ผู้เขียน หัวข้อ: ดอกไม้ไทยกินได้  (อ่าน 6051 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
ดอกไม้ไทยกินได้
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2011, 06:05:49 pm »



ดอกไม้ไทยกินได้

  ข้าวมันดอกอัญชันกับส้มตำดอกไม้

ข้าวมันหอมกลิ่นกะทิและสีสวยใสเพราะใส่น้ำคั้นดอกอัญชัน
กินเพลินเกินห้ามใจ เมื่อเคียงด้วยส้มตำดอกไม้         

ส้มตำเลิศค่า เพราะปรุงจากกลีบดอกไม้สด และลิ้มรสความ
สดสะอาดปราศจากสารพิษ

วิธีหุงข้าวมัน     
 
ข้าวหอมมะลิกลางเก่ากลางใหม่         2 ถ้วย
น้ำสะอาด 2 ถ้วย
กะทิสด 1 ถ้วย         
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น ครึ่งช้อนชา
น้ำคั้นอัญชัน 2 ช้อนโต๊ะ       
ใส่ทุกอย่างหุงพร้อมกัน

วิธีคั้นน้ำอัญชัน        
เก็บดอกอัญชัน ยามสาย กลีบดอกขยายเต็มที่ เลือกเฉพาะกลีบดอก เก็บใส่ช่องแช่แข็ง       
เมื่อต้องการใช้ จึงนำออกมาใส่ในถุงพลาสติกเล็กๆ วางในอุณหภูมิห้อง ให้ละลาย         
เติมน้ำเปล่านิดหน่อย แล้วขยี้ถุงเบาๆ พอกลีบช้ำ จะได้น้ำอัญชันคั้นสดไว้ใช้


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ดอกไม้ไทยกินได้
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2011, 06:06:55 pm »


  เครื่องปรุงส้มตำดอกไม้

- ดอกไม้สดตามฤดูกาล เช่น ดอกคูน ดอกอัญชัน ดอกเข็ม ดอกเฟื่องฟ้า
  ดอกกาหลง ดอกผักตบ ดอกขจร ดอกชบา         
  ดอกพุดซ้อน ดอกกุหลาบ เป็นต้น เลือกใช้เฉพาะกลีบดอกที่มีสีสวยๆ
- แครอท ฟักทอง ฟักแม้ว ซอยหรือขูดเป็นเส้น ใช้แทนมะละกอ แต่ให้คุณค่าทางอาหารสูงกว่าและย่อยง่ายกว่า         
- ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ กุ้งแห้ง

วิธีทำน้ำส้มตำ
- น้ำปลา 1 ถ้วย       
- น้ำมะขามเปียก 1 ถ้วย มะนาว 1 ผล       
- น้ำตาลปี๊ป หรือ น้ำตาลทรายครึ่งถ้วย       
- กระเทียมบุบหยาบๆ ครึ่งถ้วย       
- พริกขี้หนูบุบหยาบๆ ครึ่งถ้วย น้อยหรือมากกว่าแล้วแต่ชอบ       
- คนทุกอย่างให้เข้ากัน เตรียมไว้สำหรับคลุกส้มตำดอกไม้

  วิธีทำส้มตำดอกไม้
     
- ปรุงเส้นแครอท ฟักทอง และฟักแม้ว พร้อมถั่วฝักยาวบุบ มะเขือเทศ และกุ้งแห้งด้วยน้ำส้มตำ
      คลุกเคล้าจนเข้ากัน       
- จากนั้น เติมกลีบดอกไม้ที่เตรียมไว้เป็นสิ่งสุดท้าย เพราะความบอบบางของกลีบ   
  ไม่จำเป็นต้องโขลก เพราะกลีบจะแหลกราญ แลดูไม่งาม ไม่น่ารับประทาน

คอลัมนิสต์ : คุณ พูลทรัพย์ เจตลีลา
ช่างภาพ : คุณ ชัยวุฒิ ประเสริฐศรี


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ดอกไม้ไทยกินได้
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2011, 06:10:15 pm »




ซุปถุงทอง

ซึ่งมีเครื่องปรุงหลักคือ ดอกฟักทอง
ซึ่งปกติแล้วเราจะนำมาลวกหรือนึ่งเป็นเครื่องจิ้มกินกับน้ำพริกเท่านั้น


