คำสารภาพของรายนี้ จะจบลงไม่ได้ ถ้าไม่ได้เอ่ยถึง กรรมอันเลวร้ายอีกกรรมหนึ่ง ที่แม่เอมได้ทำลงไปแต่ไม่สำเร็จ โดยแม่เอมจ้างเจ้าเกิดให้เผากุฏิพระ ที่พระเสนาะจำวัดอยู่ ให้ใหม้ไปทั้งกุฏิเลย แต่เจ้าเกิดไปเมาเสียก่อน เลยทำงานไม่สำเร็จ กรรมอันนี้จึงทำให้วิญญาณของแกมีแต่ไฟลุกไปทั้งหัวทั้งตัว แล้ววิญญาณแม่เอมก็ถามว่า “แล้วพ่อสุขกับเจ้าแดงล่ะ ทำอะไรไว้มานี่ เมื่อไหร่ จะไปไหนต่อ ?”
“ฉันกับเจ้าแดงไม่ได้ทำกรรมอะไรไว้มาก เมื่อหนุ่มๆ ก็กินเหล้าเมายา ตีไก่ กัดปลาไปตามเรื่อง ฉันก็ต้องมาใช้กรรมที่นี่ นี่จะไปไหนต่อยังไม่รู้ ไม่เห็นมีใครมาชี้ทาง
ส่วนเจ้าแดงนั้นไม่ได้ทำบาปกรรมอะไร บุญเขาทำมาแค่นั้น เขาอยู่โลกมนุษย์ได้ไม่กี่ปี พอกะว่าจะบวช ก็พอดีเป็นป่วงลงตาย ปีนั้นเป็นป่วงกันมาก ที่วัดสระเกศมีแต่ศพกองๆ กันไม่มีเวลาจะเผา พอเจ้าแดงตายไปไม่กี่วัน ฉันก็หมดอายุเหมือนกัน เจ็บตายตามธรรมดา หลังจากที่ฉันทำบุญฉลองอายุ 60 ปีไม่เท่าไหร่ วันทำบุญฉันก็นิมนต์พระเสนาะมารับสังฆทาน และก็เจ้าแดงนี่แหละวิ่งเข้าวิ่งออก จากบ้านไปวัด จากวัดไปบ้าน เอาของไปถวายหลวงพี่มันอยู่เรื่อยๆ เมื่อตะกี้ยังเห็นจีวรพระท่านอยู่ไหวๆ นี่เดี๋ยวฉันกับเจ้าแดงก็ต้องไปแล้ว
ว่าแล้วจิตวิญญาณของพ่อสุขและเจ้าแดงก็ค่อยๆ เลื่อนลอยหายไป
ผมก้มลงกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า “แล้วพระเสนาะล่ะขอรับ ท่านออกธุดงค์ แล้วไปไม่กลับมาเลยหรือ หรือไปไหนต่อ”
หลวงพ่อบอกว่า “ก็ไปพบกันที่แดนกะเหรี่ยง แถบราชบุรี เห็นพระเสนาะนั่งปฏิบัติธรรมอยู่รูปเดียว ก็เดินเข้าไปหา พูดกัน คุยกัน พระท่านชอบนับถืออัธยาศัย ท่านก็ขอมาอยู่ด้วย เมื่อหลวงพ่อและพระเสนาะปฏิบัติธุดงควัตรในป่าพอสมควรแล้ว ย่างเข้าหน้าฝนหลวงพ่อก็เดินทางกลับอยุธยา มาจำพรรษาที่วัดวงษ์ฆ้องต่อ พระเสนาะท่านก็ขอติดตามมาด้วย”
แล้วหลวงพ่อท่านก็ชี้ให้ดู “นั่นไงกุฏิของพระเสนาะท่าน แต่ท่านไม่รับแขก นั่งเจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่รูปเดียว อายุท่านอ่อนกว่าหลวงพ่อหลายปี แต่ตอนนั้นท่านก็อายุ 66 เลยไปแล้ว”
“หลวงพ่อทราบเรื่องแม่เอม พ่อสุขได้อย่างไรขอรับกระผม ว่าแม่เอมแกทำกรรมไว้หนักหนาขนาดนั้น”
“ก็ทราบเรื่องจากพระเสนาะท่าน ท่านล่าให้ฟัง ท่านมีเมตตาสูง มีแต่ให้อภัย ท่านปฏิบัติสูงมา นี่พอออกพรรษาแล้ว ท่านว่าท่านจะออกธุดงค์ต่อไปในป่าต่างๆ อีก ท่านพอใจในความสงบ ความวิเวก ชาวบ้านเขาจะขอให้ท่านอยู่ที่นี่ ให้เป็นสมภารแทน ท่านไม่รับ ท่านว่าท่านไม่อยากเอาบ่วงมาคล้องคอ”
