๓.๑๐
โรงเรียนเกษตรกรรมธรรมชาติที่หลายหลาก
ผมไม่ชอบคำว่า "งาน" เป็นอย่างยิ่ง มนุษย์เป็นสัตว์โลกชนิดเดียวที่ต้องทำงาน และผมคิดว่านี่เป็นเรื่องน่าหัวเราะมากที่สุดในโลก สัตว์โลกชนิดอื่นหาเลี้ยงชีพด้วยการมีชีวิตอยู่ แต่มนุษย์ทำงานเหมือนคนบ้า โดยคิดว่าเขาต้องทำเช่นนั้นเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ ยิ่งงานนั้นยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ความท้าทายยิ่งมากเท่าไหร่ เขาจะคิดว่ามันยิ่งวิเศษเท่านั้น จะเป็นการดีถ้าเลิกคิดในลักษณะเช่นนั้นได้และใช้ชีวิตอยู่อย่างง่าย ๆ ชีวิตที่สะดวกสบายและเต็มไปด้วยเวลาว่าง ผมคิดว่าการใช้ชีวิตของสัตว์ในเขตร้อนที่จะรอดมาในตอนเช้าและตอนเย็นเพื่อดูว่ามีอะไรกินบ้าง และมีเวลาว่างในยามบ่ายสำหรับงีบหลับ เป็นวิถีชีวิตที่ดีวิเศษ
สำหรับมนุษย์ ชีวิตที่เรียบง่ายเช่นนั้นสามารถเป็นไปได้ ถ้าเขาทำงานเพื่อผลิตปัจจัยพื้นฐานของชีวิตโดยตรง ชีวิตเช่นนั้น งานจะไม่ใช่งานแบบที่คนทั่วไปคิด แต่เป็นเพียงการทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
การให้สิ่งต่าง ๆ เคลื่อนไปในทิศทางนี้คือจุดมุ่งหมายของผม และมันก็เป็นจุดมุ่งหมายของหนุ่มสาวอีก ๗-๘ คน ที่อาศัยร่วมกันในกระท่อมบนภูเขาแห่งนี้และช่วยกันทำงานเกษตร หนุ่มสาวเหล่านี้ต้องการเป็นเกษตรกร ตั้งหมู่บ้านและชุมชนใหม่ และทดลองวิถีชีวิตแบบนี้ พวกเขามาที่ไร่นาของผมเพื่อเรียนรู้ทักษะในการทำเกษตรกรรมที่จำเป็นต่อการบรรลุผลตามโครงการที่วางไว้ ถ้าคุณลองมองไปทั่วประเทศ คุณก็จะสังเกตเห็นว่ามีชุมชนใหม่ ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งเมื่อไม่นานมานี้ ชุมขนแบบนั้นอาจจะถูกเรียกขานว่าเป็นการรวมกลุ่มของพวกฮิปปี้ ซึ่งผมก็คิดว่าอาจจะมองในลักษณะนั้นก็ได้เหมือนกัน แต่จากการใช้ชีวิต และทำงานร่วมกัน ตลอดจนความพยายามในการแสวงหาทางกลับไปสู่ธรรมชาติ ผมคิดว่าพวกเขาคือแบบจำลองของ "เกษตรกรรุ่นใหม่" พวกเขาเข้าใจดีว่าการมีรากที่มันคงต้องหมายถึงการมีชีวิตอยู่ด้วยพืชผลที่ได้จากที่ดินของตนเอง ชุมชนที่ไม่สามารถพึ่งตนเองทางด้านอาหารจะอยู่ได้ไม่นาน
หนุ่มสาวจำนวนมากพวกนี้ได้เดินทางไปถึงอินเดีย หรือหมู่บ้านคานธีในฝรั่งเศส บ้างไปใช้เวลาระยะหนึ่งในชุมชนคิบบุตในอิสราเอล บ้างก็ไปเยี่ยมชุมชนบนภูเขาและในทะเลทรายทางตะวันตกของอเมริกา มีกลุ่มประเภทนี้อยู่ที่เกาะซูวาโนเซะในหมู่เกาะโทคาร่าทางใต้ของประเทศญี่ปุ่น กลุ่มเหล่านี้พยายามทดลองการอยู่เป็นครอบครัวในลักษณะใหม่ และหาประสบการณจากความใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของชาวเขา ผมคิดว่าขบวนการของคนหยิบมือนี้จะมีอนาคตที่สดใส หมู่คนเหล่านี้เองที่ทำให้เกษตรกรรมธรรมชาติกลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว และมีพลังมากขึ้นทุกที