...    ดอกฟักทอง

มีโคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นถ้วยลึก
กลีบบานออกเป็นปากแตร สีเหลืองทอง
ชื่อแสนจะเป็นมงคล อาหารก็ล้วนมีคุณค่า
ไม่ลิ้มไม่ลอง ไม่ได้แล้ว

ถุงทองแสนสวย คือ ดอกฟักทอง
ที่ต้องเก็บจากต้นใหม่ๆ ไม่เกินสาย
เพราะถึงเที่ยงวัน กลีบดอกก็จะหุบห่อ
แต่ถ้าเก็บใส่กล่องปิดสนิทไว้ในช่องผัก
ก็จะเก็บได้สักสองวัน
กรุณาเก็บกินเฉพาะดอกตัวผู้
เก็บดอกตัวเมียไว้สำหรับผลิตฟักทองน้อยต่อไป


ซุปถุงทอง

เครื่องปรุงและวิธีทำ

- ดอกฟักทองสดใหม่จากต้น เด็ดเฉพาะดอก ก้านไม่ใช้
- ไส้ปรุงรสตามถนัด เสริมเนื้อสัตว์กับผัก เช่น แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ ข้าวโพด
- ใบต้นหอมแช่น้ำร้อนให้สลดไว้ผูกปากดอก ส่วนลำต้นก็ซอย สำหรับใส่ในน้ำแกง
- น้ำซุปใส หรือ น้ำสต็อกกระดูก หรือแม้แต่ก้อนซุปปรุงรสก็ใช้ได้
- สอดไส้ปรุงรสแล้ว ลงในดอกฟักทอง พออวบอิ่ม
- รวบปากดอกเข้าหากัน แล้วใช้ใบหอมผูกปากให้แน่น แลดูเป็นถุงตุงๆ สีทอง
- ต้มน้ำซุปให้เดือด แล้วนำถุงทองน้อยๆ ลงต้มต่อ ประมาณ 10 นาที ไส้จะสุก
  ยกลงตักใช่ชามรับประทานได้

มีอีกหลายเมนูค่ะ คลิ๊กตามลิ้งค์ :
http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=6748.20
Pics by : Google
อกาลิโกโฮม * สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 20, 2013, 09:07:07 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ Meepandatoto

Re: ดอกไม้ไทยกินได้
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2011, 03:39:04 pm »
ดอกไม้ไทยนั้นอร่อยไม่แพ้ใครในโลก!!
 อิอิ

ออฟไลน์ สายลมที่หวังดี

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 840
  • พลังกัลยาณมิตร 319
    • ดูรายละเอียด
Re: ดอกไม้ไทยกินได้
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: สิงหาคม 13, 2011, 11:25:43 pm »
 :yoyo108:น่าทานจริงๆเลย เห็นแล้วหิวเลยค่ะ
ขอเหมาหมดทั้งสามเมนูเลยนะค่ะ น้องบอลมองตาปริบๆไป ของอร่อยพี่ไม่แบ่งให้นะค่ะ อิ อิ  :yoyo044:

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ดอกไม้ไทยกินได้
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2011, 06:19:42 pm »


อาหารเจ : โจ๊กเห็ดหอมเจ
ส่วนผสม

ข้าวต้มหุงจนเละเป็นโจ๊ก          2          ถ้วย
น้ำซุปผัก                                 1/2 -1   ถ้วย
เห็ดหอมสดหั่นชิ้นเล็กลวก         1          ถ้วย

อาหารเจ : แกงป่า
ส่วนผสม

โปรตีนเกษตรเม็ดเล็กแช่น้ำจนพอง  1 ½ ถ้วย
เห็ดฟาง  1 ถ้วย
น้ำมันพืช  ½ ถ้วย
น้ำพริกแกงเผ็ด  ½ ถ้วย

มะเขือเปราะอย่างอ่อนผ่าสี่  2 ถ้วย
ขิงอ่อนหั่นฝอย ½ ถ้วย
กระชายหั่นฝอย  ½ ถ้วย
ใบมะกรูดฉีกใบละ 4 ชิ้น 10 ใบ

พริกชี้ฟ้าเขียว แดง หั่นแฉลบ 1 ถ้วย
ใบโหระพาเด็ด 1 ถ้วย
ซีอิ้วขาว 1/3  ถ้วย
น้ำตาลทราย  2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
    โปรตีนเกษตร เห็ดฟาง และน้ำใส่ลงในหม้อ  ตั้งไฟพอเดือดปิดฝา
    น้ำมันใส่กระทะตั้งไฟพอร้อนจัด ใส่น้ำพริกลงผัดประมาณ 3 นาที ตักใส่ในหม้อโปรตีน