เราสองคนได้โอกาส ก็ขออนุญาตหลวงพ่อสักครู่ ค่อยๆ ย่องไปกราบนมัสการท่านอาจารย์เสนาะที่กุฏิ พอก้มลงกราบ ท่านก็ยิ้ม “เจริญสุขๆ” ท่านกล่าวแค่นี้ แล้วท่านก็นั่งสงบต่อไป
เรานั่งอยู่สักครู่ ก็กราบลาท่าน ท่านให้พรแบบเดิมอีกคือ “เจริญสุข เจริญสุข” ผมเองก็นึกบาปในใจเหมือนกันว่า พระอาจารย์ผู้นี้พูดได้แค่นี้เอง ที่จริงคำนี้เป็นคำประเสริฐ ทุกคนไม่ว่าใครก็ต้องการความสุขความเจริญทั้งสิ้น เรามาคิดได้ตอนหลังว่า พรของท่านนี่วิเศษจริงๆ ใครพบท่านแล้ว “เจริญสุข” ทุกคน ถ้ามีธรรม มีเมตตาอย่างท่าน
ผมเองก็สนใจและนับถือ หลวงพ่อเสนาะ ท่านมาก เพราะหน้าตาท่านดูอ่อนหวาน ยิ้มๆ ท่าทางมีเมตตา แต่แปลก กุฏิของท่านอยู่ไม่ห่างจากกุฏิหลวงพ่อไม่กี่ก้าว กลับไม่ปรากฏว่าท่าน ได้เข้ามาคลุกคลีกับหลวงพ่อเหมือนพระภิกษุสามเณรรูปอื่น ท่านมักจะปิดกุฏิของท่านเงียบอยู่รูปเดียว เวลาผมขึ้นไปอยุธยา ไปหาหลวงพ่อ ผมก็มักจะไปกราบท่านเสมอ ผลคือท่านก็อมยิ้มแล้วให้พรว่า “เจริญสุข เจริญสุข” เวลาเอาของขบของฉันไปถวาย ท่านก็รับ แล้วก็วางไว้ตรงนั้น ดูๆ ท่านไม่ยินดียินร้ายอะไร สบง จีวร อัฐบริขารที่มีผู้ศรัทธาถวาย ท่านก็รับแล้วก็แจกๆ ไปยังพระเณรรูปอื่นหมด ตอนหลังชาวบ้านเรียกท่านว่า หลวงพ่อเสนาะเหมือนกัน
พอสิ้นหลวงพ่อเจ้าคุณวัดวงษ์ฆ้องแล้ว ก็ไม่ทราบว่าธุดงค์ไปที่ไหน หายสาบสูญไปเลย หายไปจนคนลืมท่าน ว่ามีพระผู้ปฏิบัติดีรูปหนึ่งอยู่ที่วัดนี้
แต่ทั้งนี้ผมจำคาถาตอนหนึ่งของท่านได้ ท่านให้คาถาไว้สั้นๆ จะไปไหน จะทำอะไร
ที่มันไม่ผิดศีล ผิดธรรม ก่อนจะลงมือ พูดก่อนจะลงมือทำ ให้นึกในใจว่า
“อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ”
แค่นี้เองแล้วสิ่งนั้นจะสำเร็จสมปรารถนาทุกประการ จะเดินทางไปไหนมาไหนก็ปลอดภัยจากมนุษย์ อมนุษย์ ทั้งปวง
คาถาที่ว่านี้แสดงความกตัญญูต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีพระคุณแก่มนุษยโลกใหญ่หลวงนัก สุดที่จะพรรณนาได้ เมื่อผู้ใดมีความกตัญญูแล้วผู้นั้นจะคลาดแคล้วภัยอันตรายทั้งปวง มีแต่ความสุขความเจริญผมได้นำเรื่องนี้ไปกราบเรียนหลวงพ่อทราบ ว่าท่านอาจารย์เสนาะให้คาถาไว้ แล้วก็ว่าคาถาให้ท่านฟัง ท่านบอกว่านี่เป็นยอดคาถากันภัย คาถามหาสำเร็จ แม้จะบำเพ็ญเพียร บำเพ็ญธรรม ก็สำเร็จคาถานี้ดีนัก ท่านว่าอย่างนั้น
ผมได้กราบเรียนถามท่านว่า “ที่แม่เอม ได้ทำลงไปกับพระเสนาะ ได้ทำลงไปกับมวลชน คือการเผาไล่ที่ทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายมากมายอย่างนั้น แล้วทำไมบ้านเมืองเขาไม่ทำการจับกุมลงโทษ ทั้งๆ ที่แกก็่ไม่ได้หลบหนีไปไหน ?”
