๑๕. การไม่กระทำ
พุธที่ ๑๑ เมษายน ๑๙๖๒
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ดอนฮวนแนะให้ผมจดบันทึกเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่ให้พูดถึงหรือใส่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม
หลังจากที่ได้พักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งวัน ดอนฮวนก็ประกาศออกมาว่า เราต้องออกจากบริเวณนี้ไปซักสองสามวันเพราะน่าจะเป็นการดีที่เราจะอยู่ห่างจาก "วิญญาณ" เหล่านั้นเสียบ้าง แกบอกว่าพวกวิญญาณทำให้ผมกระทบกระเทือนมาก แม้ว่าผมจะไม่รู้สึกในเรื่องนี้เพราะร่างกายของผมยังไม่ไวพอ ในไม่ช้า ผมอาจจะป่วยหนักถ้าไม่เดินทางไปยัง "สถานที่ที่ผมเลือกสรรแล้ว" เพื่อชำระล้างตัวเองและทำให้ฟื้นตัวขึ้นมา
เราออกเดินทางก่อนเวลาย่ำรุ่ง ขับรถมุ่งไปทางทิศเหนือหลังจากที่เดินทางโดยรถยนต์อันน่าเหน็ดเหนื่อยและเดินอย่างเร็ว เราก็มาถึงยอดเขาแห่งนั้น
เหมือนกับที่เคยทำ ดอนฮวนเอากิ่งไม้มาปูในบริเวณที่ผมเคยนอนแล้วแกเอาใบไม้มายื่นให้ผมกำมือหนึ่งเพื่อสอดเข้าไปที่ท้องน้อย และแกบอกให้ผมนอนพัก แกหาที่สำหรับตัวเองห่างออกไปทางซ้ายมือของผมประมาณห้าฟุตแล้วนอนลงไปเช่นเดียวกัน
ภายในเวลาสองสามนาทีเท่านั้นผมก็รู้สึกอบอุ่นและสบายขึ้นมา มันเป็นความสุขทางกาย รู้สึกเหมือนกับว่าลอยอยู่กลางอากาศ
ผมเห็นด้วยกับดอนฮวนอย่างเต็มที่ที่บอกว่า "เตียงเชือก" จะทำให้ผมลอยขึ้นไป ผมให้ข้อสังเกตถึงความรู้สึกอันไม่น่าเชื่อนี้ ดอนฮวนกล่าวออกมาตรง ๆ ว่า "เตียง" ชนิดนี้ทำขึ้นเพื่อให้ลอยอยู่กลางอากาศนั่นเอง
"ผมไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้!" ผมอุทานออกมา
ดอนฮวนถือเอาความหมายตรง ๆ ของคำพูดดังกล่าว แกตำหนิผมขึ้นมา แกติเตียนผมว่าแกเบื่อหน่ายที่ผมทำตัวราวกับว่าเป็นคนสำคัญเสียเหลือเกินจนต้องมาพิสูจน์กันครั้งแล้วครั้งเล่าว่าโลกนี้ลึกลับและมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
ผมพยายามอธิบายว่า คำอุทานเล่นสำนวนอย่างนั้นไม่มีความหมายอะไรจริง ๆ จัง ๆ หรอก แกแย้มว่าถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงผมคงจะเลือกพูดอย่างอื่นแล้ว ดูเหมือนว่าแกรู้สึกหงุดหงิดในตัวของผมมาก ผมยกลำตัวขึ้นมากึ่งนั่งแล้วกล่าวคำขอโทษ แกหัวเราะแล้วเลียนการใช้ถ้อยคำของผมโดยเสนอการใช้สำนวนของคำพูดที่ตื่นเต้นน่าขบขันมากมาย ที่ผมน่าจะนำมาใช้แทน ผมต้องหัวเราะออกมาในที่สุดเมื่อได้ฟังข้อความบ้า ๆ บอ ๆ ที่แกคาดว่าผมจะนำมาพูด
