แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

"ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ

<< < (7/20) > >>

ฐิตา:

ลองเอาจิต"เข้าไปริเข้าไปเริ่ม"ดูสิ
แล้วจะรู้ว่า"นรก"มีจริง
ลอง"เข้าไปแตะ เข้าไปรื้อ"ตถตาดูสิ แล้วจะรู้ว่า"นรก"มีจริง

......."อย่าเข้า"ไปแตะ ไปริ ไปเริ่ม ไปรักษา ไประวัง ไปสำรวม ไปตั้งใจไปเจตนา ไปจงใจ ไปปรับปรุง ไปเปลี่ยนแปลง ไปแยกแยะ ไปจำแนก ไปลูบคลำไปมีเหตุ ไปมีผล และอีกหลาย"อย่า" ถ้าหากยังไม่เข้าใจหลักของเซนที่ว่า
"ปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย"
*ผมพึ่งลงมาจาก"ดาวดึงส์"อยู่ข้างบนนานมากกินธาตุทิพย์มานานตั้ง 32 ล้านปีได้ฟัง"สักกะปัญหสูตร"จากพระพุทธองค์พร้อมกับเทวดาเพื่อนๆปิดอบายภูมิได้ตั้งแต่ครั้งนั้นแล้วจ๊ะ นางมารร้าย
ก็บอกแล้ว....."ปัจจัตตัง".

(สุชัมบดี)

ฐิตา:

อนุโมทนาด้วยนะค่ะ
สักกะปัญญสูตร ดีมากๆเลยนะค่ะสำหรับ เพียงเพื่อปิดอบายภูมิเนอะ เนอะ

ก็ขออนุโมทนานะค่ะที่ปิดอบายภูมิให้ตนเองได้มีตนก็ปิดให้ตน ตนเปิด ตนปิด ก็ถูกแล้วค่ะ
เพราะยังเชื่อว่าตนเป็นตนตนเป็นของตนตนปิดอบายภูมิได้หรืออบายภูมิ ต่างหากที่ปิดให้ตนล่ะค่ะ
ถ้าปิดให้ตนเองได้ ก็น่าจะปิดให้หมดทุกโซนปิดเผื่อคนอื่นๆ ด้วยนะค่ะ

อยู่ดาวดึงส์มาตั้งนาน แสนนานเพิ่งลงมาเฟรชชี่จังเลยนะค่ะยินดีต้อนรับน้องใหม่นะค่ะ

ตถตา ยังคงเป็นเพียงธรรมชาติ ที่เป็นไปเช่นนั้นเอง เป็นธรรมดาๆของธรรมชาติ คนที่เห็นแค่ธรรมชาติ มักจะเข้าใจแค่ ตถตา แต่ น่าเสียดายจังถ้า ตถตา เข้าไม่ถึงใจ

ตถตา ของนรก สวรรค์ยังคงเป็นเพียงธรรมชาติ
ธรรมชาติทั้งหลาย ล้วนมีจริงจึงมีธรรมชาติของนรกสวรรค์

แต่เมื่อตถตา เข้าไม่ถึงใจ

เสียง อย่าจึงกระหึ่มไปทั่วทั้งโลกธาตุ
จึงมีข้อห้ามออกมาแล้วบอกสำทับออกมาอีกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องทำอะไรเลยอย่านะ อย่านะไม่ต้องทำอะไรเลย

ปัจจตังจริงๆเจ้าค่ะอิๆ
เซนแบบใหนค่ะ
โจ๋น้องมารงง เจ้าค่ะ

(น้องมารน้อย)

ฐิตา:


(นางมารร้าย): เป็นเซนแบบใหนค่ะคุณสุชัมบดี ?
(สุชัมบดี): เอ่อ.....ผมเป็นเซน....แบบ..เซนแล้ว....ติดไว้ก่อน...

(นางมารร้าย): ที่ขอติดไว้ก่อน...เมื่อไหร่จะจ่ายค่ะ?
(สุชัมบดี): เอ่อ....คือว่า....ผมไม่มี ไม่หนี และไม่จ่าย....

(นางมารร้าย):ใหนคุณสุชัมบดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง แล้วไปบัญญัตินรกสวรรค์ ทำไม? ทุกสิ่งทุกอย่างนิพพานในตัวมันเองอยู่แล้วนะคะ
(สุชัมบดี): เอ่อ....ใช่ครับ....มันไม่เที่ยง....เพราะตอนนี้..."บ่ายโมงแล้ว"....(ฮา.......นา.........ก้า.....)

.....หวัดดีเจ๊......ไปล่ะนะ.

