ดูก่อนนาคราช พึงทราบไว้ว่าโพธิสัตว์มีธรรมอยู่ประการหนึ่ง สามารถตัดทุกข์แห่งอบายมรรคทั้งปวงได้ อันประการหนึ่งนั้นเป็นเช่นไรเล่า? ก็คือทุกทิพาราตรี ได้ตามระลึก ตรึกคิด พิจารณาอยู่ซึ่งกุศลธรรมเป็นเนืองนิตย์ จะยังให้กุศลธรรมทั้งหลายเจริญขึ้นทุกขณะจิต ไม่ให้อกุศลแม้แต่น้อยเข้ามาเจือปนได้ จึงจะสามารถยังให้อบายทั้งปวงขาดสิ้นลงไป กุศลธรรมจะบริบูรณ์ จะได้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ทั้งหลายและหมู่พระอริยบุคคลอื่นๆ อยู่เสมอ
อันกุศลธรรมนั้น ก็คือ มนุษย์ เทวดา พระสาวกโพธิ พระปัจเจกโพธิ พระอนุตรสัมโพธิ ก็ล้วนอาศัยธรรมนี้เป็นมูลฐานทั้งสิ้น จึงจะสำเร็จได้ จึงได้ชื่อว่า ?กุศลธรรม? ธรรมนี้ก็คือ ?หนทางแห่งการทำความดีสิบประการ? (1) ก็สิบประการนั้นเป็นเช่นไรเล่า ก็คือการสามารถไกลจาก
การพล่าพลาญชีวิต
การลักขโมย
การผิดกาม
การพูดเท็จ
การพูดกลับกลอกสองลิ้น
การพูดวาจาหยาบคายชั่วร้าย
การพูดเพ้อเจ้อโปรยเสียซึ่งสารประโยชน์
ความโลภ
ความโกรธ และ
ความเห็นผิด อยู่เป็นนิจ
[1] คือ กุศลกรรมบถ ๑๐ (ทางแห่งกุศลกรรม, ทางทำความดี, กรรมดีอันเป็นทางนำไปสู่ความสุขความเจริญหรือสุคติ ?
wholesome course of action)
ว่าโดยข้อธรรมสมบูรณ์ (แปลตัดเอาแต่ใจความ) ดังนี้ ?
ก. กายกรรม ๓ (การกระทำทางกาย ? bodily action)
๑. ปาณาติปาตํ ปหาย ฯเปฯ สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี โหติ
(ละการฆ่าการเบียดเบียน มีเมตตากรุณาช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ?
to avoid the destruction of life and be anxious for the welfare of all lives)
๒. อทินฺนาทานํ ปหาย ฯเปฯ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขตํ อนาทาตา โหติ
(ละอทินนาทาน เคารพกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่น ?
to avoid stealing, not violating the right to private property of others)
๓. กาเมสุมิจฺฉาจารํ ปหาย ฯเปฯ น จาริตฺตํ อาปชฺชิตา โหติ
(ละการประพฤติผิดในกาม ไม่ล่วงละเมิดประเพณีทางเพศ ?
to avoid sexual misconduct, not transgressing sex morals)
ข. วจีกรรม ๔ (การกระทำทางวาจา ? verbal action)
๔. มุสาวาทํ ปหาย ฯเปฯ น สมฺปชานมุสา ภาสิตา โหติ
(ละการพูดเท็จ ไม่ยอมกล่าวเท็จ เพราะเหตุตนเอง ผู้อื่น หรือเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ใดๆ ?
to avoid lying, not knowingly speaking a lie for the sake of any advantage)
๕. ปิสุณํ วาจํ ปหาย ฯลฯ สมคฺคกรณี วาจํ ภาสิตา โหติ
(ละการพูดคำส่อเสียด ช่วยสมานคนที่แตกร้าวกัน ส่งเสริมคนที่สมัครสมานกัน ชอบกล่าวถ้อยคำที่สร้างสามัคคี ?
to avoid malicious speech, unite the discordant,
encourage the united and utter speech that makes for harmony)
๖. ผรุสํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ พหุชนมนาปา ตถารูปี วาจํ ภาสิตา โหติ
(ละคำหยาบพูดแต่คำสุภาพอ่อนหวาน ?
to avoid harsh language and speak gentle, loving, courteous, dear and agreeable words)
๗. สมฺผปฺปลาปํ ปหาย ฯเปฯ กาลวาที ภูตวาที อตฺถวาที ธมฺมวาที วินยวาที นิธานวตึ วาจํ ภาสิตา โหติ ฯเปฯ
(ละการพูดเพ้อเจ้อ พูดแต่คำจริงมีเหตุผล มีสารประโยชน์ ถูกกาละเทศะ ?
to avoid frivolous talk; to speak at the right time, in accordance with facts,
what is useful, moderate and full of sense)
ค. มโนกรรม ๓ (การกระทำทางใจ ? mental action)
๘. อนภิชฺฌาลุ โหติ ฯเปฯ
(ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น ? to be without covetousness)
๙. อพฺยาปนฺนจิตฺโต โหติ ฯเปฯ สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตูติ
(ไม่มีจิตคิดร้าย คือปรารถนาแต่ว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีเวร ไม่เบียดเบียน ไม่มีทุกข์ ครองตนอยู่เป็นสุขเถิด ?
to be free from illwill, thinking, ?Oh, that these beings were free fron hatred and illwill,
and would lead a happy life from trouble.?)
๑๐. สมฺมาทิฏฺฐิโก โหติ ฯเปฯ สยํ อภิญฺ?า สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตีติ
(มีความเห็นชอบ เช่นว่า ทานมีผล การบูชามีผล ผลวิบากกรรมดีกรรมชั่วมี เป็นต้น ?
to posses right view such as that gifts, donations and offerings are not fruitless
and that there are results of wholesome and unwholesome actions)
M.I.287; A.V.266, 275-278. ม.มู.๑๒/๔๘๕/๕๒๓; องฺ.ทสก.๒๔/๑๖๕/๒๘๗; ๑๖๘-๑๘๑/๒๙๖-๓๐๐.