ดอนฮวนหัวเราะคั่ก ๆ และด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแกเตือนความจำของผมว่าผมควรปล่อยวางตัวเองให้กับความรู้สึกที่ตัวเองกำลังลอยอยู่นั้น
ความรู้สึกสงบอันอบอุ่นและความเต็มเปี่ยมที่เกิดขึ้นในสภาพอันลึกลับนี้เร้าอารมณ์ที่ฝังอยู่ลึก ๆ ผมพร่ำพูดถึงชีวิตของตนและสารภาพออกมาว่า ผมไม่เคยเคารพนับถือหรือชอบใครเลยแม้แต่ตัวเอง และนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเป็นคนเลวร้ายอยู่ตลอดไป ด้วยเหตุนี้เองทัศนะที่ผมมองผู้อื่นจึงครอบคลุมด้วยความก้าวร้าวและรุนแรง
"จริง" ดอนฮวนพูด "คุณไม่ชอบตัวเองเลย"
แกหัวเราะห้าว ๆ แล้วบอกผมว่า "แกเห็น" ในขณะที่ผมพูด แกให้คำแนะนำว่าผมไม่ควรสลดใจกับสิ่งใดที่ผมทำไปแล้ว เพราะการแยกการกระทำของตนว่าเลวทราม น่าเกลียด หรือเลวร้ายนั้นเป็นการให้ความสำคัญกับอัตตาตัวตนโดยไม่จำเป็น ผมพลิกไปพลิกมาด้วยความหงุดหงิดทำให้ที่นอนที่ปูด้วยใบไม้เกิดเสียงดังกรอบแกรบ
ดอนฮวนบอกว่าถ้าผมต้องการพักผ่อนก็ไม่ควรทำให้ใบไม้ไหวไปมา และผมควรจะเลียนการกระทำของแกคือนอนอยู่นิ่ง ๆ แกพูดต่อไปว่า "ในการเห็น" ของแกนั้นแกพบอารมณ์ชนิดหนึ่งของผม แกคิดอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกับว่าแกกำลังสรรหาคำพูดที่เหมาะสมอยู่ แล้วพูดออกมาว่า อารมณ์ที่ว่านี้เป็นกรอบของจิตที่ผมถลำเข้าไปบ่อย แกบรรยายภาพของมันว่าเหมือนกับประตูกลที่เปิดออกอย่างไม่คาดฝันแล้วดูดกลืนผมเข้าไป
ผมขอให้แกอธิบายให้ชัดขึ้น แกบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะอธิบายให้ชัดลงไปเกี่ยวกับ "การเห็น"
ก่อนที่ผมจะมีโอกาสพูดถึงสิ่งอื่น ๆ อีก ดอนฮวนบอกว่าผมควรทำตัวให้ผ่อนคลาย แต่อย่านอนหลับ และให้อยู่ในสภาวะที่ตื่นตัวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แกบอกว่า "เตียงเชือก" นั้นทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อให้นักรบเข้าสู่สภาวะของความสงบและสบาย ด้วยน้ำเสียงที่แกล้งทำแกพูดออกมาว่า สภาวะแห่งความสุขนั้นต้องตกแต่งมันขึ้นมา เป็นสิ่งที่ต้องคุ้นเคยเพื่อที่จะแสวงหามันมาได้
"คุณไม่ทราบหรอกว่าความสุขเป็นอย่างไร เพราะคุณไม่เคยพบสิ่งนี้เลย" แกพูด
