ผู้เขียน หัวข้อ: 'ขนทรายเข้าวัด' ประเพณีมงคลรับสงกรานต์  (อ่าน 1596 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


เทศกาลสงกรานต์ของไทยปีนี้มีวันหยุดยาวต่อเนื่องหลายวันสร้างความครึกครื้นให้กับขาเที่ยวได้ตระเวนเล่นน้ำจนชุ่มฉ่ำ พร้อมเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อกราบไหว้พ่อ แม่  ปู่ ย่า ตา ยาย และพบปะญาติพี่น้อง รวมทั้งพากันออกไปทำบุญเสริมสิริมงคลให้ชีวิตเนื่องในวันปีใหม่ไทย ไม่ว่าจะเป็น การไหว้พระขอพร การทำบุญตักบาตร รวมถึง การขนทรายเข้าวัด ซึ่งถือเป็นประเพณีปฏิบัติอันดีงามที่อยู่เคียงคู่เทศกาลสงกรานต์มาเนิ่นนาน 
   
รัฏฐา ฤทธิศร อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ความรู้เกี่ยวกับวันปีใหม่ของไทยว่า เดิมทีเมืองทางเหนือนั้นมีความเชื่อเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรอบราศี (เดือน) ว่า การสังขานต์ หรือสงกรานต์ที่หมายถึงการผ่านหรือเคลื่อนไป ไม่ใช่สังขารในความหมายที่เข้าใจกันในปัจจุบัน โดยในช่วงเดือนเจ็ดทางเหนือตรงกับเดือนห้าทางใต้หรือเมษายนปัจจุบัน นับเป็นช่วงเปลี่ยนศักราชหรือปีใหม่ ที่เรียกกันว่า ’มหาสงกรานต์“ ด้วยการกำหนดมาจากปฏิทินทางสุริยคติ (นับเอาการเปลี่ยนแปลงของพระอาทิตย์เป็นหลักกำหนดปีและฤดูกาล) ของช่วงการเปลี่ยนฤดูกาลเข้าสู่หน้าร้อนซึ่งเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์โคจรเข้าสู่แนวตั้งฉากพื้นโลกและยังเป็นช่วงว่างก่อนเข้าสู่ฤดูเพาะปลูกราวเดือนเก้าที่ย่างเข้าสู่ฤดูฝนจนถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวในราวเดือนสาม จึงเหมาะแก่การมีงานเฉลิมฉลองรื่นเริง
   
วันสงกรานต์มักจะจัดประมาณ 3-4 วัน ได้แก่ วันสังขานต์ล่อง ตรงกับวันที่ 13 เมษายน นับเป็นวันจุดสิ้นสุดปีเก่าที่จะได้ล่วงผ่านไป กิจกรรมที่เป็นประเพณีในวันนี้เน้นการเก็บกวาดและทำความสะอาดครัวเรือน ชำระร่างกายให้สะอาดสะอ้านเปรียบเสมือนการเตรียมตัวที่ดีให้พร้อมรับกับสิ่งใหม่ในปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ส่วนวันเนาว์หรือเน่า ตรงกับวันที่ 14 เมษายน นับเป็นวันที่มีความสำคัญมากเนื่องจากถือว่าเปรียบเสมือนวันสุกดิบ (ครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะเป็นอย่างไรไม่รู้) คือ วันรอยต่อระหว่างปีเก่ากับปีใหม่ จึง ไม่นิยมปฏิบัติในสิ่งที่ไม่เป็นมงคลทั้งหลาย เนื่องจากจะส่งผลร้ายมายังตัวเอง ดังนั้นจึงมีกิจกรรมการเล่นน้ำที่สนุกสนานและมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนาด้วย คือ การดา (จัดเตรียมของเพื่อทำบุญปีใหม่) และวันพญาวัน ตรงกับวันที่15 เมษายน เป็นวันมงคลของการเริ่มต้นศักราชใหม่ จึงเน้นการทำบุญทางศาสนา เช่น ตักบาตร สรงน้ำพระ การรดน้ำดำหัวผู้อาวุโสที่เคารพเพื่อให้ศีลให้พรอันเป็นการสร้างสิริมงคลให้ตนเองในวันเริ่มต้นปีใหม่ตลอดทั้งปี รวมทั้งประเพณีการขนทรายเข้าวัด ด้วย
   
