ผู้เขียน หัวข้อ: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?  (อ่าน 10306 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2010, 09:33:47 am »
                                             

ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
เอาเรื่องจริงของเด็กหญิงคนหนึ่ง มาเล่าสู่กันฟังเจ้าค่ะ

เอาเรื่องจริง ( 99.99 % ) ของเด็กหญิงคนหนึ่ง 
มาเล่าสู่กันฟังเจ้าค่ะ  ลองอ่านดูนะค้าาาา
***********************************************
เมื่อ ย้อนมาทบทวน ศีล 5 แต่ละข้อ
ที่อิฉันถือจนเมื่อยแล้วเมื่อยอีก ในตอนนี้
มันก็ทำให้อิฉันนึกถึง หลาย ๆ ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับศีล 5
ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เด็กผู้หญิงคนหนึ่งนะ ...
สมมุติว่า เด็กคนนั้น ชื่อ...หนูบัว( เหล่าที่ 5 ) ^ - ^

จำได้ว่า หนูบัวฯ เริ่มถือศีล 5 ครั้งแรก 
สมัยอยู่มัธยมปลาย
ตอนนั้นนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรก็ไม่รู้
จู่ ๆ ก็นึกอยากจะถือศีล 5 ขึ้นมาเฉย ๆ
ซึ่งก็ไม่ได้ถือเป็นกิจลักษณะ อะไร
ไม่ได้สมาทานศีลรับศีล ด้วยซ้ำ
ทำแค่พูดแสดงความตั้งใจว่า
จะถือศีล 5  แล้วก็แผ่เมตตา  ( เป็นภาษาไทย )
ก่อนนอนทุกคืนเท่านั้น

แต่ถ้าถามว่า ตอนนั้น ถือศีลได้จริง ๆ ไหม ?
หนูบัวฯ ก็ไม่แน่ใจเท่าไรนะ เพราะตอนนั้นยังเด็กนัก
รักษาศีลก็คิดแค่ งดฆ่าสัตว์ (งดตบยุง งดเหยียบมด  )
ไปตามประสาเด็กนั่นแหล่ะ ไม่ได้มองเชิงลึกอะไร
แต่ตอนนั้น ทำแล้วก็รู้สึกว่า จิตมันผ่องใส ดีนะ
ทว่า หลัง ๆ มัววุ่นวายกับการเตรียมตัวสอบเข้า มหาลัย
เลยร้างลาไปยาววววววววววววว เลยแหล่ะ

อืม...ตอนนี้ สิบปีผ่านไป....
หนูบัวฯ ก็เพิ่งจะรื้อฟื้น โปรเจคถือศีล 5 ขึ้นมาใหม่นะ
ก็โอ้เอ้ โฉเฉอยู่เกือบเดือนเลยแหล่ะ
กว่าจะยอมถือศีลแบบจริง ๆ จัง ๆ
ตอนนี้ก็ถือมาได้ เดือนกว่า ๆ แล้วมั้ง
แต่ไม่ได้ถือเป็นกิจลักษณะ อะไร
และ ไม่มีการ อาราธนา/สมาทานศีล อย่างเป็นทางการ ( เหมือนเคย )

เพราะหนูบัวฯ ไม่ชอบพิธีกรรมจุกจิกทุกชนิด
ชีวิตนักเรียนที่ต้องถูกบังคับให้ตากแดดหัวแดง
แล้วแหกปากสวดมนต์หน้าเสาธง ทุกวี่ทุกวัน
หาได้ขัดเกลาจิตใจของเธออย่างที่กระทรวง ศธ. คาดหวังไม่

แต่มันทำให้เธอพาลเกลียดพิธีกรรมยิบย่อยทางศาสนาไปเลย
เธอท่องจำคำอาราธนาศีล และ บทสวด ต่าง ๆ
ได้เป็นนกแก้วนกขุนทอง เพื่อเก็บคะแนนสอบมาเยอะแล้ว
เธอเบื่อเจ้าสิ่งนี้และนึกสงสัยว่า
ทำไมคุณครูถึงสอนให้ท่อง จำ อย่างเดียวนะ
แล้วทำไม ไม่เห็นมีครูคนไหน... ทำ... ให้เธอดูเป็นตัวอย่างเลย
ด้วยเหตุปัจจัย ดังกล่าว พอคิดจะถือศีล
หนูบัวฯ ก็เลยกระโจนเข้าไปถือลุ่น ๆ อย่างนั้น
ประมาณว่า อยากทำ ก็ทำเลย ไม่ต้องอรัมภบท


ตอนนั้นที่สนใจจะถือศีล ก็เพราะมีคนรู้จักเอาหนังสือ
เรื่อง  " รู้ทันกรรม รู้ทันโลก" ของ พระภาสกร
มาให้หนูบัวฯ อ่านทั้งที่ ไม่ได้เอ่ยปากขอ ( อีกแล้ว )
แม้จะอ่านแล้วจะเฉย ๆ กับ เรื่อง บุญ บาป และ กฏแห่งกรรม
เพราะทำใจยอมรับ วิบากทุกอย่าง ที่ตนตัดสินใจกระทำได้
ประมาณว่า กล้าทำ ก็ต้องกล้ารับ ทั้ง นรกสวรรค์ที่ตัวเองสร้างมันขึ้นมา

แต่ พออ่านแล้ว หนูบัวฯ ก็นึกสงสาร ชีวิตอื่น ๆ
ที่อยู่รอบตัวที่ถูกเธอเบียดเบียน
และ เมื่อ ย้อนกลับไปอ่าน
คำว่า " กระทบโลก กระทบเรา "
ที่เขียนไว้หราที่หน้าปก น่ะ
มันกระทบใจ เธอ อย่างแรงนะ
อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว 
รู้สึก ไม่อยากเบียดเบียนชีวิตอื่น อีก
ก็เลยเอาวะ ลองถือ ศีล 5 ดูดิ๊
ดูว่า ถือแล้วมันจะหนักเหมือนแบกกระสอบ ข้าวสารหรือเปล่า ?

ผลก็คือ แม้มันจะไม่หนักเหมือนกระสอบข้าวสาร
แต่มันบอบบาง จังแฮะ ศีลขาดประจ๊ำ
ต้องวิ่งโร่มา ต่อศีล ทุกคืนเล๊ย เฮ้อ



ศีลข้อ 1
ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
(ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือเจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการฆ่า )


"หลวงพ่อค้าาาาา จริงไหมค้าาาาที่พ่อหนูบอกว่า

ทางไปวัดมันหมอง ทางไปหนองมันเตียน

เวลาพ่อแบกปืนไปยิงปลา ที่หนอง
พ่อชอบบอกให้หนูฟัง แบบนี้น่ะค่าาาา  "

เด็กหญิงตัวกระเปี๊ยกคนหนึ่ง เคยคลานกระดุ๊บ ๆ
ไปพนมมือเอ้เต้ เสนอหน้าถามท่านเจ้าอาวาสด้วยความอยากรู้
ตอนที่ท่านแสดงธรรมโปรดญาติโยม

ฟังหนูน้อยบัวฯ พูดแล้วหลวงพ่อท่านทำท่างง ๆ
ส่วนมารดาของเด็กหญิงตีหน้าปูเลี่ยน ๆ กับ ปากของลูกสาว
แต่สุดท้ายหนูบัวฯ ก็ไม่ได้คำอธิบายจากปากของหลวงพ่ออยู่ดี
( แถมยังเกือบถูกคนเป็นแม่หยิกจนเนื้อเขียว  )

หลังจากไปตั้งปุจฉาถามเจ้าอาวาสที่วัดวันนั้น
แล้วไม่ได้คำตอบ หนูบัวฯ ก็เลยใช้ชีวิตแบบ
ทางไปวัดมันหมอง ทางไปหนองมันเตียน
เวลาแม่พาไปฟังเทศน์ ที่วัด
แม่หนูยังคงแอบไปวิ่งเล่นที่ลานวัด
เก็บดอกพิกุลมาร้อยกับก้านดอกหญ้า
แอบไปปีนต้นตะขบในวัด จนโดนหลวงพี่ตะเพิด
บางครั้งก็เลยเถิดไปเล่น ผจญภัยกับเพื่อน
 จับหนอนมาเลี้ยงนกในกรง ลงน้ำไปจับปลา
วิ่งไล่จับตั๊กแตน มาปิ้งกิน ตามประสา

แต่ก็มีบ้างบางครั้งที่ ต่อมศีลธรรมมันกำเริบ
เด็กหญิงแย่งเอาปลาที่แม่ขังไว้(เพื่อทำแป๊ะซะ) ไปปล่อยในน้ำ
บางทีก็แย่งเอาปูนาที่แม่ซื้อมาทำปูดอง ไปปล่อยที่หนอง
สุดท้ายแม่คงเหลืออด กับพฤติกรรมประหลาด ๆ ของลูกสาว
เลยเลิกซื้อสัตว์เป็น ๆ มาทำกินในบ้าน
เพื่อเป็นการยุติสงครามแย่งปูแย่งปลากับคุณลูกสาว

ครั้น พอเข้าเรียนชั้นประถม หนูบัวฯ ก็ได้มีโอกาส
รู้จักกับคำว่า ศีล 5 เป็นครั้งแรก
เมื่อครูสอนวิชาจริยธรรม สอนเธอท่องคำอาราธนาศีล 5
เธอฟังด้วยความรู้สึกสับสน พร้อมกับบ่นในใจ ว่า
ทำไมศีล 5 มันมีหลายข้อจังนะ แล้วงี้ใครจะไปจำไหว (วะ) ?
ว่าแต่ละข้อหมายถึงอะไร มีแต่ภาษาแปลก ๆทั้งนั้น ( ภาษาบาลี )
ออกข้อสอบขึ้นมาแย่ แน่ ๆ (ตก แหง๋ ๆ เลย)

แล้ววันหนึ่งก่อนสอบไล่ เพื่อนที่แสนดีของเธอ
ก็สอน "วิชามาร / เทคนิคช่วยจำ" เจ้าศีล 5 ข้อให้เธอ
ด้วยการแหกปากท่องศีล 5 กรอกหูให้ฟัง ว่า
" ข้อ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ ( ถ้ายุงกัดให้รีบตบ ! )  ข้อ 2  ...ฯลฯ ..."
น่าขำที่ฟังคำเพื่อนบอกแล้ว
มันช่วยให้เด็กหญิงจำเรื่องศีล 5
ไปตอบข้อสอบได้อย่างแม่นยำ
ยิ่งกว่าตอนครูพร่ำสอน
จนปากเปียกปากแฉะในชั้นเรียนเสียอีก


และแม้กลอนนอกรีตพวกนี้
มันจะระคายเคืองความรู้สึกของหลายคน
แต่เมื่อเหนูบัวฯย้อนกลับไปท่องอีกครั้ง
เธอพบว่า กลอนสอนใจที่ไร้จรรยาบรรณเหล่านี้
มันก็สะท้อนวิถีชีวิต ของสังคมแสร้งจริต แบบไทย ๆ ได้ดีทีเดียว
มันทำให้เธอเข้าใจ ภาษิตที่ว่า มือถือสากปากถือศีล แบบถ่องแท้
และพบว่าเธอเองก็ใช้ชีวิตแบบนั้นเหมือนคนอื่น ๆ
ที่เป็นพุทธตามทะเบียนบ้าน
และถือ ศีลแบบ ข้อ 1 ....ห้ามฆ่าสัตว์ ( ถ้ายุงกัดให้รีบตบ ! )


เมื่อหนูบัวฯโตขึ้น จนเข้าเรียนมหาลัย
เธอได้รู้จักกับ เด็กหญิงอีกคน  ชื่อ หนูปูเป้
แม่หนู ปูเป้ เป็นคนหน้าตาธรรมดา ๆ ที่เห็นอยู่ดาษ ๆ
แต่ พฤติกรรม หนึ่งของปูเป้
ที่ยังประทับใจหนูบัวฯ มาจนถึงทุกวันนี้ คือ
ปูเป้ไม่เคยทำร้ายสัตว์เลย ไม่เคยแม้กระทั่งตบยุงสักตัว

แม้แต่ตอนที่เห็น เจ้ายุงร้ายมาเกาะแขนดูดเลือดเธอจนอิ่มแปร้
ภาพแม่หนูปูเป้ ค่อย ๆ โบกมือไล่ยุงไป ด้วยสีหน้าที่สงบ
มันยังคงฝังอยู่ในใจของหนูบัวฯ จวบจนทุกวันนี้
และภาพนั้น ก็ ก่อเกิดแรงบันดาลใจ
ให้หนูบัวฯ เดินตามรอยแม่หนูปูเป้
ด้วยการไม่ตบยุงและหลีกเลี่ยงการ ฆ่าสัตว์ทุกชนิด ...

หนูบัวฯ ประคับประคองศีล ข้อ 1 ไว้ได้ประมาณปีกว่า
จนเมื่อปิดเทอมต้องกลับมานอนเขลงอยู่ที่บ้าน
ยุงเจ้ากรรมก็ยกโขยง บินว่อนมาทดสอบความอดทนของเธอ
สุดท้ายหนูบัวฯก็ทนไม่ไหว  ขืนยังใจเย็นต่อไป
มีหวังเธออาจต้องตายเพราะไข้มาลาเรียขึ้นสมองเป็นแน่แท้
เธอ ตัด " ศีล "  ข้อ 1 ออกจากใจ ตั้งแต่วันนั้น เป็นต้นมา
ในเมื่อยุงมันรังแกเธอ เบียดเบียนชีวิตและเลือดเนื้อ ของเธอ
ก็เป็นการสมควร ที่เธอจะทวงหนี้แค้นบัญชีเลือดกับมันมิใช่หรือ ?
ในเมื่อ เลือด ต้อง ล้างด้วยเลือด....นั่นคือสิ่งที่หนูบัวฯคิดในตอนนั้น

และเมื่อเลือดของยุงตัวแรกเปื้อนมือเธอ อีกครั้ง
มันทำให้เธอ ตะขิดตะขวง และ ไม่สบายใจเล็กน้อย
ต่อเมื่อฆ่ายุงไปหลาย ๆ ตัวเข้า เธอก็เริ่มชินชา
และเห็นการทำลายชีวิตยุงเป็นเรื่องธรรมดา
หลังจากวันนั้นหนูบัวฯ จำไม่ได้หรอกว่า
เธอฆ่ายุงไปแล้วกี่ตัว เหยียบมดไปแล้วเท่าไร ?
เหมือน ๆ กับ ที่เธอไม่เคยใส่ใจจะนับ ว่า
วันหนึ่ง ๆ เธอกินข้าวไปกี่เมล็ด 
เดินไปแล้วกี่ก้าว พูดไปแล้วกี่คำ

เมื่อหนูบัวฯ ก้าวเข้าสู่วัยทำงาน
พี่ที่ทำงานด้วย เล่าให้ฟัง ว่า
ลูกสาวของพี่เขา ไม่เคยตบยุงเลย
เพราะเขามักจะสอนให้ลูกสาวของเขางดเบียดเบียนชีวิตสัตว์
คำบอกเล่าของพี่ที่ทำงาน
สร้างแรงบันดาลใจ ให้เธอหวนกลับไปถือศีลข้อ 1 อีกครั้ง
แถมตอนหลังแฟนของพี่คนนี้
เอาหนังสือ รู้ทันกรรมรู้ทันโลก ของพระภาสกร มาให้เธออ่านด้วย
เธอเลยรู้สึกสนใจอยากทดลอง
ถือศีล5 ( เป็นงานอดิเรก )มากขึ้น

ความเป็นผู้ใหญ่ทำให้หนูบัวฯ ถือศีล ข้อ ที่ 1  ได้ดีขึ้น
แต่เธอก็ตัดได้แค่ กายกรรม เท่านั้น
พอโดนยุงกัดเธอจะปัดมันไปโดยไม่ทำร้ายอะไร
แต่พอเห็นเจ้ายุงจอมตะกละ ท้องแดงเป่ง ตัวอ้วนปี๋
ค่อย ๆ ขยับปีกบินหนีอย่างเกียจคร้าน
มาวนเวียนอยู่ตรงหน้าราวกับจะยั่ว
เธอก็ได้แต่กำหมัดริก ๆ ทำหน้างอหงิก
แยกเขี้ยวแล้วส่งสายตาอาฆาตไปยังเจ้ายุงนั่น
( ถ้าสายตาของเธอเป็น ไฟ ไอ้ยุงตัวนี้คงไหม้เป็นจุณไปแล้ว )

และบางครั้งเจ้ายุงนี่มันก็แอบเข้ามากัดจนคันยิก ๆ
แล้วเธอก็เผลอไปเกาถูกเจ้ายุงเข้า จนมันเละตายคามือ
เมื่อเห็น ซากยุงโชคร้ายตัวนั้น
เธอก็แอบสะใจลึก ๆ ประมาณว่า
นี่ไม่ใช้ความผิดของเธอ นะ
เธอไม่ได้เจตนาจะฆ่ามันซะหน่อย
ช่วยไม่ได้นี่ มันกะเร่อกะร่า มาให้เธอฆ่าเองนิ

หนูบัวฯ ถูลู่ถูกังแบกศีล ข้อที่ 1 แบบนี้เรื่อย มา

จนวันหนึ่ง เธอนึกครึ้มอยาก ลดความอ้วน
แต่ เธอไม่ชอบวิ่งเพราะมันเหนื่อย
เธอจึง ตัดสินใจว่า
งั้นเดินจงกรม แทนการวิ่งจ๊อกกิ้งดีกว่า
เพราะนอกจากจะได้ออกกำลังกายเพื่อลดพุงแล้ว
เธอยังจะได้ฝึกเจริญสติไปด้วย
( เธอชอบยิงกระสุนนัดเดียวได้นกเป็นพวง
เลยดีดลูกคิดรางแก้วแบบนี้ )

ซึ่งมันก็เป็นความบังเอิญที่น่าขัน
การเดินจงกรมแนวทดลองที่เธอพยายามทำช่วงนั้น
มันช่วยให้ ศีล กับ สมาธิ ของเธอมาบรรจบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
ณ จุดที่ ศีลผสมกลมกลืนกับสมาธิ
มันทำให้มุมมองของเธอที่มีต่อชีวิตรอบ ๆ ตัวเปลี่ยนไป
โดยเริ่มจาก การเปลี่ยนความคิดที่มีให้กับยุงตัวหนึ่ง...

จากที่เคยห้ามได้แค่กาย ไม่ให้ทำร้าย เจ้ายุงจอมตะกละ
มาเดี๋ยวนี้ เธอก็ห้ามไม่ให้ใจคิดร้ายกับมันได้ด้วย
เวลายุงมันบินวี๊ ๆ อวดท้องแดงเป่ง
ส่ายก้นแหลมๆ ยั่วจริตของเธอ
เธอก็แค่ยิ้ม แล้วนึกยินดี
ที่เลือดของเธอช่วยให้เจ้ายุงที่น่าสงสารตัวหนึ่ง
หายหิวได้อิ่มท้องไปอีกมื้อ

แม้เธอจะไม่ได้เต็มใจบริจาคเลือดให้มันก็ตาม
แต่ในเมื่อเจ้ายุงนี่ แอบขโมยกินเลือดเธอจนอิ่มแปร้ ไปแล้ว
ก็ปล่อยมันไปเหอะ อย่าไปถือสามหาความกับมันเลย
อโหสิกรรมให้มันเถิดนะ วงจรชีวิตของยุง นั้นสั้นนัก
ถ้าเลือดแค่ไม่กี่หยด ของเธอ 
พอจะช่วยให้มันมีความสุขได้บ้าง
เธอก็น่าดีใจมิใช่หรือ หนูบัวฯคิดของเธออย่างนั้น

จากการเปลี่ยนความคิดที่มีต่อ สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง
มันทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ กับสิ่งมีชีวิต อีกหลายชนิดเลยนะ
หนูบัวฯ เริ่มหันกลับมาหลีกเลี่ยงการเบียดเบียนทุกชีวิต
งดการตบยุง งดการบี้มด ( แม้มันจะทะลึ่งมากัดเธอก่อนก็ตาม )
เวลาไปไหนเธอก็จะพยายาม ดูดี ๆ ก่อนเดิน
จะได้ไม่เผลอไปเหยียบหอยทาก หรือ แมลง เข้าให้อีก
( เมื่อก่อนเผลอเหยียบประจำเลย )
แถมบางทีก็ดันเข้าไปยุ่งเป็นธุระจัดหาที่อยู่ใหม่ 
ให้กับน้องหอยทาก ที่หนีแดดไม่ทัน
แล้วทำท่าจะแห้งตายบนพื้นซีเมนต์
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2010, 09:34:29 am »
ซึ่งพอถือศีลข้อ 1 นาน ๆเข้า เธอก็รู้สึกว่า
ดวงจิตของเธอมันผ่องขึ้นนะ
มันเหมือน ได้ขัดเกลาเอาสนิมอารมณ์
และคราบไคลของกิเลสตัณหา ออกไป
ที่สำคัญ จริตของเธอมันก็ดูอ่อนไหวง่ายอย่างไรพิกล
ดูมันไวกับความรู้สึกที่เข้ามากระทบมากเลย

เช่น ครั้งหนึ่งเมื่อเธอเปิดดู รายการ กบนอกกะลา
ตอนแป้งสาคู เมื่อเห็นชาวบ้านเอาด้วงสาคูตัวเป็น ๆ มากิน
จริตมันก็เกิดอาการเศร้าหมองแฮะ รู้สึกไม่ดีกับภาพที่เห็นเลย

ยิ่ง กบนอกกะลา ตอน หอยแครง อีก
พิธีกรแงะฝาหอยควักเนื้อมันขึ้นมากินสด ๆ
โอยยยยยยยยย  จริตของเธอก็ยิ่งหดหู่มากขึ้น
เธอถามตัวเองว่า เจ้าหอยแครงกับตัวด้วง
ที่ถูกจับมากินเป็น ๆ อย่างนั้น พวกมันเจ็บไหม ?
ทำไมคนเราต้องเสาะแสวงหาความสุข
บนความทุกข์ความเจ็บปวดของชีวตอื่นด้วยนะ
เธอชักไม่อยากมีความสุขบนความทุกข์ของชีวิตอื่นแล้วสิ

ความรู้สึกนี้ยิ่งถูกตอกย้ำมากขึ้น
เมื่อเธอขึ้นรถโดยสารกลับบ้าน
แล้วเห็นรถบรรทุกหมูวิ่งผ่าน
น้องหมูพวกนั้นหน้าตามันเศร้า ๆ จังเลยแฮะ
คิดได้เท่านี้ จริตที่แสนจะอ่อนไหว
ก็ เริ่มชักชวน
" เลิกกินเนื้อสัตว์ดีไหม  จะได้ไม่ต้องเบียดเบียนชีวิตอีก "

ซึ่งเธอเองก็ร่ำ ๆ จะเห็นดีเห็นงามไปกับมันอยู่แล้ว
ถ้าไม่นึกถึง ลูกชิ้นหมูเจ้าอร่อย ในตลาดขึ้นมาเสียก่อน
แค่คิดว่า จะต้องตัดขาดกับ น้องลูกชิ้นของโปรด
กับ น้องไก่ทอดเนื้อนุ่ม ๆ หนังกรอบ ๆ ไปชั่วชีวิต

เจ้าความตะกละในตัว ก็เกิดอาการทนไม่ได้ 
มันตัดสินใจปฏิเสธ
ความต้องการของ กุศลจริต แทนเธอ ชนิดสิ้นเยื่อขาดใย
โดยบอกเจ้ากุศลจริตแสนดี ไปว่า
นี่แหน่ะ ขืนต้องกินอด ๆ อยาก ๆ
ต้อง พลัดพรากจากน้องลูกชิ้นทอด แสนรัก
หนูบัว ฯ คงทำใจลำบากมั่ก ๆ
หนูบัวฯ เค้ามีราคะ-จริตเป็นเจ้าเรือน
เป็นพวกลัทธิ เสพสุข นะยะ
นิยมอยู่กับความสุขสม
ต้องกินดี ๆ ต้องอยู่ดี ๆ และ นอนดี ๆ
ขืนให้กินแต่ผักแต่หญ้า
เป็น ฤาษีชีไพร งี้ไม่ไหวหรอก
 หนูบัวฯต้องเฉาตายแน่ ๆ


เจ้าจริตใฝ่ดี ฟังข้อโต้แย้งแล้ว ก็ล่าถอย
เมื่อถูกเจ้าความตะกละ ตีพ่ายจนแตกกระเจิง
 แต่มันก็ยังไม่ยอมแพ้ 
ล่าสุดนี่มันก็มาสะกิดยิก ๆ บอกเธอว่า
นี่ ๆ น้องบัวฯจ๋าาาาาาาาาาาาาาา
ถ้ายังตัดใจเลิกกินเนื้อสัตว์ไม่ได้ ก็ลดได้ไหม ?
อาทิตย์นึงมีตั้ง เจ็ดวัน งดกินเนื้อแค่อาทิตย์ละวันสองวัน
เธอไม่ตายหรอกน่า
ตั้งแต่ลืมตาดูโลกใบนี้
เธอก็พรากชีวิตอื่นเพื่อเอามาต่อชีวิตตัวเอง
จนนับไม่ถ้วนแล้วนะ ลดได้ก็ลดเหอะน่า


คราวนี้พอ ฟัง เจ้าจริตแสนดีมัน ชี้ชวน
หนูบัวฯ ก็ชักคล้อยตาม ...เลยตัดสินใจว่า เออ ๆ ลองดูก็ได้
"งดกิ๋นจิ๊นแค่อาติ๊ดละ วันสองวัน ฮา คง บ่ ลงแดงต๋ายหรอกน่า "
หนูบัวฯ ปลอบใจตัวเองอย่างนั้น

แต่พอเจ้ากุศลจริต มันรู้เข้า ก็ชักได้ใจ
หา ยอมหยุดแค่นี้ไม่
มันเริ่มงอแงจะเรียกร้องจะเอาโน่นเอานี่เพิ่มเติม
( ช่างโลภมากเหลือเกิน )

มันบอกหนูบัวฯ ว่า แหม ๆ อาทิตย์หนึ่งมีตั้งเจ็ดวัน
มันขอ งดกินเนื้อได้แค่ 2 วันเท่านั้นเอง
ทีไอ้เจ้าตัวตะกละ หนูบัวฯยังมีเวลาให้ตั้ง ห้าวัน
ลำเอียง ๆๆๆๆ ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
มันขอมากกว่านี้หน่อยได้ไหม
อย่างน้อย ห้าสิบห้าสิบก็ยังดี
ฟังแม่จริตแสนดีมาตะแง้ว ๆ ข้าง ๆ หูบ่อยเข้า
หนูบัวฯ ก็เลยใจอ่อนอีกตามเคย
ยอมสัญญากับมันว่า จะ กินมังสวิรัต 3 วัน
คือ อังคาร พุธ พฤหัส

"วันศุกร์ มีตลาดนัด ของกินเพียบบบบบเลย
ยังไงก็งดไม่ได้หรอกนะ
แถม เสาร์ อาทิตย์ ก็เป็นวันหยุดอันแสนสุข
เจ้าตัวตะกละมันจองคิวล่วงหน้าไว้แล้ว แคนเซิ่ล ไม่ได้ซะด้วย
ส่วนวันจันทร์ หนูบัวฯก็ต้อง...เก็บตก....
ของกินกองพะเนินที่เหลือจากวันหยุด
และวันอังคาร ก็ไม่รับปากเต็มที่นะ
ถ้าวันจันทร์ เก็บตก ไม่หมด วันอังคารก็ฟาล์ว "
เธอแจกแจงบอก เจ้ากุศล-จริต เสียงแข็ง
เพื่อกันไม่ให้มันเรียกร้องมากเกิน

ตอนนี้เวลาก็เดินก็ผ่านไป สองอาทิตย์แล้วสินะ
ที่แม่จริตแสนดีมันจับบัวฯเซ็น สนธิสัญญา งดนำเข้าเนื้อสัตว์ใส่ปาก
อังคารแรกที่เริ่มกินมังฯ  ชีวิตหนูบัวฯ ก็อับเฉาเหลือทน
ทำเอา หนูบัวฯเข้าใจ ( และเห็นใจ ) นางพันธุรัตน์ แม่เลี้ยงพระสังข์เลยนะ
เข้าใจเลยว่า การต้องข่มความอยากกินเนื้อหนังมังสา มันแย่แค่ไหน

จากที่เคยเอ็นจอยกับการเอาโน่นเอานี่เข้าปากอย่างสนุกสนาน
จนหนังท้องตึงหนังตาหย่อนทุกคืน
มาตอนนี้หนูบัวฯ กลับรู้สึกว่าท้องมันเบา ๆ โหวงๆไงพิกล
จากที่เคยกินจนท้องมันเต่ง ดีดได้ดัง ปุ๊ ...ปุ๊...
ตอนนี้ ท้องมันกลับแฟ่บ ดีดแล้วดัง แป่ะ...แป่ะ...
( แหม ? เสียงมันช่างไม่ไพเราะเอาซะเลย )

แถม ใจ หนูบัวฯมันก็คอยจะโหยหาแต่...
น้องลูกชิ้น(หมู ) กับน้องไก่ ( ทอด )
ไปตลาดก็ได้แต่ชะเง้อมองน้องหมูน้องไก่ ตาละห้อย
พร้อมกับสัญญิงสัญญาในใจว่า น้องหมูจ๋าน้องไก่ จ๋า
รอพี่หนูบัวฯ ก่อนนะ ศุกร์นี้เดี๋ยวเจอกัน !