ผมไม่เห็นด้วย แต่ดอนฮวนพูดต่อไปว่าความสุขเป็นการได้รับสิ่งหนึ่งซึ่งเราแสวงหามาได้โดยเจตนา แกพูดว่ามีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมรู้ที่จะแสวงหามันมาคือ ความรู้สึกซ้ำซาก ความทุกข์ และความสับสน แกหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยันและยืนยันว่า เพื่อที่จะทำให้ตัวเองน่าเวทนาสงสาร ผมต้องทำอะไรลงไปในลักษณะที่รุนแรงจริงจังอย่างที่สุด และมันน่าหัวเราะที่ผมไม่ทราบเลยว่า ผมอาจทำอย่างเดียวกันนั่นเองเพื่อให้ตัวเองสมบูรณ์แบบและเข้มแข็ง
"อุบายในเรื่องนี้อยู่ที่เราจะเน้นในเรื่องไหน" แกพูด "เราจะทำให้ตัวเองน่าเวทนาหรือจะทำให้ตัวเองเข้มแข็ง ความพยายามที่จะทำลงไปนั้นเท่าเทียมกัน"
ผมหลับตาแล้วทำตัวให้ผ่อนคลาย ต่อมาก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองล่องลอย ช่วงหนึ่งผมรู้สึกว่าลอยไปตามที่เวิ้งว้างเหมือนกับใบไม้ แม้จะมีความสุขอย่างที่สุด มันก็เตือนให้ผมคิดถึงบางคราวที่ผมป่วย วิงเวียนศีรษะและรู้สึกว่าตัวเองหมุนเคว้งคว้าง ผมคิดว่าบางทีจะเป็นเพราะกินอาหารพิษก็ได้
ผมได้ยินเสียงที่ดอนฮวนพูดกับผม แต่ผมก็ไม่พยายามจะฟัง ผมพยายามคิดประดิษฐ์เรื่องราวว่าผมกินอะไรเข้าไปบ้างจึงเกิดอาการเช่นนี้ แต่นี่ก็ไม่สำคัญอีกนั่นแหละ มันไม่มีความหมายอะไร
"จงดูแสงแดดที่เปลี่ยนไป" ดอนฮวนพูด คำพูดของแกชัดถ้อยชัดคำ ผมคิดว่าเสียงนั้นเหมือนกับน้ำที่ไหลไปเรื่อย ๆ และอบอุ่น
ท้องฟ้าทางด้านทิศตะวันตกไร้เมฆ และแสงแดดงามน่าชมมาก บางทีข้อที่ดอนฮวนแนะให้ดูนั้นทำให้แสงแดดสีเหลืองเรื่อเรืองในยามบ่ายสวยงามเป็นพิเศษจริง ๆ
"ให้แสงเรื่อเรืองนั้นลามเลียตัวของคุณ" ดอนฮวนบอก "ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับโลกไปในวันนี้ คุณต้องสงบลงและฟื้นตัวขึ้นมาอย่างเต็มที่ เพราะในวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้คุณจะเรียนรู้เรื่องการ ไม่-กระทำ"
"เรียนรู้การไม่กระทำอะไรอีกล่ะ" ผมถาม
"ตอนนี้อย่าพึ่งสนใจเลยคอยให้เราไปถึงภูเขาหินลาวาเสียก่อน" แกชี้ไปยังยอดเขามากมายที่แหลมพุ่งขึ้นไปในอากาศ สีดำทะมึนและน่าหวาดกลัวที่อยู่ไกลออกไปทางทิศเหนือ
พฤหัสบดี ๑๒ เมษายน ๑๙๖๒
เรามาถึงที่ราบสูงแห้งแล้งเป็นทะเลทรายรอบ ๆ เทือกเขาหินลาวาเมื่อเวลาบ่ายมากแล้ว ไกลออกไปเป็นภูเขาหินสีน้ำตาลแก่ดูแล้วน่าเกลียดน่ากลัว ดวงอาทิตย์คล้อยลงต่ำเกือบจรดขอบฟ้าและสาดแสงลงมากระทบไหล่เขาหินทางด้านทิศเหนือ ระบายหินสีน้ำตาลแก่นั้นด้วยลำแสงสะท้อนสีเหลืองจ้า
