อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ชีวิตลิขิตได้ด้วยตนเอง

<< < (6/7) > >>

lek:
ลิขิตชีวิตสู่ความสำเร็จได้ ต้องมี พลัง 5
1. ศรัทธา
2. วิริยะ
3. สติ
4. สมาธิ
5. ปัญญา

คนเราทุกๆคน ต่างมีการงานที่จะต้องทำเพื่อ
ให้เกิดความสำเร็จ ถ้าจะมีคำถามว่า จะใช้ธรรม
หมวดไหนของพระพุทธเจ้า มาช่วยในการ
ทำการงานทุกอย่างให้สำเร็จ?

หากมีคำถามเช่นนี้ ก็อาจตอบได้ว่า ควรใช้พละ
คือธรรมที่เป็นกำลัง 5 อย่าง กล่าวคือ
คนที่จะทำงานทุกอย่างสำเร็จนั้น

ประการแรก       จะต้องมีศรัทธา ความเชื่อที่ตั้งมั่นในทางที่ดำเนิน
                       ตั้งแต่ขั้นแรก จนถึง ขั้นที่สุด ต้องมีความเชื่อ
                       ที่ตั้งมั่นในตนเอง ปราศจากความลังเลใจ

ประการที่สอง    จะต้องมีวิริยะ ความกล้าหาญที่จะทำ ไม่ย่อท้อ
                        ไม่อ่อนแอ ไม่ยอมให้มีจุดอ่อนในตน

ประการที่สาม     จะต้องมีสติ ความรอบคอบ ไม่ประมาท
                         ไม่มองข้ามแม้ในสิ่งเล็กๆน้อยๆ
                         ไม่ให้เส้นผมบังภูเขา ทั้งไม่ให้ภูเขาบังเส้นผม

ประการที่สี่          จะต้องมีสมาธิ ความตั้งใจอย่างมั่นคงในสิ่งที่จะทำนั้น
                          ไม่ทอดทิ้งธุระละทิ้งเสียกลางคัน

ประการที่ห้า         จะต้องมีปัญญา ความรู้ทั่วถึง สามารถใช้เป็น
                          เครื่องมือในการตรวจตรา พิจารณาให้ถ้วนทั่ว
                          ทั้งก่อนทำ ขณะกำลังทำ และภายหลังที่ทำแล้ว
                          ว่ามีผลเป็นประการใด

ศรัทธา กับ ปัญญา ต้องมีให้พอสมควรแก่กัน บางทีอาจจะมีศรัทธามากกว่า
เช่น เชื่อในทางที่อยากจะเชื่อ หรือที่ชอบจะเชื่อ ไม่พินิจให้ดีด้วยปัญญา
ก็จะกลายเป็นศรัทธาที่ขาดปัญญาไป เพราะความอยาก หรือความชอบนั้น
เป็นคนละอย่างกับปัญญา

หรือบางทีต่างต้องการแต่เหตุผลทางปัญญาเท่านั้น ไม่ยอมจะเชื่ออะไร
สำหรับที่จะเป็นที่พึ่งทำให้ใจมั่นคง ก็จะขาดกำลังที่สำคัญไป
เพราะสิ่งมองกันไม่เห็นคิดไปไม่รู้นั้น ยังมีอยู่อีกเป็นอันมาก ฉะนั้น
จะต้องให้ได้ทั้งเหตุผลทางปัญญา ทั้งความเชื่อที่ตั้งมั่น แม้ในสิ่งที่มองไม่เห็น

ส่วน ความเพียร กับ ความตั้งใจมั่น ก็ต้องให้มีพอสมควรแก่กัน
เพราะถ้าขาดความเพียรขวนขวายมากไป ก็จะทำให้ฟุ้งซ่าน
ขาดความมั่นคง ถ้าทำใจให้ตั้งมั่นมากไป ก็จะทำให้หยุดความเพียร
หรือทำให้ช้าไปกว่าที่ควร

ส่วนสติ ที่รอบคอบ จะต้องให้มีมากอยู่เสมอในทุกเรื่องทุกเวลา
ธรรมเหล่านี้ จะรวมกันเป็นกำลังสนับสนุนการทำงานทุกอย่าง
ให้สำเร็จ คนที่มีธรรม คือ คุณงามความดีที่ทำไว้มาก หากได้มี
พละ 5 นี้เพิ่มเข้าไปอีก ก็จะยิ่งส่งเสริมความสำเร็จให้ดีมากขึ้น
เพราะธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

