ผู้เขียน หัวข้อ: ภาพวาดพุทธประวัติ โดย อ.คำนวน ชานันโท สุดยอด พุทธจิตรกร  (อ่าน 42036 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด




buddha021 พระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรดชฎิล 3 พี่น้อง

ครั้นพระพุทธเจ้า ทรงส่งพระสาวกเหล่าภัททวัคคีย์ ไปประกาศพระศาสนาแล้ว ก็เสด็จตรงไปยังอุรุเวลาเสนานิคม ซึ่งตั้งอยู่ในเขตกรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของอุรุเวลกัสสปะ อาจารย์ใหญ่ของชฎิล 500 คน
กรุงราชคฤห์นั้น เป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธ ซึ่งเป็นมหาประเทศ พระเจ้าพิมพิสารมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ปกครองโดยสิทธิขาด เป็นเมืองที่คับคั่งด้วยผู้คน เจริญวิทยาความรู้ ตลอดการค้าขาย เป็นที่รวมอยู่แห่งบรรดาคณาจารย์ เจ้าลัทธิมากมายในสมัยนั้น

ในบรรดาคณาจารย์ใหญ่ ๆ นั้น ท่านอุรุเวลกัสสปะ เป็นคณาจารย์ใหญ่ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนเป็นอันมาก ท่านอุรุเวลกัสสปะ เป็นนักบวชจำพวกชฎิล ท่านมีพี่น้องด้วยกัน 3 คน ออกบวชจากตระกูลกัสสปะโคตร
ท่านอุรุเวลกัสสปะ เป็นพี่ชายใหญ่ มีชฎิล 500 คนเป็นบริวาร ตั้งอาศรมสถานที่พนาสณฑ์ ตำบลอุรุเวลา ต้นแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลหนึ่ง จึงได้นามว่า อุรุเวลกัสสปะ น้องคนกลาง มีชฎิลบริวาร 300 คน ตั้งอาศรมอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ถัดเข้าไปอีกตำบลหนึ่ง จึงได้นามว่า นทีกัสสปะ ส่วนน้องคนเล็ก มีชฎิลบริวาร 200 ตั้งอาศรมอยู่คุ้งใต้แม่น้ำเนรัญชรานั้น ตำบลหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า ตำบลคยาสีสะประเทศ จึงได้นามว่า คยากัสสปะ ชฎิลคณะนี้ทั้งหมด มีทิฏฐิหนักในการบูชาไฟ

พระพุทธเจ้าเสด็จไปถึงอาศรมของ ท่านอุรุเวลกัสสปะ ในเวลาเย็น จึงเสด็จตรงไปพบอุรุเวลกัสสปะทันที ทรงรับสั่งขอพักแรมด้วยสักหนึ่งคืน อุรุเวลสสปะรังเกียจทำอิดเอื้อน ไม่พอใจให้พัก เพราะเห็นพระพุทธเจ้า เป็นนักบวชต่างจากลัทธิของตน พูดบ่ายเบี่ยงว่า ไม่มีที่ให้พัก
ครั้นพระพุทธเจ้าตรัสขอพักที่โรงไฟ ซึ่งเป็นสถานที่บูชาไฟของชฎิล ด้วยเป็นที่ว่าง ไม่มีชฏิลอยู่อาศัย ทั้งเป็นที่อยู่ของนาคราชดุร้ายด้วย อุรุเวลกัสสปะได้ทูล ว่า พระองค์อย่าพอใจพักที่โรงไฟเลย เพราะเป็นที่อยู่ของพระยานาค ที่มีพิษร้ายแรง ทั้งดุร้ายที่สุด อาศัยอยู่ จะได้รับอันตรายจากนาคราชนั้น ให้ถึงอันตรายแก่ชีวิต
เมื่อพระพุทธเจ้ารับสั่งยืนยันว่า นาคราชนั้นจะไม่เบียดเบียนพระองค์เลย ถ้าท่านอุรุเวลกัสสปะ อนุญาตให้เข้าอยู่ ท่านอุรุเวลกัสสปะ จึงได้อนุญาตให้เข้าไปพักแรม

หลังจากนั้น พระพุทธเจ้า ก็เสด็จเข้าไปยังโรงไฟนั้น ประทับนั่งดำรงพระสติ ต่อพระกัมมัฏฐานภาวนา ฝ่ายพระยานาค เห็นพระพุทธเจ้า เสด็จเข้ามาประทับในที่นั้น ก็มีจิตคิดขึ้งเคียด จึงพ่นพิษตลบไป
ในลำดับนั้น พระพุทธเจ้าก็ทรงดำริว่า ควรที่เราจะแสดงอิทธานุภาพ ให้เป็นควันไปสัมผัสเนื้อหนังมังสา และเอ็นกระดูกแห่งพระยานาคนี้ ระงับเดชพระยานาคให้เหือดหาย แล้วทรงแสดงอภินิหารดังพระดำรินั้น
พระยานาคไม่อาจอดกลั้นความโกรธได้ ก็บังหวนพ่นพิษเป็นเพลิงพลุ่งโพลงขึ้น พระพุทธเจ้าก็สำแดงเตโชกสิณ บันดาลเปลวเพลิงรุ่งโรจน์โชติช่วง และเพลิงทั้ง 2 ฝ่ายก็บังเกิดขึ้นแสง แดงสว่าง ดุจเผาผลาญซึ่งโรงไฟให้เป็นเถ้าธุลี

ส่วนชฎิลทั้งหลาย ก็แวดล้อมรอบโรงไฟนั้น ต่างเจรจากันว่า พระสมณะนี้ มีสิริรูปงามยิ่งนัก เสียดายที่ท่านมาวอดวายเสีย ด้วยพิษแห่งพระยานาคในที่นั้น
ครั้นรุ่งเช้า พระพุทธเจ้า ก็กำจัดฤทธิ์เดชพระยานาคให้หมดไป บันดาลให้พระยานาคนั้น ขดกายลงในบาตร แล้วทรงสำแดงแก่อุรุเวลกัสสปะ ตรัสบอกว่า พระยานาคนี้สิ้นฤทธิ์เดชแล้ว
อุรุเวลกัสสปะเห็นดังนั้น ก็ดำริว่า พระสมณะนี้มี อานุภาพมาก ทำให้พระยานาคพ่ายแพ้ไปได้ แต่ว่าก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราเลย มีจิตเลื่อมใสในอิทธิปาฏิหาริย์ จึงกล่าวว่า ข้าแต่สมณะ นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ ณ อาศรมของข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะถวายภัตตาหาร ให้ฉันทุกวันเป็นนิตย์

พระพุทธเจ้า ก็เสด็จประทับยังพนาสณฑ์ตำบลหนึ่ง ใกล้อาศรมแห่งอุรุเวลกัสสปะนั้น ครั้นตกกลางคืน ท้าวจาตุมหาราชทั้ง 4 ก็เสด็จลงมาหาพระพุทธเจ้า ถวายอภิวาท และประดิษฐานยืนอยู่ใน 4 ทิศ มีแสงสว่างดุจกองเพลิงก่อไว้ทั้ง 4 ทิศ
ครั้นเวลาเช้า อุรุเวลกัสสปะ จึงเข้าไปหาพระพุทธเจ้าทูลว่า นิมนต์พระสมณะ ไปฉันภัตตาหารเถิด ข้าพเจ้าตกแต่งไว้ถวายเสร็จแล้ว แต่เมื่อคืนนี้ เห็นมีแสงสว่างไปทั่ว ใครมาสู่สำนักพระองค์ จึงปรากฏรุ่งเรืองในทิศทั้ง 4
พระพุทธเจ้าจึงตรัส บอกว่า ดูก่อน กัสสปะ นั้นคือ ท้าวจาตุมหาราชทั้ง 4 ลงมาสู่สำนักตถาคตเพื่อฟังธรรม
อุรุเวลกัสสปะได้สดับดังนั้น ก็ดำริว่า พระมหาสมณะองค์นี้ มีอานุภาพมาก ท้าวจาตุมหาราชยังลงมาสู่สำนัก ถึงกระนั้น ก็ยังมิได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา

พระพุทธเจ้า เสด็จมากระทำภัตตกิจ เสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว ก็เสด็จกลับมาสู่ที่พักในตอนกลางวัน
ตกกลางคืน ท้าวสหัสสนัย ก็ลงมาสู่สำนักพระพุทธเจ้า ถวายนมัสการ แล้วยืนอยู่ที่ควรข้างหนึ่ง เปล่งรัศมีสว่าง ดุจกองไฟใหญ่ สว่างยิ่งกว่าคืนก่อน
ครั้นเพลารุ่งเช้า อุรุเวลกัสสปะ ก็ไปหาพระพุทธเจ้า ทูลอาราธนาให้ฉันภัตตาหาร แล้วทูลถามว่า เมื่อคืนนี้ มีผู้ใดมาสู่สำนักพระองค์ จึงมีรัศมีสว่างยิ่งกว่าราตรีก่อน ตรัสบอกว่า ดูก่อน กัสสปะ เมื่อคืนนี้ท้าวสักกะ ลงมาสู่สำนักตถาคต เพื่อจะฟังธรรม
อุรุเวลกัสสปะได้ฟังดังนั้น ก็คิดเห็นเป็นอัศจรรย์ เหมือนครั้งก่อน
พระพุทธเจ้าเสด็จไปเสวยภัตตาหาร แล้วกลับมาอยู่ที่พักในเวลากลางวัน

ตกกลางคืน ท้าวสหัมบดีพรหม ก็ส่งมาสู่สำนักพระบรมศาสดา เปล่งแสงสว่างยิ่งขึ้นไปกว่า 2 คืนก่อนอีก
ครั้นรุ่งเช้าอุรุเวลกัสสปะ ก็ไปทูลอาราธนาฉันภัตตาหาร แล้วทูลถามอีก ตรัสตอบว่า คืนนี้ท้าวสหัมบดีพรหม ลงมาสู่สำนักตถาคต อุรุเวลกัสสปะ ก็ดำริดุจนัยก่อน พระพุทธเจ้าเสด็จไปเสวยภัตตาหาร แล้วก็กลับมาสู่สำนัก
ในวันรุ่งขึ้น มหายัญญลาภ บังเกิดขึ้นแก่อุรุเวลกัสสปะ คือชนชาวอังครัฐทั้งหลาย จะนำเอาข้าวปลาอาหารเป็นอันมาก มาถวายแก่อุรุเวลกัสสปะ จึงดำริแต่ในราตรีว่า รุ่งขึ้นพรุ่งนี้ มหาชนจะนำเอาข้าวปลาอาหารมาให้เรา หากพระสมณะรูปนี้ สำแดงอิทธิปาฏิหาริย์ ลาภสักการะ ก็จะบังเกิดแก่ท่านเป็นอันมาก เราจักเสื่อมสูญจากการสักการะบูชา ทำอย่างไร วันพรุ่งนี้ท่านจะไม่มาที่นี้ได้

พระพุทธเจ้าทรงทราบความคิดของ อุรุเวลกัสสปะ ด้วยเจโตปริยญาณ ครั้นรุ่งเช้า พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปสู่อุตตรกุรุทวีป ทรงบิณฑบาตรได้ภัตตาหารแล้ว ก็เสด็จมากระทำภัตตกิจยังฝั่งอโนดาต แล้วทรงไปพักในที่นั้น
ตกเย็น พระพุทธเจ้าจึงเสด็จมาที่พักเดิม ครั้นรุ่งเช้า อุรุเวลกัสสปะ ไปทูลอาราธนาเสวยภัตตาหาร และทูลถามว่า
“เมื่อวานนี้ ท่านไปแสวงหาอาหารในที่ใด ไฉนไม่ไปสู่สำนักข้าพเจ้า ข้าพเจ้าระลึกถึงพระองค์อยู่”
พระพุทธเจ้าจึงตรัสถึง ความวิตกของอุรุเวลกัสสปะ นั้นให้แจ้งทุกประการ อุรุเวลกัสสปะได้ฟัง ตกใจคิดว่า พระมหาสมณะนี้ มีอานุภาพมากแท้ ท่านล่วงรู้จิตเราได้ขนาดนี้ แต่ยังไงเสีย ท่านก็ยังไม่เป็น พระอรหันต์ เหมือนเราอยู่ดี

ในกาลนั้น ผ้าบังสุกุลจีวรบังเกิดแก่พระพุทธเจ้า พระองค์เสด็จไปซักผ้าบังสุกุล ซึ่งห่อศพนางปุณณทาสี ที่ทอดทิ้งอยู่ในอามกสุสานะป่าช้าผีดิบ เมื่อพระพุทธเจ้า เป็นกษัตริย์ชาติตระกูลสูง ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ เป็นโมลีของโลกเห็นปานนี้แล้ว ยังทรงลดพระองค์ลงมาซักผ้าขาว ที่ห่อศพนางปุณณทาสี ที่ทอดทิ้งอยู่ในป่าช้า เพื่อทรงใช้เป็นผ้าจีวรทรงเช่นนี้ เป็นกรณีที่สุดวิสัย ของเทวดาและมนุษย์ ซึ่งอยู่ในสถานะเช่นนั้นจะทำได้ ก็เกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้น เป็นเหตุอัศจรรย์ถึง 3 ครั้ง
ตลอดระยะทาง พระพุทธเจ้าทรงดำริว่า เราจะซักผ้าบังสุกุลนี้ในที่ใด? ขณะนั้น ท้าวสหัสสนัย ทรงทราบในพุทธปริวิตก จึงเสด็จลงมาขุดสระโบกขรณี ด้วยพระหัตถ์ในพื้นศิลา สำเร็จด้วยฤทธิ์ให้เต็มไปด้วยน้ำ
แล้วกราบทูลพระพุทธเจ้า ให้ทรงซักผ้าบังสุกุลในที่นั้น

ขณะที่พระพุทธเจ้าทรงซัก ก็ทรงดำริว่า จะทรงขยำในที่ใดดี ท้าวสหัสสนัย ก็นำเอาแผ่นศิลาใหญ่ เข้าไปถวาย ทรงขยำด้วยพระหัตถ์ จนหายกลิ่น 4 อสุภะ แล้วก็ทรงพระดำริว่า จะตากผ้าบังสุกุลจีวรในที่ใดดี ลำดับนั้นรุกขเทวดา ซึ่งสิงสถิตอยู่ ณ ไม้กุ่มบก ก็น้อมกิ่งไม้นั้นลงมา ถวายให้ทรงห้อยตากจีวร ครั้นทรงตากแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงดำริว่า จะแผ่พับผ้าในที่ใด ท้าวสหัสสนัยก็ยกแผ่นศิลาอันใหญ่ มาทูลถวายให้แผ่พับผ้ามหาบังสุกุลนั้น
เช้าวันต่อมา อุรุเวลกัสสปะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เห็นสระและแผ่นศิลาทั้งสอง ซึ่งมิได้มีในที่นั้นมาก่อน และกิ่งไม้กุ่มน้อมลงมาเช่นนั้น จึงทูลถามพระบรมศาสดา ตรัสบอกความทั้งปวงให้ทราบ เมื่ออุรุเวลกัสสปะได้ฟัง ก็สะดุ้งตกใจคิดว่า พระสมณะองค์นี้ มีเดชานุภาพมากยิ่งนัก แม้แต่ท้าวสหัสสนัย ยังลงมาทำการรับใช้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา

พระพุทธเจ้า เสด็จไปเสวยภัตตาหารแล้ว ก็กลับมาพักที่อาศัย ครั้นรุ่งขึ้นในวันต่อมา อุรุเวลกัสสปะ ไปทูลนิมนต์ฉันภัตตกิจ จึงตรัสว่า
“ท่านจงไปก่อนเถิด เราจะตามไปภายหลัง”
เมื่อส่งอุรุเวลกัสสปะไปแล้ว จึงเหาะไปนำเอาผลหว้าใหญ่ประจำทวีป ในป่าหิมพานต์มาแล้ว ก็เสด็จมาถึงโรงไฟ ก่อนอุรุเวลกัสสปะ ครั้นอุรุเวลกัสสปะมาถึง จึงทูลถามว่า พระองค์มาทางใด จึงถึงก่อน พระศาสดาจึงตรัสบอกแล้ว ตรัสว่า
“ดูก่อน กัสสปะ ผลหว้าประจำทวีปนี้ มีวรรณสันฐานสุคันธรสเอมโอช ถ้าท่านปรารถนาจะบริโภคก็เชิญตามปรารถนา”
อุรุเวลกัสสปะ ก็คิดเห็นเป็นอัศจรรย์เหมือนครั้งก่อน ครั้นพระพุทธเจ้า ทรงทำภัตตกิจเสร็จแล้ว ก็เสด็จกลับไปยังที่พัก
ในวันต่อมา พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำอิทธิปาฏิหาริย์เช่นนั้น อีก 4 ครั้ง คือ ทรงส่งอุรุเวลกัสสปะมาก่อนแล้ว เสด็จเหาะไปเก็บผลมะม่วงครั้งหนึ่ง เก็บผลมะขามป้อมครั้งหนึ่ง เก็บผลส้มในป่าหิมพานต์ครั้งหนึ่ง เสด็จขึ้นไปดาวดึงส์เทวโลก นำเอาผลไม้ปาริฉัตตกครั้งหนึ่ง เสด็จมาถึงก่อน คอยท่าอุรุเวลกัสสปะอยู่ที่โรงไฟ ให้ชฎิลเห็นเป็นอัศจรรย์ใจทุกครั้ง

วันหนึ่ง ชฎิลทั้งหลายปรารถนาจะก่อไฟ ก็มิอาจผ่าฟืนออกได้ จึงคิดว่าที่เป็นแบบนี้ เพราะฤทธิ์พระมหาสมณะทำโดยแท้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสถาม ครั้นทราบความแล้วก็ตรัสว่า ท่านจงผ่าฟืนตามปรารถนาเถิด ในทันใดนั้น ชฎิลก็ผ่าฟืนออกได้ตามประสงค์
วันหนึ่ง ชฎิลทั้ง 500 คน ปรารถนาจะบูชาไฟ ก่อไฟก็ไม่ติด จึงคิดปริวิตกเหมือนหนหลัง พระพุทธเจ้าตรัสถามทราบความแล้ว ก็ทรงอนุญาตให้ก่อไฟได้ ไฟก็ติดขึ้นทั้ง 500 กอง พร้อมกันในขณะเดียว ชฎิลทั้งหลายบูชาไฟสำเร็จแล้ว จะดับไฟ ๆ ก็ไม่ดับ จึงดำริดุจหนหลัง พระพุทธเจ้าตรัสถามทราบความแล้ว ก็ทรงอนุญาตให้ดับไฟ ๆ ก็ดับพร้อมกันถึง 500 กอง
วันหนึ่ง ในฤดูหนาว ชฎิลทั้งหลาย ลงอาบน้ำดำผุดขึ้นลง ในแม่น้ำเนรัญชรา พระพุทธเจ้า ผู้ทรงพระกรุณาแก่ชฎิล ทรงดำริว่า เมื่อชฎิลขึ้นจากน้ำแล้วจะหนาวมาก จึงทรงนิรมิตเชิงกราณประมาณ 500 อัน มีไฟติดทั้งสิ้นไว้ในที่นั้น ครั้นชฎิลทั้งหลายขึ้นจากน้ำหนาวจัดก็ชวนกันเข้าผิงไฟที่เชิงกราณ แล้วก็คิดสันนิษฐานว่า พระมหาสมณะ คงทรงเนรมิตไว้ให้เป็นแน่ น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

วันหนึ่ง มหาเมฆตั้งขึ้นมิใช่ฤดูกาล บันดาล ให้ฝนตกลงมาเป็นอันมาก กระแสน้ำเป็นห้วงใหญ่ ไหลท่วมไปในที่ทั้งปวงโดยรอบบริเวณนั้น ธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าเสด็จสถิตอยู่ ณ ประเทศใด แม้ที่นั้นน้ำท่วม ก็ทรงอธิษฐาน มิให้น้ำท่วมเข้าไปในที่นั้นได้ และในครั้งนั้นก็ทรงดำริว่า ตถาคตจะทำให้น้ำนั้นเป็นขอบสูงขึ้นไป ในทิศโดยรอบที่หว่างกลางนั้น จะมีพื้นภูมิภาคจะราบเรียบขึ้นปกติ ตถาคตจะจงกรมอยู่ในที่นั้น แล้วก็ทรงอธิษฐานบันดาล ให้เป็นดังพุทธดำรินั้น
ฝ่ายอุรุเวลกัสสปะนั้น คิดว่าพระมหาสมณะนี้ น้ำจะท่วมเธอหรือไม่ท่วมประการใด หรือจะหลีกไปสู่ที่อื่น จึงลงเรือพร้อมกับชฎิลทั้งหลาย รีบพายไปดูโดยด่วน ถึงที่ที่พระพุทธเจ้าทรงสถิต ก็เห็นน้ำสูงขึ้นเป็นกำแพงล้อมอยู่โดยรอบ แลเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จจงกรมอยู่ในพื้นภูมิภาคปราศจากน้ำ จึงส่งเสียงร้องเรียก
พระพุทธเจ้าขานรับว่า “กัสสปะ ตถาคตอยู่ที่นี่” แล้วก็เสด็จเหาะขึ้นไปบนอากาศ เลื่อนลอยลงสู่เรือของอุรุเวลกัสสปะ ทำให้อุรุเวลกัสสปะคิดว่า พระมหาสมณะนี้ มีอิทธิฤทธิเป็นอันมาก แต่ถึงมีอานุภาพมากอย่างนั้น ก็ยังไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา

แท้จริง ตั้งแต่พระพุทธเจ้า เสด็จจากป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในวันแรมค่ำหนึ่ง เดือน 12 มาประทับอยู่ที่อุรุเวลาเสนานิคม จนตราบเท่าถึงวันเพ็ญ เดือน 2 เป็นเวลาสองเดือน ทรงแสดงอิทธิปาฏิหารย์ ทรมานอุรุเวลกัสสปะ ด้วยประการต่าง ๆ อุรุเวลกัสสปะ ก็ยังมีสันดานกระด้าง ถือตนว่า เป็นพระอรหันต์ อยู่อย่างนั้น ด้วยทิฐิอันกล้ายิ่งนัก พระพุทธเจ้าจึงทรงดำริว่า เราจะทำให้ชฏิลสลดจิตคิดสังเวชตนเอง จึงมีพระวาจาตรัสแก่ อุรุเวลกัสสปะว่า

“กัสสปะ ท่านมิได้เป็นพระอรหันต์ อรหัตทั้งทางปฏิบัติของท่าน ก็ยังห่างไกล มิใช่ทางมรรคผลอันใด ไฉนเล่า ท่านจึงถือตนว่า เป็นพระอรหันต์ เท็จต่อตัวเอง ทั้ง ๆ ท่านเองก็รู้ตัวดีว่า ตัวยังมิได้บรรลุโมกขธรรมอันใด ยังลวงคนอื่นว่าเป็นพระอรหันต์อยู่อีก กัสสปะ ถึงเวลาอันควรแล้ว ที่ท่านจะสารภาพแก่ตัวเองว่า ท่านยังมิได้เป็นพระอรหันต์ ทั้งยังมิได้ปฏิบัติธรรม เพื่อเป็นพระอรหันต์ด้วย กัสสปะ แล้วท่านจะได้เป็นพระอรหันต์ เร็ว ๆ นี้แหละ”
เมื่ออุรุเวลกัสสปะ ได้ฟังพระโอวาทก็รู้สึกตัว ละอายแก่ใจ ซบเศียรลงแทบพระยุคลบาท แล้วกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอบรรพชาอุปสมบท ในสำนักพระองค์ ขอถึงพระองค์และพระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง”
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
“กัสสปะ ตัวท่านเป็นอาจารย์ยิ่งใหญ่ เป็นประธานแก่หมู่ชฎิล 500 คน ท่านจงชี้แจง ให้ชฎิลบริวารยินยอมพร้อมกันก่อน แล้วตถาคต จึงจะให้บรรพชาอุปสมบท