ผมไม่อาจละสายตาออกจากภาพที่เห็น ยอดเขาเหล่านั้นน่าตื่นตะลึงจริง ๆ
ใกล้จะค่ำ เรามองเห็นเนินเขาที่ต่ำที่สุดของเทือกเขาดังกล่าว ในทะเลทรายตามแถบที่ราบสูงเช่นนี้มีพืชขึ้นอยู่เพียงเล็กน้อย มีต้นตะบองเพชรและหญ้าสูงที่ขึ้นอยู่เป็นหย่อม ๆ เท่านั้น
ดอนฮวนหยุดพัก แกนั่งลงแล้วเอาน้ำเต้าใส่อาหารพิงไว้กับก้อนหินระมัดระวัง แกบอกว่าเราจะพักแรมกันที่นี่ในคืนนี้ แกเลือกเอาที่ที่ค่อนข้างสูง จากจุดที่ผมยืนอยู่ ผมจะมองเห็นทัศนียภาพไกลออกไปได้รอบตัว
วันนั้นท้องฟ้ามีเมฆมาก และยามสนธยาโอบล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็ว ผมเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเมฆสีแดงเรื่อจางสีลงเป็นน้ำตาลทางด้านทิศตะวันตก
ดอนฮวนลุกขึ้นแล้วเดินไปยังพุ่มไม้ เมื่อแกกลับมาเงามืดของภูเขาเป็นสีดำคล้ำ แกนั่งลงข้างตัวของผมและชี้ให้ผมดูสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นที่ภูเขาทางด้านเหนือ มันเป็นจุดที่มีสีจางกว่าบริเวณที่อยู่โดยรอบ ในขณะที่เทือกเขาทั้งหมดมองดูเป็นสีน้ำตาลแก่ แต่จุดที่ดอนฮวนชี้ให้ดูนั้นมีสีเหลืองหรือเกือบจะเป็นน้ำตาล ผมดูไม่ออกว่ามันเป็นอะไรแน่ ผมจ้องดูมันอยู่นานและดูเหมือนมันกำลังเคลื่อนไปมาได้ด้วย ผมคิดฝันไปว่ามันคงมีชีวิต และเมื่อผมกระพริบตา มันไหวตัวน้อย ๆ เหมือนกับว่าลมที่พัดมานั้นทำให้มันสั่น
"เพ่งดูที่จุดนั้น!" ดอนฮวนสั่ง
ผมจ้องดูอยู่ครู่หนึ่ง ขณะนั้นเองผมเห็นเทือกเขาทั้งเทือกเคลื่อนเข้ามาหาตัวของผม ในช่วงที่ผมรู้สึกเช่นนี้ ผมรู้สึกปั่นป่วนที่ช่องท้องด้วย ผมไม่สบายมากจนผมต้องยืนขึ้น
"นั่งลง!" ดอนฮวนตะโกนออกมา แต่ผมยืนขึ้นสุดตัวแล้วจากระดับที่ผมมองเห็น จุดสีเหลืองนั้นลดต่ำลงมาตามไหล่เขา ผมนั่งลงโดยไม่ละสายตาออกไปจากจุดนั้น และมันเลื่อนสูงขึ้นไป ผมจ้องดูอยู่อีกครู่หนึ่งและทันใดนั้นผมปรับสายตาได้ตามปกติ ผมจึงรู้ว่าสิ่งที่ผมจ้องดูนั้นไม่ได้อยู่ที่ภูเขา มันคือเศษผ้าสีเขียวอ่อนที่ห้อยอยู่บนยอดต้นตะบองเพชรสูงต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่เบื้องหน้า
ผมหัวเราะออกมาอย่างดังแล้วอธิบายให้ดอนฮวนทราบว่าตะวันยอแสงทำให้ผมมองเห็นภาพลวงตา ดอนฮวนเดินไปยังต้นตะบองเพชรแล้วดึงเอาเศษผ้าลงมา แกพับแล้วสอดมันเข้าไปในย่าม
"คุณเก็บมันไว้ทำไมดอนฮวน" ผมถาม