หลวงพ่อท่านตอบว่า “สมัยนั้นเขาก็สืบทราบว่าบ้านที่ติดไฟหลังแรกเป็นบ้านลูกจ้างที่ติดกัญชา และข้างๆ ก็ไหว้เจ้ากันทั่ว อากาศมันแล้งเพราะเป็นหน้าหนาว คือเดือนอ้าย แล้วบ้านแรกซึ่งก่อให้เกิดเพลิงไหม้คนที่เป็นเจ้าของที่อาศัยอยู่ก็ตายไปในกองไฟ แล้วก็สุดที่จะสืบจะเอาผิดกับใคร แต่กรรมซิมันไม่เว้น คิดดูสิผู้คนบาดเจ็บล้มตายเท่าไหร่ พลัดที่นาคาที่อยู่เท่าไหร่ พิการทนทุกข์ทรมานแค่ไหน เจ้าตัวต้นเหตุก็รับวิบากทันที คือตายไปในกองไฟนั่น แล้ว
ต่อมาวิบากก็ติดตามไปให้ผลไม่มีเว้น แม่พริ้งก็ตายในกองไฟนั่น แม่เอมก็ทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสพิกลพิการอยู่นาน ทนทุกข์ทรมานไม่รู้ว่าเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่กว่าจะตายไป ลูกผัวก็ไม่ได้พบกัน วิบากกรรมตามสนองทันตา ในชาตินี้วิบากนี่มันตามมาได้ทุกชาติทุกภพตราบใดที่ยังเกิด ยังจุติ ตายไปก็รับกรรม เกิดมาอาจจะเป็นสัตว์เดียรัจฉานถูกใช้งาน ถูกเฆี่ยนตี อดๆ อยากๆ ภัยอันตรายรอบข้าง ถ้าเป็นสัตว์ที่ตัวโตหน่อย เขาก็ล่าเอามาใช้งาน อาหารก็อดๆ อยากๆ บางทีก็ถูกล่ามาเป็นอาหาร ระหว่างสัตว์ด้วยกันเองหรือมนุษย์ล่าเอามา
และถ้าเกิดมาเป็นคน เมื่อใช้เวรใช้กรรมไม่หมด เจ้าเวรเจ้ากรรมที่ทำไว้มันตามมาสนองอีก ก็คนที่เกิดมาพิการ ปากแหว่ง จมูกโหว่ หูหนวก ตาบอด อาการไม่ครบสามสิบสอง นั่นก็เพราะผลแห่งวิบากแห่งกรรมที่ทำไว้ จึงได้ตกทุกข์ยากอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ท่านถึงว่า ผลแห่งกรรมนั้นย่อมตามผู้กระทำเท่านั้นไป เสมือนล้อเกวียนที่บดตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนไป ฉันนั้น จึงเรียกว่า รอยกรรม
“แล้วคนที่ทำแต่ความดี ทำบุญสุนทานเล่าขอรับกระผม กรรมจะทันตาเห็นเหมือนอย่างอกุศลกรรมที่ทำไปหรือไม่” ผมกราบเรียนถาม
“มีซิ ก็อย่างมีท่านผู้หนึ่งทำบุญ ทำทานจริง ใส่บาตร สร้างวัดสงเคราะห์พระสงฆ์องค์เจ้า ตลอดจนคนยากคนจนและสัตว์ต่างๆ ท่านทำมาเสมอ ทำเป็นนิตย์ เราก็คงเคยได้ยิน ท่านเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มีวาสนา ลูกสาวท่านก็รับผลแห่งกรรมดีนั้นแทบทุกคน