ตั้งไฟพอเดือด ใส่ขิงอ่อน กระชายและใบมะกรูด พอเดือดสักครู่ใส่มะเขืออ่อนและพริกชี้ฟ้า ซีอิ้วขาว น้ำตาล มะเขือสุก แล้วใส่ใบโหระพา และใบกะเพราคนให้ทั่วยกลง

อาหารเจ : เห็ดหอมอบวุ้นเส้นเจ
ส่วนผสมอาหารเจ

    วุ้นเส้นแห้ง          160      กรัม
    หมี่กึ๋นหั่นชิ้นพอคำ          1/2      ถ้วยตวง
    เห็ดหอมแห้งแช่น้ำหั่นชิ้นพอคำ        1/2      ถ้วยตวง
    พริกไทยดำโขลกหยาบๆ        1      ช้อนชา
    คึ่นช่ายซอยหยาบๆ         1/2    ถ้วยตวง
    ขิงแก่ซอยละเอียด         1/2      ถ้วยตวง
    ซอสปรุงรส          5      ช้อนโต๊ะ
    น้ำตาลทราย          1      ช้อนโต๊ะ
    น้ำเปล่าหรือน้ำซุป         1     ถ้วยตวง
    น้ำมันพืช        4      ช้อนโต๊ะ
    คึ่นช่ายหั่นท่อน ขนาด 1 นิ้ว        1/2     ถ้วยตวง

วิธีทำเห็ดหอมอบวุ้นเส้นเจ
1. ผสมขิงกับ ซอสปรุงรส ตามด้วยน้ำเปล่า คึ่นช่ายซอย น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ และคนให้เข้ากัน
2. นำวุ้นเส้นผสมเคล้าลงไป  คนให้เข้ากัน
3. ใส่น้ำมันพืชลงในหม้อ ตามด้วยคึ่นช่ายหั่นท่อนและหมี่กึ๋น เห็ดหอม วางเรียงในหม้อตามด้วยส่วนผสมของวุ้นเส้น ปิดฝานำไปตั้งไฟอบประมาณ 15 นาที สุกพร้อมจัดรับประทาน

อาหารเจ : เต้าหู้ผัดเผ็ด
ส่วนผสม

1. เต้าหู้หั้นสี่เหลี่ยม ทอดกรอบ พอเหลือง  1  ถ้วย
2. เครื่องแกงเผ็ดใต้เจ 1 ช้อนโต๊ะ
3. กะทิสด 1  ถ้วย
4.ใบโหระพาเด็ดใบ 1 กำ
5. พริกชี้ฟ้าสด สีแดง  4  ดอก
6. ซีอิ้วขาว  1 ช้อนโต๊ะ
7. เกลือป่น  ½  ช้อนชา

วิธีทำ
1. หั่นเต้าหู้ เป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ทอดเต้าหู้ให้พอกรอบ (สีเหลือง)
2. ตั้งกะทะให้ร้อน ใส่กะทิลงไป 1/2 ถ้วย (พอประมาณท่วมเต้าหู้ที่มี)
3. ใส่เครื่องแกงเผ็ดใต้ ลงไปผัดพอหอม แล้วใส่เต้าหู้ที่ทอดไว้ลงไปด้วย
4. ผัดให้เข้ากัน เติมเกลือ ซีอิ้ว และ ใส่ใบโหระพาลงไปผัด
5. ผัดจนสุก ชิมรส และเสริฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ

             

-พริกแกงเผ็ด
ส่วนผสม

1. พริกแดงเม็ดใหญ่ 5 เม็ด
2. เกลือป่น ½ ช้อนชา
3. ข่าหั่นฝอย 1 ช้อนชา
4. ตะไคร้หั่นฝอย 2 ช้อนโต๊ะ
5. ผิวมะกูดหั่นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ
นำพริกแกะเม็ดล้างน้ำหั่นหยาบๆ โขลกกับเกลือและตามด้วยส่วนผสมอื่นๆ เก็บไว้ใช้ปรุงกับอาหารอื่นๆ

-พริกแกงเขียวหวาน
วิธีทำทุกอย่างเหมือนสูตรพริกแกงเผ็ด ยกเว้นเปลี่ยนส่วนผสมจากพริกแห้งเป็นพริกสดหรือพริกชี้ฟ้าสด