เพียงมีศรัทธาในพระพุทธเจ้าผู้ตรัสพระธรรมบทนี้ไว้โดยมั่นคง
ก็เพียงพอสำหรับข้อศรัทธา และธรรมนี้เอง จะเป็นเครื่องป้องกัน
อุปสรรคศัตรูมิให้ทำลายล้างได้ จะรักษาส่งเสริมให้ดำรงอยู่
และมีความเจริญ ซึ่งผลนี้จะสำเร็จโดยไม่ชักช้าอย่างอัศจรรย์

lek:
ฝึกสร้างกำลังใจ เพื่อลิขิตชีวิตสู่ความสำเร็จ

กำลังใจ เป็นข้อสำคัญที่จะอุปการะให้เกิดความสำเร็จ
ในกิจที่จะทำทั้งปวง เหตุที่จะทำให้เสียกำลังใจนั้นมีมาก
แต่ในทางตรงกันข้าม เหตุที่จะทำให้เกิดกำลังใจก็มีมากเช่นกัน
จึงควรคิดค้นหาให้พบเหตุแห่งกำลังใจ ในที่นี้ จักแสดงไว้
เป็นแนวทางในการสร้างกำลังใจ 6 วิธี คือ

1. ฝึกปฏิบัติอบรมจิตใจ
ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ปฏิบัติอบรมจิตใจล้วนเป็นเหตุ
ให้เกิดกำลังใจเช่น ศรัทธา ความเชื่อในผู้อื่นที่ควรเชื่อ
และความเชื่อในตนเอง เมื่อมีความเชื่อทั้งสองอย่างนี้
ประกอบกันตามส่วน ก็เป็นกำลังใจสำคัญประการหนึ่ง

2. ความวางใจเป็นอุเบกขา ในนินทาและสรรเสริญ
คือไม่ถือเอาเสียงซุบซิบ หรือเซ็งแซ่ในทางต่างๆเป็นใหญ่
แต่ถือประโยชน์ของตนเป็นประมาณ ดำเนินทางรักษา
ประโยชน์ของตนไว้ ใครจะว่าอย่างไรไม่ถือเป็นสำคัญ
เพราะถ้าไปถือเป็นสำคัญเข้า ก็จะเสื่อมประโยชน์
จะทำให้ใจระทมย่อท้อ เพราะนินทา
จะให้ใจกำเริบเสิบสาน เพราะสรรเสริญ
นับว่าเป็นเหตุให้เสียกำลังใจด้วยกัน
วางใจให้เป็นอุเบกขาในเรื่องนี้ได้ จึงเป็นกำลังใจสำคัญประการหนึ่ง

3. ความเห็นทางออกด้วยปัญญา
ความเห็นทางออก หมายถึง สติปัญญาที่เหนือกว่า
เห็นทางออกจากข้อขัดข้องในทุกทาง ด้วยวิธี
ที่ไม่เป็นทุกข์ ความเห็นทางออกด้วยปัญญา
จึงเป็นกำลังใจประการหนึ่ง

4. ความปลงใจเชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม
ความปลงใจลงในกรรม และผลของกรรม โดยกำหนด
คิดว่าเป็นไปตามกรรมที่แต่ละคนได้ทำไว้
ตนเองก็มีกรรมเป็นของของตน ไม่ได้ทำไว้ในชาตินี้
ก็ควรเชื่อว่าได้ทำไว้ในอดีตชาติ ทุกคนจึงต้อง
เผชิญกับบุคคลหรือเหตุการณ์ต่างๆอยู่บ่อยๆที่ตนเอง
ไม่ชอบใจปรารถนา แต่ก็ต้องพบเผชิญอย่างหลีกเลี่ยง
ไม่พ้น เมื่อเป็นดังนี้ ก็ต้องยอมเผชิญ ถือว่าเป็นกรรม
และผลของกรรม จึงต้องปฏิบัติไปตามกรรมวิบาก คือ
ทำไปตามกระบวนเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยสติปัญญาอย่างเต็มที่
ไม่หลีกเลี่ยงย่อท้อ ความปลงใจลงในกรรมและผลของกรรม
จึงเป็นกำลังใจประการหนึ่ง

5. คิดให้เป็นเหมือนเรื่องที่ผ่านไปแล้ว
ความคิดให้เหมือนอดีต คือ ล่วงไปแล้ว เหตุการณ์ทั้งปวง
พร้อมทั้งอายุล่วงไปโดยลำดับ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ก็จักล่วงไปทั้งหมด จักมอดไปเหมือนเถ้าถ่านที่หมดไฟแล้ว
ฉะนั้น ในขณะเผชิญเรื่อง คิดว่าเหมือนกับเรื่องที่ล่วงไปแล้ว
จะทำให้จิตใจรู้สึกเป็นปกติ เพราะเท่ากับเห็นความดับสนิท
ความคิดให้เหมือนอดีต จึงเป็นกำลังใจประการหนึ่ง

6. ไม่ยอมแพ้ต่อปัญหา
ความไม่แพ้ต่อเหตุการณ์หรือปัญหา แม้จะรุนแรง
จิตใจเผชิญได้อย่างเยือกเย็น สุขุมรอบคอบ ไม่กลัว
แต่กล้าอย่างทหารหาญ
พระเจ้าอุเทน เมื่อถูกพระเจ้าจัณฑปัชโชตจับไปเป็นเชลย
ทรงถูกขู่ว่าจะถูกประหาร จึงตรัสว่า ทรงเป็นเชลยแต่ร่างกาย
แต่จิตใจไม่เป็นเชลย ราชศัตรูจึงเป็นใหญ่แต่ทางร่างกาย
ไม่เป็นใหญ่แห่งจิตใจ จะทำอะไรแก่ร่างกายก็ทำไปเถิด
ความมีใจหาญดังนี้ เป็นกำลังใจสำคัญประการหนึ่ง
รวมความว่า "คนฉลาด  ย่อมรู้วิธีเสริมกำลังแก่จิตใจ
คนโง่เท่านั้น ที่นอนเสียกำลังใจ ไม่รู้จะแก้ไขใจของตนอย่างไร"

lek:
มองคนอื่นกี่คน ก็สู้มองตนไม่ได้

อันเหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นแก่ชีวิต มีอยู่เป็นอันมาก
ที่บังเกิดขึ้นโดยไม่รู้ไม่คิดมาก่อน แต่เมื่อเป็น
เหตุการณ์ที่จะต้องเกิดก็เกิดขึ้นจนได้ ถ้าหาก
ใครมองดูเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างของเล่นๆ
ไม่จริงจัง ก็ไม่เกิดทุกข์เดือดร้อน หรือจะเกิดบ้าง
ก็เกิดอย่างเล่นๆ ถ้าจะหนีเหตุการณ์เสียบ้าง
ก็เหมือนอย่างหนีไปเที่ยวเล่น หรือไปพักผ่อน
เสียครั้งคราวหนึ่ง

คนเรานั้นเมื่อเห็นว่าที่ใดมีทุกข์ ก็จะต้องหนีไปให้พ้น
จากคนหรือเหตุการณ์ที่ก่อทุกข์ให้เกิดขึ้น ฉะนั้น
ถ้าแต่ละคนได้ระลึกถึงข้อนี้ ก็ควรจะไม่ประพฤติหรือ
กระทำการก่อทุกข์ให้แก่กัน ทั้งนี้ด้วยมีความสำนึกตน
และประพฤติตนให้อยู่ในขอบเขตที่สมควร

เรื่องว่า อะไรสมควร อะไรไม่สมควรนั้น ถ้าคนเรามีสติ
รู้จักตนตามเป็นจริง ไม่หลงตน ไม่ลำเอียงแล้ว ก็จะ
รู้ได้โดยไม่ยาก บางทีหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกตนเองหาได้ไม่

การมองดูคนอื่นนั้น สู้มองดูตนเองไม่ได้ เพราะตนเองต้อง
รับผิดชอบต่อตนเองโดยตรง ส่วนคนอื่นเขาก็ต้องรับผิดชอบ
ต่อตัวเขาเอง เรื่องความรับผิดชอบนี้ บางทีก็นึกไปไม่ออก
ว่าได้ทำอะไรไว้ จึงต้องรับผิดชอบเช่นนี้ เช่น ต้องรับเหตุการณ์
ต่างๆ ที่เกิ่ดขึ้นแก่ชีวิต

ในฐานะเช่นนี้ ผู้เป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า ย่อมใช้ศรัทธา
ความเชื่อในกรรม และผลของกรรม ทำกรรมที่ผิดไว้ ก็ต้อง
รับผิดต่างๆ ทำกรรมที่ชอบไว้ ก็ต้องรับชอบต่างๆ จะเลือก
เอาอย่างใดอย่างหนึ่งหาได้ไม่

เมื่อยอมรับกรรมเสียได้ดังนี้ ก็จะมีความกล้าหาญ
เป็นอะไรก็เป็นกัน ไม่กลัวต่อเหตุการณ์ต่างๆ และ
เมื่อเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นจะแก้อย่างไร ศิษย์ของ
พระพุทธเจ้าย่อมแก้ด้วยสติและปัญญา เพื่อให้เป็น
ผู้ชนะด้วยความดี

lek:
ทำตัวเองให้พึ่งตัวเองได้=ดีไซน์ชีวิตตนให้งามได้

ถ้ามีปัญหาว่า พระพุทธศาสนาให้พึ่งใคร พึ่งตนเอง
หรือพึ่งผู้อื่น คำถามนี้อาจตอบได้ว่า

ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสังคม สอนให้เกื้อกูลกันและกัน
สอนให้เป็นมิตรกันและกัน ไม่ให้เป็นศัตรูกัน เพราะ
คนที่อยู่ร่วมกันจำต้องพึ่งพาอาศัยกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม เช่น คนจนต้องอาศัยกำลังทรัพย์
ของคนมี ส่วนคนมีต้องอาศัยกำลังแรงงานของคนจน
คนโง่ต้องอาศัยปัญญาของคนฉลาด ส่วนคนฉลาดต้อง
อาศัยกำลังกายของคนโง่ ชาวนาต้องอาศัยได้ผลไม้ของ
ชาวสวน ส่วนชาวสวนก็ต้องอาศัยข้าวของชาวนา

แต่ทุกๆคน จะมุ่งอาศัยแต่ฝ่ายเดียวหาได้ไม่ ตนเองจะต้อง
ทำตนให้เป็นที่พึ่งอาศัยของคนอื่นได้ด้วย คนที่จะทำตน
เช่นนั้นได้ ก็จะต้องทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนเองได้ก่อน
เช่น คนหนึ่งหกล้ม อีกคนหนึ่งจะช่วยอุ้มขึ้นมา คนที่จะช่วย
นั้นต้องยืนตั้งหลักของตนเองให้ดีก่อน จึงจะก้มลงไปอุ้ม
คนที่ล้มขึ้นมาได้ โดยที่ตนเองไม่หกล้มไปด้วย ไม่เช่นนั้น
ก็จะหกล้มไปด้วยกันทั้งคู่ ฉะนั้น ทุกๆคนจึงต้องทำตนให้เป็น
ที่พึ่งของตนได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนว่า
"ตนแล เป็นที่พึ่งของตน" ทั้งควรจะทราบด้วยว่า
อันคนที่มีตนเป็นที่พึ่งของตนได้นั้น จะต้องมีสิ่งที่จะเป็นที่พึ่ง
อยู่ในตนหรือเป็นของตน  เช่น มีวิชา มีการงาน มีทรัพย์ มียศ
ตลอดถึงมีคุณงามความดีเป็นที่นับถือ จะต้องมีเพียงพอที่จะ
เลี้ยงตน อุดหนุนตนให้มีความสุข ความเจริญ ที่จะป้องกันตน
ให้พ้นอันตราย





พึ่งพาผู้อื่นเพื่อให้ตนพึ่งพาตนเองได้ และเกื้อกูลกันและกัน

การแสวงหาวิชา และทรัพย์เป็นต้นนั้น ตลอดถึงการผูกมิตรกับ
ผู้ที่ควรเป็นมิตรทั้งหลายเพื่อผลดังกล่าว หาชื่อว่าเป็นการ
พึ่งผู้อื่นไม่ แต่เป็นการสร้างตนเองให้พร้อมที่จะให้เป็นที่พึ่ง
ของตนเองได้นั่นเอง

เหมือนอย่างผู้นับถือพระพุทธศาสนาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม
พระสงฆ์ เป็นสรณะ คือ ที่พึ่ง หรือพูดง่ายๆว่า พึ่งพระรัตนตรัย
ก็เพื่อทำตนเองให้มีที่พึ่งที่จะสร้างตนเองให้เป็นที่พึ่งของตนได้
หรือเหมือนอย่างบุตรธิดาพึ่งมารดาบิดา ศิษย์พึ่งครู ก็เพื่อที่จะ
สร้างตนเองให้ใหญ่กล้า สามารถที่จะเป็นที่พึ่งของตนเองต่อไป

การสร้างตนเองให้เป็นที่พึ่งของตนเองได้ ทั้งในทางสามารถ
ป้องกันอันตรายและในการดำรงตนให้เจริญ จึงเป็นหลักสำคัญ
และในขณะเดียวกัน ก็ยังต้องมีการพึ่งพาอาศัยกันอยู่ในสังคมโลก
คนเราต้องอยู่ในสังคมใดสังคมหนึ่งในโลก ตามระบอบธรรมนับถือ
เช่น คนที่นับถือธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เข้าสังคมแห่งพุทธศาสนิกชน

พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ในที่หนึ่งความว่า "ท่านทั้งหลาย จงมีตน
เป็นเกาะ เป็นที่พึ่ง จงมีธรรม เป็นเกาะ เป็นที่พึ่ง" ถือเอาความว่า
อันผู้มีตนเป็นที่พึ่งได้ ก็คือคนที่มีธรรมเป็นที่พึ่ง เช่น ธรรมเป็นที่พึ่ง
10 ประการ ภาษาธรรมเรียกว่า นาถกรณธรรม แปลว่า ธรรมสำหรับทำที่พึ่ง
หมายถึง คุณงามความดีในทุกระดับซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยตนเอง
นั่นแหละเป็นผู้สร้างขึ้น มี 10 อย่าง  คือ
1.  ศีล รักษาความเป็นปกติกายวาจา,
2.  พาหุสัจจะ ศึกษาความรู้ให้มากไว้,
3.  กัลยาณมิตตตา เข้าใจคบคนดีเป็นมิตรสหาย,
4.  โสวจัสสตา เป็นคนว่านอนสอนง่าย,
5.  กิกรณีเยสุ ทักขตา ขยันเอาใจใส่ในกิจของหมู่คณะ,
6.  ธัมมกามตา มีฉันทะในการประพฤติธรรม,
7.  วิริยารัมภะ ดำริทำความเพียรเต็มที่,
8.  สันโดษ ยินดีในสิ่งที่ตนมีตนได้,
9.  สติ นึกขึ้นได้ก่อนทำพูด คิด,
10. ปัญญญา เข้าใจชีวิตตามเป็นจริง

พระพุทธศาสนาจึงเป็นคำสอนที่บริสุทธิ์
เพื่อความประพฤติที่บริสุทธิ์ของทุกคน
ไม่ใช่สำหรับใครยกไปอ้าง เพื่อเหตุผลอย่างอื่น
ทางอื่น

lek:
สร้างประโยชน์สุขส่วนตัวและสังคม=ลิขิตตนให้มีคุณค่าน่าคบหา

การก่อร่างสร้างตนให้มีความเจริญความสุขในโลก เป็นที่ปรารถนา
ของคนทุกชาติทุกภาษา แต่อาจมีแนวทางต่างกัน ในเรื่องนี้
ถ้ามีปัญหาว่า พระพุทธศาสนาสอนอย่างไร? ก็ตอบได้ว่า พระพุทธ
ศาสนาสอนคฤหัสถ์สร้างตนให้มีความสุขความเจริญ ทั้งทาง
วัตถุและจิตใจ ทั้งในส่วนตัวและสังคม

ทางวัตถุ สอนให้ปฏิบัติในประโยชน์ปัจจุบัน คือ มีความเพียรเล่าเรียน
และทำงานหาทรัพย์ เป็นต้น

ทางจิตใจ สอนให้ปฏิบัติในประโยชน์ภายหน้า คือ มีความเชื่อที่ถูกต้อง
มีความประพฤติดี มีความเผื่อแผ่ และมีปัญญารู้จักผิดชอบชั่วดี

ทางสังคม สอนให้ปฏิบัติชอบต่อกัน ในระหว่างมารดาบิดากับบุตรธิดาเป็นต้น
เช่นสอนว่า ท่านเลี้ยงมาแล้ว เลี้ยงท่านตอบแทน

การสร้างตนทางวัตถุตามหลักประโยชน์ในปัจจุบันที่เห็นผลทางตา
ภาษาธรรมเรียกว่า ทิฏฐธัมมีกัตถประโยชน์ คือ ขยันหาเอาเข้าไว้,
ใส่ใจดูแลรักษา, คบหาแต่เพื่อนดี, มีชีวิตพอเพียง เรียกอีกอย่างว่า
คาถาหัวใจเศรษฐี

การสร้างตนทางจิตใจตามหลักประโยชน์ภายหน้า ภาษาธรรม
เรียกว่า สัมปรายิกัตถประโยชน์ คือ มีศรัทธาความเชื่อที่ถูกต้อง,
ดำเนินชีวิตในคลองศีลธรรม, เป็นผู้นำในการเสียสละ,
ไม่ละการหาความรู้

การสร้างตนเพื่อประโยชน์สุขทางสังคม มีหลายหัวข้อธรรม เช่น
หลักการครองใจผู้อื่น ภาษาธรรมเรียกว่า สังคหวัตถุ คือ
เอื้อเฟื้อแบ่งปัน, อ่อนหวานเจรจา, สรรหาประโยชน์ให้,
คบง่ายไม่ถือตัว เป็นต้น





ชนะใจตนและคนอื่นด้วยการให้

พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า "พึงชนะคนตระหนี่ หรือความตระหนี่
ด้วยการให้" นี้เป็นวิธีเอาชนะวิธีหนึ่ง ใครเป็นคนมีความตระหนี่
และความโลภ ก็คือตัวเราเอง หรือคนอื่นก็ได้

ถ้าเป็นตัวเราเอง ก็จะต้องเอาชนะด้วยการให้ พยายามทำให้
ตัวเราเองเป็นผู้ให้

ถ้าเป็นคนอื่น ก็อาจเอาชนะเขาด้วยการให้ เช่น ให้สิ่งที่เขาต้องการ
เขาก็พอใจ แล้วเขาก็จะให้สิ่งที่เราต้องการ บางทีก็ซื้อเขาได้ด้วย
การให้ทรัพย์ ผู้มีจิตใจสูงบางคนให้ยิ่งกว่าเขาขอ เป็นทางอย่างสูง
ทำให้เป็นที่พิศวงแก่คนอื่น ว่าทำไมจึงให้ได้






รู้เหตุ ก็รู้ผล ย่อมประมาณการณ์ล่วงหน้าได้

อันเรื่องของชีวิต บางคราวก็ดูเป็นเพียงของเปิดเผยง่ายๆ
บางคราวก็ดูลึกลับ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่ชีวิต
บางอย่างก็เกิดตามที่คนต้องการให้เกิด บางอย่างก็เกิดขึ้น
โดยคนมิได้เจตนาให้เกิด แต่ผลทุกๆอย่างย่อมมีเหตุ
ถ้าได้รู้เหตุก็เป็นของเปิดเผย

ส่วนที่ว่าลึกลับก็เพราะไม่รู้เหตุ จู่ๆก็เกิดผลขึ้นเสียแล้ว เช่น
ไม่ได้คิดว่าพรุ่งนี้จะไปข้างไหน ครั้นถึงวันพรุ่งนี้เข้า 
ก็ต้องไปด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบัดเดี๋ยวนั้น

ว่าถึงคนทั่วไปแล้ว วเรื่องของพรุ่งนี้เป็นเรื่องลึกลับ เพราะ
ต่างก็ไม่รู้พรุ่งนี้ของตนเองจริงๆ ถึงวันนี้เองก็รู้อยู่เฉพาะปัจจุบัน
คือเดี๋ยวนี้ แต่อนาคตหารู้ได้ไม่ว่า ต่อไปแม้ในวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
 

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version