไม้ ย่อมทรงไว้ซึ่งดอกและผลฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งดอกคือวิมุตติ ผลคือสมณคุณ อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งต้นไม้
   
   ธรรมดาต้นไม้ย่อมให้ร่มเงาแก่ผู้เข้าไปพักอาศัยฉันใด พระโยคาวจรก็ควรต้อนรับผู้ที่เข้ามาหาตน ด้วยอามิสหรือธรรมฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งต้นไม้   
   ธรรมดาต้นไม้ย่อมไม่ทำเงาของตนให้แปลกกัน ย่อมแผ่ไปให้เสมอกันฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรทำให้แปลกกันในสัตว์ทั้งหลายฉันนั้น คือควรแผ่เมตตาไปให้เสมอกันทั้งในผู้เป็นโจร เป็นผู้จะฆ่าคน เป็นข้าศึกของตนและตนเอง อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งต้นไม้
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระสารีบุตรเถระ ว่า   
   " พระมุนี คือพระพุทธเจ้า ย่อมเป็นผู้มีพระหฤทัยเสมอไปแก่สัตว์ทั้งหลาย เช่นพระเทวทัต โจรองคุลีมาล ช้างธนบาล และพระราหุล เป็นตัวอย่าง " ดังนี้ ขอถวายพระพร "

ฐิตา:


   องค์ ๕ แห่งเมฆ
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๕ แห่งเมฆได้แก่อะไร ?"   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา เมฆ ย่อมระงับเสียซึ่งละอองเหงื่อไคล ซึ่งเกิดแล้วฉันใด พระโยคาวจรก็ควรระงับเหงื่อไคล คือกิเลสฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งเมฆ   
   ธรรมดาเมฆคือฝนที่ตกลงมา ย่อมดับความร้อนในแผ่นดินฉันใด พระโยคาวจรก็ควรดับทุกข์ร้อนของโลก ด้วยเมตตาภาวนาฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งเมฆ
   
   ธรรมดาเมฆย่อมทำให้พืชทั้งปวงงอกขึ้นฉันใด พระโยคาวจรก็ควรทำให้พืช คือศรัทธาของบุคคลทั้งหลายให้งอกขึ้นฉันนั้น ควรปลูกพืชคือศรัทธานั้นไว้ในสมบัติทั้ง ๓ คือ มนุษย์สมบัติ สวรรคสมบัติ นิพพานสมบัติ อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งเมฆ   
   ธรรมดาเมฆย่อมตั้งขึ้นตามฤดูฝนแล้วเป็นฝนตกลงมา ทำให้หญ้า ต้นไม้ เครือไม้ พุ่มไม้ ต้นยา ป่าไม้ เกิดขึ้นในพื้นธรณีฉันใด พระโยคาวจรก็ควรทำให้โยนิโสมนสิการเกิดขึ้นแล้วทำให้สมณธรรม และกุศลธรรมทั้งปวงเกิดขึ้นฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งเมฆ
   
   ธรรมดาเมฆคือก้อนน้ำ เมื่อตกลงมาก็ทำให้แม่น้ำ หนอง สระ ซอก หัวยระแหง บึง บ่อ เป็นต้น ให้เต็มไปด้วยน้ำฉันใด พระโยคาวจรเมื่อเมฆ คือโลกุตตรธรรมตกลงมาด้วยการศึกษาพระปริยัติธรรม ควรทำใจของบุคคลทั้งหลาย ผู้มุ่งต่อโลกุตตรธรรมให้เต็มบริบูรณ์ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๕ แห่งเมฆ
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระสารีบุตรเถระ ว่า   
   " พระมหามุนีทรงเล็งเห็นผู้ที่ควรจะให้รู้อยู่ในที่ไกลตั้งแสนโยชน์ก็ตาม ก็เสด็จไปโปรดให้รู้ทันที " ดังนี้ ขอถวายพระพร "

ฐิตา:


   องค์ ๓ แห่งแก้วมณี
   
   " ขอถวายพระนาคเสน องค์ ๓ แห่งแก้วมณีได้แก่อะไร?"   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา แก้วมณี ย่อมเป็นของบริสุทธิ์แท้ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นผู้มีอาชีพบริสุทธิ์แท้ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งแก้วมณี
   