"เพราะเศษผ้าชิ้นนี้มีพลังน่ะสิ" แกพูดขึ้นมาลอย ๆ "คุณทำได้ดีมากครู่หนึ่ง และไม่มีทางจะทราบได้เลยว่าจะเกิดขึ้นถ้าคุณนั่งอยู่กับที่" ศุกร์ที่
๑๓ เมษายน ๑๙๖๒
เมื่อฟ้าสาง เรามุ่งหน้าเดินไปยังเทือกเขา มันอยู่ไกลมากจริง ๆ ในราวเที่ยงวันเรามาถึงโตรกผาแห่งหนึ่ง มีน้ำขังอยู่บ้างในแอ่งตื้น ๆ เรานั่งลงพักภายใต้เงาของผาหิน
ภูเขาเหล่านี้เกิดจากหินละลายไหลออกจากปล่องภูเขาไฟเป็นหย่อมใหญ่โตมโหฬาร หินละลายที่แข็งตัวและตากแดดตากลมนับล้านปีกลายเป็นหินดานสีน้ำตาลแก่ มีเพียงหญ้าที่แสนจะอดทนเหล่านั้นที่ขึ้นอยู่ในระหว่างก้อนหินและรอยแยก
เมื่อมองขึ้นไปตามกำแพงหินที่ตั้งฉากขึ้นไป ผมเกิดความรู้สึกน่าขนลุกขนพองตรงช่องท้อง กำแพงหินเหล่านี้สูงนับร้อย ๆ ฟุต มันทำให้ผมรู้สึกว่ามันกำลังเคลื่อนเข้ามาปิดกั้นผมไว้ ดวงอาทิตย์ลอยอยู่เกือบจะตรงศีรษะ คล้อยไปทางทิศใต้เล็กน้อย
"ลุกขึ้น" ดอนฮวนพูด แล้วหันร่างของผมให้มองไปที่ดวงอาทิตย์
แกบอกให้ผมเพ่งดูผาหินที่อยู่เหนือขึ้นไป
ภาพที่เห็นใหญ่โตมโหฬาร คามสูงเยี่ยมฟ้าของหินละลายที่ไหลลงมาทำให้จินตนาการของผมเพี้ยนไป ผมสงสัยว่าการระเบิดของภูเขาไฟจะเป็นอย่างไรหนอ ผมกวาดสายตาขึ้น ๆ ลง ๆ ตามหน้าผาของโตรกนั้นหลายครั้งและใส่ใจจดจ่ออยู่กับสีสันอลังการของกำแพงหินนั้น มีหย่อมของสีทุกสีและมีตะไคร่น้ำหรือราขึ้นอยู่เป็นหย่อม ๆ ที่หินทุกก้อน ผมมองสูงขึ้นไปเหนือศีรษะเห็นแสงแดดทำให้เกิดแสงสะท้อนสวยงามมหัศจรรย์ขณะที่มันสาดลงมากระทบหย่อมสีอันน่าดูยิ่งของหินลาวาที่แข็งตัวแล้วนั้น
ผมจ้องตรงไปยังบริเวณที่แสงแดดสะท้อนออกมาบนภูเขาเมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนไป ความจ้าของแสงก็จางลงไปด้วยแล้ววูบดับในที่สุด
ผมมองข้ามโตรกผาออกไปและมองเห็นบริเวณแห่งใหม่ที่สะท้อนแสงจ้าออกมา ผมบอกกับดอนฮวนว่ามองเห็นอะไร ต่อมาผมเห็นแสงตกลงมากระทบอีกจุดหนึ่ง และจุดอื่น ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งบริเวณโตรกผาทั้งหมดถูกแต้มด้วยแสงแดดที่สะท้อนมากระทบ
ผมรู้สึกเวียนศีรษะ แม้ว่าจะหลับตาลงไปก็ยังมองเห็นแสงแดดจ้านั้น ผมเอามือกุมหัวไว้แล้วพยายามที่จะคลานเข้าไปใต้ผาหินที่ยื่นง้ำออกมา แต่ดอนฮวนยึดแขนผมไว้แน่นแล้วสั่งให้ผมมองไปยังหน้าผาเพื่อหาส่วนที่เป็นเงาที่มืดที่สุดท่ามกลางแสงจรัสจ้านั้น