แต่ที่น่าขำ คือ พอถึงวันศุกร์จริง ๆ
หนูบัวฯไปตลาดด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ
แม่ค้าไก่ทอดกับพ่อค้าลูกชิ้น กลับพาผิดนัด ปิดร้านหนีหนูบัวฯไปเฉย
มาเปิดอีกทีก็วันเสาร์ ทำเอา หนูบัวฯเซ็งจิต
แล้วก็พาลนึกเบื่อที่จะกินน้องหมูน้องไก่ ซะงั้น

ถึงตอนนี้ หนูบัวฯก็ยังไม่รู้หรอกว่า
หนูบัวฯจะกิน มังฯ ไปได้สักกี่น้ำ
แต่ก็รู้สึกดีนะ ที่ได้ลดการเบียดเบียนชีวิตลงไปมั่ง
หนูบัวฯ พรากชีวิตอื่นเพื่อต่อชีวิตตัวเองมานักแล้ว
ละตัณหา (ความอยาก) ในตัว เพื่อต่อชีวิต ให้กับสัตว์อื่นเสียบ้าง
มันก็เข้าท่าดีเหมือนกัน
บางที...การนั่งคุยกับความความอด ๆ อยาก ๆ และ ความไม่เจริญอาหาร
แค่อาทิตย์ละสองสามวัน เพื่อความสุขของชีวิตอื่น มันก็คุ้มค่านะ ^ - ^


จริง ๆ การกินมังฯ ของหนูบัว ฯ มันก็ไม่ได้ราบรื่นนักหรอกนะ
คนที่เคยใช้ปากหาความสุขจากเลือดเนื้อของสัตว์อื่น
บางทีมันก็ยังติดใจกับในเนื้อหนังมังสาที่เคยกินอยู่บ้าง
จำได้ว่า ครั้งหนึ่งหนูบัวฯ รู้สึก คิดถึงเนื้อหมู มั่ก ๆ
เลยหาทางออก ด้วยการคิดจะไปกิน โปรตีนเกษตร
เพราะรสชาดมันคงจะพอทดแทนเนื้อสัตว์ได้มั่งแบบกล้อม ๆ แกล้ม ๆ

วันนั้นหนูบัวฯ เสริ์ชกูเกิ้ลเพื่อหาข้อมูลเรื่อง โปรตีนเกษตร อยู่นานเลย
พอแน่ใจว่ามันไม่มี ส่วนประกอบของเนื่อสัตว์
เลย ตั้งใจว่า พรุ่งนี้จะลองไปซื้อมากินสักหน่อย
เผื่อจะบรรเทาความอยากในใจลงไปได้มั่ง
แต่วูบหนึ่ง แม่จริตแสนดีในใจ มันกลับส่งเสียงถามหนูบัวฯ ว่า
ทำไมต้องยึดติดกับรสชาดของเนื้อหนังเหล่านั้นด้วยล่ะ
ในเมื่อหนูบัวฯคิดจะลดการเบียดเบียนชีวิต
หนูบัวฯก็ควรจะงดการเบียดเบียนทั้งที่ปาก และ ที่ใจของหนูบัวฯ ด้วย

ถึงแม้โปรตีนเกษตร จะไม่ใช่เนื้อสัตว์
แต่เวลาที่หนูบัวฯ กัด บัวฯเคี้ยว เจ้าโปรตีนฯ นั่น
หนูบัวฯนึกถึงอะไรล่ะ
หนูบัวฯ ก็คงคิดถึงแต่ ความอร่อย ที่สมมุติไปเอง ว่า
เจ้าโปรตีนฯ นี่ คือ เนื้อหมูเทียม ๆ
แล้วก็กระหยิ่มยิ้มย่องว่า ดีจังที่ได้อร่อยกับเนื้อหนังสมมุติ
โดยไม่เบียดเบียนชีวิตใคร อร่อย แถมยังไม่บาปด้วย
แต่ที่จริง มโนกรรมมันไปแล้วนะ  มันเริ่มคิดไม่ดีแล้ว
จิตหนูบัวฯ มันคงเริ่ม ยึดติดจนเกิดความเพลิดเพลินยินดี
กับสิ่ง ที่ สมมุติว่า เป็นเนื้อหนังที่ได้จากความตายของชีวิตอื่นไง

พอจริตมันทักท้วงแบบนั้น
หนูบัวฯก็เลยได้แต่ถอนใจเฮือก
แล้วก็ตัดใจ เอาวะ ไม่ซื้อ โปรตีนเกษตรมากิน ก็ได้
ทนย่อยผักย่อยหญ้า ไปตามมีตามเกิดแล้วกัน
ฟังดูเหมือนเคร่งครัดกับชีวิตเกินไปนะ
แต่จริง ๆ หนูบัวฯ ก็ไม่ได้ถือมังฯ จนตัวเองเมื่อย หรอก
พอวัน ศุกร์ ถึง จันทร์ ออกจากมังฯ
หนูบัวฯ ก็กินแหลกเหมือนกัน ทั้ง หมูเห็ดเป็ดไก่
เพียงแต่ช่วงที่ตั้งใจจะกินมังฯ
หนูบัวฯก็อยากจะให้มัน ลดการเบียดเบียนชีวิต
ให้ได้ครบถ้วน ทั้ง กาย และ ใจ น่ะ

โชคดีอยู่อย่างที่สภาพแวดล้อมรอบตัว หนูบัวฯ มันเอื้อฯ
พอจะ งดกิ๋นจิ๊น ก็แค่ต่อสู้นิด ๆ หน่อย ๆ กับเจ้าตัวตะกละในใจเท่านั้น
ไม่เคยมีอาการเหม็นคาว หรือ ทุรนทุรายกับความอยาก จนทนไม่ได้
เพราะถ้าเป็นงั้น หนูบัวฯ ก็คงเลิกทำไปแล้ว
การฝืนจริตจนเกินไป ไม่ใช่วิสัยของ หนูบัวฯ
ถ้าทำแล้วทุกข์มากขึ้น เธอ ก็ไม่รู้จะทำไปทำไม
แม้ในยามที่เป็นทุกข์
คนเราต้องแสวงหาทางพ้นทุกข์
ไม่ใช่จมปลัก อยู่กับ ความทุกข์
โดยเฉพาะทุกข์ที่เราสร้างมันขึ้นมาด้วยจริตของเราเอง...


แถมตอนหลัง พอหนูบัวฯ ถือศีล ข้อ 1 มากเข้า
ก็เริ่มอยากชวนคนใกล้ตัวมาถือศีลด้วย
พอเห็นแม่ปัดหยากไหย่ ไล่ตีเจ้าแมงมุม
กระทืบแมลงสาบ พร้อมกับ บี้มด ที่แอบมาทำรัง ที่บ้านพัก
เธอก็เริ่มเลคเชอร์เรื่อง กุศลของการถือศีล ข้อ 1 ให้แม่ฟัง
ด้วยการบอกให้เข้าใจ ง่าย ๆ ว่า
ถ้าเราลดการเบียดเบียนชีวิตอื่น
ชีวิตอื่น ก็จะไม่มาเบียดเบียนเรา
แถมยัง ได้อานิสงค์ ไม่เจ็บป่วยง่าย ด้วยนะ
คนที่มีเจ็บไข้บ่อย ๆ
ก็เพราะเคยมีวิบากผิดศีลข้อ 1 นี่แหล่ะ

คุณนายแก้วดี อุบาสิกาตัวอย่างของชาวพุทธ
ฟังแล้วก็เกิดเห็นดวงตาธรรม (ไม่อยากเจ็บไข้ได้ป่วย)
เลยเลิกเบียดเบียนชีวิตสัตว์ (ให้ลูกสาวเห็น)
แต่บางครั้ง ด้วยวิสัยแม่บ้าน ผู้รักความสะอาดยิ่งชีวิต
แม่ก็ยังอดไม่ได้  ที่จะ บี้มด ฆ่าแมงมุม ตบยุง กระทืบแมลงสาบ
เวลาทำความสะอาดบ้านเรือน อยู่ดี

หนูบัวฯ มองแล้วเลยได้ แต่ ปลง
บอกแม่ไปประมาณ ว่า
บ้านเรือน มันก็เหมือนสังขารของเรานั่นแหล่ะ
โดยนิตินัย เรือนหลังนี้ เราคือเจ้าของ
แต่โดย ธรรมนิยาม ไม่มีอะไรที่เป็นของเราโดยแท้จริงหรอก

เราเป็นเพียงผู้พักอาศัยชั่วคราว ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
เหมือน ๆ กับที่ แมงมุม มด แมลงสาบ
มันเดินพาเหรด เข้ามาอาศัยนั่นแหล่ะ
ถ้าแม่วางเฉยกับพวกมัน เหมือนที่ เธอทำ  ไม่ได้
แม่ก็จับมันไปปล่อยไกล ๆ ก็พอ
ขออย่าไปเบียดเบียนชีวิตมันเลย
ให้มันได้มีชีวิตอยู่ชดใช้เวรกรรม ของมันไปตามอายุขัย เหอะ
หลัง ๆ แม่คงเบื่อที่ หนูบัวฯ บ่นราวกับพระแก่ ๆ
แม่เลยยอมทำตามความประสงค์ของเธอบ้าง ( ในบางครั้ง )

ส่วน คุณสมาน เจ้าของสโลแกน
" ทางไปวัดมันหมอง   ทางไปหนองมันเตียน "
พ่อของหนูบัวฯ นั้น เมื่อก่อนเป็นอย่างไง
เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิ้มมมมมมมมมมมมมม
ปณิธาน ของ พ่อนั้น มันช่างมั่นคงดุจหินผา
ราวกับจะต่อต้าน หลักไตรลักษณ์ ว่าด้วยเรื่อง อนิจจัง

แม้ การผุพังของสังขาร
จะทำให้พ่อแบกปืนปีนต้นฉำฉาไปส่องปลาที่ไหน ไม่ได้อีกแล้ว
แม้ พ่อจะวางมือจากการยิงปลานิล  แล้วหันมาเลี้ยงปลาหมอสี
แต่ เมื่อมีโอกาส พ่อก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ละเลยศีลข้อ 1 อยู่ดี
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2010, 09:35:18 am »
บ่อยครั้งที่หนูบัวฯ เห็น พ่อ เที่ยววุ่นวายหาไส้เดือนตัวเป็น ๆ
หรือ ไล่ตบแมลงวัน แมลงสาบ
เพื่อเอาไปเลี้ยง คุณศรราม ( ปลาหมอสีที่บ้าน )
พ่อบอกว่า ถ้าขืนให้คุณศรราม กินแต่อาหารเม็ด
คุณศรราม จะไม่แข็งแรง อาจจะเบื่อ และ เฉาตายได้

หนูบัวฯ ก็ไม่รู้จะห้ามตาแก่หัวดื้อ คนนี้ยังไง
เวลาเห็นพ่อ พะเน้าพะนอหยอกเย้า
หยิบเอาไส้เดือนตัวเป็น ๆ ให้คุณศรรามกิน
เธอ ก็เลยทำได้แค่ ถอนใจเฮือก
พร้อมกับแหกปาก อาราธนาศีล ข้อที่ 1 เสียงดังลั่น
(ด้วยหวังว่ามันจะซึมเข้าไปกระทบโสตประสาทของพ่อมั่ง)
แต่ แค่ อ้า ปาก พูดได้แค่  " ปาณาติปาตา เวร...."
พ่อแกก็หันมาขัดเสียงขัน " ปลานา ปลาหนอง หรือ เอ็งจะเอา ปลากระชัง ดีล่ะ "

สุดท้ายหนูบัวฯ ก็เลยได้แต่นึกปลง ( ตามเคย )
พยายามทำใจให้ว่างเป็นอุเบกขา
แล้วคิดเสียว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
จริต และ ข้อจำกัดของขันธ์ 5 ในแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
ขนาด บัวยังมี 4 เหล่า เลย นี่นะ

ถ้าจริตของพ่อยังอยากอยู่ในโคลนตม ( เป็นเพื่อนคุณศรราม )
เธอก็ขี้เกียจขัดใจบุพการี แล้วล่ะ
ไม้แก่ฝืนดัดมาก ๆ มันก็หัก
เธอไม่ชอบเจ้ากี้เจ้าการ
ฝืนจริตเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของใคร
ถ้าต้องเลือก เธอก็เลือกที่จะ
หันมาเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองมากกว่า

แต่บางครั้ง อดไม่ได้เธอก็เปรย ๆ ออกไป
"  ระวังนะหมาน  ฆ่าสัตว์ทำบาปมาก ๆ 
ชาติหน้าไม่ได้เกิดเป็น พ่อลูกกัน ไม่รู้ด้วยเด้อออออออ"

(******** หมายเหตุ *************
เนื่องจากที่บ้านหนูบัวฯเลี้ยงลูกด้วยแนวคิดแบบตะวันตก
เธอเลยมักจะเห็นพ่อแม่เป็นเสมือนเพื่อนสนิท
ที่กอดคอ เล่นหัว พูดคุยปัญหาต่าง ๆ กันได้ทุกเรื่อง
คุยกับเพื่อนอย่างไงก็เลยคุยกับพ่อแม่อย่างนั้น
 ถ้าสิ่งที่เขียนออกไป มันขัดความรู้สึกใคร
ก็ต้องขออภัย ที่บ้านเลี้ยงดูมาอย่างนี้จริง ๆ
*******************************

ขอพูดถึงเรื่องศีล ข้อ 1  อีกหน่อย
พ่อเคยตั้ง ปุจฉา ถามหนูบัวฯ ว่า
คนที่ทำงานอยู่โรงฆ่าสัตว์ ต้องเชือดหมูเชือดวัว บาปหรือไม่ ?
ตอนนั้น แม่หนู ทำท่างง เพราะรู้สึกว่า คำตอบมันก็ตรงไปตรงมานะ
ว่า ต้อง บาป อยู่แล้ว จะมาถามทำไมให้เปลืองน้ำลายละค๊ะ คุณหมาน ?

แต่คำตอบของพ่อ กลับไม่ใช่อย่างที่ หนูบัวฯคิด
พ่อบอก เด็กหญิง ว่า คนฆ่าไม่บาปหรอกนะ
เพราะมีคนกิน ถึงได้มีคนฆ่า
โตขึ้นอีกหน่อยหนูบัวฯ ก็เริ่มคุ้นเคยกับคำว่า
บาปอยู่กับคนทำ กรรมอยู่กับคนกิน
แม้ว่าถึงตอนนี้ หนูบัวฯ จะไม่รู้ว่า คำตอบของพ่อ ถูกหรือผิด
แต่จริตในใจหนูบัวฯ มันก็ปรุงแต่ง ไป ว่า

ในเมื่อเราเกิดมาโชคดีมีอาชีพที่ไม่เปื้อนบาป
หาเงินได้ง่าย ๆ สบาย ๆ  โดยไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
เราก็ควรจะ ขอบคุณ คนเชือดไก่ เชือดหมู ด้วย
ที่เขาทำบาปแทนเรา ถ้าไม่มีเขาเหล่านั้น
หนูบัวฯก็คงไม่มีเนื้อไก่เนื้อหมูกิน
เพราะหนูบัวฯทำใจฆ่าสัตว์พวกนี้ไม่ลง
( แต่บัวก็ยังติดใจในเนื้อหนังของพวกมันอยู่ดี แหะ...แหะ... )

ดังนั้น ขอบคุณ  คุณคนเชือดไก่ เชือดหมู ทุกคนนะคะ
ที่ยอมใช้มือมาเปื้อนบาปแทนหนูบัวฯ
แม้หนูบัวฯจะแบกรับบาป ที่คุณทำ  แทน คุณ ไม่ได้
แต่ทุกครั้งที่ต่อศีลและแผ่เมตตา
หนูบัวฯสัญญานะว่า จะยกกุศลกรรมที่ได้กระทำทั้งหมดให้กับ เจ้ากรรมนายเวร
 และ ทุกชีวิต ( ซึ่งหนึ่งในนั้นก็จะมีพวกคุณ อยู่ด้วยเสมอเจ้าค่ะ  ^ - ^ )

อ้อ ต่ออีกนิด ไปเจอเวบนี้เข้าตอน เสิร์ชเรื่อง ศีล ในกูเกิ้ล
อ่านแล้วรู้สึกว่า เรื่องที่เขียนตรงกับตัวเองดี ( โดยเฉพาะ เรื่อง ศีลข้อ 1 )
ลองไปอ่านดูนะ


ประโยชน์ของศีล 5
http://www.geocities.com/TMCHOTE/Thumma/Sila/sl004.htm



ข้อ 2 อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
(ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท
คือเจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้ าของไม่ได้ให้แล้ว )

" แอบปีนขึ้นไปขโมยของห้องเรียน กันเหอะ วันหยุดอย่างนี้ไม่มีใครเห็นหรอก "

พวกพี่ ๆ ข้างบ้าน ที่วิ่งเล่นด้วยกัน เอ่ยปากชวนหนูบัวฯ
ตอนนั้น หนูบัวฯขึ้น ป.1 แล้ว
แต่ก็ยังติด พี่ ๆ ป. 4- ป.5  ที่อยู่ข้างบ้านราวกับลูกแหง่
เด็กหญิงไม่เข้าใจหรอกว่า ทำไมพวกพี่ๆ
เค้าถึงอยากจะได้ของๆ คนอื่น ที่ไม่ใช่ของตน
แต่เธอก็กลัวถูกทิ้งเป็นหมาหัวเน่า
หนูบัวฯ จึงเดินต้อย ๆ ติดสอยห้อยตามพวกพี่ ๆ เข้าไปด้วย
เธอยืนเก้ ๆ กัง ๆ มองพี่ๆ ด้วยความรู้สึกแปลก ๆ
ภาพพวกคนเหล่านั้น รื้อค้นข้าวของในลิ้นชักของคุณครู
 ด้วยแววตาละโมภ ลุกลี้ลุกลน
ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของหนูบัวฯมาตลอด

หลังจากตอนนั้นพวกพี่ ๆ แบ่งปากกา 4- 5 แท่ง
และ ไม้บรรทัด อีกอันที่ขโมยมาได้ ให้กับหนูบัวฯ
เธอมองดูของที่ได้ด้วยความสับสน
จะไม่รับก็ไม่ได้ ไม่งั้นพวกพี่ๆโกรธแน่เลย
แต่เธอก็รู้สึกไม่ดีนัก ที่จะรับ ของ "ปิดปาก " เหล่านี้

เด็กหญิงแหงะมอง ปากกาและไม้บรรทัดในมือด้วยความรู้สึกขยะแขยง
แม้พ่อกับแม่ ของเธอจะไม่ได้ร่ำรวยอะไร
แต่ที่บ้านก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงิน
พ่อกับแม่เลี้ยงดูเธอมาอย่างดี
เด็กหญิงไม่เคยรู้จักคำว่า ขาดแคลน หรือ อดมื้อกินมื้อ
เธอมักจะได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ
เพียงแค่เอ่ยปากขอ พ่อกับแม่ก็แทบเอาของสิ่งนั้น
มาทูนหัวทูนเกล้าให้ลูกรักคนนี้เสมอ

ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่เคยคิดจะขโมยของใคร
และ ถูกคนเป็นพ่อปลูกฝัง
ให้เห็นการลักเล็กขโมยน้อย
เป็นเรื่องของการเสียศักดิ์ศรีที่น่ารังเกียจ
แต่เมื่อต้องมามีส่วนรู้เห็นกับการโจรกรรมรุ่นเยาว์ แบบนี้
มันก็เลยทำให้เธอรู้สึกแย่ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไง
กับ ปากกากับไม้บรรทัดเปื้อนบาปพวกนี้
สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจหอบมันไปโยนทิ้งไว้ที่พงไม้ข้างทาง
เพราะเธอไม่อยากแตะต้องของสกปรกพวกนี้
โชคดีที่หลังจากนั้นไม่นานหนูบัวฯ ต้องย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น
จึงไม่ต้องไปข้องแวะกับ พวกพี่ ๆ กลุ่มนั้นอีก

และเมื่อโตขึ้น หนูบัวฯย้อนกลับไปมองอดีตของตัวเอง
หนูบัวฯก็พบว่า วิบากของเศษกรรมในครั้งนั้น
ก็ยังจะตามมาทวงคืน กับ หนูบัวฯ ถึง สามครั้ง สามครา
ครั้งแรกตอนอยู่ ป. 6 เธอถูกผู้ใหญ่คนหนึ่งกล่าวหาว่า
ขโมยตังค์ทอนแบ๊งค์ร้อยของเขา ตอนที่เขาใช้หนูบัวฯไปซื้อเหล้า
ตอนอยู่หอมหาลัย หนูบัวฯก็ถูกเรียกไปสอบในฐานะผู้ต้องสงสัย
กรณี เงิน สองสามพัน ของน้องรูมเมทหายไปจากลิ้นชักโดยไร้ร่องรอย
( ทั้งที่ตอนนั้น หนูบัวฯก็มีเงินเก็บมากกว่าเงินนั้นเป็นสิบเท่า )

แต่เคราะห์ดีที่ หนูบัวฯ เป็นคนดวงแข็ง ( และ หัวแข็ง )
นัยว่า กรรมเก่า ดี ๆ ในอดีตยังคอยเกื้อหนุน
เธอจึงไม่รู้สึกเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไรกับข้อกล่าวหาเหล่านั้น
ซ้ำยังมองว่า มันเป็น ความรำคาญเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่าขบขัน
ซึ่งในตอนจบเธอก็สามารถล้างมลทินให้กับตัวเองได้โดยง่าย

เธอมักจะเล่าเหตุการณ์ตอนที่เธอเข้าสอบปากคำ
ให้เพื่อนฝูงฟังแบบข ำ ๆ เสมอ
ตอนนั้น เธอพูดจาตอบโต้
กับรองอธิการบดีฝ่ายปกครอง จนเขาชักสีหน้า
แถมยังทำให้ นิติกร ของ มหาลัย ที่นั่งฟังด้วย
แอบขำจนต้องกลั้นหัวเราะ ( ต่อหน้า ท่านรอง ฯ ) เลยมั้ง

ส่วน เศษกรรม ที่กระเด็นโดนเธอครั้งล่าสุดนี่
เกิดขึ้นเมื่อ สองปีก่อน
น้องผู้หญิงในที่ทำงาน จะแต่งงาน
เลยมาขอยืมเงินหนูบัว ฯ
เพื่อเอาไปวางพานให้เจ้าบ่าว(ในพิธีสู่ขอ)

น้องคนนี้สัญญาว่า พองานแต่งเสร็จ จะเอาเงินจากพานมาคืนให้
ตอนนั้นหนูบัวฯ ก็ทะลึ่งเกิดอารมณ์โรแมนติก
 ดันไปเห็นใจความรักของหนุ่มสาวคู่นี้เข้า
ก็เลยเอาเงินก้อนใหญ่ให้เขายืมไปโดย ไม่รู้สึกเฉลียวใจสักนิด
สุดท้ายน้องมันก็เชิดเงินย้ายที่ทำงานหนีไป
โดยที่ไม่ยอมใช้หนี้ส่วนที่เหลือ
กว่าหนูบัวฯจะตามทวงคืนได้ก็เสียเวลาและค่ารถไปหลาย
แต่ส่วนที่ได้คืนก็ไม่ได้ครบหรอกนะ ขาดไปหลายพันอยู่

ตอนนั้นหนูบัวฯ โกรธ มาก รู้สึกไม่เข้าใจน้องเค้าด้วย
เธอ สงสัยว่า ทำไม เค้าถึงทำแบบนี้ได้
การเอาเงินคนอื่นไปโดยไม่ใช้คืนตามสัญญา นี่มันขโมยชัด ๆ
น้องมันไม่รู้สึกละอายบ้างหรือไง ?
ขนาดหนูบัวฯ ยืมเงินชาวบ้านแค่ บาทเดียวไปโทรศัพท์
เธอยังต้องรีบเอามาคืนเขาเลย
เธอเกลียดการเป็นหนี้ คนอื่นน่ะ มันน่าละอาย
เธอเลยคิดว่า คนอื่น ๆ คงรู้สึกแบบเดียวกัน
อนิจจา หนูบัวฯ หารู้ไม่ว่า
คนแต่ละคน มีหิริโอตะปะ( ความละอายต่อบาป ) ที่แตกต่างกัน

และก็เหมือนเดิมตามเคย แม้จะถูกลูกหนี้เบี้ยวจ่ายเงินไม่ครบ
หนูบัวฯก็ยังมีกะใจมองเรื่องนี้
 เป็น ความรำคาญที่น่าขบขัน(อีกแล้ว)
เวลาครึ้ม ๆ ก็ เอาเรื่องนี้มาเม้าส์ให้เพื่อนฟังพอขำ ๆ
ว่าง ๆ ฟุ้ง ๆ ก็มานั่งครุ่นคิดหายุทธการทวงหนี้
วางแผน 1  แผน 2  เพื่อทวงเงินคืนจากน้องมัน
ครั้นเมื่อใดที่สติมันคิดได้ หนูบัวฯก็มานั่งบ่น
ทำไมตูต้องมากลุ้มกับเงินแค่ไม่กี่พัน นี่ด้วยฟะ ไม่เข้าท่าเลย
มันจะคืนหรือไม่คืนตูก็ไม่เห็นเดือดร้อนอะไร
คิดทำไมให้ปวดหัวเนี่ย ?