อุรุเวลกัสสปะ ก็กราบถวายบังคม ลามายังอาศรม แล้วก็บอกชฎิลอันเป็นศิษย์ ซึ่งชฏิลทั้งหลาย ก็ยินยอมพร้อมกันจะบรรพชา ในสำนักพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น แล้วชฎิลทั้งหลาย ก็ชวนกันลอยดาบสบริขาร และเครื่องตกแต่งผม ชฏา สาแหรก คาน เครื่องบูชาไฟ ทั้งน้ำเต้า หนังสือ ไม้สามง่าม ในแม่น้ำทั้งสิ้น แล้วก็พากันมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ถวายอภิวาทแทบพระยุคลบาท ทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระพุทธเจ้า ก็กรุณาโปรดประทานอุปสมบท ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาเสมอกัน
ครั้งนั้น ท่านนทีกัสสปะ ผู้เป็นน้องกลาง เห็นเครื่องบริขารทั้งปวงลอยน้ำมา ก็คิดว่า สงสัยอันตรายจะมีแก่ดาบสผู้พี่ชาย จึงใช้ให้ชฎิลสองสามคน อันเป็นศิษย์ไปสืบดู รู้เหตุแล้ว นทีกัสสปะ ก็พาดาบสทั้ง 300 อันเป็นศิษย์ มาสู่สำนักของท่านอุรุเวลกัสสปะ ถามเหตุนั้น ครั้นทราบความแล้ว นทีกัสสปะและบริวาร ก็เลื่อมใสชวนกัน ลอยเครื่องดาบสบริขาร ลงในแม่น้ำนั้น พากันเข้าถวายอัญชลีทูลขอบรรพชา พระพุทธเจ้าก็โปรดประทานอุปสมบท ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาด้วยกันทั้งสิ้น ดุจชฎิลพวกก่อนนั้น

ฝ่ายคยากัสสปะ ผู้เป็นน้องน้อย เห็นเครื่องดาบสบริขารของพี่ชาย ลอยน้ำลงมาจำได้ ก็คิดดุจนทีกัสสปะ ผู้เป็นพี่นั้น แล้วพาดาบสทั้ง 200 อันเป็นศิษย์ไปสู่สำนักพระอุรุเวลกัสสปะ ไต่ถามทราบความแล้วเลื่อมใส ชวนกันลอยเครื่องบริขาร ลงในแม่น้ำ แล้วก็เข้าทูลขอบรรพชาต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ก็โปรดประทานอุปสมบท ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาดังกล่าวแล้ว
พระพุทธเจ้า ทรงทรมานชฎิลทั้ง 3 พี่น้อง มีอุรุเวลกัสสปะ เป็นต้น กับทั้งชฎิลบริวาร 1,000 คน ให้สละเสียซึ่งทิฐิแห่งตน แล้วประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาทั้งสิ้น เสร็จแล้วก็ทรงพาพระภิกษุสงฆ์พวกนั้น ไปสู่คยาสีสะ ตรัสพระธรรมเทศนา อาทิตตปริยายสูตร โปรดภิกษุ 1,000 นั้น ให้บรรลุพระอรหันต์ด้วยกันทั้งสิ้น


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 26, 2012, 12:57:25 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



buddha022 พระเทวทัตทำสังฆเภท

พระเทวทัตปรารถนาจะเลี้ยงชีพด้วย โกหัญญกรรม คือ การหลอกลวงสืบไป เพื่อจะเเสดงว่า ตนเป็นผู้เคร่งครัด ได้เข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา ทูลขอวัตถุ 5 ประการ เพื่อให้พระพุทธเจ้าบัญญัติ ให้ภิกษุทั้งหลายปฎิบัติโดยเคร่งครัด คือ

1.) ให้อยู่ในเสนาสนะป่าเป็นวัตร
2.) ให้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร
3.) ให้ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร
4.) ให้อยู่โคนไม้เป็นวัตร
5.) ให้งดฉันมังสาหารเป็นวัตร

ในวัตถุทั้ง 5 ภิกษุรูปใด จะปฎิบัติข้อใด ให้ถือข้อนั้นโดยเคร่งครัด คือให้สมาทานเป็นวัตร ปฎิบัติโดยส่วนเดียว
แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต ตรัสว่า “ไม่ควร ควรให้ปฎิบัติได้ตามศรัทธา” ด้วยทรงเห็นว่า ยากแก่การปฎิบัติ เป็นการเกินพอดี ไม่เป็นทางสายกลางสำหรับบุคคลทั่วไป
พระเทวทัตโกรธแค้น ไม่สมประสงค์ กล่าวโทษพระพุทธเจ้า ประกาศว่า คำสอนของตนประเสริฐกว่า ทำให้ภิกษุที่บวชใหม่ มีปัญญาน้อย หลงเชื่อ ยอมทำตนเข้าเป็นสาวก

ครั้นพระเทวทัต ได้ภิกษุยอมเข้าเป็นพวกของตนแล้ว ก็พยายามทำสังฆเภท แยกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบ ก็โปรดให้หาพระเทวทัตมาเฝ้า รับสั่งถาม พระเทวทัตก็ทูลตามความสัตย์ จึงตรัสห้ามปรามว่า
“ดูก่อนเทวทัต ท่านอย่าพึงทำเช่นนั้น อันสังฆเภทนี้ เป็นครุกรรมใหญ่หลางนัก”
พระเทวทัตมิได้สนใจในพระดำรัส ไปจากที่นั้น พบพระอานนท์ ในกรุงราชคฤห์ ได้บอกความประสงค์ของตนว่า
“ท่านอานนท์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะเลิกจากพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเลิกจากหมู่สงฆ์ทั้งปวง ข้าพเจ้าจะทำอุโบสถสังฆกรรม เป็นการภายในเฉพาะพวกของเราเท่านั้น”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 04, 2011, 09:52:06 am โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



buddha023 ทรงปราบพราหมณ์เจ้าทิฏฐิ

พระผู้มีพระภาคประทับ ณ โคนไม้สะเดา ใกล้เมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่. เวรัญชพราหมณ์ได้ทราบกิตติศัพท์สรรเสริญ จึงเข้าไปเฝ้า แต่มิได้ถวายบังคม หลังจากทักทายปราศรัยแล้ว ก็ได้กล่าวว่า ได้ข่าวเขาพูดกันว่าพระสมณโคดมไม่ยอมไหว้หรือลุกขึ้นต้อนรับพราหมณ์ผู้สูงอายุ การที่พระสมณโคดมทำเช่นนั้น ย่อมไม่สมควร. พระพุทธเจ้าตรัสรับว่า พระองค์มิได้ไหว้พราหมณ์ผู้สูงอายุจริง. เวรัญชพราหมณ์จึงเกล่าววาจารุกรานด้วยถ้อยคำที่ถือกันในสมัยนั้นว่า เป็นคำดูหมิ่นเหยียดหยาม รวม ๘ ข้อ เช่น คำว่า พระสมณโคดมเป็นคนไม่มีรสชาติ, เป็นคนไม่มีสมบัติ, เป็นคนนำให้ฉิบหาย, เป็นคนเผาผลาญ เป็นต้น.

แต่พระผู้มีพระภาคทรงอธิบายคำเหยียดหยามนั้นไปในทางที่ดี เช่นว่า ใครจะว่าไม่มีรสชาติก็ถูก เพราะท่านไม่ติดรส คือรูป เสียง เป็นต้น. ใครจะว่าไม่มีสมบัติก็ถูก เพราะท่านไม่ติดสมบัติ คือรูป เสียง เป็นต้น. ใครจะว่านำให้ฉิบหายก็ถูก เพราะท่านแสดงธรรมทำให้บาป อกุศล ทุกอย่างให้ฉิบหาย. ใครจะว่าเป็นคนเผาผลาญก็ถูก เพราะท่านเผาผลาญบาป อกุศล อันเป็นที่ตั้งแห่งความเดือดร้อนทั้งหมด.