ผมไม่อยากจ้องดูเพราะประกายแสงจ้าแทงเข้าไปในตา ผมบอกว่า สิ่งที่ผมรู้สึกในขณะนี้เหมือนกับการจ้องดูท้องถนนยามแสงแดดส่องจ้าจากทางหน้าต่าง และต่อมาจะเห็นเงาดำของกรอบหน้าต่างเต็มไปหมด
ดอนฮวนสั่นหัวไปข้างโน้นข้างนี้แล้วหัวเราะออกมาอย่างดัง แกปล่อยแขนของผมแล้วเราขยับเข้าไปนั่งใต้ผาหินที่เงื้อมออกมานั่น
ผมบันทึกภาพอันน่าประทับใจของสิ่งแวดล้อมที่เห็น เมื่อดอนฮวน (หลังจากที่เงียบไปนาน) พูดโพล่งออกมาด้วยเสียงที่ทำให้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
"ผมพาคุณมายังที่แห่งนี้เพื่อจะสอนคุณถึงสิ่งหนึ่ง" แกพูด "คุณกำลังจะเรียนรู้ถึง การไม่-กระทำ เราคงต้องพูดกันในเรื่องนี้เพราะไม่มีทางอื่นเลยที่จะทำให้คุณเข้าใจ ผมคิดว่าคุณอาจจะเข้าใจ การไม่-กระทำ ได้โดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไรออกมาเลย แต่ผมคาดผิดไป"
"ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่ ดอนฮวน"
"นั่นไม่สำคัญหรอก" แกบอก "ผมกำลังจะบอกกับคุณถึงสิ่งหนึ่งที่ง่ายมาก แต่ยากที่สุดที่จะกระทำ ผมจะบอกกับคุณเรื่อง การไม่-กระทำ แม้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้มีอยู่ว่า ไม่มีทางที่จะพูดถึงมันได้ เพราะร่างกายเท่านั้นที่กระทำเรื่องนี้ลงไป"
แกชำเลืองเขม็งมาทางผมแล้วบอกว่า ผมต้องตั้งใจฟังสิ่งที่แกจะพูดอย่างเต็มที่
ผมปิดสมุดบันทึก แต่ผมก็ต้องประหลาดใจเป็นอย่างมากที่แกแนะให้ผมเขียนต่อไปได้
"การไม่-กระทำ เป็นเรื่องที่ยากและทรงพลังมาก จนคุณไม่ควรที่จะเอ่ยถึงมันเลย" แกพูดต่อ "ไม่พูดถึงจนกว่าคุณ หยุดโลก ได้แล้ว นับแต่นั้นคุณจึงจะพูดถึงเรื่องนี้ได้อย่างมีอิสระหากว่าคุณอยากจะพูดในเรื่องนี้"
ดอนฮวนมองไปรอบ ๆ แล้วชี้ไปยังหินใหญ่ก้อนหนึ่ง
"หินก้อนนั้นเป็นก้อนหินเพราะ การกระทำ"
เรามองตากัน และแกยิ้มออกมา ผมคอยฟังคำอธิบาย แต่ดอนฮวนคงเงียบ ในที่สุดผมต้องกล่าวออกมาว่าผมไม่เข้าใจสิ่งที่แกพูด
"นั่นก็เป็น การกระทำ!" แกอุทานออกมา
"ขอประทานโทษ"
"นั่นก็เป็น การกระทำ อีกเหมือนกัน"
"คุณกำลังพูดถึงอะไรอยู่ ดอนฮวน"
"การกระทำ ทำให้หินเป็นหิน และทำพุ่มไม้ให้เป็นพุ่มไม้ การกระทำ ทำให้คุณเป็นคุณและผมเป็นผม"
ผมบอกแกว่าคำอธิบายของแกไม่ได้อธิบายอะไรเลย ดอนฮวนหัวเราะแล้วยกมือขึ้นเกาหัว
"นี่คือข้อบกพร่องของการพูด" แกบอก "การพูดทำให้หัวข้อที่ยกขึ้นมาพูดนั้นสับสนเสมอไป ถ้าคุณเริ่มพูดในหัวข้อ การกระทำมันก็จะจบลงเป็นเรื่องอื่น กระทำลงไปจริง ๆ ดีกว่าพูด....