จริง ๆ เงินแค่นั้นมันไม่ทำให้หนูบัวฯกระเทือน
จนต้องกินข้าวกับเกลือหรอกนะ
แต่มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีน่ะ
หนูบัวฯ รู้สึกว่าตัวเองถูกลูบคม
รู้สึกเสียหน้าที่ซื่อจนเซ่อถูกเด็กเมื่อวานซืนมันหลอกเอา
ทิฐิ ไง นั่นก็ตัวกู นี่ก็ของกู มึงอย่าได้มาแหยมเชียวนะ
เจ้าตัวทิฐินี่ มันเข้าสิงในใจหนูบัวฯ แบบกัดไม่ปล่อยอยู่นานเลย

แม้จะมีพี่ที่ทำงาน ปลอบหนูบัวฯ ว่า
" คิดซะว่า ชาติที่แล้วเราติดหนี้เขา ก็แล้วกัน ชาตินี้เขาเลยตามมาเอาคืน "
ฟังเสร็จเธอก็นึกหยัน แถมยังรู้สึกว่า
วิธีการคิดของเขา เป็นวิธีการคิดของคนอ่อนแอ
ที่งอมืองอเท้า ฝากความหวังไว้กับโชคชะตา
คนที่ชอบเล่น บท ผู้ล่า ในห่วงโซ่อาหารอย่างเธอ
ไม่ยอมทำอย่างนั้นเด็ดขาด !


จนกระทั่งวันหนึ่ง หนูบัวฯ เริ่มถือศีล 5 และ เริ่มแผ่เมตตา
ทุกคืนหนูบัวฯ  จะวางโปรแกรม
ให้ตัวเองต้องมานั่ง ทบทวนศีลของตน -แผ่เมตตา ให้กับทุกชีวิต
และ ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกันกับทุกชีวิต
แต่เชื่อไหม หนูบัวฯ อ้าปากพูดคำว่า
" ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกันกับทุกชีวิต "ไม่ได้
พอจะพูด ทีไรใจมันก็นึกถึง
แต่หน้านังลูกหนี้จอมอึด คนนั้นขึ้นมาเฉย ๆ

สุดท้ายหนูบัวฯ เลยต้องมานั่งทบทวนตัวเองอีกครั้ง
วูบหนึ่ง ที่โมหะและโทสะ จริต จางหาย
คำถามหนึ่งก็แทรกเข้ามากลางใจของหนูบัวฯ
" ขนาดเงินแค่ไม่กี่พัน หนูบัวฯยังให้อภัย ยกหนี้ให้เค้าไม่ได้
แล้วหนูบัวฯคิดหรือว่า เจ้ากรรมนายเวร
เขาจะยอมยกหนี้เวรหนี้กรรมอันมหาศาลให้หนูบัวฯ ได้ง่าย ๆ
ด้วยคำอโหสิกรรม จากน้ำลายแค่ไม่กี่หยด ?"

คำถามนี้ มันทำให้หนูบัวฯ ได้สติอีกครั้งแล้วบอกตัวเองว่า
" อย่าไปใส่ใจเลย ว่า เจ้ากรรมนายเวร
เค้าจะอโหสิกรรมให้เราไหม
 เพราะเราต้องเคารพสิทธิการตัดสินใจของเขา
แต่ในฐานะที่เราเป็นเจ้ากรรมนายเวรของอีกหลายชีวิต
ทำไมเราไม่ลองมาเริ่มต้นใหม่  ด้วยการอโหสิกรรม
ให้กับ คนที่เป็นหนี้กรรม กับเรา บ้างล่ะ ? "

จากคำตอบที่ได้ ทำให้หนูบัวฯ เปลี่ยนแปลงวิธีคิดในหัวตัวเอง
เธอเขียนจดหมายเพื่อบอกยกเลิกหนี้สิน
เตรียมจะส่งให้น้องคนนั้น
หนูบัวฯ โทรไปเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง
คุณนายแก้วดี อนุโมทนากับเธอใหญ่เลย
แต่พอ แม่รู้ว่า เธอ เขียนข้อความบอกน้องมัน ว่า
"หนี้สินทั้งหมด หนูบัวฯยกให้ จะไม่ตามไปทวงคืนให้ลำบากใจอีกแล้ว
เพราะหนูบัวฯ เชื่อเสมอว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมที่ตนได้กระทำไว้ "

เท่านั้นแหล่ะ แม่ร้อง ห้ามเสียงหลง
บอกอย่าทำอย่างนั้นเลยมันไม่ดี
ฟังคำแม่พูด แล้วหนูบัวฯอึ้งนะ
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี
ยัยแก้วดีก็มองทะลุหัวใจลูกสาวเสมอ
และคำพูดสั้น ๆ ประโยคนั้น
มันก็ทำให้หนูบัวฯต้องคิดหนักอีกครั้ง

แม้ปากหนูบัวฯจะบอก อโหสิกรรมให้น้องมัน
แต่คำพูดที่เธอเลือกสรรมาเขียน ในจดหมาย
มันก็จงใจแฝงนัยยะเพื่อทำร้ายความรู้สึกคนอ่านอยู่ดี
ความพยาบาทของ หนูบัวฯ มันไม่ได้จางหายไปเลย...

หนูบัวฯใช้เวลา หนึ่งวันกับหนึ่งคืน
มานั่งดูเจ้าความพยาบาทในใจตัวเอง
ก่อนจะตัดสินใจ ฉีกสัญญายืมเงิน
และ จดหมายฉบับนั้นทิ้งถังขยะ
ความรู้สึกตอนที่ทิ้งเศษจดหมายชิ้นเล็กชิ้นน้อยทิ้งลงในถัง
มันโล่งมากเลยนะ มันเหมือน....
หนูบัวฯ ได้โยนไอ้เจ้าตัวพยาบาทตัวนั้นลงในถังขยะไปด้วย

หลังจากวันนั้น หนูบัวฯก็ไม่ได้ติดต่อหรือตาม จิก น้องเค้าอีกเลย
จริง ๆ ก็อยากจะโทรไปบอกให้น้องมันรู้นะว่า
หนูบัวฯ ยกหนี้ให้แล้ว แต่คิดไปคิดมา อย่าพูดมากดีกว่า
เพราะ คำพูดเมื่อ ออกจากปากเราไปแล้ว
เราไม่สามารถคาดเดาได้หรอก ว่า คนฟังจะรู้สึกอย่างไร
ยิ่งคนที่มีชนักติดหลังอย่างนั้น
ย่อมมีความหวาดระแวงสูงกว่าคนธรรมดาหลายเท่า
ดังนั้น  ตัดกรรม   เลิกคิด เลิกพูดถึง
 เลิกแล้วต่อกัน เลิกยุ่งเกี่ยวกับน้องมัน เฉย ๆ ดีกว่า

พอหนูบัวฯ ตัดน้องคนนี้ออกจากสารบบ
เธอก็ลืมน้องเค้าไปเลยนะ
จนผ่านไป สามเดือนกว่า
จู่ ๆ น้องมันก็ส่งจดหมายธนาณัติมาใช้หนี้ ให้หนูบัวฯ
ทำเอาเธอรู้สึกแปลกใจมาก ๆ แล้วก็นึกขำด้วย
เออหนอ ทีเวลาไปทวงแทบตาย กลับไม่ค่อยจะได้
แต่นี่พอทำเฉย ๆ ( และลืมมันไปแล้ว )
มัน ดั๊นเอาเงินมาให้ซะงั้น

แถมพอไปขึ้นเงินที่ไปรษณีย์ จนท. ที่นั่น
ก็ทักบอกว่า น้องคนนี้เคยส่งธนาณัติออนไลน์มาให้หนูบัวฯ
 ( ก่อนหน้านี้ 2 เดือนแล้ว )
แต่ไม่มีคนมารับ นี่ก็กำลังจะหมดอายุในอีก 3 วันข้างหน้า

ทำเอาหนูบัวฯงงมาก เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลย
( น้องมันไม่เคยติดต่อมาบอกเลยไม่ได้ไปรับ )
นี่ยังคิดเล่น ๆ เหมือนกันนะ ว่า
ถ้า สองเดือนก่อนหน้านั้น
หนูบัวฯ ตัดสินใจส่ง จดหมายฉบับนั้นไป
หรือโทรไปหาน้องเค้า เหตุการณ์นี้อาจจะไม่เกิดก็ได้
เผลอ ๆ อาจจะไปสร้างกรรมใหม่กับคุณน้องเธออีก
บางครั้ง ถ้าเรา คิดดี ทำดี แล้ว
สิ่งดี ๆ มันก็เดินเข้ามาหาเราเองจริงๆด้วย แฮะ
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2010, 09:36:11 am »
และ อีกบทเรียน ที่ได้จากเรื่องนี้คือ
โลกใบนี้ก็มีอะไรแปลก ๆ ที่ไม่เที่ยง เสมอเลยเน๊อะ
ความรู้สึกที่เรามีต่อ คน ๆ หนึ่ง เปลี่ยนแปลง และ เกิดดับ ได้เสมอ
ครั้งหนึ่ง หนูบัวฯ เคยโกรธน้องคนนี้ จนแทบจะไม่เผาผี
แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อ ตัดใจยอมอโหสิ ให้น้องเขา
 ตัดกรรม กับมัน( โดยไม่บอกกล่าว )
มันกลับใช้หนี้คืนโดยไม่ต้องถ่อสังขาร
ไปทวงถึง พิษณุโลกเหมือนงวดก่อน ๆ เลย

และพอเธอรู้ ว่าเค้าคืนเงินให้ เธอกับรู้สึกกับดี ๆ กับเขาอีกครั้ง
ลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้เคยแช่งชักหักกระดูกน้องมัน ยังไงมั่ง
อืม....พอ ผัสสะที่มากระทบเรา เปลี่ยนแปลงไป
เวทนา ที่เกิด ก็เปลี่ยนตามด้วยแฮะ
ทั้ง ๆ ที่ผู้ที่ก่อให้เกิดผัสสะ เป็นคนเดิม แท้ ๆ

บทเรียนที่มีค่าที่สุด ที่หนูบัวฯ ได้จากเรื่องนี้
ไม่ใช่ เงินแค่ไม่กี่พัน ที่น้องเค้าใช้คืนหรอกนะ
แต่สิ่งสำคัญคือ น้องคนนี้
ทำให้เธอรู้จักกับคำว่า อโหสิกรรม อย่างถ่องแท้
เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่หนูบัวฯ ได้ทำ อภัยทาน จริง ๆ
และได้มีโอกาส ดูจิต ของตัวเองไปด้วย
ซึ่งก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง ของเวทนาที่เกิดนะ

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ได้รับทรัพย์ เกินคาด
ถึง สามเท่า แบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้
หนูบัวฯ  คงยิ่มแฉ่ง หน้าบานสิบหกกลีบ
แถมใจพองโต คับอก ไป สามวันเจ็ดวัน แหง๋ ๆ

แต่เดี๋ยวนี้ พอเรียนรู้ที่จะหัด ดูจิตดูความรู้สึก ตัวเอง
ความยินดีในทรัพย์ ที่ได้รับ
มันเกิดแค่วูบเดียวจริง ๆ( ประมาณ 3 วินาทีได้มั้ง )
พอเกิดแล้วมันก็ดับ
แล้วเธอ ก็มองดูเวทนาที่เปลี่ยนไป ด้วยความรู้สึกเฉย ๆ


อืม....ทั้งหมดที่เล่ามานี้คือ กรรม และ วิบาก
ที่เกี่ยวกับการ ผิด ศีล ข้อ 2 ในชีวิตของหนูบัวฯนะ
ซึ่งหลังจากวันที่เธอ
โยนไม้บรรทัด กับ ปากกา สกปรก พวกนั้นทิ้ง
หนูบัวฯก็คิดว่า ตัวเองก็ไม่ได้ทำผิดศีลข้อ 2 อีกเลยมั้ง

จนกระทั่ง เมื่อ หนูบัว ฯ ตัดสินใจจะถือ ศีลห้า เมื่อ สองเดือนก่อน
หนูบัวฯทดลองเชคข้อมูลเรื่อง ศีล 5 ด้วยการเสิร์ช ในกูเกิ้ล
แล้วก็เจอเวบที่ชื่อ ศีล 5 ความหมายลึกกว่าที่คุณคิด

http://webboard.mthai.com/7/2007-06-06/326629.html

คำกล่าวเกี่ยวกับศีลข้อ 2 ที่ปรากฏ ในเวบนี้
ทำให้หนูบัวฯ ต้องย้อนกลับมาดูตัวเองใหม่
โดยเฉพาะเรื่อง การหยิบข้าวของในที่ทำงาน
ไปใช้ในเรื่องส่วนตัว(ด้วยความมักง่าย )

หนูบัวฯเริ่มฉุกคิด ถึง ทรัพย์ ที่ยักยอกมาจากที่ทำงานโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
 ทั้งกระดาษ A4 สองสามแผ่นที่เอามา print รูปการ์ตูนไว้ดูเล่น ,
คลิปหนีบกระดาษ สี่ห้าตัว เผลอติดเอกสารกลับบ้าน
, หนังว๊อง ( ยางวง ) อีก เจ็ดแปดเส้น ที่ฉวยมาใช้แทนที่ยางรัดผม
, ไส้แม็กซ์ สองสามอันที่ใช้เย็บชีตท์ส่วนตัว
, เอาซองยา สองสาม ซอง มาใส่ขนม

รวมถึง การใช้เนตนอกเวลาทำงาน
 เช่น พักกลางวัน, หรือหลังเลิกงาน ด้วย ( ค่าไฟ + ค่าพัดลม )
 จริง ๆ ถ้ามีคอมพ์ของตัวเองที่บ้านพัก  รพ.หนูบัวฯ ต่อเนตให้ใช้ฟรีนะ
เพราะถือว่า เป็นการสนับสนุนให้เอางานไปทำนอกเวลาที่บ้าน
แต่เธอ กลัวไวรัสจะติดโน้ตบุ๊ค ของตัวเอง เลย ไม่ยอมต่อเนตที่บ้านพัก

ซึ่งพอคิดสะระตะถึง ของที่เผลอหยิบ แล้ว หนูบัวก็กุมขมับ
โอ๊ยยยยยยย ถ้าขืนเป็นงี้ บัวฯก็รักษาศีล ข้อ 2 ไม่ได้อ่ะดิ
เพราะบางครั้งของงี้มันก็เผลอกันได้
ของพวกนี้น่ะ มันยิบย่อย
บางทีมันก็รีบใช้นี่หน่า
ใครมันจะถ่อสังขารไปตลาดเพื่อซื้อกระดาษ A4 แค่ ห้าหกแผ่นล่ะ
ก็เลยต้องหยิบฉวยของใกล้มือไว้ก่อนน่ะสิ
หนูบัวฯ เริ่มหาข้ออ้างให้ตัวเอง

ทว่าแม่จริตแสนดี ของหนูบัว ก็มาเข้ามาสะกิดยิก ๆ (อีกแล้ว)
ประมาณว่า หนูบัวฯ จ๋าาาาาาาาาา
ของทุกอย่างย่อมมีต้นทุนของมันนะ
เธอจะถือวิสาสะ ชุบมือเปิบกับของหลวง ไม่ได้หรอกจ้ะ
ไม่ควรเบียดบังทรัพย์สินของราชการ
แม้จะเป็น คลิปหนีบกระดาษแค่เพียงตัวเดียว ก็เถอะ

ฟังแล้วหนูบัวฯจึงถามกลับไปว่า แล้วจะให้เธอทำไงล่ะ
เธอไม่ได้ตั้งใจจะขโมยสักหน่อย
แต่ของเหล่านี้มันก็เล็ก ๆ น้อย ๆ ยิบ ๆ ย่อย ๆ
เกินกว่าที่จะซื้อหามาใช้เองนะ ขอแบ่ง รพ.ไปใช้จะสะดวกกว่า

แม่จริตแสนดี ฟังแล้วก็ชี้ทางสว่างให้หนูบัวฯ
ด้วยการบอกว่า ถ้าเลี่ยงการใช้ของหลวงไม่ได้
ก็ให้บริจาคเงินคืนหลวงท่านสิ ลองคำนวณดูเอาเองนะ
ว่า บวกลบคูณหาร ( แบบภาษีเงินได้ ) แล้ว เธอควรบริจาคเท่าไร
ซึ่งพอคำนวณออกมาเป็น เงินต้น + ดอกเบี้ย
( + แป๊ะเจี๊ยะ และ ค่าเสื่อมราคาทั้งหลายทั้งพวงแล้ว)
มันก็ได้ออกมาเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ต่อปี
ซึ่งก็ค่อนข้างมากแหล่ะนะ
ถ้าเทียบกับ กระดาษ A4 ไม่กี่แผ่น
ยางวงไม่กี่เส้น คลิปไใากี่ตัว ฯลฯ ที่เผลอหยิบมาใช้

แต่เจ้าจริตแสนดี มันก็ปลอบใจหนูบัวฯว่า
เหอะน่า หนูบัวฯ ถือซะว่า เป็น การคืนกำไรให้ รพ.
ใช้ของเขามามากแล้วก็ให้โบนัสกลับไปซะหน่อยเป็นไร
ส่วนต่างที่จ่ายเกินให้ก็ถือซะว่า
เป็นดอกเบี้ย + แถมให้ ไว้ใช้ ช่วยเหลือคนไข้
ที่สำคัญการบริจาคเงินพวกนี้
มันก็จะช่วยให้หนูบัวฯ ได้ทดลองฝึก
การลดการยึดติด กับ คำว่าตัวกู ของกู ดีออกนะ

เฮ้อ...เจอการชักแม่น้ำทั้ง ห้า มาหว่านล้อมอย่างนี้
หนูบัวฯก็หลวมตัวทำตามคำสอนของ เจ้าจริตตัวดี อีกตามเคย
และ พอหมดปัญหาเรื่อง จำนวนเงิน
คราวนี้ก็เจอปัญหาอีกว่า แล้วจะบริจาคให้ส่วนไหนของ รพ. ดีหว่า?
จะเอาเข้าเงิน บำรุง เงินสวัสดิการ
บริจาคเอาไว้ซื้ออุปกรณ์การแพทย์
หรือ บริจาคให้มูลนิธิ ใน รพ. ดี ?
ดูยิบย่อยนะ แต่ก็ต้องทำแหล่ะ
เพราะถ้าบริจาคผิดที่ผิดทาง
บางทีเขาก็เอาไปใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
อย่างที่เราอยากให้เป็น มันก็คงรู้สึกไม่ดีนะ

สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปว่า
ในเมื่อรพ. เป็นของประชาชนคนไข้ทุกคน
ดังนั้นถ้าหนูบัวฯจะบริจาคใช้หนี้หลวง
เธอ ก็ควรบริจาคคืนให้กับคนไข้
เธอเลยเลือกบริจาคเข้ามูลนิธิพระเทพฯ เพื่อช่วยเหลือคนไข้ยากไร้

ครั้งแรกที่หนูบัวฯทำท่ากระมิดกระเมี้ยนควักกระเป๋าบริจาค
ชาวบ้านแตกตื่นกันเป็นแถบ มองหน้าเธอแปลก ๆนึกว่าผีเข้าเธอ
โธ่ ก็สมควรอยู่หรอกนะ
คนที่เห็นซองกฐินผ้าป่า ก็ร้องกรี๊ดๆ
แล้วรีบวิ่งหนีเหมือนเห็นผี อย่างหนูบัวฯ น่ะ
มันไม่น่าจะกลายเป็นคนใจบุญสุนทานไปได้
ในเวลาอันสั้นเช่นนี้เลยนิ เฮ้อ


ข้อ 3 กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
( ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือเจตนาเป็นเครื่องงดเว้นเว้นจากการประพฤติผิดในกาม )

" พรหมจารีย์ไม่เอา  เอาพรมเช็ดเท้า "

หนูบัวฯ อ่านเจอข้อความนี้ ในหนังสือ มติชน ( สมัยอยู่ ม.ต้น )น่ะ
มันเป็น ความคิดเห็นหนึ่งที่ผู้อ่านส่งมา
เมื่อ บก. จุดประเด็นถกกันเรื่อง พรหมจารีย์ของหญิงสาว
ซึ่งก็มีคนสำแดงความคิดเห็นกันหลากหลายเลยทีเดียว

อ่านไป เธอ ก็ให้นึกสงสัย  ...
ทำไม ผู้คนต้อง ยึดติดแล้วเถียงกันจน หน้าดำคร่ำเครียด
กับ เยื่อบาง ๆ กลางหว่างขาของผู้หญิงด้วยนะ
เจ้าสิ่งนี้ มันต่างจาก ไส้ติ่ง ตรงไหน กันหนอ
ไม่เห็นมันจะมีประโยชน์อันใดกับร่างกายคน
เหมือนอวัยวะอื่น ๆ เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด เลย

ซึ่งพอหนูบัว ฯ มาเจอ คำพูด " พรหมจารีย์ไม่เอา  เอาพรมเช็ดเท้า " เข้าให้
อ่านแล้วก็ขำก้าก เลย ประโยคสั้น ๆ สองประโยคนี่
มันบอกอะไรให้บัวฯ รับรู้หลายอย่างนะ
ที่สำคัญ คำพูดนี้ มันมีส่วนช่วยหล่อหลอมความคิด
และมุมมองในชีวิตของเธอ เกี่ยวกับ ศีล ข้อ 3 มาจนถึงทุกวันนี้

เมื่อได้เข้าเรียนในมหาลัย หนูบัวฯ ได้มีโอกาส อ่าน
บทความวิเคราะห์ เรื่อง พรหมจารีย์
ใน ฐานเศรษฐกิจสัปดาห์วิจารณ์ ฉบับหนึ่ง
จึงได้รู้ว่า  ในบางสังคม ถ้า เจ้าเยื่อบาง ๆ นี่ถูกทำลาย
เจ้าของก็กลุ้มใจจนแทบจะผูกคอตายเลยมั้ง
อ่านแล้ว เธอก็เกิดอาการกลัวขึ้นมาจับใจ
ถามตัวเองว่า ถ้าเยื่อพรหมจารีย์ ของเธอชำรุด
มันจะฉุดให้เยื่อหุ้มสมอง ของเธออักเสบ
แบบผู้หญิงที่น่าสงสารนั่นไหมหนอ

และจากการอ่านครั้งนั้น ก็ทำให้เธอรู้อีกด้วยว่า
บางสังคม เจ้าเยื่อบาง ๆ อย่างเดียวกันนี้
กลับเป็นบาป เป็นสิ่งไร้ค่าที่ต้องถูกกำจัด
สมัยหนึ่งหญิงอินเดีย จะต้องทำลายเจ้าเยื่อบางๆ นี่ ให้ลูกสาว ตั้งแต่ยังเด็ก
มิฉะนั้น จะไม่มีผู้ชายคนไหนยอมแต่งงานกับลูกสาวของเธอ
แถมในบางพื้นที่ หญิงสาวทุกคนจะต้องเข้าพิธีทำลายเจ้าเยื่อบาง ๆ นั่น
โดยให้ ชนชั้นกษัตริย์ มาประกอบพิธีให้
สุดท้าย เมื่อมีผู้หญิงที่เข้าพิธีมีมาก ๆ
กษัตริย์ ทำไม่ไหว จึงมีการสร้างศิวลึงค์
มาช่วยในพิธีทำลายเยื่อพรหมจารีย์แทนกษัตริย์

อ่านข้อเท็จจริงเหล่านี้ แล้วหนูบัวฯ ก็ยิ่งแปลกใจ
และ เห็น ความ ไม่เที่ยง ของค่านิยมในสังคม หนักเข้าไปใหญ่
วัฒนธรรมทั้งหลายในโลกให้ความสำคัญและ ตีค่า
เยื่อบาง ๆ กลางหว่างขาของผู้หญิง ไม่เหมือนกันเลย...

และ ถ้าพูดถึง ศีลข้อ 3 ขึ้นมา
หนูบัวฯ ก็นึกถึงปัญหาโลกแตกที่ถกเถียงกันประจำคือ
การเป็น โสเภณี เป็น สาวไซด์ไลน์ นั้น  ผิดศีลข้อนี้หรือเปล่า
เธอฟังกระทู้ถามเรื่องนี้มาเกือบสิบปีแล้ว
ตั้งแต่ไปป้วนเปี้ยนแถวโต๊ะห้องสมุดในเวบพันธ์ทิพย์

ในบางประเทศ โสเภณี คือ อาชีพที่ถูกกฏหมาย
ต้องเสียภาษีเงินได้ให้รัฐบาล
ในบางวัฒนธรรม นักบวชหญิงผู้สูงส่ง
จะนอนกับคนที่บริจาคเงินให้กับศาสนสถาน
ในบางเวลา นางคณิกาถูกยกย่องเป็น หญิงงามเมืองผู้มีเกียรติ
แต่ในบางสังคม เธอเหล่านั้น ถูกประณามเป็น หญิงคนชั่ว
ฟังแล้วก็สับสนดีแท้  ค่านิยมในสังคมแต่ละที่
ช่างปรุงแต่งจริตไม่เหมือนกันเลย
มุมมองของแต่ละสังคม
จะเป็นตัวปรุงแต่งว่า อะไร
คือ ขีดคั่นของศีลธรรม ในสังคมนั้น ๆ

อืม....สมัยเรียน มัธยมต้น เธอได้เรียนรู้
เรื่อง การล่อลวงของสีและแสง
จาก ข้อสอบยอดฮิต
ถ้าใส่เสื้อสีแดงไปยืนใต้หลอดไฟสีเหลือง
คุณจะเห็นเสื้อเป็นสีอะไร ?