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด





          นับถอยหลังเข้าสู่เทศกาลกินเจอีกแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คน คงตั้งใจจะทาน "อาหารเจ" กันในปีนี้ ว่าแต่ "อาหารเจ" จริง ๆ แล้วอะไรที่เราทานได้ และทานไม่ได้บ้าง วันนี้กระปุกดอทคอม มาแนะนำการกินเจที่ถูกวิธีให้ฟังกันค่ะ

          สำหรับ อาหารเจ เราจะทานในระหว่างเทศกาลกินเจ คือช่วงระหว่างวันขึ้น 1-9 ค่ำเดือน 8 (ตามปฏิทินจีน) ซึ่งตรงกับประมาณเดือนตุลาคม มีระยะเวลาประมาณ 10 วัน โดยมีความเชื่อว่า หากใครกินเจจะได้บุญ ส่งผลให้ชีวิตประสบความสุขความเจริญ ทั้งเป็นการต่อชีวิตให้ยืนยาวต่อไปด้วย หรือในบางคนอาจจะทาน "อาหารเจ" เป็นกิจวัตรประจำวันก็ได้

          แน่นอนว่า เมื่อพูดถึงอาหารเจ เราต้องหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ทุกชนิด และปรุงอาหารด้วยแป้ง เต้าหู้ ซีอิ๊ว ถั่วเหลือง ถั่วต่าง ๆ รวมทั้งผักนานาชนิด ยกเว้น ผักฉุน 5 ประเภท ที่เป็นผักรสหนัก มีกลิ่นเหม็นคาวรุนแรง ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ และยังมีพิษทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย ส่งผลให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ นั่นก็คือ

          1.กระเทียม ทั้งหัวกระเทียม ต้นกระเทียม ส่งผลกระทบต่อธาตุไฟของร่างกาย แม้ว่ากระเทียมจะมีสารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล แต่กระเทียมมีความระคายเคืองสูง อาจไปทำลายการทำงานของหัวใจได้ ผู้เป็นโรคกระเพาะอาหาร หรือโรคตับ ไม่ควรรับประทานมาก

          2.หัวหอม รวม ไปถึงต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่ ซึ่งตามหลักการแพทย์โบราณของจีนเชื่อว่า หัวหอม จะกระทบกระเทือนต่อธาตุน้ำในร่างกาย และไปทำลายการทำงานของไตได้ แม้ว่าหอมแดง จะมีฤทธิ์ช่วยขับลม แก้ท้องอืด แก้ปวดประจำเดือน แต่ไม่ควรบริโภคมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการหลง ๆ ลืม ๆ ได้ง่าย รวมทั้งนัยน์ตาพร่ามัว มีกลิ่นตัว

          3.หลักเกียว หรือที่รู้จักว่า กระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียมที่พบเห็นทั่วไป แต่จะมีขนาดเล็กและยาวกว่า ในทางการแพทย์ของจีนเชื่อว่า หลักเกียว ส่งผลกระทบกระเทือนต่อธาตุดินในร่างกาย และไปทำลายการทำงานของม้าม

          4.กุยช่าย เชื่อกันว่า กุยช่าย จะไปกระทบกระเทือนต่อธาตุไม้ในร่างกาย และทำลายการทำงานของตับ

          5.ใบยาสูบ ไม่ว่าจะเป็นยาเส้น บุหรี่ ของเสพติดมึนเมา อะไรต่าง ๆ จะส่งผลกระทบกระเทือนต่อธาตุโลหะในร่างกาย และทำงานการทำงานของปอด


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด




           และหากต้องการกินเจให้ถูกหลัก เราควรรับประทานผักผลไม้ต่าง ๆ ให้ครบ 5 สีในแต่วัน ตามสีของแต่ละธาตุทั้ง 5 คือ

           1.สีแดง แดงส้ม แสด ชมพู เช่น มะเขือเทศ แครอท พริกสุก มะละกอ แตงโม ฯลฯ ถือเป็นสัญลักษณ์ของธาตุไฟ จะช่วยลดคอเลสเตอรอลส่วนเกิน ลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารรสขม ที่จะไปทำอันตรายต่อระบบการไหลเวียนของโลหิต