"ยกตัวอย่างของก้อนหิน การมองที่ก้อนหินนั้นเป็น การกระทำ แต่ การเห็น ก้อนหินเป็น การไม่-กระทำ"
ผมต้องสารภาพออกมา คำพูดของแกไม่ได้ทำให้ผมเข้าใจอะไรเลย
"เข้าใจสิ มันทำให้คุณเข้าใจมากทีเดียวแหละ" แกร้องออกมา
"แต่คุณคิดเอาว่าคุณไม่เข้าใจเพราะนั่นเป็น การกระทำ ของคุณ และนั่นเป็นปฏิกิริยาโดยทั่วไปที่คุณกระทำต่อผมและโลก"
แกชี้ไปยังหินก้อนนั้นอีก
"หินก้อนนั้นเป็นก้อนหินเพราะทุกสิ่งทุกอย่างคุณทราบว่าจะทำกับมันอย่างไร" แกพูด "ผมเรียกสิ่งนี้ว่า การกระทำ ส่วนมนุษย์ผู้รู้แจ้งนั้นรู้ดีว่า ก้อนหินเป็นก้อนหินเพราะ การกระทำ ดังนั้นหากว่าเขาไม่ต้องการให้ก้อนหินเป็นก้อนหิน สิ่งที่จะต้องทำก็คือ การไม่-กระทำ เข้าใจสิ่งที่ผมพูดหรือยังล่ะ"
ผมไม่เข้าใจสิ่งที่ดอนฮวนพูดเลย แกหัวเราะแล้วพยายามที่จะอธิบายอีกครั้ง
"โลกนี้เป็นโลกเพราะว่าคุณทราบดีถึง การกระทำ ที่ทำให้เกิดมันขึ้นมา" แกพูด "ถ้าหากคุณไม่รู้ถึง การกระทำ ที่ทำให้เกิดมันขึ้น โลกนี้ก็จะเป็นสิ่งที่ต่างออกไป"
ดอนฮวนสำรวจดูผมด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมหยุดเขียน ผมอยากฟังแกพูดเท่านั้น แกอธิบายต่อไปว่า หากไม่มี "การกระทำ" ที่กล่าวมาแล้วนั้น จะไม่มีอะไรที่เรารู้จักได้เลยในบรรดาสิ่งที่มีอยู่รอบตัวของเราขณะนี้
แกโน้มตัวลงไปหยิบเอาหินก้อนเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งขึ้นมาด้วยนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของมือข้างซ้ายแล้วยื่นมาข้างหน้าของผม
"นี่เป็นก้อนกรวดเพราะคุณทราบถึง การกระทำ ที่เกี่ยวข้องอยู่กับการทำให้มันเป็นก้อนกรวด" แกพูด
"คุณพูดเรื่องอะไร ดอนฮวน" ผมถามด้วยความสับสนอย่างแท้จริง
ดอนฮวนยิ้ม ดูเหมือนแกจะซ่อนความพอใจแผลง ๆ ของแกไว้
"ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคุณจึงสับสน" แกพูด "ถ้อยคำดูจะเป็นสิ่งที่คุณพิสมัยอย่างที่สุด คุณน่าจะอยู่บนสวรรค์ได้แล้วนี่"
แกมองผมด้วยสายตาที่มีแววลึกลับ และเลิกคิ้วข้นสองสามครั้ง แกชี้ที่ก้อนกรวดที่ยื่นออกมาเบื้องหน้าของผม