ประเพณีการขนทรายเข้าวัดนับเป็นกิจกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งในเทศกาลสงกรานต์ โดยประวัติความเป็นมานั้นเกี่ยวข้องกับสังคมในอดีตที่ชุมชนมีความสัมพันธ์กันมากกับศาสนาซึ่งก็คือ ’วัด“ ที่ต้องเข้าออกเพื่อปฏิบัติศาสนกิจหรือทำบุญกันอยู่เสมอ จึงนับว่าเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงปฏิสัมพันธ์กันในชุมชน โดยในแต่ละวันนั้นการเข้าออกศาสนสถานย่อมไม่เพียงเป็นเรื่องมงคล หากแต่อีกด้านหนึ่งเชื่อว่าจะมีเรื่องที่ไม่ดีงามผสมปนเปกันอยู่ คือทรายที่เป็นทรัพย์สมบัติของวัดที่ติดตัวไปเมื่อเดินทางออกจากวัด เนื่องจากการเข้าวัดต้องถอดรองเท้าก่อนจึงมีโอกาสที่ทรายเม็ดเล็ก ๆ
จะติดเท้าออกไป
   
ทั้งนี้วัดทางเหนือนั้นมักเป็นลานทรายโดยรอบซึ่งเชื่อว่ามาจากคติการสร้างวัดให้เปรียบเสมือนจักรวาลทางศาสนาอันบริสุทธิ์ โดยมีองค์เจดีย์อันเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบเป็นเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางของวัดและมีกลุ่มอาคารต่าง ๆ ทั้งวิหารหรือโบสถ์โดยรอบ ซึ่งพื้นที่ว่างระหว่างอาคารนั้นจะเว้นให้เป็นลานทรายที่เปรียบเสมือนทะเลสีทันดรที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ เมื่อแดดส่องสะท้อนเหล่าเม็ดทรายก็จะมีประกายและเงาที่เปลี่ยนแปลงไปคล้ายกับคลื่นในทะเลจริง ๆ
   
สำหรับประโยชน์ด้านการใช้งานนั้น ลานทรายสามารถทำความสะอาดง่าย ผิวแห้งไม่เฉอะแฉะ วัชพืชโตได้ยาก การมาทำบุญในวัดตลอดทั้งปีจึงมีการเหยียบย่ำเอาทรายของวัดออกไปโดยที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว ดังนั้นหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนที่ดีต้องดูแลค้ำจุนพระพุทธศาสนา จึงได้มีประเพณีในการนำทรายที่เรานำออกไปโดยไม่รู้ตัวกลับมาคืน เปรียบเป็นการสร้างแนวคิดในการปฏิบัติเรื่องผิดที่ไม่รู้ตัวแต่สร้างให้มีสำนึกและต้องแก้ไข เพื่อช่วยสร้างจิตสำนึกที่เป็นกรอบปฏิบัติทางสังคมร่วมกัน ที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ประกอบกับทรายเป็นวัสดุหลักหนึ่งที่มีความจำเป็นต้องใช้ในการก่อสร้างและบูรณะเสนาสนะทั้งหลายภายในวัด ดังนั้นช่วงฤดูแล้งที่ปริมาณน้ำในแม่น้ำลดลง เป็นช่วงว่างก่อนการเพาะปลูกจึงสะดวกในการที่สมาชิกในชุมชนทั้งชายหญิง เด็กผู้ใหญ่จะร่วมมือกันขนทรายสะอาดและละเอียดที่เหมาะสมกับการใช้ผสมปูนเพื่อที่จะใช้ในการสร้างและบูรณะสิ่งก่อสร้าง ซึ่งเมื่อขนทรายมาแล้ววิธีการเก็บควรให้เป็น กองทรงกรวยอย่างที่ได้พบเห็นทั่วไปเพื่อให้แห้งและขนย้ายไปใช้งานได้ง่ายเพราะน้ำหนักจะเบากว่าทรายที่เปียกน้ำ เมื่อเวลาผ่านไปจึงมีการประดับหรือทำเป็นรูปทรงที่ชัดเจนขึ้น ต่อมาทำเป็นทรงเจดีย์เพื่อเป็นการป้องกันลมที่จะพัดทรายแห้งปลิวไปได้ด้วยอีกทางหนึ่ง
   