           2.สีดำ น้ำเงิน หรือ ม่วง เช่น ถั่วดำ เผือก มะเขือม่วง เห็ดหูหนู ลูกหว้า องุ่น เป็นสัญลักษณ์ของธาตุน้ำ มีประโยชน์ต่อไต ส่วนผู้ที่มีปัญหาเรื่องไต ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารรสเค็ม

           3. สีเหลือง ทั้งเหลืองแก่ และเหลืองอ่อน เช่น ฟักทอง ถั่วเหลือง มะม่วง ข้าวโพด กล้วย ทุเรียน เป็นสัญลักษณ์ของธาตุดิน มีประโยชน์ในการบำรุงม้าม แต่ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารรสหวาน

           4. สีเขียว ทั้งสีเขียวเข้ม สีเขียวอ่อน เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ฝรั่ง ถั่วฝักยาว ถือเป็นสัญลักษณ์ของธาตุไม้ หากรับประทานมาก ๆ จะช่วยบำรุงตับ ส่วนผู้ที่มีปัญหาเรื่องตับ ควรงดทานอาหารรสเปรี้ยว

           5. สีขาว เช่น ลูกเดือย ผักกาดขาว มะพร้าว น้อยหน่า ถือเป็นสัญลักษณ์ของธาตุโลหะ มีประโยชน์ต่อปอด สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องปอด ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารรสเผ็ด

          อย่าง ไรก็ตาม ผู้ทานอาหารเจ ควรทานอาหารให้ครบทั้ง 5 สี ตามธาตุทั้ง 5 โดยสลับกันไปในแต่ละวัน เพื่อให้ได้สารอาหาร และคุณค่าที่ครบถ้วน

          และวันนี้เราก็มี สูตรอาหารเจ เมนูอาหารเจแบบง่าย ๆ มาฝากกันด้วยค่ะ

ต้มจับฉ่ายเจ
ส่วนผสม ต้มจับฉ่ายเจ

          กะหล่ำปลี 1 หัว
          คะน้า 1 ถ้วย
          ซุงฉ่าย (คล้ายกวางตุ้ง แต่ต้นใบใหญ่กว่า)   1  ถ้วย
          ขึ้นฉ่าย   1  ถ้วย
          ผักกวางตุ้ง   1 ถ้วย
          หัวไชเท้า 1  หัว
          เห็ดหอม  1 ถ้วย
          รากผักชี   3 ราก
          เต้าหู้ทอด 2 ก้อน
          น้ำตาลปีบ 1 ช้อนโต๊ะ
          งาคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
          เกลือ 2 ช้อนชา
          ซีอิ๊ว 2 ช้อนโต๊ะ
          น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
          ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
          ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ ต้มจับฉ่ายเจ

          เริ่มจากผ่ากะหล่ำปลี เป็น 8 ซีก และหั่นผักทุกชนิดเป็นชิ้นใหญ่ จากนั้นโขลกงาคั่ว รากผักชีรวมกัน แล้วเจียวกับน้ำมันพืชจนหอม ใส่ต้นซุงฉ่ายลงผัด แล้วผัดผักชนิดอื่น ๆ ตามไป ใส่น้ำ ใส่เกลือ ซีอิ๊วขาว น้ำตาลปีบ ซอสถั่วเหลืองปรุงรส เมื่อเสร็จแล้วให้ตักผัดผักที่ได้ลงหม้อ แล้วใส่เห็ดและเต้าหู้ที่ทอดไว้เรียบร้อยแล้ว ปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำ เติมน้ำต้มให้เปื่อยยกลงเสิร์ฟ

เห็ดหอมน้ำแดง
ส่วนผสม เห็ดหอมน้ำแดง

          เห็ดหอมสด  15  ดอก
          แป้งมัน  1/2 ช้อนโต๊ะ
          งาคั่วบด  1/2 ช้อนโต๊ะ
          น้ำมันพืช  2 ช้อนโต๊ะ
          ผงพะโล้ 1/4 ช้อนชา
          ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
          ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
          ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา
          น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
          เกลือป่น1/2 ช้อนชา
          พริกไทย 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ เห็ดหอมน้ำแดง

          ตัดก้านเห็ดหอมออกโดยใช้มีดบาก 2-3 รอย แต่อย่าให้ขาดแล้วทุบให้แบน เจียวงาในน้ำมันพอร้อนแล้วใส่เห็ดลงไปผัด เติมน้ำ 1 ถ้วย เคี่ยวจนสุกแล้ว จากนั้นใส่แป้งละลายน้ำลงไปเคี่ยวให้เดือดสักครู่ ปรงุรสก่อนจะยกลงเสิร์ฟ