"ผมบอกว่า คุณกำลังทำสิ่งนี้ให้เป็นก้อนกรวดเพราะคุณรู้การกระทำที่เกี่ยวข้องอยู่กับมัน" แกพูด "และในการที่จะ หยุดโลก คุณต้องหยุด การกระทำ"
แกคงทราบดีว่าผมไม่เข้าใจเอาเลย จึงยิ้มและสั่นหัวไปมา ต่อมาแกหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาแล้วชี้ที่รอยบุ๋มบนกรวดก้อนนั้น
"ในกรณีของหินเล็ก ๆ ก้อนนี้" แกอธิบายต่อไป "สิ่งแรกที่ การกระทำ ทำกับมัน คือการทำให้มันหดเล็กลงมาจนมีขนาดเท่านี้ ดังนั้นการกระทำที่เหมาะสมซึ่งนักรบทำลงไปหากว่าเขาต้องการจะ หยุดโลก คือ ขยายหินก้อนเล็ก ๆ ก้อนนี้หรือสิ่งอื่นให้ใหญ่ขึ้นด้วย การไม่-กระทำ"
แกยืนขึ้นแล้ววางก้อนกรวดลงบนหินก้อนโตแล้วบอกให้ผมเข้าไปตรวจดูใกล้ ๆ แกบอกให้ผมดูที่รู และรอยบุ๋มบนก้อนกรวดและหารายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีอยู่ แกบอกว่าถ้าผมเห็นรายละเอียด ผมก็จะไม่เห็นรูและรอยบุ๋มและผมก็จะเข้าใจว่า "การไม่-กระทำ" หมายถึงอะไร
"ก้อนกรวดบัดซบนี่จะทำให้คุณบ้าละวันนี้" แกบอก
คงจะมีแววตื่นเต้นงงงวยปรากฏอยู่บนใบหน้าของผมอย่างแน่นอน ดอนฮวนมองดูผมแล้วหัวเราะดังก้องออกมา ต่อมาแกแกล้งทำเป็นโกรธก้อนกรวดก้อนนั้นจึงตบมันด้วยหมวกสองสามครั้ง
ผมเร่งเร้าให้แกอธิบายสิ่งที่แกพูดให้ชัด ผมบอกว่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่แกจะอธิบายอะไรก็ได้ถ้าแกพยายาม
แกชำเลืองมาทางผมด้วยสายตาอมเล่ห์แล้วสั่นหัวราวกับว่าสิ่งที่ผมบอกแกนั้นเป็นไปไม่ได้เลย
"แน่นอน ผมอธิบายอะไรก็ได้" แกพูดแล้วหัวเราะ "แต่คุณจะเข้าใจคำอธิบายนั้นไหมล่ะ"
ผมต้องผงะในถ้อยคำที่แกย้อนออกมา
"การกระทำ ทำให้คุณแยกกรวดก้อนนี้ออกจากหินใหญ่นั่น" แกอธิบายต่อ "ถ้าคุณต้องการที่จะเรียนรู้ถึง การไม่-กระทำ ก็ขอบอกว่า คุณต้องเชื่อมมันเข้าด้วยกัน"
ดอนฮวนชี้เงาเล็ก ๆ ของก้อนกรวดที่ทาบอยู่บนหินก้อนใหญ่แล้วบอกว่า นั่นไม่ใช่เงาแต่เป็นกาวที่มาเชื่อมหินทั้งสองก้อนให้ติดกัน แกหันไปอีกทางหนึ่งพลางบอกกับผมว่าจะกลับมาดูผมในภายหลังแล้วเดินจากไป