ผู้เขียน หัวข้อ: วิหารธรรม คือ ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)  (อ่าน 2936 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


       

ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่
 
วิหารธรรม คือ ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ หลวงปู่นึกถึงลูกหลานและท่านที่รักทั้งหลายว่า พวกท่านมีวิหารธรรมคือธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ของท่านบ้างหรือเปล่า ซึ่งบางคนหลายคนอาจจะเคยชินอยู่กับโทสะวิหาร คือ วิหารที่มีโทสะเป็นเครื่องอยู่ อาศัยโทสะเป็นเครื่องอยู่ เขาเรียกว่าโทสะเป็นวิหาร หลายคนบางคนอาจเคยชินกับโมหะวิหาร คือ มีความหลงเป็นเครื่องอยู่ อยู่ได้อาศัยได้ด้วยความหลง เขาก็เรียกว่ามีโมหะเป็นวิหาร คือความหลงเป็นที่อยู่อาศัย หลายคนบางท่านอาจจะเคยชินอยู่กับความละโมบ ความโลภเป็นวิหาร มีเครื่องอยู่เป็นความละโมบ หรือมีความละโมบเป็นเครื่องอยู่ ในตัวบางคนอาจจะเคยชินกับความไม่รู้เป็นเครื่องอยู่เป็นวิหารธรรม แล้วเครื่องอยู่ที่ไม่ควรเรียกเป็นวิหารธรรมเรียกว่าวิหารอธรรม คือ ธรรมที่ไม่ใช่เครื่องอยู่อาศัยที่ทำให้เกิดความสันติสุข สงบเย็น แต่มันเป็นอธรรมที่นำพาชีวิตเราไปสู่ภัยพิบัติ ที่พระพุทธเจ้าเรียกเครื่องอยู่เหล่านี้รวมๆกันว่าอวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ชาติ ภพ แล้วก็คือ ทุคติ นี่คือเครื่องอยู่ การไปสู่ทุคติได้นั้นไม่ต้องรอตายเมื่อใดที่เราอยู่กับความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความโง่ ความไม่รู้จริง ความผูกพันรัดรึง ความตกเป็นทาส เมื่อนั้นก็มีทุคติปรากฏแล้ว แต่ถ้าเมื่อใดที่เรามีศีลเป็นเครื่องอยู่เรียกว่าศีลเป็นวิหารธรรมของเรา มีสมาธิเป็นเครื่องอยู่ เรียกว่าสมาธิเป็นวิหารธรรมของเรา มีปัญญาเป็นเครื่องอยู่เรียกว่าปัญญาเป็นวิหารธรรม มีหิริความละอายชั่ว มีโอตตัปปะความเกรงกลัวบาป มีขันติ มีโสรัจจะ มีสติ มีสัมปชัญญะ แม้ที่สุดทาน มีการให้อภัย มีน้ำใจเป็นเครื่องอยู่นี้ ถือว่าทานการให้อภัย น้ำใจ ก็เป็นเครื่องอยู่เป็นวิหารธรรมของเรา

อย่างนี้พระพุทธเจ้าเรียกว่าธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ในส่วนที่เป็นกุศล แล้วมันก็นำพาวิถีชีวิตของเราไปสู่เป้าประสงค์ที่ตรงต่อเจตจำนงที่เราต้องการพึงประสงค์ ก็คือความสุข ความผ่อนคลาย ความโปร่งเบาสบาย
เราเคยชินอยู่กับวิหารแห่งความโลภ รัก โกรธ ความหลง ความรักมาเนิ่นนาน มากมาย หลายปีดีดักแล้ว หลวงปู่อยากเรียกร้องขอร้องลูกหลานว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงฤดูกาลเข้าพรรษา เราไม่รู้สึกเบื่อมั่งหรือไงในวิหารหลังเก่าๆ ที่มีราคะวิหาร โทสะวิหาร โมหะวิหาร ความเห็นแก่ตัวเป็นวิหาร เราไม่รู้สึกรำคาญอึดอัดบ้างหรือไงที่อยู่ในอวิชชาคือความโง่ ความไม่รู้เป็นวิหารธรรม เราไม่รู้สึกกระสับกระส่ายกระเสือกกระสนทุรนทุรายเป็นทุกข์เดือดร้อนมั่งหรือไงในตัณหาอุปาทานเป็นเครื่องอยู่เป็นวิหารของเรา สำหรับพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงสอนภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลายถ้าพราหมณ์ทั้งหลายถามเธอ นักบวช และชฎิลถามเธอว่าเราตถาคตมีธรรมอะไรเป็นเครื่องอยู่ เธอจงตอบแก่พวกเขาว่า เราตถาคตมีอานาปาณสติธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีชีวิตอยู่ได้ด้วยลมหายใจ ลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ของเราตถาคต มีสติรับรู้ถึงลมที่เข้า มีสติรับรู้ถึงลมที่ออก อย่างนี้เขาเรียกว่ามีอานาปาณสติเป็นเครื่องอยู่ แล้วไม่ใช่อยู่บางเวลาของบางวัน ในบางนาที บางสัปดาห์ บางเดือนแต่มันอยู่ทั้งปี เราต้องอยู่อย่างนั้นทั้งปี อยู่กับลมหายใจทั้งปี มีสติระลึกอยู่กับลมหายใจตลอดเวลา พระพุทธเจ้าก็สอนต่อไปว่าภิกษุทั้งหลายเช่นนี้แหละจึงได้ชื่อว่าเราอยู่ได้ด้วยกุศลธรรม