ซึ่งเรื่องพวกนี้ มันก็ทำให้ หนูบัวฯ ต่อ ยอดความคิดไป
จนเลิกปักใจเชื่อในสิ่งที่ กายหยาบ รับรู้
หนูบัวฯ  คิดเสมอว่า ในสีขาว ย่อมมี สีดำ
และ ในสีดำย่อมมีสีขาว เสมอ
เพียงแต่ด้วยข้อจำกัดแห่งขันธ์ 5 ของแต่ละคน
ทำให้การตัดสินใจของเราคลาดเคลื่อนไปจากความจริงได้

โดยส่วนตัวเธอนึกอยากขอบใจ คุณโสเภณี ด้วยซ้ำไป
ที่ทำให้อาชญากรรมทางเพศลดลง
ถ้าไม่มีพวกเธอเหล่านั้น
มาช่วยรองรับตัณหาที่ไม่รู้จักอิ่มของผู้ชาย
ชีวิตกุลสตรีและ เบญจกัลยาณี ทั้งหลายคงจะ...
ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไรนักหรอก

ดังนั้นถึงตอนนี้เธอก็ยังฟันธงไม่ได้อยู่ดี
ว่าผู้หญิงสีดำ พวกนี้ ผิดศีล ข้อ 3 หรือไม่ ?
ขนาดตัว หนูบัวฯ เอง ยังไม่ค่อยจะรู้เลย
ว่าตัวเองเป็นคนดีหรือเปล่า?
ดังนั้น เธอจึงไม่อยากเอาการปรุงแต่งของจริตในตน
ไป ตัดสินความดี-ชั่วของใคร
เพื่อนำมาประณามหยามเหยียด
เพราะทุกกรรมที่เกิด
ย่อมมีเหตุปัจจัยของมันเสมอ
และ ไม่ว่าจะผิดศีล ข้อ 4 หรือไม่
ทุกกรรมที่เกิด  มันก็กระทบคน  กระทบโลกด้วยกันทั้งนั้น


ไม่ว่า จะเป็น
เจ้าสาวจะเข้าหอกับเจ้าบ่าว   
เถ้าแก่จะแอบหนีเมียไปหาอีหนู
ชายชู้จะปีนหน้าต่างมานอนกับเมียชาวบ้าน
โดยเนื้อแท้ ที่ปราศจากการปรุงแต่งแล้ว
มันก็ล้วนเกิดจาก ตัณหา ด้วยกันทั้งนั้น

กรรมที่เกิด ผิดศีลข้อ 3 หรือเปล่า ? ไม่รู้
รู้แต่ว่า ตัณหาทุกชนิดเมื่อมากระทบ
มันย่อมทำให้ดวงจิตมัวหมอง
โลกของโลกียชน มันก็ขะมุกขะมอม อย่างนี้แหล่ะ
ถ้ายึดติดกับสีขาว สีดำ มากเกินไป เรานั่นแหล่ะจะทุกข์

อืม...พ่อมักสอน หนูบัวฯ เสมอ ตั้งแต่ยังเด็ก นะ
ว่า  การ กิน-ขี้-ปี้-นอน เป็นเรื่องธรรมดา ในโลกของปุถุชน
พ่อก็สอนแค่นั้นแหล่ะ
ส่วนที่เหลือ หนูบัวฯ ก็ไปอยากรู้อยากเห็นเอาเองทั้งนั้น
พอโตขึ้นมาหน่อย หนูบัวฯก็ เริ่มอ่านหนังสือโป๊
พร้อม ๆ กับ ที่ ครูเริ่มสอนให้เธอท่อง อิติปิโสฯ นั่นแหล่ะ
มันเป็นความขัดแย้งที่น่าขำ ของเด็ก ป. 2 คนนึง


และยิ่งน่าขำเข้าไปใหญ่ ที่พอโตขึ้น
หนูบัวฯก็อ่าน หนังสือต่าง ๆ มั่วไปหมด
หนึ่งในนั้นก็มี  มติชน เป็นหนังสือเล่มโปรด
เธอ อ่าน  ตั้งแต่ คอลัมน์ พระฝรั่งรำพึงถึงหลวงพ่อชา
บทวิเคราะห์ทางศาสนา และ คำวิจารณ์พระพุทธเจ้า
ได้อ่านเรื่อง ฉันคือหินผา ขอ สีกา อรปวีณา
ได้รู้จักความหมายของคำว่า จิ้งเขียว
จนเปิดเข้าไปถึง  คอลัมน์นู๊ด ของอาเฮีย นิวัติ
แวะ ซึมซับกับคำว่า สังคมแสร้งจริต มานิดหน่อย
แล้ว ข้ามช็อต ไป อ่าน ปริมณฑลเซ็กส์ ของ คำผกา

รสนิยมการอ่านที่หวือหวา นั่น
ทำให้หนูบัวฯ แปลกใจตัวเองเหมือนกัน
ที่ยังมีชีวิตรอดมาได้ จนถึงทุกวันนี้
( โดยไม่ใจแตก หรือ ท้องไม่มีพ่อ เสียก่อน )
โชคดีที่สมัยนั้นยังไม่มี อินเตอร์เนต
การเข้าถึงสื่อลามกอนาจาร เลยไม่ง่ายนัก
ไม่อย่างนั้น หนูบัวฯอาจจะเสียผู้เสียคนไปแล้วก็ได้

สมัยอยู่ ม.ปลาย เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง
เคยถามหนูบัวฯ เล่น ๆ ว่า
ถ้าพระเอกหนังสุดหล่อ ขวัญใจของเธอ
มาขอนอนด้วย 1 คืน
หนูบัวฯจะยอมไปกับไอ้หนุ่มนั่นไหม ?

หนูบัวฯยิ้ม ๆ แล้วตอบไปว่า
" ถ้าพอใจผู้ชายคนไหน
หนูบัวฯ ก็ชวนมันนอนด้วย ได้ทั้งนั้น
(โดยไม่คิดจะตั้งเงื่อนไขผูกมัด อะไรกับมันด้วย )
แต่บังเอิญ เธอรู้สึกว่า
ยังไม่มีผู้ชายคนไหนที่เห็นแล้ว
ทำให้เธอ พอใจ จนรู้สึกอยากจะนอนกับมัน "

เพื่อนฟังคำพูดของหนูบัวฯ แล้วตีหน้าทะแม่ง ๆ
ตั้งแต่นั้น มันก็เลิกถามเรื่องพรรณนี้กับเธออีกเลย

หนูปูเป้ รูมเมทรุ่นน้อง สมัยอยู่มหาลัย เคยนั่งถกกับหนูบัวฯ
เกี่ยวกับประเด็น เรื่อง การรักนวลสงวนตัว ของหญิงสาว
หนูบัวฯ ก็ตอบน้องมันไป  แบบเดียวกับที่เคยตอบเพื่อนนั่นแหล่ะ
แต่หนูปูเป้ ไม่ยักกับทำท่าแปลก ๆ
เธอมีสีหน้าครุ่นคิด และ ยังคงนั่งคุยเรื่องนี้กับหนูบัวฯ ต่อ

พอครึ้ม ๆ นึกเอ็นดูอีหนูมัน
หนูบัวฯก็เลย เลคเชอร์เรื่อง
เยื่อบาง ๆ กลางหว่างขาของผู้หญิง ให้ฟัง
พร้อมกับเตือนมันว่า
กรอบจำกัดของผู้หญิง
ไม่ใช่อยู่ที่เยื่อเหล่านั้นหรอกนะ ปูเป้
แต่ อยู่ที่การมีมดลูก ต่างหาก

ผู้หญิงมักใช้ เซ็กส์ เพื่อแลกกับความรัก
แต่ผู้ชายมักจะใช้ ความรัก แลกกับเซ็กส์
และไม่ว่า จะเป็นแบบไหน มันก็คือการแลกเปลี่ยน...
เกิดการตีค่า เกิดการสมมุติ และ เกิดการยึดติด ขึ้นมา
จนบางครั้ง ก็เกิดความสับสนระหว่างคำ สองคำ
... ความรัก กับ ความใคร่...

ดังนั้นเวลามีความรัก จงระวังให้มาก
เพราะเจ้าความรักมันมีเล่ห์กลสารพัด
ที่จะงัดมาใช้เพื่อล่อลวงทำให้คนตาบอด

ถ้าริจะมีความรัก
 เวลานึกอยากจะทำอะไรต้องอย่าประมาท
การมีเซ็กส์กับผู้ชาย ก่อนเวลาอันควร
มันอันตรายมาก
แม้การรู้จักวิธีป้องกันตัวเองไม่ให้ท้อง
มันจะทำให้ทุกอย่างดูค่อนข้างปลอดภัย
แต่การยอมนอนเตียงเดียวกับผู้ชายสักคน
มันก็เหมือนการยินยอมให้ผู้ชายคนนั้น
มามีอิทธิพล เหนือชีวิตเรา
ถ้าไม่อยากสูญเสีย อิสรภาพของชีวิตที่สดใส
จงอย่าคิดสั้นทำอะไรมักง่ายเด็ดขาด

ผู้ชายเป็นสัตว์โลกที่ไม่เคยเชื่อง
อย่าประมาทไปเล่นกับไฟ 
เมื่อไรที่มันได้ครอบครอง
แล้วเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
เรานั่นแหล่ะที่จะเดือดร้อน

เพราะถ้ามีรู้สึกว่า เข้ากันไม่ได้
เราไม่มีสิทธิ (ไม่แต่จะคิด )
ที่จะเขี่ยมันออกจากชีวิต
(นอกเสียจาก ว่า มันจะเบื่อ และ เขี่ยเราทิ้งเอง)
หนูบัวฯ ยกตัวอย่างให้ ปูเป้ฟัง
ถึง  เรื่อง พาดหัวข่าวตามหน้าหนังสือพิมพิ์
ประเภท ไอ้หนุมรักคุดเอาน้ำกรดสาดหน้าอีสาวคนรัก แล้วยิงตัวตาย

ซึ่งก็ไม่รู้ว่า ปูเป้ มันจะคิดยังไงกับสิ่งที่เธอ พูด
เพราะ เห็นมันนั่งฟังตาแป๋ว แล้วทำท่าขยาดอย่างไรพิกล
สุดท้ายมันก็บ่นพึม " เจ๊ พูดซะ เค้าไม่อยากมีแฟนเลย "
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2010, 09:36:57 am »
ครั้งหนึ่งเจ้าพี่ชายนอกไส้ เคยสอนหนูบัวฯ ประมาณว่า

"จะผู้หญิง  หรือ ผู้ชาย ก็มี  ความต้องการ  เหมือน ๆ กัน
เพียงแต่ ความต้องการของผู้หญิง
มักจะถูกขัดขวางไว้โดยศีลธรรม

ปรัชญาฟันแล้วทิ้ง นั้น ผู้ชายที่ไหน ก็ทำได้ ง่ายจะตาย
แต่สิ่งที่ยากกว่านั้น...คือการไม่ทำต่างหาก
เพราะสัญชาตญาณของสัตว์ มันย่อมชอบสมสู่อยู่แล้ว
และการสมสู่ไม่เลือกนี่เอง
ที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สังคมวุ่นวาย"

ฟังแล้ว บางครั้ง หนูบัวฯก็ขอบคุณกรรมเก่าแต่ปางก่อนนะ
ที่โน้มนำให้เธอมี โครโมโซมคู่ที่ 23 เป็น XX
เพราะหาก เป็น XY  คนที่นิยม ลัทธิ เสพสุข
 และ มี ราคจริต เป็นเจ้าเรือน อย่างเธอ
คงเป็นเอดส์ตาย แน่ ๆ
นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ บางครั้งขนบธรรมเนียม
จารีตประเพณีอันหยุมหยิมทั้งหลายแหล่ ที่จำกัดสิทธิของผู้หญิง
มันก็ช่วยเป็นเกราะป้องกันคุ้มครองหนูบัวฯ
ไม่ให้หลงระเริงกับกิเลสตัณหาได้มากขึ้นนะ


บางครั้ง น้องชายของหนูบัว ฯ เคยเลคเชอร์สอนเธอว่า
" จำไว้นะ ไอ้บัวฯ
ผู้หญิงน่ะมันก็แค่เล่นตัวนิด ๆ หน่อย ๆ
ตอนเริ่มจีบเท่านั้นแหล่ะ
แรก ๆ ก็ยอมทนตามใจนังพวกนี้มันไปก่อน
พอตกเป็นของเรา เมื่อไร
ขี้คร้านจะเดินตามเรา ต้อย ๆ
เรียกเรา คุณคะ คุณขาาาาาาาาาาา "

ต้อง ขอบคุณน้องมันนะ ที่ให้ข้อคิดสะกิดใจ
ทำให้  หนูบัวฯ ฟังแล้ว หวาดกลัว
ไม่อยากสติแตก ต้องตกเป็น
ผู้หญิงที่เดินตามใครต้อย ๆ
แล้วพูดว่า คุณคะ คุณขาาาาาาาาาาา

เฮ้อ ประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต
และการได้ฟัง พี่ชายนอกไส้ และ น้องชายในไส้มันเลคเชอร์ ครั้งนั้น
มีผลกับ มุมมองความคิด ในเรื่องโลกีย์
( โดยเฉพาะในส่วนของ กาเม ) ของหนูบัวฯ อย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ เลยทำให้ เธอ สามารถ รักษาศีลข้อ 3 นี้
ได้ค่อนข้างง่ายมาก (ถ้าพูดถึงในส่วน เฉพาะ กายกรรม )
อย่างน้อยเมื่อมีอารมณ์เกิดขึ้น
ก็ไม่เคยคิดฉุดคร่า ผู้ชายคนไหน ไปข่มขืนสักทีนะ

ส่วนเจ้า ตัณหาในใจ นี่คงต้องพยามอีกหน่อย
ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ ที่ยังไม่หมดประจำเดือน
บางครั้ง อิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ก็ยังชักจูงความรู้สึกได้เสมอ
โดยเฉพาะช่วงที่ตกไข่ ( Overation )
ซึ่ง มันก็เป็นกลไกพื้นฐานของสัญชาตญาณในการสืบเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ชาติ
( ตาม ทฤษฎีของฟรอยด์ ) นั่นแหล่ะ

บางครั้ง หนูบัวฯ ก็รู้สึกรังเกียจ คำว่า ตัณหา นะ
อาจารย์สอนพุทธศาสนา มักจะพูดเป็นทำนองว่า
เจ้าตัณหา เป็นอาชญากรตัวเอ้
ใครก็ตามที่มีมันไว้ในครอบครอง ย่อมมีความผิด
จะต้องติดอยู่ในกรงขัง อยู่ในคุกที่มองไม่เห็นชั่วชีวิต

ฟังบ่อย ๆ เข้า หนูบัว ฯ เลยนึกหวาดกลัว
อยากขับไสไล่ส่งไม่ให้เจ้าตัวตัณหามาเกาะเกี่ยวอยู่ในดวงจิต
แต่ พอหนูบัวฯ ไปยืนชี้หน้าไล่มัน โดยบอกว่า
" นี่แหน่ะ เจ้าตัวตัณหาใคร ๆ ก็ว่า
แกเป็นสิ่งไม่ดี เป็นความชั่วร้าย
ใครก็ตามที่ยอมให้แกอาศัยอยู่ด้วย ย่อมมีความผิด
จะต้องติดอยู่ในกรงขัง อยู่ในคุกที่มองไม่เห็นชั่วชีวิต

หนูบัวฯ ไม่ชอบกรงขัง และ อยากเป็นคนดี
ฉะนั้น หนูบัวฯ คงแบ่งปันที่ว่างในหัวใจ
ให้แกอาศัยไม่ได้อีกแล้วนะ จงไปอยู่ที่อื่นเหอะ "...

เจ้าตัวตัณหาฟังหนูบัวพูด แล้ว
มันกลับหัวเราะ หึ ๆ  แล้วยืดอก บอกว่า
หนูบัวฯ เอ๋ย เธอจะทำงี้ได้ไงกัน
มันเป็นผู้มีพระคุณกับเธอนะ
ถ้าไม่มีมัน เธอก็คงไม่ได้ลืมตาดูโลก
แล้วมีโอกาสมายืนชี้หน้าไล่กันเหย็ง ๆ งี้หรอก
ถ้าขาดมันไปซะ  สัตว์โลก คงสูญพันธุ์ไปแล้วกระมัง

ฟังมันพูดจบ หนูบัวฯ ก็ไม่รู้จะเถียงกับมันยังไง
เลยพาลจับ เจ้าตัวตัณหา นี่
ไปซุก ไว้ใน คุกที่มองไม่เห็น ที่มุมหนึ่งของหัวใจ
และเท่าที่แอบดู ก็เห็นมันแสร้งทำท่าสงบเสงี่ยมเจียมตัว
อยู่ในกรงขัง ราวกับไร้พิษสง อยู่นะ

แต่บางครั้ง มันก็หันมายักคิ้วหลิ่วตาให้เธอ อย่างขบขันและล้อเลียน
พร้อมกับส่งเสียงบอกเธอผ่านลูกกรง ว่า
" หนูบัวฯ จ๋าาาาาา เคร่งครัดกับศีลข้อ 3 มาก  ๆ
ระวังเป็นกามตายด้านนะจ๊ะ
ครูสอนชีวะฯ ไม่ได้บอกเธอหรือไง
กฏ ข้อนึง ของ สิ่งมีชีวิต
คือ ต้องสามารถดำรงเผ่าพันธุ์ ของตัวเอง
ให้คงอยู่จนชั่วลูกชั่วหลาน ได้
และในฐานะ สิ่งมีชีวิต
เธอจะละทิ้งความรับผิดชอบในส่วนนี้ไม่ได้หรอกจ้ะ "

ฟังคารม ของ เจ้าตัวตัณหา
เกือบทำให้ หนูบัวฯ รู้สึกผิดตะหงิด ๆ
ที่คิดจะละทิ้ง หน้าที่ความรับผิดชอบ
ในการดำรงเผ่าพันธุ์ ของตัวเอง
แต่เมื่อนึกดูอีกที หนูบัวฯก็ไร้ความสามารถ
เกินกว่าจะปฏิบัติหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้จริง ๆ นั่นแหล่ะ
และ หากพิจารณาจากยอดขาย (ที่ทะลุเป้า)ของ ไวอะกร้า
สิ่งมีชีวิต ที่เรียกว่า คน  ก็คงไม่สูญพันธุ์หรอกมั้ง
ถ้า สิ่งมีชีวิต ที่ชื่อ หนูบัวฯ จะหันไปถือศีล 5 เพิ่มขึ้นอีกสักคน

คิดได้ดังนี้ หนูบัวฯ เลยใส่กุญแจ ลั่นดาล
ปิดตายกรงขังของเจ้าตัวตัณหา เสียจนแน่นหนา
แต่เมื่อไรก็ตาม ที่เธอหวั่นไหว อ่อนแอ หรือ เข้มแข็งไม่พอ
ถ้ากำแพงแห่งหิริโอตะปะ เริ่มมีรอยแตก
เจ้าตัณหาตัวนี้ก็มักจะ แหกคุก
แอบหนีออกมาเพ่นพ่านอาละวาดเป็นระยะ ๆ
เดือดร้อนให้เธอ ต้องวิ่งไปปลุกเจ้าสติขี้เซา
ให้ช่วยไล่จับ แล้วลากเอาไอ้ตัวตัณหาเข้าไปขังในคุกอีกหน
ทำเอาเจ้าตัวตัณหาบ่นกระปอดกระแปด เดินคอตกไปอยู่หลังลูกกรง

และสิ่งที่น่าขันอีกเรื่อง คือ
แม้หนูบัวฯ จะชัวร์ว่า ศีลข้อ 3 ของเธอนั้น ไม่เคยด่างพร้อย
และไม่เคยสร้างปัญหาในการปฏิบัติกับเธอ เหมือน ศีล ข้ออื่น ๆ
แต่ ชาวบ้านชาวช่องที่ทำงานด้วยกัน
กลับขนานนาม ให้หนูบัวฯ เป็น เจ้าแม่ฮาเร็ม ซะงั้น
แค่ ...เคยมี... เด็กใน คอลเลคชั่น ไว้คุยเล่น ๆ แค่คนสองคน
แล้วมี เด็ก ๆ เสนอตัวมาขอสมัคร
เข้า ชมรม คนรักพี่หนูบัวฯ อีก หนึ่งโขยง
ไหง๋ กล่าวหาว่า หนูบัวฯ เป็นเจ้าแม่ ฯ ก็ไม่รู้ เฮ้อ


ข้อ 4 มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
(ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือเจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากพูดเท็จ )

" เออ แล้ว รู้ไหม ว่า
อะไร เป็นสาเหตุให้ คนเรา ต้อง ปากหมา
ทำไมชอบทำร้ายคนอื่น ด้วยคำพูดเชือดเฉือน
แล้วเก็บสิ่งดี ๆ ที่คิด เอาไว้ในใจ 
เอาไว้วันหลังจะเล่าให้ฟัง ..."

เมื่อ สิบปีก่อน เพื่อนคนหนึ่งเคยเมล์ มาถามหนูบัวฯแบบนี้
ตอนนั้นก็ งง ๆ นิดหน่อย ไม่รู้มันจะมาไม้ไหน
แต่ครั้นจะ เล่าถึงอานิสงค์ ของศีลข้อ 4 ให้มันฟังก็กระไรอยู่

คนที่ เห็น งานของราชการ นิทานของพระ
และ การบ้าน ของเด็กมัธยม
เป็นเรื่องอ่อนหัดทางการตลาด อย่างมัน
ขืน เธอ เลคเชอร์ เรื่องศีล ข้อ 4 ให้ฟัง
 มีหวังโดนมันเฉ่ง เป็นแน่
(ไอ้หมอนี่ยิ่งปากจัดชนิดกัดไม่ปล่อยเสียด้วย )

หนูบัวฯ จึง ปลอบมันเรื่อยเปื่อย ไปว่า
" สำหรับ หนูบัวฯ น่ะ  เธอคิด ว่า
ในโลกแห่งความเป็นจริง 
คนที่อ่อนโยน ...
มักจะถูกคนอื่นมองว่า อ่อนแอ และ ถูก รังแก เสมอ
ถ้าไม่อยากตกเป็นเหยื่อ บางครั้ง เราก็ต้องทำตัวเอง
ให้กลายเป็น ผู้ล่าที่ป่าเถื่อน เหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้มั้งคนบางคนเลยต้องปากหมา

เจ้าพี่ชายนอกไส้ เคยสอนเธอว่า

ชีวิตคนเราย่อมแตกต่างกันไป
บางคนอ่อนไหวราวใบไม้
บางคนแข็งแกร่งกว่าใคร ๆ
บางคนแล้วแต่ใจให้นำพา
หากพบคนที่อ่อนแอ
จงอย่าแค่มองเห็นว่าไร้ค่า
จงพยุงเพื่อฉุดเขาลุกขึ้นมา
วันหนึ่งข้างหน้าเขาอาจเติบโต

โดยส่วนตัว หนูบัวฯ คิดว่า
บางคนอาจเข้มแข็งพอที่จะกระโดดออกจากเปลือกที่ห่อหุ้มตัวเองได้
แต่ก็ยังมีคนอีกมากมายที่ต้องซ่อนตัวอยู่ในเปลือก
ตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
กลไกการป้องกันตัวเองแบบง่าย ๆ ตามทฤษฎี จิตวิทยาไง
หากไม่ทำอย่างนั้น เขาคงอยู่ในโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ไม่ได้หรอก "

หลังจาก หนูบัวฯ ตอบกลับไปอย่างนั้น
เธอกับมันก็มัวคุยกันเรื่องอื่นเพลิน
จนไม่ได้คุยกันถึงเรื่องนี้อีก
ซึ่งถึงตอนนี้ เธอก็เลยยังไม่มีโอกาส ฟังมันเล่าเลย
ว่า ทำไม คนเราถึงต้อง ปากหมา ?

หนูบัวฯ เองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ ว่า
ตัวเอง ปากหมา หรือเปล่า
เมื่อก่อนเวลาที่เธอพูดอะไรออกไป
เพื่อนผู้หญิงในคณะ ก็มักจะโวยวายออกมาว่า
" ช่วยด้วย ๆ ใคร๊ ก็ได้ ไปเอา ตระกร้อ มาครอบปากมันที๊ "

" ถ้าเธอเป็นผู้ชายนะ เราชกปากไปแล้ว "
นี่ ก็เป็นอีกคำการันตี ฝีปากของหนูบัวฯ
ที่ไอ้อาร์ท เพื่อนที่คณะ มันสรรเสริญ

ส่วนอาจารย์ที่คณะก็เคยเอ่ยรับประกันคุณภาพปากของเธอ
ด้วยการประกาศต่อหน้าเพื่อนทั้งชั้นเรียน ร่วม เจ็ดสิบชีวิต ว่า
" เด็กคนนี้ มีศิลปะ ในการพูด การถาม "

และ อาจารย์ คนเดียวกันอีกนั่นแหล่ะ
ที่เอ็ดเสียงเขียวใส่เธอ ต่อหน้าสาธารณชน
" บัวฯ นี่เธอจะเรียนเภสัช หรือ จะไปเป็น ตลกคาเฟ่ ! "

ส่วน เพื่อนบางคนก็บ่นพึม
" ปากเธอน่ะ มันเหมือนกรรไกร ในห้องผ่าตัด "
แต่ครั้นพอเธอโต้เถียงกับมันเรื่อง
ความแตกต่างของผู้หญิงกับดอกกุหลาบ
เจ้าเพื่อนตัวดีก็แทบก้มกราบ แล้วเรียกเธอว่า " อาจารย์แม่ "

น่าแปลก ? ที่ปาก ของบัวฯ
มันมีวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดด
ถ้า ย้อนกลับไปเมื่อสมัยมัธยมต้น
เพื่อนคนหนึ่งเคยให้การ์ด ส.ค.ส. กับหนูบัวฯ
พร้อมกับเขียนข้อความว่า
" เราอยากให้หนูบัว ฯ พูดเยอะ ๆ กว่านี้
พูดน้อย ๆ มันไม่ดีนะจ๊ะ "

ซึ่งหลังจากได้รับ ส.ค.ส. นั่น แล้ว
 หนูบัวฯก็ยังคงบำเพ็ญตน
เป็นเจ้าหญิงกลัวดอกพิกุลจะร่วง อยู่ดี
เพราะไม่รู้จะพูดอะไร
บางครั้งการอ่านมากรู้มาก ( เกินไป )
มันก็ทำให้เธอพูดกับเพื่อนไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรนัก

และ บางครั้งเมื่อเผลอพูดออกไป
เพื่อน ๆ มันก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด
ก็จะให้เข้าใจได้ไงล่ะ
ขณะที่พวกมันอ่าน การ์ตูนญี่ปุ่น ของ อ. จิโฮ  ไซโต
คำสาปฟาโรห์ กับนิตรสาร เธอกับฉัน
หนูบัวฯ ก็ข้ามขั้นไปอ่าน คอลัมน์ " หรือจะพ้นวนวัง" ในกุลสตรี
อ่าน ท่องนรกภูมิ , โลกทิพย์ - ฟ้าเมืองไทย
และ คอลัมน์ พี่ศิราณี (เมื่อตอนประถม  6)

และพอขึ้นมัธยม นอกจากจะอ่าน นิกกับพิม นิยายที่ครูสั่งให้อ่าน แล้ว
เธอก็ อ่าน จันทร์ข้างแรม และ คนดงดิบ ของ โบตั๋น
อ่าน สงครามฝิ่นที่ภูหินตั้ง ของสยมภู  ทศพล
อ่านนิยายเรื่อง เงา  รอยมลทิน สองชีวิต  ทิพย์ ของทมยันตี
อ่านเรื่องสั้นชุดปากกาทอง ของหลวงวิจิตรวาทการ
อ่านการ์ตูนเรื่อง ข้าก็ลูกผู้ชาย  คิลเลอร์  บลูส์  ริคิโอ 
จิตอุบาทว์ ( happy peple )   และ the outer zone


แถมพอไม่มีอะไรจะอ่าน เธอก็ยังไปคุ้ยหนังสือเรียนเก่า ๆ  (ในตู้ที่บ้านย่า)
จนได้อ่านเรื่อง ศาสนาสากล -หน้าที่พลเมือง ฯลฯ อีก
ที่สำคัญ นิตยสารเล่มโปรด ก็ดันเป็น มติชน กับ สยามรัฐ
รวมทั้ง คอลัมน์ของ หมอนพพร ใน เดลินิวส์
ซึ่งหนังสือพวกนี้มันก็กลายเป็นเบ้าหลอม แนวคิด
และมุมมองชีวิตในอีกหลาย ๆ ด้าน ของเธอ
จนความคิดมันก้าวกระโดด 
จาก เด็กหญิง เป็น ผู้ใหญ่ โดย ไม่ได้ผ่านวัยรุ่น

ตอนนั้น กว่าหนูบัวฯ จะเรียนรู้และปรับตัวเอง
ในเรื่องการใช้คำพูด
หัดให้ตัวเองเลิกทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัย
แล้วหันมาพูดจาเล่นหัวกับเพื่อนได้ก็นานโข
และเพิ่งจะเริ่มจะเข้าที่เข้าทางก็ตอนอยู่มหาลัยนี่แหล่ะ
หนูบัวฯ ได้เรียนรู้ว่า การทำตัวให้ดูน่าเชื่อถือ
และเปี่ยมไปด้วยหลักการ นั้นต้องทำอย่างไร
แต่เธอก็ไม่ชอบงัดหน้ากากแบบนั้นมาใส่เท่าไร

การทำตัวให้ผู้คนเกรงขามเหมือน ลี้คิมฮวง นั้น
มันทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเท่าไร
เธอเลยชอบที่จะทำตัวเป็น อุ้ยเสี่ยวป้อ
ให้คนที่อยู่รอบข้างสบายใจมากกว่า

และ กับคนที่เธอชอบ
เธอก็สามารถเลือกเฟ้นถ้อยคำเล็ก ๆ น้อย ๆ
มาปลอบโยน ทำให้คนฟังทึ่งและประทับใจได้เสมอ
แต่กับ คนที่เธอเกลียด ปากเดียวกันอีกนั่นแหล่ะ
ที่สรรหาถ้อยคำสารพัดพิษ มาค่อนแคะ เสียดสี
โจมตีจุดอ่อนปมด้อยในใจ ของฝ่ายตรงข้าม จนเขาสะอึก
เพื่อน ๆ หลายคนบอกว่า หนูบัวฯ มีปากเป็นอาวุธ
ซึ่งก็คงจะจริงดังนั้น  เธอสามารถเปลี่ยนปากตัวเอง
ให้กลายเป็น ดอกไม้ หรือ ปลายมีดก็ได้ ตามที่ใจเธอต้องการ
ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน เธอใช้ปากตัวเองเอาตัวรอดได้เสมอ
แต่เมื่อหัดถือศีล 5 เป็นงานอดิเรก
เธอก็เกือบจะถือศีลไม่รอด ( เพราะปาก อีกเหมือนกัน )


จำได้ว่า ตอนถือศีล 5 และ หัดเดินจงกรม ใหม่ ๆ
เคยมีคนถามหนูบัวฯ นะ ว่า ศีล ข้อไหน ถือยากที่สุดสำหรับเธอ
หนูบัวฯตอบเขาไปว่า  เธอรักษาศีลได้ทุกข้อ
แต่ ข้อมุสาฯ นี่ รักษาลำบากกว่าเพื่อนนะ
เพราะมันไม่ใช่แค่ ไม่พูดเท็จ
แต่มันรวมการพูด ส่อเสียด
การพูดแล้วไปกระทบทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีด้วย

ปกติการสุมหัวนินทาชาวบ้าน
เป็นอาหารจานโปรดของหนูบัวฯ นะ
ซึ่งธอมักจะบริโภคมันบ่อย ๆ จนติดเป็นนิสัย

แต่ก็ไม่รู้โชคดี หรือโชคร้าย
ทุกครั้งที่อ้าปากจะนินทาใคร
เขาคนนั้นก็มักจะมาอยู่ ให้นินทาระยะเผาขนเสมอ

บางทีกะลังเม้าส์เพลิน ๆ
เขาคนนั้นก็เดินผ่านเฉยเลย
ทำเอาคนนินทาต้องกุมขมับ
ตายแหล่ว เสียงตู รึ ก็ สิบแปดหลอด ซะด้วย
เขาจะได้ยินไหมเนี่ย ?