   ธรรมดาแก้วมณี ย่อมไม่มีสิ่งใดเจือปนอยู่ข้างในฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรปะปนอยู่ด้วยสหายที่เป็นบาปฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งแก้วมณี
   ธรรมดาแก้วมณี ย่อมประกอบกับแก้วที่เกิดเองฉันใด พระโยคาวจรก็ควรประกอบกับแก้วมณีคือพระอริยะฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งแก้วมณี
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ใน สุตตนิบาต ว่า
   " ผู้บริสุทธิ์เมื่ออยู่กับผู้บริสุทธิ์ ผู้มีสติอยู่กับผู้มีสติ ก็จักมีปัญญาทำให้สิ้นทุกข์ " ดังนี้ ขอถวายพระพร"

ฐิตา:


   องค์ ๔ แห่งนายพราน
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๔ แห่งนายพรานได้แก่สิ่งใด? "
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา นายพราน ย่อมหลับน้อยฉันใด พระโยคาวจรก็ควรหลับน้อยฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่๑ แห่งนายพราน
   
   ธรรมดานายพรานย่อมผูกใจไว้ในหมู่เนื้อฉันใด พระโยคาวจรก็ควรผูกใจไว้ในอารมณ์อันจักให้ได้คุณวิเศษที่ตนได้แล้วฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งนายพราน
   
   ธรรมดานายพรานย่อมรู้จักเวลากระทำของตนฉันใด พระโยคาวจรก็ควรรู้จักเวลาฉันนั้น คือควรรู้ว่า เวลานี้เป็นเวลาเข้าสู่ที่สงัดเวลานี้เป็นเวลาออกจากที่สงัด อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งนายพราน   
   ธรรมดานายพรานพอแลเห็นเนื้อ ก็เกิดความร่าเริงว่า เราจักได้เนื้อตัวนี้ฉันใด พระโยคาวจรพอได้ความยินดีในอารมณ์ ก็ควรเกิดความร่าเริงใจว่า เราจักได้คุณวิเศษยิ่งขึ้นไปฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งนายพราน
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระโมฆราชเถระ* กล่าวว่า   
   " ภิกษุผู้มีความเพียร ได้ความยินดีในอารมณ์แล้ว ควรทำให้เกิดความร่าเริงยิ่งขึ้นไปว่า เราจักได้บรรลุธรรมวิเศษอันยิ่ง " ดังนี้ ขอถวายพระพร
   
   *( หมายเหตุ : คำสุภาษิตนี้ ฉบับพิสดารบอกว่า เป็นของพระโมคคัลลาน์)

ฐิตา:


   องค์ ๒ แห่งพรานเบ็ด
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๒ แห่งพรานเบ็ดได้แก่อะไร? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา พรานเบ็ด ย่อมดึงปลาขึ้นมาได้ด้วยเหยื่อฉันใด พระโยคาวจรก็ควรถึงผลสมณะ อันยิ่งขึ้นมาให้ได้ด้วยญาณฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งพรานเบ็ด
   
   ธรรมดาพรานเบ็ดสละสัตว์ที่เป็นเหยื่อเพียงเล็กน้อย ก็ได้ปลามากฉันใด พระโยคาวจรก็ควรสละเหยื่ออันเล็กน้อย คืออามิสในโลกฉันนั้น เพราะพระโยคาวจรสละสุขของโลกเพียงเล็กน้อยแล้วก็ได้สมณคุณอันไพบูลย์อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งพรานเบ็ด
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระราหุลเถระ ว่า   
   " พระภิกษุสละโลกามิสแล้ว ย่อมได้อนิมิตตวิโมกข์ (หลุดพ้นเพราะไม่ถือนิมิตในร่างกาย ) สุญญตวิโมกข์ (หลุดพ้นเพราะว่างจากกิเลส ) อัปปณิหิตวิโมกข์ ( หลุดพ้นเพราะไม่ปรารถนาในร่างกาย) และผล ๔ อภิญญา ๖ " ดังนี้ ขอถวายพระพร "

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version