แต่ถ้าเมื่อใดที่เราอยู่ในความหลง ความโลภ ความโกรธ ความรัก ความโง่ ความฉุนเฉียว ความอาฆาตพยาบาท ความคับแคบ มันก็มีที่ไปคือทุคติ พระศาสดาก็ทรงชี้ว่านี่แหละภิกษุทั้งหลาย ชนทั้งหลายเหล่านี้มีเครื่องอยู่ได้ด้วยอกุศลธรรม แล้วเมื่อมีอกุศลธรรมเป็นเครื่องอยู่และแน่นอนหล่ะมันจะนำพาเราไปตกกระกำลำบาก ทุกข์ยากเดือดร้อน ทรมาน อึดอัดขัดเคืองพิกลพิการ พิการทางอารมณ์ และพิการทางกิริยาอาการ กลายเป็นบุคคลที่ไม่ปกติ หลายคนอาจคิดว่าเครื่องอยู่นั้นที่จริงแล้วมันก็ต้องมีการสลับสับเปลี่ยนกัน แต่อยากบอกให้ท่านที่รักทั้งหลายไปวิเคราะห์ว่า บางครั้งเราอยู่ในกุศลบ้าง ในขณะปัจจุบันที่ท่านนั่งอยู่ตรงนี้ เรียกว่ามีเครื่องอยู่เป็นกุศล แต่บ่อยครั้งหลายครั้งที่เราอยู่กับอกุศล ความมอมเมา ความหลงระเริง ความตกเป็นทาส ความโลภ ความรัก ความโกรธ ความหลง แล้วก็ความเป็นรู้จริง แต่ถามกลับไปว่าวันหนึ่งเรามีโอกาสที่อยู่ในกุศลวิหารกับอกุศลวิหารธรรมถ้าเทียบกันแล้วอันไหนมากกว่า คนที่มีอวิชชาครอบงำมากมายก็ก็แยกแยะหรือแยกแยะไม่ได้ว่าเครื่องอยู่ของเราที่เป็นปัจจุบันนี้มันเป็นกุศลหรืออกุศลมันเป็นวิหารกุศลหรือเป็นวิหารอกุศล มันเป็นเครื่องนำมาซึ่งทุคติหรือสุคติ ถ้าเมื่อใดที่เรามีชีวิตหลงจมปรักอยู่ในส่วนของอกุศลวิหาร แน่นอนหล่ะทุคติย่อมปรากฏขึ้นในทันที คือผลแห่งความผิดชั่วผิดบาป เดือดร้อน ทุรนทุราย ความไม่รู้ ตัณหาอุปปาทานก็จะเกิดตามมามันเกิดขึ้นมาโดยเหตุปัจจุบันทันทีไม่ต้องรอชาติหน้าชาตินี้ชาติไหนๆ แม้ชาติปัจจุบันนี้เราก็ต้องได้ผลจากอกุศลวิหาร หรือจากอกุศลวิหารธรรมนั้น พระพุทธเจ้าจึงพยายามฝึกให้เรามีสติ
หลวงปู่จึงภาคภูมิใจที่เด็กๆ หลายร้อยคนใส่ใจที่จะสร้างวิหารของตนจากการชี้นำของครูผู้ใจอารีย์ทั้งหลายที่ไปช่วยสั่งสอนอบรม