                            ข้าวผัดเจ   
ส่วนผสม ข้าวผัดเจ

          ข้าวสวย 1 ถ้วย
          แครอทหั่นเป็นลูกเต๋า 1/4 ถ้วย
          เห็ดหอม 2 ดอก (หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ )
          ถั่วฝักยาว หั่น 1/2 ซม. 1/4 ถ้วย
          เต้าหู้สีเหลืองหั่นเป็นลูกเต๋ม 1/2 ถ้วย
          น้ำตาลทราย      1      ช้อนชา
          ซีอิ๊วขาว     1/2     ช้อนโต๊ะ
          น้ำมันพืช     2     ช้อนโต๊ะ
          ซีอิ๊วดำ     1/2     ช้อนชา

วิธีทำ ข้าวผัดเจ

          ตั้งไฟอ่อน ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ 1 ช้อนโต๊ะ นำเห็ดหอมที่หั่นแล้วลงไปผัดจนเริ่มเหลือง ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวแล้วตักขึ้นพักไว้ จากนั้นใส่น้ำมันในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อน ใส่ข้าวลงผัด ตามด้วยเต้าหู้เหลือง ถั่วฝักยาว แครอท และเห็ดหอมที่ผัดไว้เรียบร้อยแล้ว ผัดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำ  ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย เมื่อผัดส่วนผสมจนสุกทั่วกันแล้วยกลงเสิร์ฟได้


                       
ผัดหมี่เจ
ส่วนผสม ผัดหมี่เจ

          หมี่เหลือง 1 ถ้วย
          ผักคะน้า 1 ต้น
          เห็ดฟาง 4-5 ดอก
          เห็ดหอมปรุงรสหั่นเสี้ยว  2  ดอก
          เต้าหู้เหลืองหั่นเล็ก 1ช้อนโต๊ะ
          หัวไชโป๊สับละเอียด 1  ช้อนโต๊ะ
          ถั่วงอกเด็ดหาง 1/2 ถ้วย
          ถั่วลิสงคั่วป่น  1 ช้อนโต๊ะ
          พริกป่น 1-2 ช้อนชา
          น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
          ซีอิ๊วขาว  1 ช้อนโต๊ะ
          น้ำส้มสายชู  1 ช้อนโต๊ะ
          น้ำซุปผัก 1/2 ถ้วย
          น้ำมันพืช 3-4 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ ผัดหมี่เจ

          หั่นผักคะน้าเป็นชิ้นพอดี ส่วนเห็ดฟางให้เฉือนโคนที่สกปรกออก แล้วผ่าครึ่ง จากนั้นใสน่้ำมันในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อน นำผักคะน้า เห็ดฟาง เห็ดหอม เต้าหู้ หัวไชโป๊ ลงไปผัดให้หอม ใส่หมี่เหลือง คลุกเคล้าผัดให้ทั่ว แล้วใส่น้ำซุป ผัดต่อไปจนแห้ง ปรุงรสด้วยพริกป่น น้ำตาล ซีอิ๊วขาว น้ำส้มสายชู ใส่ถั่วลิสงป่น ผัดสักครู่ ใส่ถั่วงอก (แบ่งไว้โรยหน้าเล็กน้อย) พอทุกอย่างสุก ยกลงตักใส่จานเสิร์ฟพร้อมกับมะนาวหั่นเสี้ยว และถั่วงอกโรยหน้า

          แถมท้ายสำหรับใครที่ชอบดื่มกาแฟเป็นประจำ เทศกาลกินเจนี้อาจต้องเปลี่ยนมาดื่ม "กาแฟดำ" หรือกาแฟที่ไม่ใส่ทั้ง "นม" และ "ครีม" เช่น "เอสเพรซโซ" แทนค่ะ แต่หลายคนก็ทานกาแฟดำไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ลองใช้ "นมถั่วเหลือง" แทนได้ค่ะ หรือลองหาซื้อ "กาแฟเจ" ที่บางยี่ห้อวางขายในช่วงเทศกาลกินเจนี้ดูก็ได้ค่ะ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ที่มา
:http://www.kapook.com/]http://www.kapook.com/
Memoryforyou :http://www.prachathon.org/forum/index.php?topic=3540.msg17193;topicseen#msg17193
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