เมื่อตรัสตอบแก้คำดูหมิ่นเหยียดหยามของพราหมณ์ตกทุกข้อโดยไม่ต้องใช้วิธีด่าตอบ หากใช้วิธีอธิบายให้เป็นธรรมะสอนใจได้ดั่งนั้นแล้ว จึงตรัสอธิบายเหตุผลในการที่พระองค์ไม่ไหว้พราหมณ์ผู้สูงอายุ โดยเปรียบเทียบว่าลูกไก่ตัวไหนเจาะฟองไข่ออกมาได้ก่อน ลูกไก่ตัวนั้น ควรนับว่าแก่กว่าลูกไก่ตัวอื่น พระองค์เจาะฟองไข่คืออวิชชาก่อนผู้อื่น จึงถือได้ว่าเป็นผู้แก่กว่าผู้อื่น เวรัญชพราหมณ์ได้ฟังก็เลื่อมใส ประกาศตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต แล้วกราบทูลอาราธนาให้ทรงจำพรรษอยู่ในเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ พระองค์ทรงรับโดยดุษณีภาพ.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 04, 2011, 10:04:19 am โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



buddha024 ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์


ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ (โอวาทสำคัญ) โดยย่อคือ ไม่ทำชั่วทั้งปวง, ทำความดีให้พร้อม และทำจิตของตนให้ผ่องใส แก่พระอรหันต์สาวก 1,250 รูป ณ พระเวฬุวัน เมืองราชคฤห์

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



buddha025 ช้างกับลิง เป็นพุทธอุปัฏฐาก

ภาพที่เห็นนี้เป็นภาพเหตุการณ์ตอนหนึ่งในพระประวัติของพระพุทธเจ้า เป็นตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาในป่าโดยลำพังพระองค์ ไม่มีพระภิกษุหรือใครอื่นตามเสด็จไปจำพรรษาอยู่ด้วยเลย
ป่าที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาครั้งนี้เป็นป่าใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยของช้างโทนเชือกหนึ่ง ชื่อว่า 'ปาลิไลยกะ' หรือ 'ปาลิไลยก์' ป่าแห่งนี้จึงได้นามตามช้างนี้ว่า 'ป่าปาลิไลยก์' คนไทยเราเรียกว่า 'ป่าปาเลไล' อันเดียวกันนั่นเอง

มูลเหตุที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาที่ป่าแห่งนี้ เพราะทรงรำคาญพระภิกษุชาวเมืองโกสัมพีสองคณะพิพาทและแตกสามัคคีกัน ถึงกับไม่ยอมลงโบสถ์ร่วมกัน พระพุทธเจ้าทรงทราบเข้า ได้เสด็จมา
ทรงระงับให้ปรองดองกัน แต่พระภิษุทั้งสองคณะก็ไม่เชื่อฟัง พระพุทธเจ้าจึงเสด็จหลีกไปจำพรรษาอยู่ในดังกล่าว

ด้วยอำนาจพุทธบารมีและพระเมตตาของพระพุทธเจ้า ช้างชื่อปาลิไลยก์ได้เข้ามาอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า เช้าขึ้นหาผลไม้ในป่ามาถวาย ตอนเย็นต้มน้ำร้อนถวายพระพุทธเจ้าด้วยวิธีกลิ้งก้อนหินที่เผาไฟให้ร้อนลงในแอ่งน้ำ

ลิงตัวหนึ่งเห็นช้างปรนนิบัติถวายพระพุทธเจ้า ก็ได้นำรวงผึ้งมาถวายพระพุทธเจ้าบ้าง พระพุทธเจ้าทรงรับแต่ไม่ทรงฉัน ลิงจึงเข้าไปนำรวงผึ้งกลับมาพิจารณาดู เมื่อเห็นตัวอ่อนของผึ้ง จึงนำตัวอ่อนออกหมดแล้วนำแต่ผึ้งหวานเข้าไปถวายใหม่ คราวนี้พระพุทธเจ้าทรงรับแล้วฉัน ลิงแอบดูอยู่บนต้นไม้ เห็น
พระพุทธเจ้าทรงฉันรวงผึ้งของตน ก็ดีใจ กระโดดโลดเต้นบนกิ่งไม้ จนพลัดตกลงมาถูกตอไม้แหลมเสียบท้องทะลุตาย

เมื่อออกพรรษา พระภิกษุที่แตกกันเป็นสองฝ่ายยอมสามัคคีกัน เพราะชาวบ้านไม่ยอมทำบุญใส่บาตรให้ ได้ส่งผู้แทนไปกราบทูลพระพุทธเจ้าเสด็จกลับเข้าเมือง ช้างปาลิไลยก์อาลัยพระพุทธเจ้านักหนา
เดินตามพระพุทธเจ้าออกจากป่า ทำท่าจะตามเข้าไปในเมืองด้วย พระพุทธเจ้าจึงทรงหันไปตรัสบอกช้างว่า
"ปาลิไลยก์! ถิ่นของเธอหมดแค่นี้ แต่นี้ไปเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ ซึ่งเป็นภัยต่อสัตว์เดรัจฉานเช่นเธอ เธอไปด้วยไม่ได้หรอก"

ช้างปาลิไลยก์ยืนร้องไห้เสียใจไม่กล้าเดินตามพระพุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าลับสายตาก็เลยอกแตกตายอยู่ ณ ที่นั้น คัมภีร์บอกว่าทั้งลิงและช้างตายแล้วไปเกิดเป็นเทพบุตร

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



buddha026พระพิมพาพิลาปรำพันถึงพระพุทธองค์ เสด็จพุทธดำเนินไปโปรดถึงในปราสาท

ภาพที่เห็นอยู่นั้น เป็นตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระนางพิมพายโสธรา ผู้เคยเป็นพระ
ชายา เมื่อสมัยพระพุทธเจ้ายังทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ คือเมื่อยังไม่ได้เสด็จออกบวช

วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระนางพิมพานี้ เป็นวันเดียวกับที่เสด็จไปทรงภัตตาหารใน
พระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา ดังได้บรรยายไว้แล้ว สถานที่เสด็จไปโปรดพระนางพิมพา
คือ ปราสาทที่ประทับของพระนางนั่งเอง ผู้ที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาในการนี้ มีพระสารีบุตร พระโมค
คัลลานะ ผู้สองอัครสาวก และพระเจ้าสุทโธทนะ

พระนางพิมพาทรงเศร้าโศกเสียพระทัย ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าเสด็จออกบวชเป็นต้นมา
ด้วยเข้าพระทัยว่า พระนางถูกพระพุทธเจ้าทรงทอดทิ้ง ยิ่งเมื่อทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาเมืองกบิลพัสดุ์
ครั้งนี้ ความเสียพระทัยยิ่งมีมากขึ้น ขนาดพระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งให้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระนางยังเสด็จ
มาไม่ได้ แม้พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาถึงปราสาทที่ประทับของพระนางแล้ว พระนางยังเสด็จดำเนินมาเอง
ไม่ได้ พระนางก็ล้มฟุบลง กลิ้งเกลือกพระเศียรลงเหนือพระบาทพระพุทธเจ้า แล้วพิลาปรำพันกันแสงแทบ
สิ้นสมปฤดี

พระเจ้าสุทโธทนะทูลพระพุทธเจ้าถึงความดีของพระนางพิมพาว่า เป็นสตรีที่จงรักภักดีต่อ
พระพุทธเจ้า ไม่เคยแปรพระทัยเป็นอื่นเลยตลอดเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากไป พระพุทธเจ้าตรัสสนอง
พระดำรัสของพุทธบิดาว่า พระนางพิมพาจะได้ทรงซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระองค์แต่เฉพาะในชาตินี้ก็หา
ไม่ แม้ในอดีตชาติหนหลังอีกหลายชาติ พระนางก็เป็นคู่ทุกข์คู่ยากผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ตลอดมา แล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสชาดกอีกเป็นอันมากให้พระพุทธบิดา และพระนางพิมพาฟัง