สำหรับกิจกรรมของพิธี จะเริ่มในช่วงบ่ายด้วยการรวมตัวกันเพื่อจัดเตรียมอุปกรณ์ แล้วจึงไปยังแหล่งน้ำของชุมชน หรือแหล่งใหญ่เพื่อช่วยกันนำทรายสะอาดจากแม่น้ำบรรจุภาชนะที่เตรียมไปมายังวัดโดยระหว่างนั้นก็จะมีการเล่นรดน้ำกันพอสนุกสนาน โดยที่วัดพระภิกษุและผู้เฒ่าผู้แก่จะเป็นผู้จัดเตรียมสถานที่เพื่อจัดกระบะที่ทำขึ้นจากไม้ตีเป็นกรอบสี่เหลี่ยมหรือไม้ไผ่สานเป็นทรงกระบอกขนาดลดหลั่นกันไปเพื่อใช้ในการบรรจุทราย เมื่อชั้นล่างบรรจุทรายเต็มแล้วก็จะนำกระบะที่เล็กกว่าวางซ้อนด้านบนเพื่อใช้บรรจุทรายต่อไปจนซ้อนกันเป็นรูปคล้ายเจดีย์สามชั้นและห้าชั้นตามศรัทธาที่จะขนมายังวัด บ้างก็จะจัดเป็นกรวยขนาดเล็กๆ จำนวนมาก จัดวางอยู่ตามความต้องการของผู้นำมา ทั้งนี้ยังมีการประดับตกแต่งกองทรายน้อยใหญ่ที่ขนเข้ามาในวัดด้วยตุง (ธง) ให้มีสีสันสวยงาม เพื่อให้แล้วเสร็จภายในช่วงค่ำของวันเดียวกัน เนื่องจากในวันถัดมาคือ วันพญาวันก็จะกลับมาที่วัดเพื่อทำบุญและถวายเจดีย์ทรายที่ได้ร่วมแรงร่วมใจก่อสร้างให้วัดได้ใช้ประโยชน์ต่อไป
   
อย่างไรก็ตามประเพณีใด ๆ ที่เกิดขึ้นมาในอดีตนั้นล้วนพัฒนามาจากวิถีชีวิตและนิยมประพฤติปฏิบัติสืบกันมาตามที่เห็นว่าดีงาม สร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีของชุมชนและสภาพแวดล้อมที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันล้วนเป็นสิ่งที่แสดงคุณค่าและสะท้อนความเป็นรากเหง้าทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ประกอบเข้ากับการเสริมสร้างความคิด ความเชื่อที่เป็นสิริมงคลเพื่อใช้เป็นกุศโลบายที่จะคงไว้ซึ่งการปฏิบัติต่อๆ กันมาบนพื้นฐานความเชื่อทางศาสนาอันเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของสังคมไทยทุกระดับ หากเพียงในปัจจุบันนั้นมุมมองด้านศาสนากลับเป็นเรื่องของความงมงาย เข้าใจและปฏิบัติได้ยาก ส่งผลให้ประเพณีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงและค่อย ๆ เลือนหายไป สุดท้ายอาจเหลือเพียงกิจกรรมที่จัดเพื่อนักท่องเที่ยวและประโยชน์ทางเม็ดเงินในด้านธุรกิจเท่านั้น
   
ดังนั้นเราคนไทยต้องรู้จักอนุรักษ์ประเพณีไทยไว้และปลูกฝังให้ลูกหลานได้ปฏิบัติตาม เพราะนอกจากตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาอย่างมีคุณค่าแล้วยังแฝงคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติไว้อย่างมากมายมหาศาล.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=486&contentID=132029
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...