อัญชัน สรรพคุณและประโยชน์ของดอกอัญชัน 30 ข้อ !!
อัญชัน ภาษาอังกฤษ : Butterfly pea. หรือ Blue pea. ส่วนดอกอัญชัน ชื่อวิทยาศาสตร์ : Clitoria ternatea L.สำหรับชื่อพื้นเมืองอื่นๆ เช่น แดงชัน(เชียงใหม่) , เอื้องชัน(ภาคเหนือ) เป็นต้นเป็นพืชที่มีต้นกำเนิดในแถบอเมริกาใต้ ปลูกทั่วไปในเขตร้อน ลักษณะของดอกอัญชันจะมีสีขาว สีฟ้า สีม่วง ส่วนตรงกลางดอกจะมีสีเหลือง และรูปทรงคล้ายหอยเชลล์

อัญชัน มีสรรพคุณที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะมีสารที่ชื่อว่า “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin) ซึ่งมีหน้าที่ไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ดีมากขึ้น เช่น ไปเลี้ยงบริเวณรากผม ซึ่งช่วยทำให้ผมดกดำ เงางาม หรือไปเลี้ยงบริเวณดวงตาจึงช่วยบำรุงสายตาไปด้วยในตัว หรือไปเลี้ยงบริเวณปลายนิ้วมือ ซึ่งก็จะช่วยแก้อาการเหน็บชาได้ด้วย และที่สำคัญสารนี้ยังมีความโดดเด่นที่ใครหลายๆคนยังไม่ทราบนั้นก็คือ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดเส้นเลือดอุดตันได้และการ “กินดอกอัญชันทุกวัน…วันละหนึ่งดอก” จะช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบได้อีกด้วย

เนื่องจากดอกอัญชันนั้นมีในการฤทธิ์ละลายลิ่มเลือด
สำหรับผู้มีเลือดจาง ห้ามรับประทานดอกอัญชันเด็ดขาด
หรืออาหารเครื่องดื่มที่ย้อมสีด้วยอัญชันก็ไม่ควรรับประทานบ่อยๆ



สรรพคุณอัญชัน

    สรรพคุณอัญชันน้ำอัญชันมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย
    เครื่องดื่มน้ำอัญชันช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายและเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย
    มีส่วนช่วยในการชะลอวัยและริ้วรอยแห่งวัย
    ประโยชน์ของดอกอัญชัน มีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง เพิ่มการไหลเวียนเลือด
    ดอกอัญชันมีฤทธิ์ในการละลายลิ่มเลือด
    ช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบ

    ช่วยรักษาอาการผมร่วง (ดอก)
    อัญชันทาคิ้ว ทาหัว ใช้เป็นยาปลูกผม ปลูกขนช่วยให้ดกเดาเงางามยิ่งขึ้น (น้ำคั้นจากดอก)
    ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดเส้นเลือดอุดตัน
    ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
    ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
    ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน

    อัญชันมีคุณสมบัติในการช่วยล้างสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย
    ช่วยบำรุงสายตา แก้อาการตาฟาง ตาแฉะ (น้ำคั้นจากดอกสดและใบสด)
    ช่วยป้องกันโรคต้อกระจก ต้อหิน ตามเสื่อมจากโรคเบาหวาน (ดอก)
    ช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็นให้ดียิ่งขึ้น
    นำรากไปถูกับน้ำฝน นำมาใช้หยอดตาและหู (ราก)
    นำมาถูฟันแก้อาการปวดฟัน และทำให้ฟันแข็งแรง (ราก)

    ใช้เป็นยาระบาย แต่อาจทำให้คลื่นไส้อาเจียนได้ (เมล็ด)
    อัญชันสรรพคุณใช้รากปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ (ราก,ใบ)
    แก้อาการปัสสาวะพิการ
    สรรพคุณอัญชันใช้แก้อาการฟกช้ำ (ดอก)
    ช่วยป้องกันและแก้อาการเหน็บชาตามนิ้วมือนิ้วเท้า
    นำมาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำอัญชันเพื่อใช้ดับกระหาย