หรือบางทีแค่อ้าปากพูดชื่อใครสักคน
( เพื่อเอามาเป็นเหยื่อในการนินทา )
เขาเหล่านั้นก็โผล่หน้ามาอยู่แถวนั้นเสมอ
จนเกิดอาการระแวงเลยไม่มีโอกาส นินทาใคร
อย่างเป็นจริงเป็นจังเท่าไร

ตอนหลัง หนูบัวฯ ยังมานั่งขำเลยนะ ว่า
ดวงของเธอคงไม่ถูกโฉลก กับการนินทาคนเป็นแน่
พอคิดจะอ้าปากนินทาใครก็ไม่เคย ประสบความสำเร็จเล๊ย
คงต้องขอบคุณ กรรมเก่าแต่ปางก่อน
 ที่มักจะบันดาลให้หนูบัวฯ นินทาใครไม่ขึ้น
 จากการสังเกต พอเธอคิดจะนินทาใคร สิบครั้ง
ก็มักจะสัมฤทธิ์ผล แค่ สามครั้ง เท่านั้น เฮ้อ

วันหนึ่งหนูบัวฯ มีเรื่องผิดใจ
กับเพื่อนที่ทำงานเพราะพูดจาไม่ถูกหูกัน
ตกเย็น พอเธอไปเดินจงกรม
ใจมันก็เลยหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้
เนื่องจากเธอเป็นพวกชอบสนุกที่รักสงบ
การมีเรื่องโกรธเคืองกับใคร จึงเป็นอะไรที่แย่มาก ๆ

ขณะที่ตีนมันเดินจงกรมไปเรื่อย ๆ
ใจมันก็ฟุ้งซ่านไปใหญ่
วูบหนึ่งใจมันก็เกิดความคิดว่า
อัน ลมปาก นี้ ช่างมีพิษสงร้ายจริงหนอ
คนส่วนใหญ่ จะชอบพอ หรือ ทะเลาะกัน
ก็เพราะ มันเนี่ยแหล่ะ

จริงหรือ ที่ กรรมเป็นเครื่องบอกเจตนา
แล้วทำไม วจีกรรม ที่ออกจากปากเราด้วยเจตนาอย่างหนึ่ง
ถึงถูกคนฟัง แปลความ และ เห็น เป็น เจตนา อีกอย่างไปเล่า

หรือว่า  วจีกรรม ที่เกิด ใช้เป็นตัวบ่งชี้ เจตนาไม่ได้
เพราะเจตนาของคนพูดก็ย่อมมีการปรุงแต่ง
เฉกเช่น เดียวกับการรับผัสสะของคนฟัง
เมื่อไรที่ มี เสียง เกิดขึ้น
เวทนาก็จะถูกปรุงแต่งไปตาม จริต แห่งตน
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2010, 09:37:36 am »
คำพูดเตือนใจ อันหนึ่งที่เธอชอบมาก คือ
คำพูดถ้ายังอยู่ในปาก เราจะเป็นายของมัน
แต่เมื่อไดก็ตามที่มันหลุดออกจากปากเราไปแล้ว
มันจะกลายเป็นนายของเรา
ตราบใดที่เรายังอ้าปาก  วจีกรรมจะยังเกิดเสมอ
ที่สำคัญ เมื่อเราปรุงแต่งถ้อยคำ แล้ว นำมันออกจากปาก
เราไม่สามารถคาดคะเนได้เลย ว่า
คนฟังจะเกิดการปรุงแต่ง
และรู้สึกอย่างไรกับวจีกรรมที่เราสร้างขึ้น

เฮ้อ ... เดินจงกรมไป ก็นึกถึงความน่ากลัวของ วจีกรรม ไป
สุดท้าย  หนูบัวฯ ก็นึกอยากเป็นหญิงใบ้ที่พูดไม่ได้ขึ้นมาซะงั้น
เข้าใจเลยนะ ว่า ทำไม พระเตมีย์ ถึงไม่ยอมพูด
ตอนนั้นเอง ที่ หนูบัวฯ  ตัดสินใจว่า
ต่อไป หนูบัวฯ จะงดการสร้าง วจีกรรม จะพูด เท่าที่จำเป็น

ซึ่งมันก็ไม่ยากหรอกนะ
ขอแค่หุบปากซะ วจีกรรมก็ไม่เกิด
ศีลข้อ 4 ของหนูบัวฯ ก็จะไม่ด่างพร้อย
เธอเคยทำได้มาแล้วสมัยอยู่มัธยม
ทำไมเธอจะหวนกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีกไม่ได้


ยิ่งถือศีลไปด้วย เดินจงกรมไปด้วย
รู้สึกว่า จิตมันไวขึ้นนิดหน่อยนะ
สำรวมมากขึ้นโดยอัตโนมัติ
เธอเปลี่ยนจากคนที่ พูดจาเจื้อยแจ้ว แง้ว ๆ ได้ตลอดเวลา
มาเป็น ผู้หญิงที่พูดช้า ๆ เนิบ ๆ โดยอัตโนมัติ

จากที่เคยโล้งเล้ง พูดจาตลกโปกฮาประจำ
ก็เปลี่ยนเป็น เจ้าหญิงกลัวดอกพิกุลทองจะร่วง โดยไม่ต้องฝืน
มันเป็นไปเองน่ะ พูดน้อยลง หนักไปทางยิ้ม ๆ ซะมากกว่า
เรียกว่า หน้ามือเป็นหลังเท้าเลย

โชคดีที่ จริตของเธอ มันค่อนข้างว่านอนสอนง่าย
คิดอะไร อยากจะทำอะไร ตั้งใจแบบไหน
มันก็เออออด้วยไม่เคยขัด
แต่คนที่อึดอัดดันเป็นคนรอบข้างซะนี่

ก็ใครบ้างล่ะจะไม่แปลกใจ
จากคนที่ใคร ๆ ก็ บอกว่า
"ขาดหนูบัวฯ ซะคน
ห้องยาเงียบบบบบบบบบบ อย่างกับป่าช้า"
(แต่เดี๋ยวนี้ ถึงมี เธอ อยู่ ก็ยังเงียบบบบบบบบบบ  เป็นป่าช้าอยู่ดี )

จำได้ว่า ตอนตั้งใจจะตัด วจีกรรม นั้น
ก็เปรย ๆ บอกชาวบ้านชาวช่องเหมือนกัน
( กลัวพวกมันจะตกใจ ที่ จู่ ๆ หนูบัวเปลี๊ยนไป๋ )
เธอจึงบอกกับ น้องดล ( ผู้ก่อตั้งชมรมคนรักพี่หนูบัวฯ )ว่า
ช่วงนี้ เธอจะหัดตัดวจีกรรม  จะพูด เท่าที่จำเป็น 
จึงอาจ เปลี่ยนลุคส์ เป็น สาว งามขรึม ไป นิดนึงนะ
ขอจงอย่ากังวลเลย หากเห็นเธอ ซึม ๆ เซื่อง ๆ ไปบ้าง

พ่อน้องชายนอกไส้ ฟังแล้วอึ้งไปพักใหญ่
แล้วก็ อ้อม ๆ แอ้ม ๆ แสดงความไม่เห็นด้วย บอกเธอว่า
" ผมว่าพี่บัวฯ เป็นอย่างเดิม ก็ดีอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องเปลี่ยนเลย "


ตอนแรกหลายคนนึกว่า หนูบัวฯ ทำเล่น ๆ
แต่พอผ่านไป  สี่ห้า วัน แล้วเห็นว่า
เธอยังคงบำเพ็ญตน เป็น สาวงามขรึม ได้อยู่ ไอ้พวกนั้นก็เริ่มขยาด
แถมไอ้เจ้าดล น้องชายนอกไส้ก็รี่เข้ามาแสดงความคับข้องใจ
( เพราะขาดคนลับฝีปากด้วย ) มันบ่นพึม
" ผมว่ามันแปลก ๆ ผมไม่เห็นด้วยเลย ที่ พี่บัวฯ จะทำงี้
กลับมาเป็นแบบเดิมดีกว่า ผมว่า มันทะแม่ง ๆ
ตั้งแต่พี่พูดว่า จะตัด วจีกรรมแล้ว "

ฟังไอ้น้องชายนอกไส้มันพูด หนูบัวฯ ก็ได้แต่ขำ ๆ
จะไม่ให้ขำได้ไงล่ะ เมื่อวันเกิดปีก่อน ( ตอนยังไม่ถือศีล )
ไอ้หนูดล คนนี้แหล่ะ ที่เขียนอวยพร ให้เธอว่า
" ขอให้พี่บัวฯ เป็นคนแบบนี้ ตลอดไปนะครับ "
จริง ๆ เธอก็อยากจะเอาหลักไตรลักษณ์
เรื่องความไม่เที่ยง มาเลคเชอร์ให้น้องมันฟังนะ
แต่เด็กวัยรุ่นใจร้อน อย่างมัน คงไม่เข้าใจหรอก

และเพราะเธอชอบหนังสือแนวจิตวิทยา
บางครั้งเธอก็เลยไปควานหามาอ่าน
ทั้ง ๆ ที่ มันไม่ใช่วิชาบังคับเลือกที่จำเป็นต้องรู้
สิ่งที่หนังสือเหล่านั้นสอนเธอ คือ
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์กับแรงกระตุ้นของจิตใต้สำนึก
การหาเหตุปัจจัย ที่ขับเคลื่อนพฤติกรรม ของคนรอบตัว
ทั้งในแง่  ความคิด การกระทำ  คำพูด และ ตัวหนังสือ

เธอสนุกกับการมองความเป็นไปของผู้คน
แล้วนำ สิ่งที่เขาแสดงออกมาวิเคราะห์เสมอ
แต่บางครั้งเธอก็มัวเล่นเกมส์วิเคราะห์ชาวบ้านเสียเพลิน
จนลืมที่จะย้อนกลับมาวิเคราะห์ตัวเอง

มาเมื่อเธอเริ่มคิดจะถือ ศีล ข้อ 4 อย่างจริงจังนั่นแหล่ะ
เธอจึงเริ่มคิดได้ และเริ่มหันกลับมามองตัวเองมากขึ้น
โดยเฉพาะ ก่อนที่เธอจะอ้าปาก พูดอะไรออกไป
เธอต้องคิดเสียก่อนว่า เจตนาของเธอนั้น คือ อะไร
พูดแล้วอาจจะกระทบความรู้สึกคนอื่นอย่างไร
และ สมควรไหมที่จะพูด ?

แถมตอนหลัง เธอไปอ่านเจอ
การพูดที่ไม่ควรพูด
 http://larndham.net/index.php?showtopic=32885&st=

เข้าให้อีก  มันยิ่งทำให้เธอต้องมานั่งทบทวนตัวเอง
แล้วตั้งคำถามขึ้นมาว่า ทำไมต้องห้ามยิบย่อยนักนะ ห้ามเพราะอะไร
ซึ่งเธอก็ได้คำตอบกลับมาว่า ยิ่งเราพูดเรื่องทางโลกมากเท่าไร
โอกาสจะเกิด การกระทบกระทั่งก็ยิ่งมีมาก
ยิ่งถ้าเป็นการพูดโดยใช้ ความรู้สึกที่ปรุงแต่ง
ยิ่งเป็นเรื่องอ่อนไหวง่ายเข้าไปใหญ่
แค่ เราแนะนำ เพื่อนว่า อาหารร้านนี้ อร่อย ?
แต่ถ้า เพื่อนมันไปกิน แล้วมันกลับไม่พอใจในรสชาด
มันก็เหมือนเรา ได้ มุสา แล้วนะ แม้จะไม่เจตนาก็ตามที

หรือ ถ้าเราเตือนเพื่อน ว่า อาหารร้านนี้ ไม่อร่อย
นี่ก็กระทบแล้วนะ เราสร้างวจีกรรมกับเจ้าของร้านแล้ว
ทำให้ร้านเขาเสียชื่อ เราไม่มีสิทธิเอาความรู้สึกของตนไปตัดสินใคร
และไม่ควร เหมาเอาว่า ทุกคนต้องรู้สึก หรือ คิดอะไรเหมือนกับตัวเอง
พอคิดได้งี้แล้ว จากเดิมที่ไม่ค่อยพูดก็ยิ่งนิ่งหนักเข้าไปใหญ่
ดอกพิกุลทองแทบไม่ได้ร่วงของจากปากหนูบัวฯ อีกเลย


ปัญหาต่อมา สำหรับการถือ ศีลข้อ 4 สำหรับหนูบัวฯ
คือการเซ็นชื่อมาทำงาน ...
ครั้งหนึ่งเธอมาทำงานสายแล้วลงเวลาตามจริง
ก็มีคนบ่น ว่า จะเขียนเวลาตามจริงทำไม
เดี๋ยวคนอื่น (ที่มาสายกว่าเธอ) ก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย
ไม่ต้องเขียนเวลาตามจริงหรอก 
อย่าตรงนักเลย ซิกแซกบ้างก็ได้
ฟังแล้วทำเอาหนูบัวลำบากใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เพราะถึงยังไงเธอก็ไม่ชอบฝืนจริต ชาวบ้าน
หรือ พยายามเจ้ากี้เจ้าการตำหนิติเตียน
ให้ใครต้องมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อทำให้เธอพอใจ

เบ้าหลอมทางความคิดของ เธอ
สอนให้เคารพมุมมองของคนอื่น
แม้ว่า สิ่งที่เขามองจะแตกต่างกับสิ่งที่เธอมองจนสุดขั้วก็ตาม
ในโลกแห่งความคิดของเธอนั้น
ไม่มีอะไรถูก หรือ ผิด อย่างชัดแจ้ง
จะมีก็แต่มุมมองที่แตกต่าง 
ซึ่งก่อให้เกิดความหลากหลายทางความคิดมากขึ้นเท่านั้น

เพราะการเป็นคนช่างประนีประนอมอย่างล้นเหลือนี้เอง
ที่ทำให้หนูบัว ฯ ตะขิดตะขวงใจมาก
เรื่องการจงใจเซ็นชื่อไม่ตรงเวลาเข้าทำงานจริง
เธอไม่อยากผิดศีล ข้อ 4 ด้วยการเขียนเวลาเข้างานจอมปลอม
แต่เธอก็ไม่อยากผิดใจ กับใครด้วย
การประคับประคอง ศีลข้อ 4 ให้เป็นคนดี
โดยที่ไม่ทำให้คนอื่นขุ่นมัว (เพราะเราไปขวางทางเขา)...
มันค่อนข้างได้ยากมาก ๆ เลย เนอะ เฮ้อ...

สุดท้าย หนูบัวฯ เลยมานั่งตรองดู
แล้วตัดสินใจทำบางสิ่งที่ต่างออกไป
เธอแก้ปัญหาเรื่อง การลงเวลา ตามจริง
ด้วยการ  แหกขี้ตามาทำงานให้เช้าขึ้น  และ หลีกเลี่ยงการมาสาย
เพราะเจ้าสิ่งนี้ มันช่วยให้เธอรักษาศีลข้อ 4 ได้
โดยไม่ต้องไปทำอะไรที่กระทบความรู้สึกคนอื่น

แต่เมื่อหยุดกรรมจากการสื่อสารทางปากได้แล้ว
เธอก็ยังเผลอ พลาด  เกี่ยวกับเรื่องการสื่อสารผ่านตัวหนังสือ อยู่ดี
ปากเธอเคยเป็นอย่างไง ตัวหนังสือเธอก็ยังเป็นเฉกนั้น
ยิ่งเก็บกดไม่ค่อยได้อ้าปากพูด เท่าไร
มันก็เลยพรั่งพรูมาทางแป้นพิมพิ์ใหญ่เลย

แถม ไอดอล ประจำตัวของหนูบัว
ก็ดันไม่ใช่ นักเขียนที่ดูน่าเชื่อถือ หรือมีหลักการอะไร
เธอเบื่อหน่ายนิยายอิงคติธรรม ทุกชนิด เกลียดมันเข้าไส้
เพราะ หยิบมาอ่านทีไร ก็ต้องนั่งหาว หรือไม่ก็ สัปหงก ทุ๊กที

ตอนหลังถึงขนาดสาบานกับตัวเองว่า
เธอจะไม่ยอมเขียนอะไร ที่ " ... ลากเข้าวัด...  " เด็ดขาด !
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเห็นดอกบัวเป็นกงจักร
หันไปหลงรักสำนวนของ แม่ลูกจันทร์ ณ สำนักข่าวหัวเขียว แทน
ซึ่งมันก็เป็น เหตุปัจจัยให้ ลีลาการใช้ภาษาของเธอหวือหวา แบบนั้น

เรื่องการใช้ตัวอักษรนี่
เจ้าพี่ชายนอกไส้ที่เมล์คุยด้วย ก็เคยบ่น ประมาณว่า
" น้องบัวฯ เหมือน แม่ค้าปากตลาด "

ส่วน เจ้าเพื่อน...

เจ้าเพื่อนคนหนึ่ง เขาก็เคยบ่น ๆ ให้บัวฟัง
" อ่านเมล์ของคุณบัวฯ แล้ว ทานโทษ ผมล่ะปวดกบาล !
ถ้าเลิกใช้ สำนวน เพรียวนม แบบ 'รงษ์ วงศ์สวรรค์ ได้
จะเป็นคุณ กับการเขียนของคุณ มาก"  เขาว่างั้น

แต่ทั้งพี่ชายนอกไส้ และ เจ้าเพื่อนที่เคารพ
ก็แค่ บ่นนิดหน่อย ไม่ได้ตำหนิอะไร มาก
แถมพอฟังเธอ แว้ด ๆ บ่อยเข้า
พวกเขาก็โมเมไปว่า เธอเป็น คนปากร้ายใจดี อีกต่างหาก
ฟังแล้ว คนสวยใจดำ แบบหนูบัวฯก็เลยได้แต่ขำ
บางครั้ง ทั้งเจ้าพี่ชายนอกไส้ และ เพื่อนบังเกิดเกล้า
ก็ค่อนข้างจะตามใจหนูบัวฯ มาก ( เกินไป )
จนเธอเหลิง และ เสียนิสัยเรื่องคำพูดคำจา เลยล่ะ

มีอยู่หลายครั้งที่เธอใช้ตัวอักษรบนแป้นพิมพิ์
สร้างวจีกรรมทางไซเบอร์สเปซ
เที่ยวไล่ฟัดชาวบ้านจนแตกกระเจิง
แต่ก็ไม่มีครั้งไหน รุนแรงกระทบต่อความรู้สึกของเธอ
เท่าตอนที่เธอไปโพสกระทู้หนึ่ง
ลงในโต๊ะห้องสมุด ที่เวบพันธุ์ทิพย์ เมื่อ ประมาณ สิบปีก่อน ...

เรื่องมันเริ่มจาก เพื่อน ๆ บางคน
ทำท่าระอา กับ ภาษาประหลาด ๆ ที่ เธอใช้
แล้วมาบอกว่า นังหนูบัวฯ แกน่ะ มันพวกชอบทำภาษาไทยวิบัติ
ตอนนั้น ฟังแล้วเธอเลยเกิดอาการ ของขึ้น
คนที่ได้ สี่ วิชา ภาษาไทย มาตลอด ตั้งแต่ ประถม ยัน มัธยม
แถมด้วย เอ  thai skill ในมหาลัย อีกตัว เนี่ยนะ ทำภาษาวิบัติ
คนที่เป็นลูกศิษย์คนโปรดของ อาจารย์ภาษาไทยหลายคน
เพราะสอบได้คะแนน ท็อป วิชานี้บ่อย ๆ เนี่ยนะทำภาษาวิบัติ


แหม?ที ท่านจอมพลบางคน
เปลี่ยนแปลงการใช้ภาษาตั้งเยอะตั้งแยะ
ไม่เห็นเพื่อนมันประณามตาลุงนั่น
ว่าเป็นพวกทำให้ ภาษาไทยวิบัติเลย
แต่พอเป็น สามัญชนไม่มียศศักดิ์ อย่าง หนูบัวฯ ทำเลียนแบบเขามั่ง
ทำไมต้องมาว่า เธอด้วยล่ะ ยิ่งคิดหนูบัวฯก็ยิ่งน้อยใจ 

ซึ่ง พออัตตาในตัว มันเกิดความจองหองมากขึ้น
เธอจึงไปนั่ง จิ้มดีด ( แปลว่า ค่อย ๆ บรรจงจิ้มนิ้วลงบนคีย์บอร์ด
เพื่อพิมพิ์ตัวอักษรทีละตัว เนื่องจากพิมพิ์สัมผัสไม่เป็น )

ตอนนั้น เธอจิ้มดีด โพสกระทู้ เรื่อง
 " คำสารภาพของ...เด็กนอกคอก...ที่ทำภาษาไทยวิบัติ !?!"
ที่โต๊ะห้องสมุด ในเวบพันธุ์ทิพย์
เพื่อระบายความรู้สึกของตัวเอง
เนื้อหาโดยสรุป ประมาณว่า
ถ้าภาษาคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
ควรหรือคะ ที่เราจะต้องเป็นทาสของสิ่งที่ตัวเองสร้างมันขึ้นมา
เธอไม่สนหรอกว่า ภาษาจะวิบัติหรือไม่
แต่สนใจแค่ว่า จะใช้ภาษาอย่างไรให้ถูกกาลเทศะ

ผลก็คือ มีชาวบ้านชาวช่องโพสแสดงความคิดเห็นกันใหญ่
ซึ่งก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อาทิ...

หนูทอตะวันเข้ามาโพส บอกว่า
หนูบัวฯ จ๋า ภาษาไทย เชิงลึก มีทั้ง อักษรสูง กลาง ต่ำ
ทำให้ภาษาไพเราะเหมือนเสียงดนตรี
หนูบัวฯ กำลังให้เหตุผลเหมือนเด็กสาวหัวดื้อ
ที่อยากใส่สายเดี่ยว แล้วพยายามยกโน่นยกนี่มาอ้าง นะจ๊ะ

 คุณพลายแป้ง บอกว่า
การเขียนให้ถูกอักขรวิธีทางภาษา
ไม่ได้หมายความว่า เราเป็นทาส ของสิ่งที่เราสร้างขึ้น
แต่เป็นการยอมรับในสิ่งที่เป็นกฏเกณฑ์
เพื่อให้เป็นไปตามแบบแผนเดียวกัน
(เขาทิ้งท้ายมาว่า  หนูบัวฯเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดแปลกดี ? )

 ส่วน คุณชุบ เตือน เธอว่า

การกบฏต่อโลก การเย้ยกฏของโลก
มักจะเป็นสัญชาตญาณของเด็กวัยรุ่น
ที่ก้าวมาอยู่ในโลกที่ไม่ได้เตรียมมาให้เธอ
และเธอไม่ได้ร่วมกำหนด

หนูบัวฯอาจทำไปด้วยสัญชาตญาณ
มากกว่าด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงที่ยกมาอธิบาย

แต่ คุณ กระต่าย กลับแนะนำ ให้หนูบัวฯ
ไปหาหนังสือ นิรุกติศาสตร์ ของเจ้าคุณอนุมานราชธนมาอ่าน
เพราะ เล่มนี้ มีความเห็นคล้าย ๆ หนูบัวฯ


 คุณพัทธ์ บอกว่า
ไม่มีใครผิดใครถูก ร้อยเปอร์เซนต์
ภาพที่เห็นโดยรวมก็คือ " ครูภาษาไทย " ที่ใคร ๆ คิดถึงนั้น
มักคำนึงถึง " ภาษาไทยที่ควรจะเป็น " เป็นหลัก
ซึ่งสิ่งที่ " ควรจะเป็น " ของคนเหล่านี้ มักเป็นแบบแผนอย่างเก่า

ในขณะที่ คนรุ่นใหม่ ที่เรียนทางด้านภาษาศาสตร์ ด้วย
มักหัวสมัยใหม่ นิดหน่อย
แม้จะรู้ว่า " ที่ควรจะเป็น " นั้นเป็นอย่างไร
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำตาม
เพราะถือว่า ธรรมชาติของภาษาต้องมีการเปลี่ยนแปลง
ถ้ายังสื่อสารได้ ก็ถือว่าพอแล้ว
ไม่ว่า มันจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ตาม
เป็นการมองภาษาตามความเป็นจริง ตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
อย่างคุณบัวฯ  "ผมว่าน่าจะเรียน ภาษาศาสตร์ นะครับ !!"