แม้ครูเองก็มีวิหารของตนเองคือวิหารแห่งสติเป็นเครื่องอยู่ ท่านว่าไว้ว่าผู้ที่มีสติเป็นวิหารธรรมนี้ ถ้าเกิดเป็นเทวดาก็จะได้เป็นครูของเทวดาทั้งปวง ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นพระมหาจักรพรรดิ์ เป็นผู้นำที่เป็นบุคคลที่เป็นที่พึ่งพิงอาศัยของมวลมนุษย์ได้ ถ้าเกิดเป็นสามัญสัตว์ก็สามารถศึกษาเรียนรู้อริยสัจ ถ้าเกิดเป็นพระพรหมก็เป็นท้าวมหาพรหม ถือว่าเป็นหัวหน้าแห่งพรหมทั้งปวงเพราะว่ามีสติเป็นวิหารธรรม ถามว่าเพราะอะไรเพราะสติมันเป็นครูเป็นที่พึ่ง เป็นตัวอุปการคุณ เป็นตัวเกิดปัญญาและเป็นสรรพวิทยาวิชาการ คนมีสติคือคนเป็นปราชญ์ เป็นบัณฑิตย์ เป็นผู้รู้ เป็นนักวิชาการ เป็นผู้รุ่งเรือง แน่นอนหล่ะก็ย่อมเป็นที่พึ่งเหมือนดั่งดวงอาทิตย์ เป็นที่พึ่งของดวงดาวทั้งหลาย เป็นที่พึ่งของสัตว์ในยามกลางวัน ดวงจันทร์ก็เป็นที่อาศัยของสัตว์ในยามกลางคืน คนมีสติเป็นที่นำมาแห่งที่พึ่งอันประเสริฐของคนทั้งหลาย คือวิหารที่อาศัยของคนมีสติ ไม่ว่าจะเกิดหรือตายย่อมรุ่งเรืองอยู่เสมอ หลวงปู่จึงรู้สึกภาคภูมิใจที่เราได้สร้างวิหารธรรมคือวิหารแห่งสติได้เกิดขึ้นอย่างน้อยเด็กนักเรียน 500 กว่าโรงเรียนที่เข้าโครงการขยับกายฯ และกลุ่มที่สอบซ่อมไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่านได้ชัยชนะหรือว่าพ่ายแพ้ เขาก็ได้สัมผัสถึงตัวตัวรู้ ตัวสติ ได้สัมพันธ์สัมผัสถึงหน้าตาที่แท้จริงของวิหารคือเครื่องอาศัยของตัวเราเอง ทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างชัดเจนชัดแจ้ง มันก็เท่ากับว่าเราได้ฝากริ้วรอยแห่งสติเข้าไปในเนื้อนาแห่งใจของเขา แม้ครั้งเดียวหรือบ่อยครั้งก็ตามที แม้ที่สุดก็จะเป็นที่พึ่งแก่เขาได้ในอนาคต ในภพชาติต่อๆ ไปก็มีวิหารแห่งสติเป็นที่อาศัยตลอดเวลา ก็ถือว่าแบ่งบุญให้ลูกหลานด้วยขอให้ลูกหลานมีวิหารแห่งสติเป็นที่อาศัย มีสติเป็นเครื่องคุ้มกันภัยมีสติเป็นเครื่องนำมาและนำไปเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของตนและคนรอบข้างตลอดเวลาด้วยเทอญ
 