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มศาสนาต่าง ๆ เข้ามาจับงานทางด้านเกษตรกรรมธรรมชาติ ในการค้นหาธรรมชาติที่เป็นเนื้อแท้ของมนุษย์ ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีการใดก็แล้วแต่ คุณจะต้องเริ่มต้นด้วยการพิจารณาถึงเรื่องของสุขภาพ หนทางที่นำไปสู่การสำนึกรู้อย่างถูกต้องซึ่งรวมถึงการมีชีวิตอยู่อย่างซื่อตรงเปิดเผยในแต่ละวัน ปลูกพืชผักและกินอาหารธรรมชาติที่ถูกอนามัย ด้วยเหตุนี้สำหรับคนเป็นจำนวนมาก เกษตรกรรมธรรมชาติจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด
ผมไม่ได้จัดตัวเองอยู่ในกลุ่มศาสนาใด และสามารถสนทนาแลกเปลี่ยนทัศนะกับใครก็ได้อย่างอิสระ ผมไม่ได้ใส่ใจมากนักกับการหาความแตกต่างระหว่างศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธ ชินโต หรือศาสนาอื่น ๆ แต่สิ่งที่่ให้ผมรู้สึกทึ่งคือพบว่าบุคคลที่่มีความศรัทธาต่อศาสนาอย่างลึกซึ้ง ให้ความสนใจต่อไร่นาของผม ผมคิดว่านี่คงเป็นเพราะเกษตรกรรมธรรมชาติซึ่งไม่เหมือนกับเกษตรกรรมแบบอื่นนั้น มีพื้นฐานอยู่บนปรัขญาที่่หยั่งลึกไปพ้นการพิจารณาแต่เฉพาะเรื่องของการวิเคราะห์ดิน การวัดค่าความเป็นกรดด่างของดินและผลผลิต
คราวหนึ่ง มีหนุ่มจากศูนย์เกษตรกรรมอินทรีย์แห่งกรุงปารีสปีนเขาขึ้นมาที่นี่ และเราก็ใช้เวลาสนทนากันอยู่ ๑ วัน เมื่อได้ฟังเรื่องราวในฝรั่งเศสผมก็รู้ว่าเขากำลังเตรียมการประชุมเกี่ยวกับเกษตรกรรมอินทรีย์ในระดับนานาชาติ หนุ่มฝรั่งเศสผู้นี้เดินทางไปเยี่ยมดูฟาร์มเกษตรกรรมอินทรีย์ และเกษตรกรรมธรรมชาติทั่วโลกเพื่อเตรียมการประชุม ผมพาเขาเดินชมสวน หลังจากนั้นเราก็นั่งลงดื่มชามักเวิร์ท และสนทนาถึงข้อสังเกตบางประการของผม ตลอดระยะเวลา ๓๐ ปีอันแปลกประหลาดนี้
ผมกล่าวขึ้นก่อนว่า ถ้าคุณลองตรวจสอบหลักการของเกษตรกรรมอินทรีย์อันเป็นที่นิยมอยู่ในตะวันตกเวลานี้ คุณจะพบว่ามันแทบจะไม่แตกต่างจากวิธีการทำเกษตรกรรมพื้นบ้านของทางตะวันออก เช่นในจีน เกาหลี และญี่ปุ่นเมื่อหลายศตวรรษก่อน เกษตรกรชาวญี่ปุ่นทั้งหมดยังคงใช้รูปแบบการเกษตรดังกล่าวตลอดรัชสมัยเมจิ และไทโช* มาจนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
เกษตรกรรมดังกล่าวเป็นระบบที่เน้นการใช้ปุ๋ยจากมูลคนและมูลสตว์เป็นพื้นฐานสำคัญ มีการจัดการที่เน้นหนักการผลิตปริมาณมากในที่ดินขนาดเล็ก โดยอาศัยแรงงานเป็นหลักและรวมถึงการปลูกพืชหมุนเวียน ปลูกพืชหลายชนิดและการใช้ปุ๋ยจากพืชคลุมดิน เนื่องจากที่ว่างมีจำกัด ทุ่งนาจึงไม่เคยถูกปล่อยทิ้งโดยไม่ดูแล การเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวจะมีตารางเวลาที่แน่นอน ของเหลือใชที่เป็นสารอินทรีย์จะนำไปหมักเป็นปุ๋ยและนำกลับไปใส่ในท้องนา การใช้ปุ๋ยได้รับการส่งเสริมอย่างเป็นทางการ และการวิจัยทางการเกษตรจะเน้นเรื่องอินทรีย์วัตถุ และเทคนิคการทำปุ๋ยหมัก
ดังนั้นเกษตรกรรมแบบที่รวมเอาสัตว์ พืช และมนุษย์มาอยู่เป็นหน่วยเดียวกันนี้ จัดเป็นเกษตรกรรมกระแสหลักของญี่ปุ่นตลอดมาจนถึงยุคสมัยใหม่ อาจจะกล่าวได้ว่าการทำเกษตรกรรมอินทรีย์ในตะวันตกได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเกษตรกรรมพื้นบ้านแบบนี้ค่อย ๆ หมดจากประเทศทางตะวันออก
ผมกล่าวต่อไปว่าในบรรดาวิธีการของเกษตรกรรมธรรมชาติ สามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ เกษตรกรรมธรรมชาติแบบทัศนะกว้างที่อยู่พ้นขอบเขตพุทธิปัญญาของมนุษย์ และเกษตรกรรมธรรมชาติทัศนะแคบที่เกี่ยวข้องกับโลกสมมติ** ถ้าหากผมต้องพูดด้วยภาษาทางพุทธศาสนา เกษตรกรรมทั้งสองประเภทอาจเรียกโดยการเปรียบเทียบว่า เป็นการเกษตรกรรมแบบมหายาน และหินยาน
เกษตรกรรมธรรมชาติแบบมหายานเกิดขึ้นโดยตัวมันเอง เมื่อมีเอกภาพระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ มันเป็นไปตามธรรมชาติอย่างที่มันเป็น และเป็นไปตามจิตใจอย่างที่มันเป็น มันเกิดจากความศรัทธาที่ว่าหากปัจเจกชนละทิ้งเจตนาแห่งมนุษย์ และยอมตนให้ธรรมชาติเป็นผู้นำทาง ธรรมชาติจะตอบแทนโดยการจัดหาสรรพสิ่งให้ หากจะใช้อุปมาแบบง่าย ๆ ก็จะเป็นว่า เกษตรกรรมธรรมชาติแบบโลกุตตระ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ อาจจะเปรียบได้กับคู่สามีภรรยาที่ครองคู่กันด้วยสมรสที่สมบูรณ์ การสมรสนั้นมิใช่การให้ มิใช่การรับ คู่สมรสที่สมบูรณ์จะดำรงอยู่โดยตัวของตัวเอง
เกษตรกรรมธรรมชาติทัศนะแคบ ในอีกด้านหนึ่งคือการดำเนินตามวิถีแห่งธรรมชาติ เป็นความพยายามที่จะดำเนินตามธรรมชาติอย่างจงใจ โดยอาศัยวิธีการ "แบบอินทรีย์" หรือเกษตรกรรมวิธีอื่น ๆ เป็นเครื่องมือในการบรรลุจุดประสงค์ที่ได้ตั้งไว้ แม้ว่าจะมีความรักอย่างจริงใจต่อธรรมชาติและมีความกระตือรือร้นในการเข้าถึงธรรมชาติ ความสัมพันธ์นั้นก็ยังคงเป็นเรื่องการทดลองดูก่อน เกษตรกรรมแบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่ทะยานอยากในปัญญาแห่งสวรรค์ โดยปราศจากความเข้าใจในสาระของมัน และในขณะเดียวกันก็ต้องการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ แม้จะค้นหาอย่างมิหยุดหย่อน แต่ก็ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้เลย
ทัศนะแคบของเกษตรกรรมธรรมชาติกล่าวว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเกษตรกรที่จะใช้อินทรีย์วัตถุกับดิน และเป็นเรื่องดีที่จะเลี้ยงสัตว์ และนี่คือวิธีที่ดีที่สุดมีประสิทธิภาพที่สุดที่จะทำให้ธรรมชาติสามารถใช้ประโยชน์ได้ ถ้าพูดในแง่ของการปฏิบัติส่วนบุคคล นี่ย่อมเป็นเรื่องดี แต่ด้วยวิธีนี้เพียงลำพัง ย่อมไม่อาจรักษาพลังแห่งชีวิตของเกษตรกรรมธรรมชาติให้ดำรงอยู่ได้ เกษตรกรรมธรรมชาติอย่างแคบชนิดนี้อุปมาได้กับสำนักดาบที่เน้นการฟันเพียงครั้งเดียวซึ่งชัยชนะจะต้องขึ้นกับทักษะ และการใช้เทคนิคที่เกิดจากการฝึกฝนอย่างมีเจตนา เกษตรกรรมแบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่ดำเนินตามาวิธีของสำนักดาบฟันสองครั้ง ซึ่งเชื่อว่าชัยชนะจะได้มาจากการระดมพลังในการจู่โจม
เกษตรกรรมธรรมชาติที่บริสุทธิ์แท้ เป็นไปในทางตรงกันข้ามคือเปรียบได้กับสำนักอกรรม คือไม่กระทำ ไม่มีทิศทาง และไม่แสวงหาชัยชนะ สิ่งหนึ่ง ที่เกษตรกรควรต่อสู้เพื่อให้บรรลุผลก็คือ การนำหลัก "ไม่กระทำ" มาสู่ภาคปฏิบัติให้ได้ เหลาจื้อได้กล่าวถึงธรรมชาติแห่งการไม่กระทำ ผมคิดว่าถ้าท่านเป็นเกษตรกร ท่านจะต้องทำเกษตรกรรมแบบธรรมชาติอย่างแน่นอน ผมเชื่อว่าวิธีของคานธี เป็นวิธีที่ไร้วิธี กระทำด้วยภาวะจิตที่ปราศจากการเอาชนะและปราศจากการต่อต้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับเกษตรกรรมธรรมชาติ เมื่อไรที่สามารถเข้าใจได้ว่าบุคคลจะสูญเสียความรื่นรมย์และความสุข ก็เมื่อเขาพยายามจะครอบครองมันไว้ เมื่อนั้นก็จะเข้าใจถึงหัวใจของเกษตรกรรมธรรมชาติ เป้าหมายสูงสุดของเกษตรกรรมไม่ใช่การเพาะปลูกพืชผล แต่คือการบ่มเพาะความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์***
--------------------------------------------------------------------------------
* ปี พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๖๙
** คือโลกที่รับรู้และเข้าใจได้โดยพุทธิปัญญา
*** ในย่อหน้านี้ ฟูกูโอกะได้แยกให้เห็นความแตกต่างระหว่าง การใช้เทคนิคเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างมีเจตนา กับสิ่งที่เกิดเองตามธรรมชาติที่แสดงออกถึงความกลมกลืนของมนุษย์กับธรรมชาติ ในการงานประจำวันที่ปลอดพ้นจากการครอบงำของเจตจำนงแห่งพุทธิปัญญา
http://olddreamz.com/bookshelf/onestraw/content3.html