    ดอกอัญชันตากแห้งสามารถนำมาชงดื่มแทนน้ำชาได้เหมือนกัน
    ดอกอัญชันนำมารับประทานเป็นผักก็ได้ เช่น นำมาจิ้มน้ำพริกสดๆ หรือนำมาชุบแป้งทอดก็ได้
    น้ำดอกอัญชันนำมาใช้ทำเป็นสีผสมอาหารโดยให้สีม่วง เช่น ขนมดอกอัญชัน ข้าวดอกอัญชัน (ดอก)
    ช่วยปลูกผมทำให้ผมดกดำขึ้น (ดอก)
    ใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่าง ครีมนวดผม ยาสระผม เป็นต้น
    ประโยชน์ของอัญชันข้อสุดท้ายคือนิยมนำมาปลูกไว้ตามรั้วบ้านเพื่อความสวยงาม



วิธีทำน้ำดอกอัญชัน
    ประโยชน์ของดอกอัญชันวัตถุดิบที่ต้องเตรียม มีดังนี้ น้ำดอกอัญชัน 1 ถ้วย / น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ / น้ำเชื่อม 4 ช้อนโต๊ะ
    ขั้นตอนแรกให้ทำน้ำดอกอัญชันก่อน ด้วยการนำดอกอัญชันสดประมาณ 100 กรัม นำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วใส่หม้อเติมน้ำเปล่า 2 ถ้วยนำไปต้มจนเดือด ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 3 นาทีแล้วกรองดอกอัญชันขึ้นจากหม้อ
    ต่อมาก็ทำน้ำเชื่อม โดยใช้สัดส่วน น้ำเปล่า 500 กรัม / น้ำตาลทราย 500 กรัม
    เมื่อได้ส่วนผสมครบแล้วให้นำน้ำดอกอัญชัน น้ำเชื่อม น้ำผึ้ง ผสมรวมกันตามสัดส่วนที่ระบุไว้ในข้อแรก
    ชิมรสชาติตามชอบใจ เสร็จแล้วน้ำดอกอัญชัน

    ถ้าหากจะทำเป็นน้ำพันซ์ให้ใช้ส่วนผสมดังนี้ น้ำดอกอัญชันครึ่งถ้วย / น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ / น้ำเชื่อม 6 ช้อนโต๊ะ / น้ำมะนาวครึ่งถ้วย / และน้ำโซดาเย็นประมาณ 1 ขวด แล้วนำมาผสมรวมกันชิมรสชาติจนเป็นที่พอใจแล้วใส่น้ำแข็งเกล็ดเพื่อความสดชื่นอีกที
    ถ้าต้องการทำเป็นน้ำชาไว้ดื่ม ก็ใช้ดอกอัญชันที่ตากแห้งแล้ว ประมาณ 25 ดอก นำมาชงในน้ำเดือด 1 ถ้วยแล้วนำมาดื่ม
    หรือจะใช้อีกสูตร ก็คือให้เตรียม ดอกอัญชัน 3 ดอก / น้ำเปล่า 1 แก้ว / น้ำตาลทราย (ตามความต้องการ) / น้ำมะนาว (ตามความต้องการ)

    นำดอกมาเด็ดก้านเขียวๆออกๆ แล้วนำไปล้างให้สะอาด
    ต้มน้ำแล้วใส่ดอกอัญชันลงไป รอจนเดือด จนน้ำเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับดอก
    ใส่น้ำตาลลงไปตามใจชอบ
    เสร็จกรองเอากากออก แล้วทิ้งไว้ให้เย็น
    นำมาปรุงรสนิดหน่อยด้วยการมะนาวตามความต้องการ (สีของน้ำจากสีฟ้าก็จะกลายเป็นสีม่วง)
    นำมาดื่มพร้อมใส่น้ำแข็ง เย็นชื่นใจจุงกะเบย

คำแนะนำ
    ควรดื่มทันทีเมื่อทำเสร็จ เพื่อรักษาคุณทางสารอาหารและยา
    ไม่ควรดื่มน้ำสมุนไพรในอุณหภูมิที่ร้อนจัด หรือมีอุณหภูมิเกิน 60 องศาเซลเซียสขึ้นไป เพราะอาจจะทำให้เยื่อบุผิวหลอดอาหารเสียสภาพภูมิคุ้มกันได้ ทำให้ดูดซับสารก่อมะเร็งและสารอื่นๆได้ง่าย
    ไม่ควรดื่มน้ำสมุนไพรใดๆชนิดเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งอาจจะเป็นผลเสียต่อร่างกายมากกว่าผลดี



แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี,
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
noway2know
:http://www.prachathon.org/forum/index.php?topic=8601.0