เมื่อเช้ามีสุภาพบุรุษสองคนยืนดูต้นโพธิ์ และก็ยืนดูคนไหว้ต้นโพธิ์ ไหว้หลวงปู่ทวด และก็มีคนไปจุดธูปไหว้พระพรหม สุภาพบุรุษอีกคนหนึ่งเขาก็บอกว่า อันนี้ไม่ใช่ศาสนาพุทธแท้หรอก เพราะพุทธแท้เขาจะไม่มีกิจกรรมพฤติกรรมแบบนี้ พุทธแท้ๆ เขาไม่มีกิจกรรมพฤติกรรมแบบนี้ เขามีแต่การปฏิบัติธรรม เขามีก็แต่พระพุทธรูป อยากบอกท่านที่รักทั้งหลายว่าไม่ได้ปฏิเสธ พุทธแท้ๆนะแม้แต่พระพุทธรูปก็ไม่มีเพราะว่าวันที่พระพุทธเจ้าท่านปรินิพพาน พระองค์ทรงสั่ง อานนท์ ภิกษุทั้งหลายเมื่อเราตถาคตนิพพานแล้วพระธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาสอนเธอ เพราะงั้นพุทธแท้ๆอยู่ในคัมภีร์ อยู่ในธรรมอยู่ในวินัย นี่พุทธแท้ๆ แต่ที่เราต้องไหว้พระพุทธรูปนี้ถามว่าเป็นพุทธแท้ๆ ไหม ไม่เป็น ถามว่ายืนยันได้อย่างไร ก็ยืนยันได้จากคำสอนต่อมาว่า อานนท์ ถ้ามีพราหมณ์ และมาร เทพ และ พรหมทั้งหลายนำเอาดอกไม้มาบูชาเราตถาคตเป็นจำนวนมาก เราตถาคตมิได้สรรเสริญอามิสบูชาเหล่านี้ แต่เราตถาคตสรรเสริญปฏิบัติบูชา คือการปฏิบัติธรรม ผู้ที่จะเข้าถึงพุทธแท้ๆ ตามคำสอนของผู้มีพระภาคก็คือศึกษาพระธรรม ปฏิบัติธรรม แล้วถ้าคิดจะไหว้พระผู้มีพระภาคก็ไม่ต้องไหว้พระพุทธรูป แต่ไหว้พระธรรม เพราะพระองค์ก็สอนต่อมาว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต นี่คือคำสอนของพุทธแท้ๆ แต่ถามว่าชีวิตมนุษย์มันต้องมีสิ่งหลากหลายมันมีองค์ประกอบสิ่งหลากหลาย มันมีกระบวนการบูรณาการของตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส ใจรู้อารมณ์ เหมือนที่เราหยิบน้ำมาแก้วหนึ่งแล้วเราบอกว่าต้องการน้ำใสแท้ๆ น้ำใสแท้ๆ มันไม่มีรสนะ ที่มีรสหวาน รสเปี้ยว รสประแล่มๆ รสเค็ม รสฝืน สารพัดรสนี้มันไม่แท้เพราะมีเครื่องเจือปน