พระนางฟังแล้ว ทรงสร่างโศกและคลายความเสียพระทัย ทรงเกิดปีติโสมนัสในพระธรรม
เทศนาของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจบลง พระนางพิมพายโสธรา ก็ได้
ทรงบรรลุพระโสดาบัน หรือโสดาปัตติผล

* เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์และพระอริยสงฆ์เสร็จภัตกิจแล้ว จึงหมู่นางพระสนมทั้งปวงมีพระมหาปชาบดีเป็นประธาน ก็พากันมาถวายนมัสการด้วยความเลื่อมใสศรัทธา เว้นแต่สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพิมพาราชเทวี มิได้เข้ามาเฝ้ากับเขาทั้งหลายในขณะนี้เพียงแต่มีเสาวนีย์สั่งมาว่า
"อันตัวพิมพานี้ ถ้ามีความชอบอยู่บ้าง แม้นว่าสมเด็จพระสัพพัญญูเสด็จมาสู่สำนัก จึงจักได้ถวายวันทนาการพระยุคลบาทต่อภายหลัง" ดังนี้
------------
---------------
---------------
สมเด็จพระเจ้าสิริสุทโธทนะจอมชนแห่งกบิลพัสดุ์บุรี ทรงเห็นเป็นโอกาสดีเลิศประเสริฐแล้ว จึงกราบทูลแถลงคุณสมบัติแห่งนางกษัตริย์ศรีสุณิสา แด่สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าว่า

"ข้าแต่พระบรมครูแห่งนิกรสัตวโลก อันเจ้าพิมพาศรีสุณิสาแห่งบิดานี้ จำเดิมแต่วิปโยคพลัดพรากจากพระองค์ ตั้งแต่วันที่เสด็จออกเพื่อทรงบรรพชากระทำทุกกรกิริยาแสวงหาวิมุตติธรรม เจ้าจะนั่งนอนเดินยืนอยู่ในที่ใดๆก็ไม่มีอารมณ์เป็นสุข มีแต่ทุกข์เศร้าโศกทุก เพลาเช้าเย็นแลราตรีมิได้ขาด ยามเมื่อเข้าห้องสิริไสยาสน์เห็นเศวตฉัตรอันกางกั้นรัตนบัลลังก์ ก็ตั้งหน้าแต่ร้องร่ำกำสรดโศกถึงพระองค์มิเว้นวาย เมื่อได้สดับข่าวว่าทรงนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ก็ปฏิบัตินุ่งห่มผ้า ย้อมน้ำฝาดบ้าง ทั้งนี้เมื่อแจ้งว่าทรงเว้นจากสุคันธวิเลปนมาลาก็มิได้ลูบไล้กายาด้วยจุณสุคนธ์ มิได้ประดับตนทัดทรงบุปผชาติ เมื่อขัตติยประยูรญาติส่งข่าวสารมาว่า จะรับไปบำรุงเลี้ยงรักษาปฏิบัติ ก็มิได้เล็งแลดูหมู่กษัตริย์ราชวงศ์องค์ใด ตั้งใจจงรักภักดีมีสัตย์ซื่อเสน่หาเฉพาะพระองค์ดำรงหฤทัยสุจริต จะได้คิดแปรปรวนไปแต่ในสิ่งใดอื่นมิได้มีเป็นแท้ แลพิมพาศรีสุณิสาแห่งบิดานี้ เจ้าเป็นหญิงกอบด้วยคุณอดุลประเสริฐเลิศกว่าอเนกนิกรกัญญา ควรที่จักกล่าวพรรณนาอีกมากมายสุดประมาณ ”

เมื่อสมเด็จพระชินสีหเจ้า ได้ทรงเสาวนาการคุณแห่งเจ้าหญิงพิมพาที่พระพุทธบิดาพรรณนามาฉะนี้ จึงทรงมีพระพุทธฎีกาดำรัสว่า

“ ดูกรมหาบพิตรพระราชสมภาร การที่ว่าเจ้าพิมพาราชเทวีมีจิตสนิทเสน่หาสวามิภักดิ์ในตถาคต ซึ่งปรากฏมีในกาลบัดนี้นั้น มิสู้จะอัศจรรย์ ในอดีตกาลเมื่อบังเกิดในกำเนิดแห่งสัตว์เดียรฉาน เจ้าพิมพานี้ก็มีจิตสุจริตเสน่หาในตถาคตมั่นคงบ่มิได้กัมปนาท ประหนึ่งสิเนรุราชบรรพตปรากฏในสกลโลกธาตุ บริจาคชีวิตให้เป็นทานแก่ตถาคตเป็นมหัศจรรย์ "

สมเด็จพระบรมศาสดาสัพพัญญูเจ้า ดำรัสดั่งนี้แล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาเผยพระโอษฐ์โปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาจันทกินรีชาดกโดยพิสดาร เพื่อประหารเสียซึ่งโศกาดูรเทวษแห่งพระพิมพาราชเทวี ให้ระงับด้วยสิโตทกวารีคือมธุรธรรมกถา ส่วนว่าสมเด็จพระนางพิมพาราชกัญญาเจ้า เฝ้าทอดทัศนาการพระพักตร์มณฑลแห่งสมเด็จพระทศพลพลางสดับอมฤตรสบทพระธรรมอันวิจิตรไพเราะลึกซึ้งเป็นนิรันดร์ ดุจกระแสสายสินธุ์คงคาที่หลั่งไหลมามิรู้ขาด แล้วพระนางก็ยังประสาทปีติให้บังเกิดในพระกมลสันดาน ด้วยจินตนาการว่าเคยได้สร้างบารมีมากับพระองค์แต่อดีตภพ ก็รำงับเสียซึ่งความโศกให้สงบด้วยปีติปราโมทย์ ในไม่ช้า พระนางก็สามารถยังวิปัสสนาญาณให้บังเกิดขึ้นในขันธสันดานโดยลำดับ จนได้บรรลุพระโสดาปัตติมรรคญาณ ประหารเสียซึ่งกองกิเลสโทษสังโยชน์ทั้ง ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสให้อันตรธาน ประดิษฐานอยู่ในพระโสดาปัตติผลญาณ อันเป็นปฏิปัสสัทธิวิมุตติที่ ๑ ในพระพุทธศาสนา สำเร็จ เป็นพระโสดาบันอริยบุคคลแต่เวลานั้น สมเด็จพระสรรเพชญภควันตมุนีนาถ ครั้นทรงทราบอย่างแจ่มชัดว่าเจ้าพิมพาราชเทวีได้ดื่มอมตธรรมสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล มีจิตไม่จลาจลหวั่นไหวในคุณแห่งพระศรีรัตนตรัยแล้ว องค์พระประทีปแก้วก็เสด็จพระพุทธลีลา พร้อมกับคู่พระอัครสาวกคืนสู่พระนิโครธาราม เพื่อทรงบำเพ็ญพุทธกิจโปรดพระยูรญาติศากยวงศ์ในกรุงกบิลพัสดุ์ต่อไป

* ส่วนนี้นำมาจาก : http://palapanyo.com/pimpa/index.html
สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี จาก หนังสือวิมุตติรัตนมาลี 

รจนาโดย พระพรหมโมลี
วัดยานนาวา กทม.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2011, 08:56:17 am โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



buddha027

เสด็จทรงบาตรในเมือง พระนางพิมพายโสธราเห็น จึงชี้ให้พระราหุลดู ตรัสว่า "นั่นคือบิดาของเจ้า"
รุ่งเช้า พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์บริวารทั้งหมด จึงเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมือง ชาวเมืองแตกตื่นกันโกลาหล ด้วยไม่เคยคิดว่าพระพุทธเจ้าซึ่งกษัตริย์โดยพระชาติกำเนิด จะเสด็จภิกขา แปลความหมายให้เป็นภาษาสามัญที่สุภาพหน่อยก็ว่า เที่ยวขอเขากิน

ปฐมสมโพธิรายงานเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า "ในขณะนั้นบรรดามหาชนชาวเมืองแจ้งว่า พระผู้เป็นเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารเที่ยวภิกขาจารบิณฑบาต ดังนั้น ก็ชวนกันเปิดแกลแห่งเรือนทั้งหลายต่างๆ อันมีพื้น ๒ ชั้น แล ๓ ชั้น เป็นต้น แต่ล้วนขวนขวายในกิจที่จะเล็งแลดูพระสัพพัญญู อันเสด็จเที่ยวบิณฑบาตทั้งสิ้น"

แม้พระนางพิมพายโสธราผู้เคยเป็นพระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้า ซึ่งมีพระทัยไม่เคยสร่างพระโสกีตลอดมา ได้ยินเสียงชาวเมืองอื้ออึงถึงเรื่องพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าเมืองมาตามถนน ก็จูงพระหัตถ์ราหุลผู้โอรส ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุได้ ๗ ปี เสด็จไปยังช่องพระแกล ครั้นเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จนำหน้าพระสงฆ์มา พระนางก็ทรงชี้ให้ราหุลดู และตรัสบอกโอรสว่า "นั่นคือพระบิดาของเจ้า"

* "ดูกรพ่อราหุลลูกรัก พระมหาสมณะผู้มีศักดิ์ใหญ่ ซึ่งกำลังเสด็จเที่ยวโคจรบิณฑบาตไปด้วยพระพุทธลีลาอันงามนี้ พระองค์ทรงมีเส้นพระเกศาละเอียดอ่อน และวนเวียนเป็นทักษิณาวัฏ มีสีดำสนิททุกเส้น และทรงมีพื้นพระนลาฏงามยิ่ง ดุจสุริยมณฑลอันปราศจาก มลทิน นอกจากนั้น พระองค์ท่านยังทรงมีพระนาสิกสัณฐานยาวและสูงดุจขอแก้ววิเชียร รุ่งเรืองไปด้วยข่ายพระรัศมีมีพรรณโอภาส เป็นนรสีหราชบุรุษมนุษย์ประเสริฐศุภมงคล พื้นพระยุคลบาทมีพรรณแดง ประดับด้วยพระลายลักษณะวงกงจักรและรอบรูปอัฏฐุตตรสตมหามงคล ๑๐๘ ประการเป็นบริวาร

ดูกรพ่อราหุลกุมาร พระนรสีหบุรุษผู้เป็นมหาสมณะทรงศักดาใหญ่นี้ มิใช่ผู้อื่นไกลใครที่ไหน โดยที่แท้พระองค์คือพระราชบิดาของเจ้า อนึ่งเล่า พระองค์ก็ทรงเป็นศักยราชกุมารผู้ประเสริฐสุขุมาลชาติ มีพระสรีรกายวิจิตรงามวิลาสบริบูรณ์ เสด็จมาเพื่อจะกระทำกิจให้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลกทั้งปวง อนึ่ง พระองค์มีพรรณพระพักตร์ผ่องเพียงศศิธรมณฑล อันบริบูรณ์ในวันปุณณมี ทรงเป็นที่รักเลื่อมใสแห่งเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อทรงพระดำเนินไปก็งดงามประดุจลีลาแห่งพญาไกรสรสีหราชมฤคินทร์ ควรจะบังเกิดโสมนัสแก่ผู้ที่ได้ทัศนาการ ทั้งพระสุรเสียงของพระองค์ก็เสนาะสนิทวิจิตรคัมภีรภาพนฤโฆษ พระชิวหาแลพระโอษฐ์ก็มีพรรณแดงเข้มวิสุทธิโสภณ พระทนต์ก็ขาวสีสะอาดพิลาสดังสีสังข์ พระองค์ทรงบังเกิดในขัตติยอัครตระกูลอดุลยชาติ สมควรที่นรเทพยดาจักอภิวาทพระบวรบาทยุคล ทั้งพระกมลก็กอบด้วยศีลสมาธิปัญญาคุณอันอุดม ลำพระศอนั้นเล่าก็กลมดุจกลึงกล่อม พร้อมทั้งพระหนุก็งดงามดุจคางแห่งสีหราช พระสรีรกายก็ไพบูลย์พิลาสประดุจดังกายท่อนหน้าแห่งพญาราชสีห์ ทั้งพระฉวีวรรณก็งามไพโรจน์วิลาสประดุจสีแห่งสุวรรโณภาส พระองค์เสด็จยุรยาตรไปในท่ามกลางพระอริยสงฆ์สาวก ครุวนาดุจดวงจันทร์อันแวดล้อมด้วยคณะดารากำลังลีลาไปในอัมพรประเทศ พระนรสีหบุรุษองค์นี้หรือคือองค์พระปิตุเรศของเจ้านะ พ่อราหุล ขอพ่อจงรู้จักและจดจำไว้ให้จงดีเถิด"

* ส่วนนี้นำมาจาก : http://palapanyo.com/pimpa/index.html
สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี จาก หนังสือ วิมุตติรัตนมาลี

รจนาโดย พระพรหมโมลี
วัดยานนาวา กทม.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2011, 08:15:15 am โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



buddha028

ทรงพานันทะไปชมนางฟ้า พระนันทะใคร่จะได้เป็นชายา ทรงรับรองจะให้สมหวัง
หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพุทธบิดา และพระประยูรญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์เป็นเวลาประ
มาณหนึ่งสัปดาห์แล้ว ได้เสด็จกรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ พร้อมด้วยพระสงฆ์บริวารที่ตามเสด็จในการ
นี้ พระภิกษุนันทะ พระอนุชาผู้ถูกจับให้บวช และราหุลสามเณรก็ได้ติดตามเสด็จไปด้วย

ต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์จำนวนมากได้เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี แห่งแคว้นโกศล
ซึ่งเป็นเมืองและแคว้นใหญ่พอๆ กับกรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ พระนันทะก็ได้ติดตามเสด็จไปด้วย

แต่ตลอดเวลานับตั้งแต่บวชแล้วเป็นต้นมา พระนันทะไม่เป็นอันปฏิบัติกิจของสมณะ ใจให้รุ่ม
ร้อนคิดจะลาสึกอยู่ท่าเดียว เพราะความคิดถึงนางชนบทกัลยาณี เจ้าสาวคู่หมั้นซึ่งกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับตน

ความเรื่องนี้ทราบถึงพระพุทธเจ้า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงจับท่านพระนันทะที่แขน
แล้วทรงหายจากพระวิหารเชตวัน ไปปรากฏในเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ เหมือนบุรุษมีกำลัง พึงเหยียดแขน
ที่คู้ หรือพึงคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น ฯ

ก็สมัยนั้นแล นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ มีเท้าดุจนกพิราบ มาสู่ที่บำรุงของท้าวสักกะจอมเทพ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสกะท่านพระนันทะว่า ดูกรนันทะ เธอเห็นนางอัปสร ๕๐๐ เหล่านี้ผู้มีเท้า
ดุจนกพิราบหรือไม่ ท่านพระนันทะทูลรับว่า เห็น พระเจ้าข้า ฯ

พ. ดูกรนันทะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน นางสากิยานีผู้ชนบทกัลยานี หรือนางอัปสร
ประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบไหนหนอแลมีรูปงามกว่า น่าดูกว่า หรือน่าเลื่อมใสกว่า ฯ

น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางลิงผู้มีอวัยวะใหญ่น้อยถูกไฟไหม้ หูและจมูกขาด ฉันใด นาง
สากิยานีผู้ชนบทกัลยานี ก็ฉันนั้นแล เมื่อเทียบกับนางอัปสรประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้ ย่อมไม่เข้าถึงเพียงหนึ่ง
เสี้ยว ไม่เข้าถึงเพียงส่วนหนึ่งของเสี้ยว ไม่เข้าถึงเพียงการเอาเข้าไปเปรียบว่าหญิงนี้เป็นเช่นนั้น ที่แท้นาง
อัปสรประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้มีรูปงามกว่า น่าดูกว่า และน่าเลื่อมใสกว่า พระเจ้าข้า ฯ