คุณพระจันทร์กระดาษ
บอก คิดคล้าย ๆ หนูบัวฯ
ภาษา หรืออะไรก็แล้วแต่ในโลกนี้
มันก็เปรียบเสมือนผู้หญิง ที่พยายาม ยื้อยุด
ฉุดกระชากความสาวให้คงอยู่กับตัว ตราบนานเท่านาน
แต่สักวัน สังขารก็ย่อมเป็นไปตามเวลา ภาษาก็เป็นเช่นนั้น

ส่วน คุณ ปั๊กกะติน ยิ่งวิจารณ์แหลก
ด้วยการบอกว่า การใช้ภาษาไทย ที่ดี เก๊าะคือ
คำที่ควรอยู่ในที่ของคำ ก็ได้อยู่ในที่ของคำ
อย่าลืมว่า 'รงษ์  วงศ์สวรรค์
เคยเจอเหตุการณ์นี้เหมือนกัน เรื่องทำภาษาวิบัติ
แม้แต่ ทมยันตี นักเขียนไทยยอดนิยม
ก็มักจะเขียนคำที่สะกดไม่ตรงกับพจนานุกรม

ความคล้ายคลึงกัน ของ ภาษา "วิบัติ" ที่คนทั่วไปนิยาม
คืออะไรก็ได้ที่ไม่ได้มีอยู่ในพจนานุกรม
คำที่เขียนเลียนเสียงพูด
แต่ปรากฏในสายตา ก็ให้ความหมาย และ อารมณ์ แบบหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่นการเขียน "กวีภาพ"
( สังคมไทย เรียก งานเขียนเชิงทดลอง เช่น งานของ วินทร์  เลียววาริณ )

ภาษาเป็นสิ่งไม่ตาย ตราบที่ยังมีคนใช้อยู่
คนสมัยก่อนอาจจะพูด หรือ เขียน ไม่เหมือนคนสมัยนี้ก็ได้
อย่างคำว่า "เหน" หรือ "เปน" ตอนนี้ไม่มีแล้ว

ใช้ไปเหอะ คุณหนูบัวฯ
ตราบใดที่ วิญญาณขบถ ของคุณยังมีชีวิตชีวาอยู่
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2010, 09:38:20 am »
ตอนนั้น หนูบัวฯ ฟัง ทั้งคำเตือน  คำแนะนำ (และ คำยุแยง )
ของเพื่อน ๆ ในเวบบอร์ด ด้วยความฉงน
น่าแปลกจัง ที่มุมมองเรื่องภาษาของคนแต่ละคน
ช่างไม่เหมือนกันเลย ทั้ง ๆ ที่ มองไปที่สิ่งสิ่งเดียวกันแท้ ๆ
แต่ ทำไม คนเราถึงได้มองสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่เหมือนกันนะ
อะไรที่ทำให้เกิดความแตกต่างของมุมมอง

และ มุมมองที่แตกต่างทั้งหลายนั้น
มันก็ช่วยทำให้เธอ ได้เห็นอะไร ๆ ได้ชัดขึ้น
โดยเฉพาะ การปรุงแต่ง และ ความไม่เที่ยง ของภาษา

แต่คำวิจารณ์ของใครคนหนึ่ง
กลับทำให้เธอหัวเราะไม่ออก
เมื่ออ่านความคิดเห็นของเขาที่โพสลงมาว่า

" คำสแลง สามารถใช้ได้เฉพาะกลุ่ม
 แต่ในเวบบอร์ดนี้ คนที่เล่นเป็นใครก็ไม่รู้
อายุก็ต่างกันอยู่แล้ว จะมาถือว่า เป็นพวกกัน
คิดจะทำอะไรก็ทำ ได้อย่างไรครับ
พวกเราถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วก็อย่าสนใจเลยครับ

ผมว่า คนพวกนี้มักชอบเรียกร้องความสนใจจากใคร
หรืออะไรสักอย่างหนึ่งมากกว่า
ถ้าเราไม่สนใจ เขาก็จะเลิกไปเอง
หรือถ้าไม่เลิกนิสัย ชอบทำอะไรขัด ๆ กับสังคม
มันก็จะติดตัวเขาไปเอง เป็นผลเสียต่อตัวเขาเองครับ "

อ้าวววววววววว มันแช่งตูนี่หว่า
อ่านแล้ว หนูบัวฯชักหน้าหงิก
วิญญาณหมาในของปากเธอ  เริ่มสั่นระริก
และแล้ว เจ้าโทสะจริต มันก็สั่งให้กระดิกนิ้วรัวแป้นพิมพิ์
โต้ตอบฉอด ๆ ด้วยการตอกกลับไปว่า

" ผู้ที่ไม่กล้า คือ ผู้ที่ มิอาจเป็นขบถ
ผู้ที่ไม่เป็น ขบถ คือ ผู้ที่ ต้องตายอยู่ภายใต้กฏกรอบ
ประหนึ่ง ดัง กบในกะลาครอบนั่นเทียว

หนู บัวฯ เห็นด้วย (บางส่วน )
กับคติของ คมทวน  คันธนู นะคะ

แต่ หนูบัวฯ คง ไม่มีความสามารถพอ
ที่จะเป็น ขบถได้หรอกค่ะ
ขบถ คือ ผู้ที่ยึดอำนาจไม่สำเร็จ
ดังนั้น หนูบัวฯ ขอเป็น คณะปฏิวัติ ดีกว่า

และ ในเมื่อเป็นอย่างใจคิดไม่ได้
หนูบัวฯ ก็ขอเป็นแค่เด็กธรรมดา ๆ
ที่มองโลกและชีวิตอย่างเข้าใจตามที่มันเป็นก็พอ
หรือไม่ก็ใช้ชีวิตแบบที่ท่าน อังคาร  กัลยาณพงศ์ เคยพูด

เราต้องเรียนรู้จากทุก ๆ แห่ง
แต่ต้องทำทุกอย่างด้วยหัวใจของเราเอง
ต้องรู้เอง และ ทำด้วยวิญญาณของตัวเอง ที่เห็นสัจธรรม

ขอบคุณ ผู้อ่านบางท่านที่.... เมตตาเป็นห่วง ....
กลัวว่า หนูบัวฯจะทำตัวขวางโลกจนอยู่ในสังคมไม่ได้
ไม้อ่อนมันดัดง่ายค่ะ และปลาที่มีชีวิตอยู่ ต้องว่ายทวนน้ำเสมอ

บางทีกาลเวลาอาจทำให้ หนูบัวฯ พูดจา
โดยยึดหลักการ ได้เก่ง พอๆ กับท่านนายก ก็ได้
อย่าเสียเวลาอันมีค่าของท่าน
มาทำนายทายทักชะตาชีวิตของหนูบัวฯ เลยค่ะ "

หลังจากโพส ข้อความนั้นลงไปในกระทู้
หนูบัวฯก็เอ้อระเหยลอยชาย ไม่ได้สนใจกับมันอีกเลย
จนกระทั่งวันหนึ่ง มีคนไปตั้งกระทู้เพื่อไว้อาลัย
ให้กับผู้ชายคนนั้น ในเวบ
ซึ่งพออ่านแล้ว เธอก็อึ้ง เพิ่งรู้ว่า
หลายปีที่ผ่านมา ผู้ชายคนนั้นป่วยเป็นมะเร็งที่รักษาไม่หาย
และ ระหว่างที่ เขาใช้ชีวิตอยู่เพื่อรอความตาย
เขาก็อาศัย อินเตอร์เนต ในเครื่องมือสื่อสารติดต่อกับคนทั้งโลก
โชคไม่ดีเลยที่เขาต้องมาเจอกับผู้หญิงปากเสียอย่างเธอในโลกไซเบอร์

ตอนที่รับรู้เรื่องราวน่าเศร้าของเขา
รู้ว่าเขาต้องทนทุกข์กับโรคร้าย อยู่เพื่อรอวันตาย
ตอนนั้น อัตตา กับคำว่า " กูถูก มึงผิด " หายวับไปจากใจเลยนะ
มันเหลือไว้ เฉพาะ ความรู้สึกแย่ ๆ ที่ว่า
เธอไม่น่าใช้คำพูดรุนแรง เชือดเฉือน
ทำร้ายผู้ชายใกล้ตายคนนั้นให้เจ็บปวดเลย


บทเรียนเรื่องนี้ สอนอะไร ให้ หนูบัวฯ ค่อนข้างมากนะ
หนึ่งใน บทเรียนราคาแพงลิบ อันนี้ก็คือ
ถ้าเธอโชคดีที่สามารถ มองหลาย ๆ สิ่งในโลกใบนี้ได้
โดยไม่ยึดติดกับ ความนิยม สมมุติ และ การ ตีค่าใด ๆ
เธอก็อย่าไปทำร้ายความรู้สึกของคนที่ยังปล่อยวางไม่ได้ เลย
เขาทุกข์กับการยึดติด แค่เพียงอย่างเดียวก็แย่อยู่แล้ว
อย่าไปใช้คำพูดทับถมทำร้าย ให้เขารู้สึกแย่หนักไปกว่าเดิมเลย

และถ้าเขาตำหนิเธอแล้ว มันช่วยเยียวยาอัตตา
และความภาคภูมิใจของเขาทำให้เขารู้สึกดีขึ้น
มันก็คงไม่หนักหนาอะไร
ที่เธอจะฝึกฝนความอดทนอดกลั้น เล็ก ๆ น้อย ๆ
ด้วยการ รู้จักหยุด รู้จักเย็น รู้จักยอม คนอื่นเสียบ้าง
เขาเหล่านั้นจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดเพราะคำพูดโต้กลับของเธอ

เธอชอบใช้ตัวหนังสือ สร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ
และ สร้างกำลังใจให้คนอื่นมากกว่า
ถ้าเป็นไปได้ เธอไม่อยากให้ ตัวอักษรที่เธอเขียน
ไปทำร้ายให้ใครต้องขุ่นมัว หรือ เจ็บปวดอีกแล้ว...

อืม... ถ้า วจีกรรมที่ หนูบัวฯ เล่ามาทั้งหมดนี้
คือ เรื่องของการ พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด
เธอก็มี วจีกรรม ในส่วนของ การไม่พูดในสิ่งที่ควรพูด
มาเล่าให้ ฟังเป็น อุทาหรณ์ เหมือนกัน ลองอ่านดูนะ

เหตุปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ที่พบเจอในชีวิต
ทำให้หนูบัวฯ พัฒนาศักยภาพ
ในการพูดการเขียนจนแตกฉาน
ทุกครั้งที่อ่านข้อความสักประโยค
เธอสามารถวิเคราะห์เจาะลึกได้
จนถึงระดับที่ตีความ รูปแบบการนำเสนอ
ความแนบเนียนในการใช้ถ้อยคำ
ตลอดจน สารแฝงเชิงนัยยะ
ที่ผู้ส่งต้องการจะสื่อเพื่อโน้มน้าวผู้รับสาร เลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้ เธอจึงสามารถใช้ภาษาเป็นเครื่องมือต่อรอง
ในการหว่านล้อม ให้คนฟังคล้อยตามได้อย่างช่ำชอง
เธอเคยพูดปลอบจนทำให้เพื่อนที่ร้องไห้ซิก ๆ เพราะอกหัก
กลับมาหัวเราะคิกคัก ได้ ทั้ง ๆ ที่น้ำตายังไหลซึมอยู่ที่แก้ม

และเมื่อ มีการนำนิทานเชิงจริยธรรมบางเรื่องมาอภิปรายในชั้นเรียน
ตอน disscus กันว่า ตัวละครตัวไหนใครผิดใครถูก
เธอเคยพูดแสดงความคิดเห็น
จนทำให้หญิงสาวน่าสงสารที่แสนจะอาภัพ ในนิทาน
กลับกลายเป็นหญิงคนชั่ว เป็นจำเลยบาปของสังคมไปเลย
แถม เพื่อน ๆ ทุกคนในกลุ่ม ก็เผลอคล้อยตาม
และ หลงเชื่ออย่างที่เธอชี้นำ เสียด้วย
ปากเป็นเครื่องมือ สารพัดประโยชน์ สำหรับหนูบัวฯ
ปาก ... เป็น อวัยวะ ที่นำความภาคภูมิใจมาให้เจ้าตัวเสมอ

แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่เธอทำผิดพลาด
ด้วยการไม่ใช้ อวัยวะที่เรียกว่า ปาก ในการเตือนสติ เพื่อน...
เพื่อนในคณะ คนหนึ่งของเธอ ย้ายไปเรียนที่มหาลัยอื่น
ต่อมาไม่นาน เธอ ก็ได้ข่าวมาว่า
เพื่อนคนนี้ กระโดดจากตึกสี่ชั้นเพื่อฆ่าตัวตาย
ถ้าเป็นการกระโดดเพราะ  สอบตก -อกหัก -รักคุด
หนูบัวฯ ก็คงปลงได้หรอกนะ
เพราะมันมีให้เห็นดาษดื่นตามหน้าหนังสือพิมพิ์

แต่ตอนหลัง เธอ ดันมารู้ว่า เพื่อนมันโดดตึก
 เพราะ  ความนึกคิด และ ศรัทธาจริต ที่เบี่ยงเบน...
ตอนนั้น เพื่อนของเธอ เพิ่งเปลี่ยนศาสนา จากพุทธ ( ตามทะเบียนบ้าน )
ไปนับถือ...ศาสนาอื่น... ตามเพื่อน ๆ ที่มหาลัยใหม่

เมื่อย้อนกลับไปอ่าน อีเมล์ที่มันส่งถึงเพื่อน ๆที่คณะ ในตอนนั้น
เพื่อนหนูบัวฯ คนนี้ มันเกิดศรัทธาจริต กับความเชื่อใหม่มาก ๆ

" หลักธรรมก็ผุดผ่อง   คำสอนก็ผูกพันธ์ ประวัติศาสตร์ก็เป็นจริง
เราไม่เคยเสียใจแม้แต่ลมหายใจเดียว ที่เราตัดสินใจรับท่าน เข้ามาในชีวิต
เราคงมีโอกาส ได้เผยแพร่ พระวัจนะคำที่บริสุทธิ์ ....ให้เพื่อน ๆ ทุกคน "

อ่านเมล์ที่มันพร่ำบอกแล้ว
หนูบัวฯ พูดอะไรไม่ออกเลย
เธอไม่ได้เสียใจหรอกนะ
ที่เพื่อนเธอเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
อะไรที่ เพื่อนนับถือ แล้ว เป็นสุข ตรงกับจริตของเพื่อน
เธอก็ไม่คิดจะขัดขวางหรอก

เพียงแต่มันไม่น่าจะคิดสั้น ๆ ด้วยการกระโดดตึก
เพื่อไปอยู่กับสิ่งที่มันศรัทธาเลย
ยิ่งคิด เธอก็ยิ่งเจ็บใจ
ตอนนั้นเธอน่าจะเมล์ไปคุยกับเพื่อนคนนี้บ้าง
( ถึงจะไม่สนิทกันก็เหอะ )

อย่างน้อย การได้คุย
กับคนที่.... ไร้ซึ่ง ศรัทธาจริต .... โดยสิ้นเชิง อย่างหนูบัวฯ
คงจะช่วยลดทอน ศรัทธาจริตที่เบี่ยงเบน ของมันได้
ถ้าวันนั้น เธอรู้สักนิด ว่า มันคิดยังไง
เธอคง เลคเชอร์ เรื่อง รากเหง้า ของศาสนา
ให้มันฟัง สัก สาม หน้ากระดาษ A4 ไปแล้ว
ในเวลาที่ไม่ควรพูด ปากเธอกลับอ้า
แต่ในเวลาที่ควรจะพูด ปากเธอกลับหุบ
มันแย่ที่สุดเลย เฮ้อ...


" สุราแปลว่าเหล้า
กินค่ำเช้าฆ่าพยาธิตาย
ขึ้นสวรรค์ก็ง่ายดาย
มีนางฟ้าคอยแห่แหน
ผู้ใดไม่กินเหล้าตกนรกชั่วดินแดน
ยมบาลมัดตีนแขวนพุ่งหัวลงสู่โลกันต์ "

คุณสมาน ( พ่อหนูบัว ฯ ) เคยท่องกลอนบทนี้ให้ฟัง
ตอนเลคเชอร์ ถึงเหตุปัจจัยในเรื่อง
ทำไมไม่ยอมสมาทานศีล ข้อที่ 5
ทำไมต้อง  " สุราเป็นระยะ ๆ"

และวลีเด็ด ประจำตัวของพ่อ อีกอัน
ที่มักจะยกมาเอ่ยอ้างอย่างอหังการ์เสมอ คือ
" พ่อกินเหล้าไม่ใช่เหล้ากินพ่อ "

ฟังแล้ว หนูบัวฯ ก็ได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ
มิบังอาจ สอนสั่งพ่อบังเกิดเกล้า
ว่าด้วย ข้อเสียของการผิดศีล ข้อ 5 อีกเลย

หลายปีก่อน เมื่อไปทำงานที่ต่างจังหวัด
เธอเคยส่งยาเลิกเหล้า ( Disulfulram )
ให้พ่อกิน ด้วยความหวังว่า
มันจะรักษาโรค แอลกอฮอล์ลิสซึ่ม ของพ่อ ได้บ้าง

พ่อ...ทน...กินยาด้วยความเกรงใจลูกสาวสุดที่รัก
 ด้วยสัญญาของลูกผู้ชาย ที่เผลอให้ไว้กับหนูบัวฯ
แต่หัวใจของพ่อนั้น ก็ ยังมี ปีศาจสุราสิงสถิตอยู่เสมอ
พ่อจึงต้องบำเรอบำรุงมันด้วยน้ำเหล้า
สุดท้าย พ่อจึงเลือก เดิน "ทางสายกลาง "
ประนีประนอมด้วยการกินทั้งยา กินทั้งเหล้า !

ผลก็คือ พ่อแทบคางเหลือง เมื่อเจอฤทธิ์ยา
วงศาคณาญาติยกโขยงกันมา นั่งร้องห่มร้องไห้แง ๆ อยู่ ข้าง ๆ เตียง
พวกเขาเตรียมพร้อมทุกเมื่อที่จะตามพระมาสวดบังสกุล
ส่วนแม่ก็ใจเด็ดพอกัน ยัยแก้วดีไม่ยอมบอกญาติสักคำ
เรื่อง พ่อกำลังกินยาเลิกเหล้า
และก็ไม่ยอมพาพ่อไปหาหมอ ตามคำแนะนำของญาติด้วย
( แม่กับพ่อรู้ผลข้างเคียงของยามาบ้างแล้ว เพราะ เธอบอกไว้ )

ตอนหลังแม่เล่าเรื่องนี้ ให้หนูบัวฯ ฟัง
เธอนั่งขำไป เคือง คุณสมานไป
เฮ้อ ก็จะไม่เดี้ยงได้ยังไง ล่ะ
ก็พ่อเล่น กินทั้งยา กินทั้งเหล้า นี่หน่า
แล้ว กลไกของยานี้น่ะ มันก็จะไปทำให้
เกิดอาการเหมือนลงแดง ถ้าดื่มเหล้าเข้าไป
คนกินเหล้าจึงเข็ดขยาด แล้ว เลิกกินเหล้าไปเอง
( จริง ๆ เธอก็บอกพ่อแล้วนะ
ก่อนจะเกลี่ยกล่อมตะล่อมให้พ่อกินยาน่ะ )

การกินยาเลิกเหล้าคอร์สนั้น ไม่ได้ช่วยอะไรพ่อนัก
นอกจากทำให้ พ่อกินเหล้า น้อยลงหน่อย
พยายาม ลดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดลงไปนิด
พ่อเปลี่ยนจาก แม่โขง หันมา กิน เบียร์ ลีโอ แทน
 ซึ่งก็ซื้อ ทีละ...ลัง... จากร้านขายส่ง เจ้าประจำ ตามเคย
และเมื่เธอรู้  เธอก็ได้แต่ ปลง ตามเคย ( อีกเช่นกัน )

" พ่อกินเหล้าไม่ใช่เหล้ากินพ่อ "
ได้กลายมาเป็นคติพจน์ประจำใจ ของคุณสมาน อยู่นานทีเดียว
ฟังแล้ว เธอก็ไม่รู้จะทำยังไง นอกจากปลงแล้วเฝ้ามองดู
 พ่อ...กิน...เหล้า จนกระทั่ง...อัมพฤกษ์...มา...กิน...พ่อ

เมื่อแอลกอฮอล์ที่สะสมไว้ในกระแสเลือด
เริ่มเบียดเบียนเส้นโลหิตในสมอง
พ่อต้องกลายเป็นตาแก่ที่ช่วยตัวเองไม่ได้
จะกินก็ต้องป้อนจะนอนก็ต้องอาศัยคนอื่น
จะตื่นมาขี้มาเยี่ยวก็ต้องให้คนมาช่วย
สภาวะเหล่านี้มันคงทำให้พ่ออัดอั้นตันใจอย่างแรง
พ่อเคยเป็น คนเก่งที่ทำอะไรทุกอย่างได้ด้วยตัวเองนี่นะ

เจ้าโรคร้ายนี้อยู่กับพ่อเกือบครึ่งปี
โชคดีที่กำลังใจพ่อ ดีเยี่ยม และ เปี่ยม ไปด้วยความหวัง
วันหนึ่งหลังจากกินยา และ พยายามทำกายภาพ อย่างหนัก
 พ่อก็หายเกือบเป็นปกติ ในเวลาไม่นานนัก
คุณ อัมพฤกษ์ โบกมือลาพ่อ
พร้อมกับจิกหัวลากตัวเจ้าปีศาจสุราไปด้วย
ตอนนั้นพ่อตัดสิน ใจ หักดิบ เลิกกินเหล้าได้อย่างเด็ดขาด
โดยไม่ต้องสมาทานศีล ข้อที่ 5 หรือ พึ่งยารักษาใด ๆ เลย

หนูบัวฯ มองความเป็นไปของพ่อ
แล้วเธอก็ได้บทเรียนหลายอย่างเลยหนา
ในฐานะเภสัชกร เธอได้เรียนรู้ว่า
 ยาเลิกเหล้า นี่ ... ต่อให้มีฤทธิ์รักษาดีเลิศแค่ไหน
มันก็ไม่สำคัญเท่ากับการเยียวยารักษา...ที่หัวใจของตน...
บางครั้ง การได้ รู้เอง เห็นเอง และ เป็นเอง
มันก็ช่วยเปิดโลกทัศน์ และมุมมองของสมองได้กว้างขึ้น

อืม...พ่อหนูบัวคงไม่ชอบเท่าไรนัก
ถ้ารู้ว่า เธอ แอบขอบใจ คุณอัมพฤกษ์
ที่สละเวลามาอยู่เป็นเพื่อนพ่อ เกือบครึ่งปี
อย่างน้อย คุณอัมพฤกษ์
 ก็มีส่วนช่วยทำให้ พ่อ ตาสว่างขึ้นมาบ้าง
อย่างน้อย คุณอัมพฤกษ์
ก็ทำให้พ่อตัดหางปล่อยวัด
 เจ้าปีศาจสุรา ออกไปจากตัวได้ล่ะเน๊อะ
นั่นคือเรื่องราว ของพ่อ กับ สุราเป็นระยะ ๆ

ส่วนตัว หนูบัวฯ เองนั้น
ก็ค่อนข้าง คุ้นชิน กับ ภาพขวดเหล้ามาแต่เล็กแต่น้อย
เพราะงานอดิเรกที่แสนจะโปรดปรานของพ่อ คือ
การสะสมขวดเหล้าไว้ดูเล่น
( และ การสะสม แอลกอฮอล์ไว้ในเส้นเลือด )
ภาพความหลังที่เธอจำได้
คือ ภาพขวดเหล้า เรียงเป็นตับอยู่ใต้โต๊ะวางของ ที่บ้าน
ทั้ง แม่โขง หงษ์ทอง กวางทอง ทั้งแบบกลมแบบแบน
รวมไปถึง ขวดเชียงชุน และ กระทิงแดง

จำนวนขวดเปล่า มากมายเหล่านี้
เสมือน เป็นตัวชี้วัดให้ชาวบ้านได้รับรู้อย่างโจ่งแจ้ง
ถึงความเป็น เอกทัคคะ ด้าน สุราน้ำแดง ของ พ่อ
และ ขวดเปล่าที่เรียงรายกันนับร้อยขวด อีกนั่นแหล่ะ
ที่มักจะอวดจำนวนของมันอย่างภาคภูมิ  (เวลามีซาเล้งมารับซื้อ)
สมัย ยังเด็ก ( เมื่อยี่สิบปีก่อน ) เธอเคยทำยอดขาย ขวดเปล่าให้ ซาเล้ง
 ได้เงินเกือบถึง ห้าร้อยบาท !


บางครั้งเมื่อยังเด็ก เธอเคยไปป้วนเปี้ยนแถว ใต้โต๊ะ
แล้วนั่งคุยกับคุณขวดเปล่า
คุณขวดเปล่า  ก็เล่าเรื่อง ตำนาน กำเนิด สุรา
ให้ หนูบัวฯ ฟังว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในพิธีบูชาเทพ
มีงานรื่นเริง มีอาหารสารพัด
จัดไว้ให้อย่างเหลือเฟือกินไม่หวาดไม่ไหว
จนชาวบ้านต้องนำไปเทขว้างในหนองน้ำ
ข้าวเหลือทิ้งเหล่านั้น เกิดการหมัก
และกลายเป็นน้ำรสเลิศ

วันหนึ่ง มีคนบังเอิญผ่านไปดื่มน้ำที่ลำธาร นี้ เข้า
แล้วรู้สึกว่า ตัวเองคึกคัก และ ฮึกเหิม มากกว่าปกติ
เขาจึงเรียก เจ้าน้ำรสเลิศ นี้ ว่า สุระ แปลว่า กล้าหาญ

" กินเจ้าน้ำนี่แล้ว คนขลาด จะกลายเป็น คนกล้า
เห็นช้างตัวเท่าหมู เห็น หนูตัวเท่ามด
เห็นแม่ยายเป็นน้องเมีย "

คุณขวดเปล่าบอกอย่างนั้น ฟังแล้ว หนูบัวฯ ก็ยังงง ๆ
นึกสงสัยตงิด ๆ ว่า ไอ้น้ำเหลือง ๆ แค่ไม่กี่แก้วนี่
มันมีฤทธ์เดชได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ ?

แต่คุณขวดเปล่า กลับยืนยันแข็งขัน พร้อมกับ ตบท้าย ว่า
ด้วยเหตุนี้กระมัง ผู้ชายทั้งหลาย
จึงพยายามขวนขวายเก็บงำเจ้าสุราไว้ในกระแสเลือด
เพื่อว่า เขาจะได้มี สุระ( ความกล้า ) ที่จะทำในสิ่งต่าง ๆ
เพื่อว่า เขาจะได้ หลบลี้ออกจากโลกแห่งความจริงที่ขมขื่น
แล้วตื่นมาพบกับความฝันอันบรรเจิด
ที่น้องเหล้าจ๋า บรรจงสร้างขึ้นมาปรนเปรอ 

" แล้วตอนคุณขวดเปล่า มีน้องเหล้าจ๋าอยู่ในตัว
คุณขวดฯ มีสุระ( ความกล้า ) มากขึ้นไหมคะ
แล้วได้พบกับความฝันอันบรรเจิด ไหมคะ "
หนูบัวฯปะเหลาะถามด้วยความอยากรู้
เพราะฟังคำโฆษณาสรรพคุณของน้องเหล้าจ๋า แล้ว
หนูบัวฯ ก็เริ่มอยากลองกินเจ้าน้ำสีอำพัน นี้ดูสักหน
เธอนึกอยากมีความกล้าแบบ ฮัวมู่หลาน
และ อยากมีความฝันอันบรรเจิด แบบ ดอน กีโฮเต้

คุณขวดเปล่า ฟังความปรารถนาของเธอ แล้วหัวเราะ
กระซิบ บอกหนูบัวฯ อย่างยโส ว่า

" แม้ฉันจะเป็นขวดกลวง ๆ ที่ไร้สมอง
ต้องอยู่กับน้ำเหล้ามาเกือบชั่วชีวิต
แต่ฉันก็มีสติ พอที่จะไม่หลงคารม
และไม่ยอมให้เจ้าน้ำเหล้าพวกนั้น
มาล่อลวงฉันได้หรอกจ้ะ

ฉันชอบยืนหยัดอย่างกล้าหาญ
ในโลกใต้โต๊ะ ที่มีแต่ฝุ่น กับ หยากไหย่
มากกว่า หลบไปอยู่กับความเพ้อฝันที่ไม่จีรัง พวกนั้น

และ ถ้าฉันอยากมีความกล้า แบบ ฮัวมู่หลาน
หรือมีความฝัน แบบ ดอน กี โฮ เต้
ฉันก็จะสร้างมันขึ้นมาด้วยสองมือของฉันเอง
ฉันไม่ใช่ พวกมนุษย์หน้าโง่ ที่แสนจะขี้ขลาดแบบเธอ นี่จ๊ะ หนูบัวฯ
จะได้คิดอะไรตื้น ๆ คิดแต่จะพึ่งพาอาศัยน้ำเหล้าให้คอยช่วย "

ฟัง คุณขวดเปล่าอวดดี นี่ คุยโว
หนูบัวฯก็ชักโมโห ที่ถูกหาว่า โง่ และ ขี้ขลาด
เธอเลยจับขวดทุกใบ โยนใส่กระสอบให้รถซาเล้งเอาไปขาย
แล้วไม่ยอมเฉียดกรายเข้าใกล้ ขวดเปล่าที่อยู่ใต้โต๊ะพวกนั้นอีกเลย
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2010, 09:38:58 am »
แม่เคยเล่า ว่า หนูบัวฯ เริ่มลิ้มรส แอลกอฮอล์ ครั้งแรกในชีวิต
 ตอนอายุได้ประมาณ สองขวบ
 ตอนนั้น มีงานเลี้ยง พ่อเลยนึกสนุก
ยกแก้วเบียร์มาจ่อปากให้เธอลองกิน
ตอนนั้น เธอยังเด็กเกินกว่าจะจำได้ ว่า รสชาดมันเป็นยังไง

มารู้รสของมันอีกที ก็ราว ๆ ป.6 ได้มั้ง
แม่แอบเอาเหล้าขาว ของพ่อ ไปซ่อนในขวดน้ำที่ตู้เย็น
เธอไม่รู้เผลอยกดื่มเข้าไปเต็ม ๆ
เลย สำลัก แค๊ก ๆ หน้าแดงคอแดงกะทันหัน
รสชาดเฝื่อน ๆ ที่บาดลึกในลำคอตอนนั้น
ทำให้เธอนึกสงสัยว่า
พวกผู้ใหญ่กินไอ้เจ้าน้ำนี่ เข้าไปได้ยังไงกันนะ
รสชาดก็แสนพิลึก ( อร่อยสู้เป๊บซี่ ก็ไม่ได้ )


เธอเคยได้ยินใครต่อใครบอกให้ฟังว่า
อันสุราเมรัย นั้นก็เปรียบได้
กับ น้ำอมฤต ในสรวงสวรรค์ที่เทวดาใช้ดื่มกิน
ฟังแล้ว หนูบัวฯ ก็นึกสงสารเทวดา
ที่ต้องทนกิน น้ำรสชาดประหลาด ๆ อย่างนี้

หลังจากวันนั้นเธอก็ไม่ค่อยจะมีโอกาส
ได้ลิ้มลอง " น้ำอมฤต" นั่นสักเท่าไร
( เพราะเธอตัดสินใจว่า เธอชอบดื่มเป็บซี่ มากกว่า )
ยิ่งเธอได้ฟัง เพลง ลุงขี้เมา ของ พี่แอ๊ด คาราบาว
เธอยิ่งรันทดกับชะตากรรมที่ใต้สะพานลอยของอีตาลุงนั่น
พอดู ทองเนื้อเก้า เธอก็นึกกลัว
ว่าตัวเองจะเป็นสาวสวยขี้เมา แบบอีลำยอง
เธอเลยตัดสินใจไม่คิดจะกระดกเหล้าเข้าปากอีกเลย

พอเธอเริ่มโตขึ้น พ่อสอนให้เธอหัดขี่จักรยาน
และ พอเริ่มชำนาญพ่อก็มักจะใช้เธอปั่น รถถีบ
ไปซื้อน้องเหล้าจ๋ามา โดยมี "ติ๊ป" เป็นเศษตังค์ทอน
ไว้ให้หนูบัวฯ ซื้อขนม

อีกภาพหนึ่ง ที่หนูบัวฯเห็นจนชินตา
คือ ภาพที่ พ่อจะเอาพระลำพูนที่แขวนคอไว้
มาพนมมือไหว้เหนือหัว
แล้วสวดคาถาบูชาด้วยความเคารพ
นอกจากนี้ เวลาก่อนไปทำงาน
พ่อก็มักไหว้รูป พระอาจารย์ฟั่น
พระอาจารย์ มั่น ภูริโต และ หลวงปู่แหวนสุจินโณ
พอถึงเวลาโพล้เพล้ หลังเลิกงาน พ่อเก๊าะนั่งก๊งเหล้า

ภาพของพระ กับ พ่อ และ ขวดเหล้า นี้
ยังคงติดตาเธออยู่เสมอ มันเป็นความขัดแย้งที่ดูน่าขัน
และ เตือน ให้เธอ...เห็น ...ภาพสะท้อนของ...อะไร...บางอย่าง
ในสังคมชาวพุทธแบบไทย ๆ


พี่คนหนึ่ง เคยบอกหนูบัวฯ
ว่า อันสุรานั้นหนา คือน้ำเปลี่ยนนิสัย
มันสามารถเปลี่ยนตัวตนของคน
ได้ราวกับปอกกล้วยเข้าปาก
ถ้าเราอยากจะรู้ตัวตนของใคร
เราต้องมองตอนที่
เขามีแอลกอฮอล์อิ่มตัวอยู่ในกระแสเลือด
บางคนเห็นหงิ๋ม ๆ  ดูสุภาพเรียบร้อย
พอเหล้าเข้าปากได้หน่อยเท่านั้น
พูดฉอด ๆ เป็นต่อยหอย ราวกับก๊อกน้ำประปา แตก
 มืองี้นัวเนียแหลกเป็นหนวดปลาหมึก

ฟังพี่เขาพูด แล้ว หนูบัวฯ ก็นึกขำ
ทำให้อยากรู้ขึ้นมา ตะหงิด ๆ เหมือนกัน ว่า
ตัวตนที่ จริงแท้ ของเธอนั้น เป็นเช่นไร

และเธอก็ได้รู้  เมื่อ สองปีก่อน...
วันนั้น ห้องยาจัด ปาร์ตี้หอยแครง
พี่หมัย งัดเอาเหล้าข้าวโพดดีกรีแรง มาสมทบ
พร้อมกับโฆษณาสรรพคุณ
 กลั่นเอง ต้มเอง ผลิตเองกับมือ ( ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน )
น้ำงี้ใสเหมือนตาตั๊กแตน หาไม่ได้ง่าย ๆ เลยนะ
ใครไม่ได้กิน เสียชาติเกิด ไม่รู้ด้วย

ฟังพี่แกพูดแล้ว หนูบัวฯก็ชักกลัว เสียชาติเกิด
เลยลองเอามาผสมกับเป็บซี่ ดื่ม
กรึ๊บไปได้ สองสามแก้ว เท่านั้น
คนที่เคยเม้าส์กระจายจนน้ำลายแตกฟองฟ่อด ๆ อย่างหนูบัวฯ
กลับรู้สึกปวดหัวตึ้บ เลย
มันรู้สึกหนัก ๆ เหมือนมีอะไรมาทับอยู่ในหัว

ตอนนั้น สติสัมปชัญญะ ยังมี ยังรู้สึกตัวเองนะ
แต่รู้สึกปากมันหนัก ๆ  ขึ้เกียจพูดขึ้นมากะทันหัน
เธอ นั่งซึมกะทือ อึดทืด เป็นอีบื้อ
 ไม่อยากทำอะไรเลย นอกจากอยากจะหลับอย่างเดียว
ครั้นเห็นเธอไม่ยอมพูดยอมจาหนักเข้า
คนรอบข้างก็เริ่มตกใจ ทำเอา ปาร์ตี้หอยแครงวันนั้น งานกร่อย สิ้นดี
( เพราะขาดอีลูกช่างเม้าส์อย่างหนูบัวฯ  )

และ หลังจากวันนั้น ไม่เคยมีใครคะยั้นคะยอ
ให้ หนูบัวฯดื่มเจ้าน้ำเปลี่ยนนิสัยนั่น อีกเลย
เค้าคงคิดมั้ง ว่า นิสัยเธอตอนนี้ ก็ดีอยู่แล้ว
เลยไม่รู้จะไปชวนให้เธอดื่ม เจ้าน้ำนั่น
เพื่อเปลี่ยนนิสัย ( ให้เลวลง ) ไปทำไม
นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ เหล้า เข้าปากเธอ

และเธอก็มักจะหยิบยก บทเรียนเรื่องนี้
มาเอ่ยอ้างกับเพื่อนฝูงเสมอ
เวลาไปสังสรรน์ แล้ว ถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้า
โชคดีที่เพื่อนมันเข้าใจ
( หรือมันกลัวขาดขาเม้าส์ ก็ไม่รู้  )
มันก็เลยหันไปชนแก้วดื่มกันเอง
แล้วพร้อมใจกัน ทิ้ง เป็บซี่
กับ น้ำแข็งเปล่า ไว้ให้เธอเป็นของปลอบใจ
แต่บทครึ้ม ๆ ขึ้นมาเธอก็ยกแก้วน้ำแข็งเปล่าใส่เป็บซี่ชนกับมัน
แล้วก็พูดคุยเฮฮา " เมาดิบ " เนียนไปได้เหมือนกัน ^ - ^


ทั้งหมดที่เล่ามานี้ คือ
ประสบการณ์(ที่เกี่ยวข้องกับศีล 5 )
ทั้งหมดในชีวิต ของหนูบัวฯนะ

สำหรับตอนนี้....
หนูบัวฯ เธอก็เริ่มปรับตัวกับการถือศีล 5 ได้แล้วล่ะ
เพราะ ศีล แปลว่า ปกติ 
ถ้าพยายามทำสร้างคุ้นเคยกับมันบ่อย ๆ
ไม่ช้ามันก็จะกลายเป็นความเคยชินที่เป็นปกติ
และสามารถทำได้โดยไม่ฝืนจริตของตน

หนูบัวฯ เคยได้ยิน คำว่า ต่อศีล ครั้งแรกในชีวิต เมื่อ ปีก่อน
คนที่พูดให้ฟัง ไม่ใช่ พระ แต่เป็น หัวหน้าฝ่าย
ซึ่งคุยเล่นให้ฟัง ก่อนทำงาน ว่า ตอนที่พี่เขาบวชนั้น
เวลาพระภิกษุ เผลอพลาด ทำศีลขาด
เค้ามีการ ต่อศีล กันด้วยนะ

พี่เค้าพูดแค่นั้นแหล่ะ
แต่มันก็ช่วยให้หนูบัวฯ เล่นบท" ครูพักลักจำ "
นำคำว่า ต่อศีล ของ พี่เค้ามาใช้ในปีต่อมา เมื่อเริ่มถือศีล
เธอ set  โปรแกรมใส่หัวตัวเองว่า
ทุก ๆ คืน เธอต้องหมั่นทบทวนศีล และ ต่อศีล เสมอ
แต่ก็ยังมีปัญหานิดหน่อย ตรงที่เธอความจำสั้นเหมือนปลาทอง
เลยจำไม่ได้ว่า ในแต่ละวัน เธอทำผิดศีล ทำศีลขาดตอนไหนบ้าง
ซึ่งปัญหานี้ มันทำให้เธอลำบากใจเหมือนกัน

จนกระทั่งวันหนึ่ง ระหว่างเดินจงกรม ( รอบโรงพยาบาล )
เจ้า กุศลจริต ตัวดี ก็มากระซิบข้าง ๆ หูว่า
ถ้าจำ กรรมที่ตัวเองก่อ ไม่ได้
ทำไม ไม่ลองจด กรรมที่ก่อ ไว้  ลงในสมุดโน๊ต ดูล่ะ
เวลาทวนศีลจะได้ไม่ต้องมานั่งนึก
นั่นเป็นที่มาของ สมุดโน๊ตที่เธอมักจะพกติดตัว
เพื่อจด กรรม ที่ก่อขึ้น  ในปัจจุบันขณะ

ปัญหาต่อมาคือ แล้วจะเขียน กรรม เหล่านั้น
ลงในสมุดโน๊ต ทันทีได้อย่างไร
โดยไม่ต้องให้ชาวบ้านมารับรู้เรื่องราวการผิดศีลของเรา
เพราะ บางครั้งถ้าเขารู้ เขาอาจว่า เธอประหลาด
และ ก็มันเสี่ยงกับการถูกประณามนะ
ถ้าสิ่งที่เธอขียนอย่างซื่อสัตย์ นั้น มันมีพาดพิงถึงเขาเข้า

โชคดีอยู่อย่าง ที่เธอนึกขึ้นมาได้ว่า
สมัย มัธยมเธอ เคยคิด รหัสเฉพาะ แทนพยัญชนะ 44 ตัว
สำหรับใช้ เขียนไดอารี่ไว้ เมื่อสมัย มัธยมปลาย
ตอนนั้นน้องชายมันชอบแอบอ่าน ไดอารี่ ของเธอ แล้วเอามาล้อ
เธอเลยคิดค้น ภาษา รหัส ป้องกันมันอ่าน

แต่ตอนหลัง พอมาอยู่มหาลัย
พวกสอดรู้สอดเห็นมีไม่มากนัก
เธอเลยไม่ได้ใช้ ภาษารหัส เหล่านั้น เท่าไร
นอกจากเก็บเอาไว้เขียน สิ่งที่ไม่อยากให้ใครรู้
พอมาถึงตอนนี้ เมื่อเธอ คิดจะ จดกรรม
เธอจึงรื้อฟื้น รหัสอักษรพวกนี้มาใช้อีกที
ซึ่ง รหัสพวกนี้ก็ช่วยป้องกัน
ความอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านได้ค่อนข้างดี
เวลาเธอ หยิบสมุดมา จดกรรม ยิก ๆ
แล้วชาวบ้านก็มักจะเหลือบตามาแอบอ่าน
และเมื่ออ่านไม่ออก
บางคน อดใจไม่ไหว
ก็ถามด้วยความอยากรู้ว่า จดอะไรอยู่
เธอก็แค่ยิ้ม ๆ ไม่ปริปากพูด


ตอนนั้น เธอไม่รู้จะเรียก สมุดโน๊ตจดกรรม นี้ว่า อะไร
แต่เคยอ่านเรื่องใบสารภาพบาปในศาสนาคริสต์มาบ้าง
เธอจึง หลับหูหลับตา เรียกมันว่า สมุด สารภาพบาป
แต่ตอนหลัง มัน ดัน กลาย เป็น สมุดดูจิต ไปได้ไงก็ไม่รู้ เฮ้อ
( ไว้มีโอกาสจะเล่าเรื่องนี้ ให้ฟัง เจ้าค่ะ ^ - ^ )


เอาเป็นว่า พอหนูบัวฯ เริ่ม ถือศีลจนเห็นว่า
มันเป็น...ปกติ... เป็นความเคยชิน
เหมือนการกินข้าว และ การก้าวเดินแล้ว
เธอก็เริ่มเบนความสนใจ
จากเรื่องของการระวัง กายกรรม  และ วจีกรรม
หันมาตรวจทาน มโนกรรม เป็นลำดับต่อไป

เธอเริ่มสนใจจะถือ พรหมวิหาร 4
แต่ไม่ได้ถือเพราะอยากเกิดเป็น พรหม หรอกนะ
เธอก็แค่ อยากขัดเกลากิเลสตัณหา ออกจากใจเท่านั้น
มันคงรู้สึกดีเป็นบ้า ถ้าดวงจิตของเธอสกปรกน้อยลงไปบ้าง

แต่การถือหลักพรหมวิหาร นี่มันยากนะ
ยากกว่า การถือศีลเยอะเลย 
จนเดี๋ยวนี้ก็ยังถือไม่ค่อยจะได้
คงต้องใช้เวลาอีกนานเลย
กว่าเธอจะทำได้และเห็นเป็นความเคยชิน

ส่วนเรื่องศีลที่ถือนี่ ก็ใช่ว่า
หนูบัว ฯ จะถือได้ บริสุทธิ์ผุดผ่อง 100 % นะ
ก็มีพลั้งมีเผลอบ้าง ( โดยเฉพาะ ข้อ 4 วจีกรรม ) ขาดประจำเล๊ย เฮ้อ
แต่ก็ลดลงไปแยะ เท่าที่สติมันเตือนทันนั่นแหล่ะ

พอเริ่มถือศีล 5 จนเห็นเป็นเรื่อง ปกติ
เจ้ากุศลจริตจอมบงการ ก็มาแง้ว ๆ ข้างหู อีกแล้ว
หนูบัวฯ จ๋าาาาาาาา ศีล 5 ก็พอจะถือ ได้แล้ว
ถือ ศีล 8 เพิ่มเติมดีไหมจ๊ะหนูบัวฯ
 เอ ?หรือจะถือ ศีล 10 ดี

ฟังมันพูดแล้ว เธอก็เลยได้แต่ทำตาปริบ ๆ
สุดท้ายก็หลงคารมมันอีกตามเคย
ใจอ่อน ยอมไปเสิร์ช คำว่า ศีล 8  ใน กูเกิ้ล
เพื่อดูลาดเลานิดหน่อย

พออ่านรายละเอียดเรื่อง ศีล 8 ( และศีล 10 )
แล้วเธอก็เริ่มสงสัย
ถ้าศีล 5 คือการลดการเบียดเบียนผู้อื่นแล้ว
ศีล ข้อที่ 6 ถึง 10 นี่ เท่าที่อ่าน
มันก็คงเป็นการ ลดการเบียดเบียนตัวเองสินะ
เป็นการลดสิ่งที่จะกระตุ้นกิเลสตัณหาในใจตน งั้นสิ

อ่านไปอ่านมา เสร็จสรรพ
เธอก็ส่ายหน้าดิกใส่เจ้ากุศลจริต
บอกมันไปว่า ยังก่อนใจเย็น ๆ
ยังไม่ถึงเวลาจะถือ
ไม่ใช่ทำไม่ได้นะ แต่ยังไม่อยากทำ
รู้สึกว่า มันยุ่งยาก ไปหน่อย
เธอชอบอะไรที่มันง่าย ๆ มากกว่า

ไอ้ไม่ให้ดู มหรสพ เนี่ย ทำได้อยู่นะ
เพราะปกติก็ไม่ชอบดูละคร นักหรอก
ชอบดู discovery กับ สารคดี มากกว่า
ยิ่งวันไหน นั่งพิมพิ์ข้อเขียน
ต้องใช้สมาธิ ยิ่งๆไม่เปิด ทีวีดูเลย
งดการเสพกาม นี่ก็ไม่ยาก เท่าไร

แต่ห้ามนอนฟูกนี่ยังไม่อยากทำนะ
ยังอยากนอนสบาย ๆ บนฟูกนุ่ม ๆ อยู่
และอีกอย่าง ในเมื่อมีฟูกของเดิมอยู่แล้ว
ก็จะไปขวนขวาย เปลี่ยนแปลงที่นอนทำไม
มีอย่างไร ก็นอนอย่างนั้น
อยู่แบบ ง่าย ๆ กับทางสายกลางดีกว่า

ยิ่งห้ามใส่เครื่องหอม ยิ่งแล้ว
ทำไม่ได้หรอกนะ สงสารคนรอบข้าง
จะให้เธอ ปล่อยเต่า ให้ใครดม ได้ไงล่ะ
(แต่ก็ไม่แน่นะ ถ้า โรลออนที่ซื้อมาหมด
อาจจะลองใช้สารส้มแบบลูกกลิ้งดู)

ส่วน งดกินอาหารยามวิกาลนี่...
เป็นตายร้ายดีไง ก็ ไม่ทำ !
จำไม่ได้หรือไง ว่า
เพราะถูกบังคับเรื่องนี้แหล่ะ
เลยเป็นเหตุปัจจัยสำคัญ
ที่ทำให้เธอต้อง "แหกค่ายปฏิบัติธรรม " เมื่อ ปีที่แล้ว


เจ้ากุศลจริต ฟังการแจกแจงฉอด ๆจากหนูบัวฯ เสร็จ
ก็ทำตาปริบ ๆ ตอบกลับเสียงอ่อย ๆ  ว่า
แหม ? ถ้ายังถือศีล 8 ไม่ได้
ก็เลือกทำเฉพาะข้อที่ทำได้ไปก่อนสิ หนูบัวฯก้อ

เลือก ถือศีล 6 ศีล 7 ไปก่อนก็ได้
เลือกในแนวทางปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
เท่าที่จริตตัวอื่นของเธอยอมรับได้ไปก่อนก็ไม่เสียหายอะไรนี่
ถือศีลข้อไหนได้ก็ถือไปก่อนสิจ๊ะ

อืม....ฟังคำโน้มน้าวของ แม่กุศลจริต
แล้วเธอชักคล้อยตาม แฮะ
ทว่า เธอไม่ได้หยุด แค่การศึกษา ศีล 10
เธอเริ่ม คิดต่อยอด ไปเรื่อย
จนข้ามขั้นไปสนใจที่จะศึกษา ศีล 227 !

เปล่าหรอกนะ หนูบัวฯ ไม่ได้ลามปาม
เหิมเกริม จนคิดจะตีตัวเสมอด้วย สมณะ หรอก
เพียงแต่เจ้าความอยากรู้อยากเห็นแบบเด็ก ๆ
ทำให้เธอสนใจที่จะเรียนรู้ทุก ๆ สิ่ง รอบ ๆ ตัว
และอยากจะนำแนวทางดี ๆ มาปฏิบัติบ้าง ก็เท่านั้น
พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้จดสิทธิบัตรเรื่อง  ศีล 227 ข้อไว้นี่หน่า
เพียงแต่ว่า ท่านสอนเรื่อง ศีล ไว้หลากหลาย
เพื่อให้คนเราสามารถนำไปปฏิบัติได้โดยสะดวก
ตามโอกาส กาล สถาน  ภูมิรู้ และ จริตแห่งตน

อืม....ก่อนหน้าที่จะถือศีล 5
เธอเคยสงสัยมานานแล้วว่า
เวลาผู้ชายบวชเป็นพระ
เค้าจำ ศีล ทั้ง 227 ข้อได้อย่างไรกัน ?
เพราะ มันแยะเหลือเกิน
คนความจำสั้นอย่างเธอ
คงจำได้ไม่หมดแน่ ๆ

วันหนึ่ง เธอเห็น ไอ้เจ้าดล น้องชายนอกไส้
เพิ่งลาสิกขาบท หมาด ๆ เธอก็เลยถามมันว่า
ตอนบวชนั้น พระท่านสอนอะไรบ้าง
ท่านสอนให้สำรวม และ ปฏิบัติตัวอย่างไร
เธออยากรู้ ว่า ศีลทั้ง 227 ข้อ มีอะไรบ้าง
แล้ว ดลอ่านและจำได้ ทั้งหมดไหม ?

น้องมันตอบว่า
" หลวงพี่ท่านไม่ได้สอนผมหรอกว่า ศีล 227 มีอะไรบ้าง
ท่านก็แค่สอนให้ผมสำรวมกิริยา อาการ
เวลาเดินให้ก้มมองที่พื้นนิ่ง ๆ
อย่าสอดส่ายสายตาล่อกแล่ก
เวลาหัน ก็ให้หันทั้งตัว แบบพญาคชสาร
อย่าหันเฉพาะหัวกับคอเหมือนสุนัข
ห้ามสาดน้ำจากภาชนะ เพราะอาจจะไปถูกสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยเข้า "

นั่นคือสิ่งที่ หนูบัวฯ ได้เรียนรู้จาก อดีตทิดสึกหมาด ๆ
ซึ่งสิ่งที่ได้รู้ ก็ เลยมีผลต่อเธอบ้าง เล็กน้อย
( โดยเฉพาะเรื่องของการสาดน้ำอย่างระมัดระวัง )
มาตอนหลังพอเริ่ม  ถือศีล 5
แล้วประคับประคองมันอย่างง่อน ๆ แง่น ๆ เต็มที
เธอก็อดไม่ได้ ที่จะถาม เจ้าน้องชายนอกไส้ อีกว่า
" ดล ตอนดลเป็นพระ ดลรักษาศีล ได้ครบ 227 ข้อเลยเหรอ
ของพี่แค่ถือศีล 5 พี่ยังถือไม่ค่อยจะได้เลย "
เจ้านพดล ฟังแล้ว หัวเราะแหะ ๆ แล้วบอกเธอว่า

" ผมคงถือไม่ครบหรอกพี่ ผมก็แค่พยายามสำรวมอินทรีย์ เท่านั้น "

" อ้าว แล้วเธอรู้ไหม ว่า ศีล 227 มีอะไรบ้าง
ถ้าเธอไม่รู้แล้วตอนนั้นเธอจะปฏิบัติได้อย่างไร
คนที่บวชเป็นภิกษุต้องถือศีล 227 ข้อไม่ใช่หรือ "

พอหนูบัวฯ ย้อนถามประมาณนั้น  มันก็ได้แต่หัวเราะ
แล้วส่ายหน้าดิกโดยไม่ปริปากพูดอะไรอีก
ทำเอาเธออ่อนใจไม่รู้จะถามเรื่อง ศีล 227 ข้อนี้กับใครอีก
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2010, 09:39:50 am »
ต่อมา หนูบัวฯก็นึกได้ว่า คุณสมานพ่อบังเกิดเกล้าของเธอนั้น
ก็เคยบวชนี่นา พ่อเคยอวดอย่างภาคภูมิใจว่า
สมัยที่พ่อบวชนั้น งานบวชของพ่อยิ่งใหญ่อลังการมาก
ทั้งเงาะคว้านยัดไส้ บายศรีสู่ขวัญ ครูแหล่เสียงทอง ราคาแพงลิบ
แถมยังมีการถ่ายรูปสี ในงาน ต้องส่งฟิล์มไปล้างถึงบางกอก อีกด้วย
สิ่งนี้เป็นความภาคภูมิใจของพ่อ
ที่มักจะเล่า ถึง งานบวชที่ดังกระฉ่อนไปทั้งตำบล ให้เธอฟังเสมอ ๆ

และที่พ่อมักจะภูมิใจยิ่งกว่านั้น คือ
การที่ พระครูที่วัดดอยฯ ( จำชื่อเต็ม ๆ ของวัดไม่ได้ )
เห็น ...แวว.... พหูสูตรของพ่อ เลยคิดหมายมั่นปั้นมือ
ชวนให้พ่อศึกษาทางธรรมต่อ
เพื่อจะได้เปรียญเก้า ประโยค
เพื่อจะได้เป็นครูบา

พระครูรูปนั้น  จึง ตั้งฉายาตอนบวช ให้พ่อเป็นนัย ๆ ว่า
เขมปัญโญ แปลว่า ผู้มีปัญญาเฉียบแหลม
น่าเสียดายที่ความกตัญญูต่อบุพการี
ทำให้พ่อต้องสึกมาทำงานหาเงินเลี้ยงย่าผู้ชรา
แล้วก็วางมือจากการปฏิบัติธรรมไปโดยสิ้นเชิง

เมื่อ ระลึกได้ดังนั้น
เธอก็รี่ เข้าไปตั้งปุจฉา กับพ่อบังเกิดเกล้า ของเธอ
ว่า  พ่อ ๆ ในฐานะที่พ่อเคย บวชก่อนเบียด มาบ้าง
ตอนพ่อ เป็นพระ พ่อถือศีลได้ครบ 227 ข้อไหม ?

อดีตพระ เขมปัญโญ ผู้มีปัญญาเฉียบแหลม แห่งวัดดอยฯ
 นิ่งไปพักใหญ่ ก่อนตัดสินใจตอบอย่างกล้าหาญ ว่า

" ถือไม่ครบหรอก 227 ข้อน่ะ ใครมันจะไปถือได้
พ่อถือได้แค่ ศีล 8 แค่งดอาหารยามวิกาล ไม่นอนบนฟูก
งดดูมหรสพ งดใช้เครื่องหอม เท่านั้น
ตอนอยู่ วัด ก็นั่งอ่าน หนังสือธรรมะ
อ่าน ลีลาวดี  อ่าน กามนิตวาสิฏฐี ไปตามเรื่อง "

อ้าว ฟังคำวิสัชชนาของคุณพ่อ แล้ว
หนูบัวฯ ก็ได้แต่  งง ๆ  (และผิดหวังหน่อย ๆ)
พ่อไม่ได้ให้ความกระจ่างแจ้งอะไรแก่เธอเลย
แถมยังทำให้สงสัยหนึ่ง ผุดขึ้นมาในใจอีกด้วย

ถ้าตอนบวชเป็นพระ พ่อถือศีลไม่ครบ 227
คุณย่าที่ตายไปจะเกาะชายผ้าเหลือง ของใคร
ขึ้นสวรรค์ได้ล่ะเนี่ย ?

เธอได้แต่ปลง แล้ว พยายามทำความเข้าใจ ว่า
การร้างลาจากร่มกาสาวพัตร์ ไปเนิ่นนาน
คงมีผลทำให้ ปัญญาอันแหลมคม
ของอดีตพระ เขมปัญโญ ต้อง ทู่ลง เล็กน้อย
เลยวิสัชนาตอบเธอได้แบบไม่ค่อยจะเคลียร์


และ พอความอยากรู้เรื่อง ศีลของสงฆ์ มันจุกอก
สาวก กูเกิ้ล อย่างเธอ จึงยึดเอา เสิร์ชเอนจิ้น เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
หนูบัวฯเสิร์ช หาคำว่า "ศีล 227 ข้อ + พระภิกษุ " ไป
ซึ่ง ก็ได้ข้อมูลมานิดหน่อย แต่ก็แค่คร่าว ๆ
สิ่งเหล่านั้น มันไม่ได้ละลายความอยากรู้ ในหัวเธอเลย

มันเป็นแค่การจำแนกคร่าว ๆ
เป็นหมวด ๆ ของศีล ทั้ง 227 ข้อ
เธอต้องการรู้มากกว่านี้
ต้องการหลักปฏิบัติที่จำแนกเป็นข้อ ๆ
พร้อมด้วยมูลเหตุปัจจัยที่มาของการบัญญัติ
เพื่อจะได้นำมาประมวลผล  วิเคราะห์ สังเคราะห์
และ บูรณาการ ว่า ศีลข้อนั้น จริตของเธอเห็นดีด้วยหรือไม่
จริตของเธอยอมรับที่จะปฏิบัติตามได้หรือยัง
และที่สำคัญ มันเหมาะ กับ กาล สถาน และโอกาส สำหรับเธอไหม ?
น่าเสียดายที่เธอหา ฐานข้อมูลตรงนี้ไม่ได้
ก็เลยหยุดไว้ที่ ศีล 5 ก่อน
ถ้าไงต่อไป อาจถือศีล 6 ศีล 7 ตามแต่กำลัง ^ - ^

อืม.... เวลาอ่านเจอคำพร่ำรำพันของลูกผู้หญิง
ประมาณ เสียดายที่เกิดเป็นสตรี
จึงไม่ได้บวช ไม่ได้อยู่ในร่มกาสาวพัตร์
เธอจะรู้สึก แปลก ๆ
และ ไม่ ค่อยเข้าใจความรู้สึกของคนเหล่านั้นเท่าไร
ข้อแตกต่างทางเพศไม่เคยเป็นปัญหาในการถือศีล สำหรับเธอเลย

ไม่รู้สินะ หนูบัวฯ เชื่อมั่นเสมอว่า
ไม่มีอะไร ที่เกินความตั้งใจของคนน่ะ
จะศีล 5 หรือ ศีล 227 ถ้ามีความตั้งใจจริง
ใครก็ถือได้ทั้งนั้นทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ
ไม่ใช่อยู่ที่ สบง จีวร สังฆาติ หรือ เครื่องนุ่งห่มภายนอก
จะอยู่วัด หรือ อยู่ บ้าน ก็ทำได้ทั้งนั้น
เพียงแต่ถ้าอยู่ที่บ้าน อาจต้องเจอความท้าทายมากหน่อย ก็เท่านั้น


น่าเสียดายที่ความตั้งใจของเธอ
มันไม่ค่อยจะแรงกล้าสักเท่าไร
เธอเป็นคนมักน้อย เกินกว่าที่จะคิด โปรเจค
เรื่องมาถือ ศีล 227 ข้อ  กันเถอะ
จริตเธอยังขี้เกียจเกินไป  ยังรักความสบายเกินไป
ไว้วันไหนอารมณ์ดี ๆ ปล่อยวางได้มากขึ้น
ไม่แน่บางทีเธอ อาจหยิบ ศีล 227 มาทบทวนดู
ว่าอยากถือหรือเปล่า ?

จริง ๆ หนูบัวฯ มองข้ามช็อต ไปถึง ศีลของภิกษุณีด้วยซ้ำ
เปล่านะ ไม่เคยมีศรัทธา จนอยากบวช
( ความคิดนี้ ไม่เคยมีอยู่ในหัว )
แต่อยากรู้ อยากลอง อยากดู และ วิเคราะห์ว่า
ศีลเพิ่มเติมที่ ภิกษุณี ต้องถือนั้น
มันเอื้อประโยชน์ต่อข้อจำกัดแห่งขันธ์ 5 ในผู้หญิงอย่างไร


สุดท้าย ต้องขอโทษท่านผู้อ่านทั้งหลายด้วย
ถ้าประสบการณ์ชีวิตที่เกิดขึ้นจริงของหนูบัวฯ
มันทำให้จิตของใครต้องขุ่นมัว เศร้าหมอง
และ เกิดทุกข์กับการยึดติดในบางสิ่ง

เธอชั่งใจอยู่นานเหมือนกัน
ว่าจะโพสเรื่องนี้ดีไหม ?
เพราะ การถูกลบกระทู้บ่อย ๆ
มันก็ทำให้เธอเสีย self เหมือนกัน นะ
อัตตาในตัวมัน....ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี...เลยล่ะ


ไม่ว่าเจตนาจะเป็นอย่างไร
ตัวหนังสือที่เขียนออกไป
ก็ถูกปรุงแต่งโดยจริตของผู้ที่ถือปากกา


ไม่ว่าเจตนาจะเป็นอย่างไร
ตัวหนังสือที่ปรากฏให้เห็น
ก็ถูกปรุงแต่งต่อโดยจริตของผู้ที่อ่านมัน

มันไม่สำคัญหรอกว่า
คนเขียนจะรู้สึกอย่างไร กับการแสดงออกของผู้อ่าน
แต่มันสำคัญที่ คนอ่านจะรู้สึกอย่างไร
ถ้าเขา ยึดมั่นถือมั่น แล้วปรุงแต่งตัวอักษรที่เห็น มากเกินไป
จนเกิดเป็นทุกข์กับสิ่งที่ยึดติดโดยจักษุประสาทขึ้นมา

หนูบัวฯ อยากให้สิ่งที่เขียนสร้าง รอยยิ้ม และ เสียงหัวเราะ
มากกว่า จะให้ ตัวอักษรเหล่านั้น
สร้างปัญหา ให้ใครต้องมานั่งทุกข์ มานั่งขุ่นมัวกับอัตตาในตัว
การที่ศึกษาเรื่อง จิตวิทยา มาบ้าง
มันทำให้ เธอ มองเห็นเจตนาของตัวเอง
และกล้าที่จะ ยอมรับสิ่งที่เป็นตัวตนของเธอ
แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะ ฟันธง หรอกว่า
คนอ่านจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เธอเขียน

หลายอาทิตย์มาแล้วที่นั่ง จิ้มดีด เรื่องนี้หน้าคอม
บางครั้งก็ให้สงสัย

"นี่ตูจะนั่งหลังขดหลังแข็งเขียนเรื่องนี้ไปทำไม
ให้มัน กระทบคน กระทบโลก ด้วย ( วะ )"

แนวคิดแบบคาธอลิก เคยสอนเธอ ว่า
กิจการที่ดีที่สุด คือ การไม่กระทำ มิใช่หรือ
พระพุทธเจ้า ก็เคยตรัสเรื่อง อกรรม มิใช่หรือ

แล้วจะทำไปทำไม จะเขียนทำไม
ในเมื่อ ถ้าปลีกวิเวก ไปถือศีล กินมังฯ
และ เดินจงกรม ( รอบโรงพยาบาล )
อยู่เพียงลำพังในกะลาครอบ อันแสนสุข
ว่างนักก็เอาหนังสือธรรมะ
อีกหลาย ๆ เล่มที่ยังอ่านไม่จบมานั่งดู
ชีวิตเธอก็สงบ ดีอยู่แล้ว นี่
ที่สำคัญ ไม่ต้อง สุ่มเสี่ยง กับการผิดศีลข้อ 4 ด้วย
ทำไมหนูบัวฯ ถึงต้องหาเรื่อง ให้ศีลของเธอมัวหมองด้วยนะ

พอเธอบ่นกับตัวเอง มาก ๆ
เจ้ากุศลจริต ก็เลยเข้ามานั่งปลอบอกปลอบใจเธอใหญ่

" หนูบัวเอ๋ย นึกสิว่า เธอถือศีลเพื่ออะไร
คนที่ไม่สนเรื่อง บุญ เรื่อง บาป
เรื่อนรก สวรรค์ อย่างเธอ
เคยบอกฉันว่า เธอตั้งใจถือศีล
เพราะอยาก ลดการเบียดเบียนชาวบ้าน มิใช่หรือ

แม้บางครั้งความขัดแย้งทางความคิด
จะทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ขุ่นเคือง กันบ้าง
แต่มันก็คือ วิถีแห่งโลกมิใช่หรือ
คนเราจะเอาให้ได้ดั่งใจเสมอไป ไม่ได้หรอกนะ
เธอก็ รู้จัก หยุด รู้จักเย็น รู้จักยอม
มาได้เท่าที่เธอจะยอมรับมันไว้แล้วนี่

หนูบัวฯ เอ๋ย ขออย่าได้กลัวไปเลย
ที่จะแปลความคิดในหัวออกมาเป็นตัวหนังสือ
พระพุทธเจ้า สอนว่า จริตของสิ่งมีชีวิต
มีถึง 6 ชนิด มิใช่หรือ

ต่อให้เธอ พยายามเขียนให้ดีแค่ไหน
มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ ตัวหนังสือของเธอ
ถูกจริต กับคนทุกคนดอกหนา
ทำเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน
อย่างน้อยสิ่งที่เธอเขียน
มันคงจะถูกจริตกับบางคนบ้าง
และทำให้เขาเริ่ม สนใจ
ที่จะมาหันถือศีลบ้างแค่สัก คนนึง ก็พอแล้ว

ส่วน เรื่องที่ห่วงว่า
ตัวหนังสือที่เธอเขียน 
มันจะเบียดเบียนไปกระทบคนอ่าน
จะทำให้ศีลข้อ 4 ของเธอขาด
เธอก็จงอย่าไปวิตกจริตให้มากนักเลย

สิ่งที่น่ากลัวในการถือศีล
ไม่ใช่ การขาดสะบั้นของศีล ดอกหนา
ศีล...เมื่อขาด หากมีสตินึกรู้ ก็ต่อขึ้นมาใหม่ได้
แต่เมื่อไรที่ เธอ ถือมันไว้จน หลง
คิดไปว่า ตนนั้นเป็นผู้ทรงศีล ที่ผุดผ่อง
 แล้วมองปุถุชนรอบข้าง อย่างนึกเหยียดหยาม
ว่ามัวหมอง เพราะไม่ครองศีล 5
สิ่งนี้ต่างหากคือ สิ่งที่น่ากลัวในการถือศีล

เฮ้อ ฟังแม่กุศลจริต มาเทศนาสั่งสอน
แล้วหนูบัวฯ ก็ยิ้มได้ รู้สึกดีขึ้นมา( นิดหน่อย )
จริงด้วยสิ ศีล...เมื่อขาด
 หากมีสตินึกรู้ ก็สามารถต่อใหม่ได้
แต่ถ้าเมื่อไร เธอหลงตัวเอง
จนมองไม่เห็นหัวคนอื่น
นี่สิน่ากลัว เพราะถึงตอนนั้น
แม้ศีลเธอจะไม่ขาด แต่เธอก็จะขาดสติเสียแล้ว

คำสอนของ เจ้ากุศลจริต
ทำให้หนูบัวฯ นึกถึงตอนที่เธอเริ่มถือศีลใหม่ ๆ
ตอนนั้นเธอต้องฟังคนในโรงพยาบาล" เม้าส์ " คนโน้นคนนี้
เธอนิ่งเงียบ ยิ้มๆ ไม่พูด ไม่ต่อปากต่อคำร่วมวงนินทาด้วย
อุปทาน ทำให้เธอ ปรุงแต่งจนเห็น
ภาพ หนอนยั้วเยี้ยจุกอยู่ในปากของเขา
มันทำให้เธอรู้สึกขยะแขยง
และไม่อยากเลี้ยงหนอนไว้ดูเล่นในปากอย่างนั้น
วูบหนึ่งใจเธอกลับมองคนเหล่านั้นอย่างเหยียด ๆ

ว่า น่าสมเพช
ว่า เขามิได้ครองศีล 5
ว่า เขามิได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง เสมอด้วยเธอ

สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ
มันเป็น การปรุงแต่งที่โง่เขลา
เธอเสียเวลาไปกับเวทนานี้
ประมาณ 3 วินาที ( ตามที่จดไว้ในสมุดดูจิต )
ก่อนที่เจ้าสติสตัง  จะวิ่งมาลากตัวเธอ
ออกไปจากแอ่งแห่ง อวิชชา

นึกถึงเรื่องนี้ทีไรหนูบัวฯ ก็ขนลุกนะ
เกือบไปแล้วเชียว เกือบทำ บาปสีขาว อีกแล้ว
บาปชนิดนี้ น่ากลัว กว่า บาปสีดำ อีกนะ
เพราะมันพรางตัวเก่ง หลอกเราได้แนบเนียน
จนบางครั้งหลงผิดไปกับมันโดยคิดว่าเป็น สัมมาทิฐิ


อืม...พี่ที่ทำงาน เคยบอกหนูบัวฯ ว่า
ถ้าไม่ได้ไปอยู่วัด เขาก็รักษาศีลไม่ได้หรอก
เพราะสิ่งเร้ามันเยอะ 
มันไม่สงบเหมือนเขตพัธสีมา
ฟังแล้วเธอก็ขำ ๆ นะ
อาจเป็นเพราะ มุมมองต่อโลกและชีวิต
และ ความคิดของเธอ ไม่เหมือนกับชาวบ้านก็ได้
เธอไม่เคยมอง สิ่งเร้าว่าเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่
แต่มองว่า มันเป็นความท้าทายเล็ก ๆ น้อย ๆ

ถ้า โลกในส่วนที่ไม่ได้อยู่ใต้ร่ม กาสาวพัตร์
คือ โลกที่เต็ม ไปด้วยกิเลส ตัณหา
และ ภาพมายาแห่งความสุข
โลก ณ ส่วนนั้น มันก็ไม่ต่างจาก
ฮาเร็มของสุลต่านหรอกนะ
หนำซ้ำ ราคจริตของหนูบัวฯ มันก็ชี้นำ
ให้หนูบัวฯ มายืนอยู่ ณ โลกส่วนนั้นเสียด้วยสิ

ใคร ๆ ก็เรียก ขนานนาม เธอว่า
เจ้าแม่ฮาเร็มนี่นา
ดังนั้น ปุถุชนอย่างหนูบัวฯ
คงไม่มีความสามารถพอที่จะนุ่งขาวห่มขาว
ไปถือศีลที่วัดได้หรอกนะ
มันไม่ถูกจริต กับคนอย่างเธอ
แต่ในเมื่อ เธอมีตั้งใจจริง ที่อยากจะถือศีล แล้ว
เจ้าแม่ฮาเร็ม อย่างเธอ
ก็จะลุยถั่ว ถือ " ศีล 5 ในฮาเร็ม... "  แบบนี้แหล่ะ

หนูบัวฯมักพูดเสมอนะ ว่า สถานที่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ
ความตั้งใจ ต่างหากที่สำคัญที่สุด
แม้ใน ฮาเร็มที่ เธออาศัยอยู่
มันจะไม่เอื้อกับการปฏิบัติธรรมเท่าไรก็เหอะ

นี่หนูบัวฯ ก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน
ว่า จะ ล้างมือ ในอ่างทองคำ
อำลาวงการ(ฮาเร็ม) ดีไหม ?
เพราะ ถ้ายังคงถือ " ศีล 5 ในฮาเร็ม " เช่นนี้
สักวันศีลที่ถือ คงขาดกระจุยเป็นแน่แท้ ^ - ^


จากใจผู้เขียน

อืม.... ตอนแรกกะทำโพล
ศีลข้อไหน ? ที่คุณ ..."  ถือ  "...ไม่ค่อยจะได้
เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทุกท่าน
และบอกเล่าถึง ประสบการณ์ (ที่เกี่ยวข้อง) กับศีลที่ตนได้พบเจอ
แต่เมื่อ หลายวันก่อน เห็น มีคนเคยทำโพลสำรวจแล้ว
เลยเปลี่ยนใจ แล้วตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาแทน
คิดอยู่นานเหมือนกันว่า จะสื่อสาร
นำเสนอ มุมมองเรื่องศีล อย่างไรถึงจะเหมาะสม

มีผู้หวังดีเคยแนะนำว่า
ให้เขียนในสิ่งที่ น่าเชื่อถือ เป็นหลักการ
ต้อง ลดนิสัยทำเป็นเล่น ลงไปบ้าง
ชิ้นงานที่เขียนจึงจะก่อประโยชน์แก่ผู้อ่านมากขึ้น
เธอยกตัวอย่าง งานเขียนแนวธรรมมะ ของนักเขียนคนหนึ่ง
ซึ่ง อิฉันเองก็เคยได้อ่านมาบ้าง ( แต่ยังไม่สามารถอ่านจบสักเล่ม )

ดังนั้น อิฉันจึงคิด ว่า
ถ้าอิฉัน อยากจะนำเสนอมุมมองชีวิต
ในแบบของตัวเองแล้วไซร้
อิฉันก็ควรจะซื่อสัตย์ พอ
ที่จะนำเสนองานเขียน
ในแบบที่เป็นตัวของตัวเองไม่ใช่เป็นคนอื่น
 
การเขียนให้ดูน่าเชื่อถือ น่าเลื่อมใส และมีหลักการนั้น
อิฉันก็พอจะทำได้อยู่บ้าง
และถ้าพิจารณาจากชิ้นงานที่ผ่านมา
มันก็ประสบความสำเร็จพอสมควร
แต่มันไม่ใช่ตัวตนของอิฉัน

ศิลปะในการใช้ภาษาของอิฉัน
อาจบรรจงปรุงแต่งงานเขียนเชิงธรรมะ
ทำให้คนอ่านรู้สึกศรัทธาเลื่อมใส อย่างไรก็ได้
แต่การพยายามสั่งสอนคนอื่นในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็น
มันเหมือนการ สร้างภาพที่น่าละอาย อิฉันทำไม่ลง
ถ้าวันหนึ่ง คนอ่านพบว่า ตัวตนที่แท้ ของอิฉัน
มันไม่ได้ น่าศรัทธา เลื่อมใส แบบตัวหนังสือที่เขียน
พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร ?
อิฉันไม่อยากจะไปรับผิดชอบความรู้สึกที่เสียไปของใคร

นักเขียนนิยายธรรมะ ก็ไม่ใช่ ไอดอล ในใจอิฉันเสียด้วย
อิฉันชอบ แม่ลูกจันทร์ ณ สำนักข่าวหัวเขียว
ชอบทมยันตี ชอบโบตั๋น ชอบ คึกฤทธิ์
ชอบ วินทร์ เลียววารินทร์  ชอบ เดอะจิก ( ประภาส )
ชอบ โทมัส แฮริส (คนเขียน ฮันนิบาล เลคเตอร์)
ชอบ มวนยาพร ( คนเขียนเรื่อง แม่ไม่เอาไหน ลูกชายไม่เอาถ่าน ในมติชน )
และที่ สำคัญ อิฉัน ชอบ ศราวก คนเขียน "โลกของหนูแหวน"


ด้วยเหตุนี้ อิฉัน จึงตัดสินใจนำเสนอมุมมองต่อโลก
ผ่าน เด็กหญิงที่ชื่อ หนูบัวฯ 
แม้การดำเนินเรื่องที่อิฉันเขียน
จะมีส่วนคล้าย โลกของหนูแหวนอยู่บ้าง
แต่ก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว

โลกของหนูบัวฯ ไม่ได้อยู่ในชนบท
ไม่ได้อยู่กับธรรมชาติที่แสนบริสุทธิ์
เธอเลยไม่มีที่นาให้วิ่งเล่น
หนองน้ำแถวบ้านเธอ
ก็ถูกถมทำบ้านจัดสรรไปหมดแล้ว
หนูบัวฯ เลยไม่รู้จะขุดดินเหนียวที่ไหน
มาปั้นแต่งแล้วจินตนาการไปเรื่อย
เธอไม่เคยมีเพื่อนชื่อ ไอ้แพะ ไว้คุยด้วย
มีแต่เพื่อนชื่อ ไอ้อาร์ท กับ นังอีฟ
ไว้เม้นต์ คุยกันเล่น ทาง Hi5

โลกของหนูบัวฯ กับ โลกของหนูแหวนต่างโดยสิ้นเชิง
ทำให้มุมมองที่มีต่อโลก ของเด็กทั้งคู่ แตกต่างกันไปด้วย
หนูแหวนนั้น   ร่าเริง.......สดใส........  และ ไร้เดียงสา
ส่วน หนูบัวฯ  เป็นตัวแสบที่อันตราย..และ ร้ายเดียงสา

ความเหมือนที่แตกต่าง ของเด็กทั้งคู่คือ
แม้พวกเธอยังเด็กเกินกว่าจะต่อสู้เพื่อ
" เปลี่ยนแปลงโลกที่ไร้สมดุล"
แต่ก็โตพอที่จะ...เรียนรู้....วิธีที่จะต่อสู้เพื่ออยู่บนโลก
โดยไม่ให้โลกไร้สมดุลนี้ มาเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเธอ
และไม่ให้ ผลกระทบในแง่ลบของความไร้สมดุลเหล่านี้
มาทำลายโลกส่วนตัวของพวกเธอ

อืม....ลำบากใจเหมือนกันนะ
ที่จะเขียนแสดงแนวคิด แบบเสรีนิยม
ลงในเวบบอร์ดประเภท ธรรมนิยม
ในสังคมที่มีการแบ่งแยก สีขาว
และ สีดำออกจากกันอย่างชัดแจ้ง
คนชายขอบที่อยู่ตรงตะเข็บรอยต่อของสีทั้งสอง
คนที่มองโลกเป็นสีเทา อย่างอิฉันนั้น
มันหาที่ยืนค่อนข้างยากนะ

ดีไม่ดี ถ้าพลั้งเผลอไม่ระวัง
อาจไปทำให้คนที่ ยึดติดและศรัทธา กับสีขาว ขุ่นมัวก็ได้
เอาเป็นว่า สิ่งที่ฉันเขียนนี้ ไม่ใช่เขียนในฐานะผู้ทรงศีล
แต่ฉันเขียนมันขึ้นมาเพื่อบอกเล่าเหตุการณ์
 ที่ปุถุชนคนหนึ่งล้มลุกคลุกคลานในเรื่องเกี่ยวข้องกับ ศีล 5
สิ่งที่เขียนจึงมีทั้ง เรื่องที่ดี และ เรื่องที่ไม่ดี

ขอให้ท่านผู้อ่านโปรดใช้หลัก กาลามสูตร
ในศาสนาที่คุณนับถือวิเคราะห์เอาเองเถิด ว่า
จะเลือกสิ่งดี ๆ ส่วนไหน ไปใช้ประโยชน์
และ เลือก สิ่งไม่ดี ส่วนไหน  ไปใช้เป็นเครื่องเตือนใจตัวเอง
พุทธโดยทะเบียนบ้าน ( และ โดยกำเนิด ) อย่างอิฉัน
คงแนะนำอะไรคุณได้ไม่มากนักหรอกเจ้าค่ะ

ถือเสียว่า เรื่องนี้เป็นแค่ประสบการณ์จากชีวิตจริง
ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่จริตของอิฉันมันปรุงแต่งขึ้นมา
เพื่อให้คุณได้เรียนรู้ก็แล้วกันนะเจ้าคะ
ส่วนเมื่ออ่านแล้ว จริต ของคุณจะปรุงแต่งไปทางไหนต่อ
ก็สุดแล้วแต่ ( มโน ) กรรม ที่คุณ ลิขิตเอง ก็แล้วกัน ....

ด้วยจิตคาราวะ เจ้าค่ะ ^ - ^

หมายเหตุ

อ้อและเพื่อป้องกันความสับสน และปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานา

ขออธิบายว่า 0.01 % ที่เพิ่มเติมขึ้นมาเองนั้น
เป็นเรื่องในส่วนที่คุยกับจริต
คุยกับความรู้สึก และ ขวดเปล่า
เพราะในชีวิตจริงคงไม่มี
คนสติดี ๆ ที่ไหนเขาทำกันหรอก

แต่ที่ต้องนำเสนอในรูปแบบนี้ก็
ก็เพื่อให้ข้อเขียนมันอ่อนลง
เพราะถ้าเขียนเรื่อง ของ แนวคิด
และมุมมอง แบบจริงจัง เป็นผู้ใหญ่เขาคุยกัน
ก็คงจะซีเรียสเกินไปหน่อย  ^ - ^

และ เผื่อใครสนใจอยากอ่าน โลกของหนูแหวน
แล้วหาอ่านไม่ได้ ไปอ่านได้นะคะ ที่
http://www.fringer.org/?p=50
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ Pure+

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • *
  • กระทู้: 255
  • พลังกัลยาณมิตร 220
    • ดูรายละเอียด
Re: ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2010, 09:46:56 am »
ยาวดีจัง แต่ดูแล้วน่าอ่าน
กลับจากตจว.คืนนี้จะกลับมาอ่านน่อ.. :13:
พระคัมภีร์วิสุทธิมรรค.http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4275.msg18028/topicseen.html#msg18028