เหมือนกันกับเราบอกว่าเราต้มจืด ต้มจืดจะไปต้มทำไม มีคนเขาบอกเดี๋ยววันนี้มื้อนี้ทำต้มจืด หลวงปู่ก็เลยบอกมึงไม่ต้องทำเดี๋ยวกูทำให้ เสร็จแล้วก็ตักน้ำใส่หม้อต้ม ปิดฝา เดือดเสร็จยกลงมาตักใส่ชาม ถามว่า เขาถามว่านี่อะไรนะ ต้มจืดไง อ้าวไปใส่เกลือมันจะจืดไหม ใส่น้ำตาลจืดไหม ใส่ผักจืดไหม ต้มจืดก็ต้องต้มน้ำสิ เพราะงั้นพุทธแท้ๆ มันต้องจืดสนิทเลย มันต้องไม่มีอะไรเจือปนเลย รับกันได้ไหมหล่ะ ชีวิตมันต้องมีกระบวนการบูรณาการ และพัฒนาจาก จากหลายสิ่งให้รวมเป็นหนึ่งสิ่งมันคือต้องเรียนรู้ทุกเรื่องและทำความเข้าใจ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ฉันจะกินแกงจืด กินต้มจืด กินต้มจืด ถ้าให้กินจริงๆ ก็คงกินไม่เข้าอีกหล่ะ เพราะอะไร พัฒนาการทางลิ้นของเรามันยังไม่ยอมรับนะ เราสั่งสมบารมีกินแกงเปรี้ยว แกงเผ็ด แกงเค็ม แกงหวาน มาตั้งหลายๆ พันกัปล์เหมือนกับเราฝึกความโง่มาสารพัดโง่มาตั้งหลายๆ แสนกัปล์ พอมาเจอครั้งแรกอยากจะกินต้มจืดเนี่ยมัน รับไม่ได้ ทั้งๆที่มันก็จืดและไม่มีโทษ แต่เราบอกว่าเรารับมันไม่ได้เพราะมันไม่ถูกกับสิ่งที่เราสั่งสมมา มันก็ต้องมีกระบวนการกำจัดสะสาง กำหลาบ ไอ้สิ่งที่เป็นมลภาวะที่มันสั่งสมมา ให้มันเบาบางลง เพื่อจะทำให้ละเอียด ยอมรับถึงรสแห่งความจืดได้สนิท เพราะฉะนั้นกระบวนการกราบก็ดี ไหว้ก็ดี บูชาก็ดีนี่มันเป็นการฝึกปรือจิตอย่างหนึ่ง อย่าไปมองว่ามันเป็นความงมงายซะหมด อย่าไปมองว่ามันเป็นความโง่ซะหมด เว้นแต่ไปไหว้สากเบือนะสิมันโง่ ไหว้สากเบือไหว้จอมปลวก ไหว้ต้นกล้วย นี่มันโง่ แต่ถ้าไหว้พระพุทธรูปโง่ไหม ไม่โง่ ก็ไหว้ให้มันฉลาดสิ ไหว้แล้วให้ระลึกว่าคุณของพระพุทธเจ้ามีอะไร ไหว้ได้ มีวิธีมีกุศโลบาย ชอบไหว้ให้ไหว้ ชอบสวดให้สวด ชอบคิดให้คิด แต่นำวิถีคิดเข้ามาสู่มรรคาปฏิปทา นำวิถีสวดมาสู่มรรคาปฏิปทามีอะไร ก็เริ่มต้นจากการมีความเห็นชอบ ดำริชอบ พูดชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ ความเพียรชอบ มีสติชอบ มีสมาธิชอบ อย่างนี้มรรคาปฏิปทา มีหลักเอาไว้ คุณมาทางไหนแล้วแต่คุณเถอะแต่ให้เข้าหลักก็แล้วกัน แต่อีตอนยังไม่ทันเดินก็คว้าหลักก่อนมันเป็นไปไม่ได้

เพราะหลักมันอยู่ตั้งไกลโน้นแหนะ ต้องเดินแล้ว การกราบการไหว้ การฟังธรรม การรักษาศีล การบริจาคทาน การสวดมนต์ การภาวนา การแผ่เมตตา มันก็คือการเดินเข้าไปหาหลักที่บริสุทธิ์ บริบูรณ์สูงสุดก็คือความจืดสนิท คือปราศจากกิเลสทั้งปวง นั่นแหละเขาเรียกต้มจืด เพราะฉะนั้นอย่าไปมองเพื่อจับผิด แล้วหาจำเลยของสังคมไปทั้งหมด บางเรื่องนี่ต้องมองว่าเขามีกุศโลบายมีวิถีคิด อย่าไปมองว่ามันไม่มีสาระคนเราถ้ายอมก้มหัวไหว้ใครนี่นะ ขอเพียงให้ได้ไหว้ด้วยความรู้สึกบริสุทธิ์ จริงใจ ไม่ใช่ไหว้ด้วยความงมงาย มันก็ลดความเป็นตัวกูของกูไปได้เยอะแล้วหล่ะลูก ลดอีโก้ ไอ้โก้มานะทิฐิ จองหอง ยโส ถือดี อวดดี ทระนง สิ่งเหล่านี้มันไม่มีใครทำลายมันลงไปได้หรอก ถ้าตัวเราไม่ยึดที่จะไหว้ ยอมรับเคารพ ยอมฟังเหตุผลคนอื่น เพราะฉะนั้นอย่างไปมองว่าการไหว้ไร้สาระไปซะหมด เพราะกระบวนการเหล่านี้เป็นวิธีเดินทาง เป็นวิธีที่จะนำเราไปสู่ความจืดสนิท ที่เราเรียกว่าการกินต้มจืด พระธรรมก็จืดเหมือนกัน พระธรรมและวินัยมีผลคือจืดสนิท ไม่เป็นพิษต่อใครผู้ดื่มกิน แล้วก็ชำระล้างมลทินเหมือนคนที่ดื่มกินน้ำที่จืดสนิท นั่นแหละคือรสชาติและกลิ่นไอของพระธรรม

http://www.facebook.com/note.php?note_id=10150164052745285

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 21, 2011, 03:38:02 pm โดย ฐิตา »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด