มรณสติ.. ในบ้าน
(ในความหมายของหลายพระอริยสงฆ์)ในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า การทำใจให้สงบได้
ในวาระสุดท้ายจะทำให้ผู้ตายไปสู่สุคติ
"ฉะนั้นการฝึกทำใจให้สงบไว้เสียก่อนล่วงหน้า จึงช่วยให้เราไม่ตื่นตระหนก
และหวั่นไหวในยามที่ความตายใกล้มาถึง"หลวงปู่บุดดา ถาวโร"...หัดตายก่อนตาย จะได้ปล่อยใจจากสิ่งทั้งหลาย ก่อนที่จะ
ถูกความตายบังคับให้ปล่อย"
พระสุพรหมยานเถร"...อันกาลเวลาวันคืนยาม ย่อมมีปกติหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป
ไม่มีเวลาหยุดยั้ง ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็ย่อม
หมดไปสิ้นตามกาลเวลา มนุษย์ของเราทั้งหลายเกิดมาในโลกนี้
ย่อมมีชรา ความเฒ่าความแก่ ขับไล่ไปอย่างเงียบๆ ไม่มีเวลาหยุดยั้ง
ในที่สุดก็แตกสลายเข้าไปสู่อำนาจแห่งความตาย
จะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ จะเป็นผู้ร้ายหรือผู้ดี จะเป็นผู้มั้งมีศรีสุข
หรือเป็นคนทุกข์อับจนอย่างไรก็ตาม เมื่อถึงคราวตายด้วยกันทั้งนั้น
ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงหรือต่อสู้ด้วยประการใดและด้วยวิธีใดๆ..."
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ"...ความเกิดมีแล้ว ความแก่ ความตายมันก็มีอยู่ ไม่มีใครพ้นตาย
เกิดก็เต็มแผ่นดิน ตายก็เต็มแผ่นดินอยู่
เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอยู่นี้แหละ ความตายเต็มแผ่นดินอยู่
เป็นเป็ด ไก่ หมู หมา เขาก็ตาย มนุษย์ชายหญิงก็ตาย
ใครล่ะ เกิดมาแล้วไม่ตาย..."
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร"...ถ้าผู้ใดหมดวัน หมดคืน หมดเดือน หมดปี หมดอายุไป
โดยที่ไม่ได้นึกถึงความตายที่จะมาถึงตน นั่นแหละเป็นความประมาท
คือเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองจะอายุยืนยาวคราวไกล
เหมือนกับว่าอายุมันพันปีหมื่นปี แท้จริงอายุมันน้อยนิดเดียว
ประเดี๋ยวเดียวก็แก่ชราไป ประเดี๋ยวเดียวก็เจ็บป่วย
ประเดี๋ยวเดียวก็ตาย..."
หลวงปู่เทสก์ เทส์รังสี"...แท้ที่จริงความตายนั้นไม่เท่าไรหรอก ก่อนที่จะตายนั่นซีมันสำคัญ
จะตั้งจิตรักษาจิต
ด้วยอาการอย่างไรให้มั่นคง ที่จะไม่ให้หวั่นไหว อันตรงนั้นมันสำคัญที่สุด..."
หลวงพ่อผาง จิตตคุตโต"...กายก็จริงตามสภาพของร่างกาย เวทนาก็จริงตามสภาพของเวทนา
จิตก็จริงตามสภาพของจิต
ต่างอันต่างจริงแล้ว ไม่กระทบกระเทือนกัน
แม้ความตายก็เป็นสัจธรรมความจริงอันหนึ่ง จะตื่นให้กิเลสหัวเราะทำไม..."
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม"...ให้พิจารณาความตาย นั่นคือการเจริญมรณานุสติ ให้พิจารณาว่า
นั่งก็ตาย นอนก็ตาย ยืนก็ตาย เดินก็ตาย..."
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ"...คนเราเกิดมา ที่ชื่อว่ามีกาย ก็โดยความเป็นสมมติบัญญัติ เราขอยืมกาย
มาจากมัจจุราช แล้วก็ต้องคืนให้แก่มัจจุราชในที่สุด
เปรียบเสมือนหนึ่ง เราได้ขอยืมเงินของเขามาใช้เพื่อทำเป็นทุน
เราได้ใช้ผลประโยชน์จากดอกและผลของเงินนั้น และส่วนที่เป็นต้น
ก็ต้องคืนแก่เจ้าของไป
ตามกำหนด แต่คนเราทุกวันนี้
มิได้คิดถึงความจริงดังกล่าว
กลับไปยึดถือ เอาว่า ร่างกาย
เป็นของตัวของตน ดังนั้น เมื่อถูกใครเขาด่าเขาว่าเอา
ก็หลงโกรธไปต่างๆ นานา ทั้งยังหลงมีความเศร้าโศกเสียใจ
และมีอารมณ์เป็นไปต่างๆ
เพราะเหตุที่ได้ยึดถือเอากายนี้ ว่าเป็นตัวเป็นตนนั่นเอง..."
หลวงพ่อชา สุภัทโท"...สังขารทั้งปวง จิตและร่างกายล้วนเป็นของไม่เที่ยง จงเฝ้าดู
แต่อย่ายึดมั่นถือมั่น
มนุษย์ สัตว์ทั้งหลายนั้นมักเข้าใจว่า การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นเรา
เราก็เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านั้น.."
ที่มา..
สุดยอดธรรมะ (ฉบับ พินัยกรรม 2)Credit by :
http://agaligohome.com/index.php?topic=575.0นำมาแบ่งปันโดย : miracle of lovePics by :
Googleอกาลิโกโฮม *
สุขใจดอทคอมใต้ร่มธรรมดอทเน็ทอนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