ครั้งหนึ่ง ท่านไปไหนจำไม่ได้ ตกน้ำว่ายน้ำก็ไม่เป็น หากันเท่าไหร่ก็ไม่พบ จน 3 วัน 3 คืน แล้ว ก็ปลงกันว่าท่านคงเสียชีวิตแล้ว ที่ไหนได้ลอยตามน้ำไปโผล่เสียไกล ไม่ตาย แปลกที่สุด ไม่ใช่กี่นาที กี่ชั่วโมงนะ แต่เป็นวันเป็นคืน
ตอนที่พบ คนเหวี่ยงแหจับปลาในแม่น้ำเหวี่ยงได้ของหนักๆ นึกว่าเป็นปลาตัวโต กว่าจะเอาขึ้นได้ก็ขึ้นโขอยู่ พอเอาแหขึ้นได้เท่านั้น พวกจับปลาก็ตกตะลึง นึกว่าได้ศพคนตกน้ำมาแน่ๆ แต่แปลกที่ลักษณะไม่เหมือนศพคนตกน้ำตายที่ต้องขึ้นอืด หนังเปื่อยยุ่ย พวกนั้นก็เอาขึ้นมาบนฝั่งปรากฏว่าไม่ตาย ท่านรอด รอดมาจนได้
ตั้งแต่นั้นมาก็ทำบุญให้ทานหนักขึ้น ทำจนเกินไป ขายที่ ขายบ้านทำบุญหมด ท่านเป็นสตรีสูงศักดิ์ เป็นถึงคุณหญิง ในสกุลใหญ่ท่านหนื่ง นี่เป็นตัวอย่างซึ่งเกิด ในสมัยรัชกาลที่ 6 คนที่โตแล้วในสมัยนั้นก็คงรู้เรื่องดี ท่านอายุยืนต่อมาอีกนาน
ทำดีไว้เถิดผลมันไม่ไปไหน มันต้องตอบสนองแน่ๆ ทำดี ดี ทำชั่ว ชั่ว เว้นแต่ว่าจะเร็วหรือช้าเท่านั้น การที่เร็วหรือช้าก็เพราะน้ำหนักแห่งกรรมมันไม่เท่ากัน เหมือนโยนของหนัก ของเบาลงมาจากที่สูง ของหนักก็ย่อมถึงที่ก่อน ของเบาต้องถึงทีหลัง หรือจะลอยต่อไปไหนๆ ก็ได้
ที่ทำชั่วแล้วจะได้ดีนั้น ไม่มี ที่เห็นว่าผู้นั้นประสบสุข ร่ำรวย มีหน้ามีตานั้น เป็นเพราะบุญเก่ามาก บุญที่เคยทำไว้ตามมาได้ผล แต่อกุศลกรรมชาตินี้ที่ทำ มันก็ต้องตามมาสนองอยู่เอง ช้าหรือสุดแต่น้ำหนักแห่งกรรมนั้น เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า รอยกรรม
ดังนี้คือ พอถึงเวลาอกุศลกรรมที่ทำไว้ตามมาสนอง ก็เห็นเอง เสื่อมลาภ เสื่อมยศ หมดสุข มีแต่ทุกข์ มีแต่นินทา หมดการสรรเสริญเยินยอ นี่เป็นของจริงที่ไม่มีผิด หนีไม่พ้น
ผมก้มลงกราบหลวงพ่อท่าน 3 ครั้ง ก่อนที่จะกราบลาท่านกลับกรุงเทพฯ ท่านให้ศีลให้พรด้วยคำว่า
“
อะระหังพุทโธ สุคะโต ภะคะวา”
ผมก็ท่องคำนี้มาเรื่อยทุกครั้งที่จะเดินทางไหนมาไหน แม้ถึงตอนนี้ เวลาผมนั่งเครื่องบินไปไหนมาไหน พอเครื่องบินจะออกบิน ผมจะนั่งภาวนาคาถาของหลวงพ่อเรื่อยไป จนเห็นว่าปลอดภัย
คาถานี้ไม่ห้ามไม่หวงนะครับ ท่านผู้ใดสนใจ จะท่องบ่นภาวนาคาถา ทั้งสองที่ผมนำมาเล่าในเล่มนี้ ก็ยินดีนะครับ ผลแห่งการภาวนานี้คุณจะเห็นเองครับ
จบ... เรื่องที่ 5
ธรรมจักร-http://www.sanggadjai.com/index.php?board=3.220