พ. ยินดีเถิดนันทะ อภิรมย์เถิดนันทะ เราเป็นผู้รับรองเธอเพื่อให้ได้ นางอัปสรประมาณ ๕๐๐
ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ ฯ

น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงรับรองข้าพระองค์เพื่อ ให้ได้นางอัปสรประ
มาณ ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบไซร้ ข้าพระองค์จักยินดี ประพฤติพรหมจรรย์ พระเจ้าข้า ฯ

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงจับท่านพระนันทะที่แขน แล้วทรงหายจากเทวดาชั้นดาว
ดึงส์ไปปรากฏที่พระวิหารเชตวัน เหมือนบุรุษมีกำลังพึงเหยียด แขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น ภิกษุ
ทั้งหลายได้สดับข่าวว่า ท่านพระนันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาค โอรสของพระมาตุจฉา ประพฤติ
พรหมจรรย์เพราะเหตุแห่งนางอัปสร ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเป็นผู้รับรองท่าน เพื่อให้ได้นางอัปสรประ
มาณ ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ ฯ

ครั้งนั้นแล ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสหายของท่านพระนันทะ ย่อมร้องเรียกท่านพระนันทะด้วย
วาทะว่าเป็นลูกจ้าง และด้วยวาทะว่าผู้อันพระผู้มีพระภาคทรงไถ่มาว่า ได้ยินว่า ท่านพระนันทะเป็นลูกจ้าง
ได้ยินว่า ท่านพระนันทะเป็นผู้ที่พระผู้มีพระภาคทรงไถ่มา ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพราะเหตุนางอัปสร
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคทรงเป็นผู้รับรองท่าน เพื่อให้ได้นางอัปสร ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ ฯ

ครั้งนั้นแล ท่านพระนันทะอึดอัดระอาเกลียดชังด้วยวาทะว่า เป็นลูกจ้าง และด้วยวาทะว่าเป็น
ผู้อันพระผู้มีพระภาคทรงไถ่มาของพวกภิกษุผู้เป็นสหาย จึงหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความ
เพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ไม่นานนักก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออก
บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้น
แล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็ท่านพระนันทะได้
เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ

ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว เทวดาตนหนึ่งมีวรรณะ งามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวัน
ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระนันทะพระภาดาของพระผู้มี
พระภาค โอรสของพระมาตุจฉาทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะทั้งหลาย
สิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ แม้ญาณก็ได้เกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคว่า พระนันทะทำให้
แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน
เข้าถึงอยู่ ฯ

ครั้นพอล่วงราตรีนั้นไป ท่านพระนันทะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม
แล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มี
พระภาคทรงรับรองข้าพระองค์ เพื่อให้ได้นางอัปสร ๕๐๐ ผู้มีเท้าดุจนกพิราบ ข้าพระองค์ขอปลดเปลื้อง
พระผู้มีพระภาคจากการรับรองนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนันทะ แม้เราก็กำหนดรู้ใจของเธอด้วยใจ
ของเราว่า นันทะทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วย
ปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ แม้เทวดาก็ได้บอกเนื้อความนี้แก่เราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่าน พระ
นันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาคโอรสของพระมาตุจฉา ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาส
วะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ดูกรนันทะ เมื่อใดแล จิต
ของเธอหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น เมื่อนั้น เราพ้นแล้วจากการรับรองนี้ ฯ

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ภิกษุใดข้ามเปือกตมคือกามได้แล้ว ย่ำยีหนาม คือกามได้แล้ว ภิกษุนั้นบรรลุถึงความสิ้นโมหะ
ย่อมไม่หวั่นไหวในเพราะสุขและทุกข์


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



buddha029

นายขมังธนูซึ่งพระเทวทัตส่งไปฆ่าพระพุทธองค์ ปลงอาวุธ ฟังธรรม สำเร็จมรรคผล
บุรุษที่นั่งประนมมือวางคันธนูไว้กับพื้นอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ดังที่ปรากฎอยู่ใน
ภาพแสดงนั้น คือนายขมังธนู (คำหน้าอ่านว่าขะหมัง) ขมัง แปลว่า นายพราน ขมังธนูก็คือนายพรานแม่น
ธนู อาวุธร้ายแรงที่คนใช้ยิงสังหารกันในสมัยพระพุทธเจ้าคือธนู

พระเทวทัตแนะนำอชาตศัตรู มกุฎราชกุมารให้ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารพระราชบิดา
ของพระองค์แล้ว จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ขณะนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมาประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์ พระ
เทวทัตกราบทูลว่าพระพุทธเจ้าทรงพระชราแล้ว ขอให้ทรงมอบตำแหน่งกิจการบริหารคณะสงฆ์ให้แก่ตน
เสีย เลยถูกพระพุทธเจ้าทรงทักด้วย เขฬาสิกวาท เขฬาสิกวาทแปลตามตัวว่า ผู้กลืนกินก้อนน้ำลายก้อน
เสลดที่บ้วนทิ้งแล้วความหมายเป็นอย่างนี้คือ นักบวชนั้น เมื่อออกบวชได้ชื่อว่าเป็นผู้เสียสละแล้วซึ่งทุกสิ่ง
ทุกอย่าง เช่น ลูก เมีย ทรัพย์ และตำแหน่งฐานันดรต่างๆ พระเทวทัตก็ชื่อว่าสละสิ่งเหล่านี้เสียแล้วเมื่อ
ตอนออกบวช แต่เหตุไฉนจึงย้อนกลับมายอมรับซึ่งเท่ากับมาขอกลืนกินสิ่งเหล่านี้อีก

พระเทวทัตฟังแล้วเสียใจ ผูกความอาฆาตพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้น จึงวางแผนการกระทำรุนแรง
เพื่อปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าหลายแผน เฉพาะด้านการเมืองนั้น พระเทวทัตได้ทำสำเร็จแล้วคือเกลี้ยกล่อม
อชาตศัตรูราชกุมารให้เลื่อมใสตนได้ แล้วราชกุมารผู้นี้ได้ปลงพระชนม์พระราชบิดา จนในที่สุดได้ขึ้นครอง
ราชย์ในเวลาต่อมา ที่ยังไม่สำเร็จก็คือการปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า

ขั้นแรกพระเทวทัตได้ว่าจ้างพวกขมังธนูหลายคน ล้วนแต่มือแม่นในการยิงธนูทั้งนั้น ไปลอบ
ยิงสังหารพระพุทธเจ้าที่วัดเวฬุวนารามในกรุงราชคฤห์ ทั้งนี้โดยพระเจ้าอชาตศัตรูทรงรู้เห็นด้วย แต่เมื่อ
พวกนายขมังธนูถืออาวุธมาถึงวัดที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ได้เห็นพระพุทธเจ้าแล้ว เกิดมือไม้อ่อนเปลี้ยไป
หมด ยิงไม่ลง เพราะพุทธานุภาพอันน่าเลื่อมใสข่มใจให้สยบยอบลง จึงต่างวางคันธนูแล้วกราบบาทพระ
พุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้พวกนายขมังธนูฟัง ฟังจบแล้วนายขมังธนูต่างได้สำเร็จโสดา
หมดทุกคน


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด




buddha030 ทรงโปรดช้างนาฬาคีรี

ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่พระเวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ เช้าวันหนึ่งขณะที่พระพุทธองค์เสด็จออกบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ พระเทวทัตศิษย์ทรยศของพระพุทธองค์ได้ติดสินบนควาญช้างให้ปล่อยช้างนาฬาคีรี เพื่อทำร้ายพระพุทธองค์ตามแผนการ แต่ด้วยเมตาจิตของพระพุทธองค์ ช้างตกมันก็หายพยศ กลับคุกเข่าลงหมอบลงตรงพระพักตร์พระพุทธองค์