(สุชัมบดี)

ฐิตา:

อ้อ
เซน แบบแปะโป้งไว้ก่อน นี่เอง
นิ้วโป้งมักจะดำเพราะ เข้าโรงจำนำบ่อยๆ สิขอรับ
เกี่ยวกันใหมขอรับ

(ขาจรจัด)

ฐิตา:

เอาเรื่องที่ท่านทั้งหลายสนทนากันไปเล่าให้หลวงพ่อข้างบ้านฟังแล้วพอถึงตอนที่น้องมารน้อยบอกว่า

ธรรมชาติแห่งสมมุติ ทั้งหลายก่อเกิดมาด้วย ความสมบูรณ์พร้อม บริสุทธิ์และยุติธรรมเสมอสำหรับทุกคน ไม่มีธรรมชาติใดที่ด้อยไม่มีธรรมชาติใดที่เลิศ เป็นความสมบูรณ์บริบูรณ์ที่สุดหมดจดทุกอณูอยู่แล้ว ไม่มีทั้งสวยงาม ไม่มีทั้งทรุดโทรม

จงละ ทิ้งความคิดและความรู้สึกสมมุติเก่าๆที่ครอบงำออกไปเสียเถอะนี่คือปรมัตถ์ล้วนๆ
จงเอาใส่เข้าไปแทนที่ความคิดปรุงแต่งเดิมๆที่ทำให้จมอยู่กับห้วงทุกข์มานานแสนนาน

ถ้าเห็นและเข้าใจธรรมชาติแห่งสมมุตินี้ ตามปรมัตถ์นี้ได้จริงจะเพิกถอนอย่างถึงโคน จนแทบจะไม่เหลืออะไรเลยอย่างรวดเร็ว

ทั้งธรรมชาติแห่งสมมุติ ทั้งหลายทั้งปวง ธรรมชาติของกาย ธรรมชาติของจิต ล้วนบริสุทธิ์หมดจดทั้งหมด ไร้ตำหนิโดยสิ้นเชิง

แต่เพราะความสำคัญมั่นหมายปรุงแต่งต่างหาก ที่ทำให้ธรรมชาติอันแสนบริสุทธิ์สมบูรณ์พร้อมต้องเสียรูปไป
ธรรมชาติใดๆก็ดีในสมมุติทั้งหลายบริสุทธิ์หมดจด ไม่ต่างกับธรรมชาติแห่งพุทธะเลย

โลกธาตูทั้งหลายทั้งปวง พุทธเกษตรทั่วทุกโลกธาตุ ต่างบริสุทธ์ผุดผ่อง ไม่ต่างกันเลยแม้แต่โลกธาตุเดียว
ความบริสุทธิ์ผุดผ่องหมดจดนี้เป็นเช่นเดียวกันกับพุทธะไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย
พุทธะจึงไม่มีรอยด่างพร้อยของสมมุติใดๆ แม้แต่นิดเดียว บริสุทธ์เช่นเดียวกันจนไม่อาจแยกความแตกต่างใด้เลยแม้แต่น้อย

**นี่ไม่ได้บรรยายถึงพุทธะแต่บรรยายถึงธรรมชาติแห่งสมมุติทั่วๆไป อย่างปรมัตถ์
จากการเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของทุกสิ่งทั้งปวง ในสมมุติไม่ต่างกับพุทธะ เท่านั้นเอง

เมื่อเพิกถอนทุกสิ่งได้ ก็จะเห้น และสัมผัสได้เอง ว่า โลกธาตุและธรรมชาติแห่งสมมุตินั้นงดงามและบริสุทธิ์ไม่ต่างกันกับธรรมชาติแห่งพุทธะตามที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้เคยบรรยายธรรมชาติแห่งพุทธะให้ฟัง ***
บทความแห่งเซน เป็นบทแห่งการเพิกถอน ชนิดถอนรากถอนโคนไม่ได้เป้นเพื่อการแสวงหา หรือสะสมใดๆหรือต้องตั้งวิธีปฎิบัติใดๆ

หลวงพ่อท่านชอบอกชอบใจใหญ่มันต้องอย่างนี้อย่างนี้แหละโยมผู้รู้จริงนั่นมีอยู่โยมผมได้แต่นั่งยิ้มพอถึงอีกตอนหนึ่งที่ว่า

โลกธาตุนี้ บริสุทธิ์ ยุติธรรม พิสุทธิ์ วิมุติ ตั้งแต่ใหนแต่ไรมา
ไม่มีสิ่งใดต้องแก้ใข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง บังคับ หรือตกแต่งอลังการโลกธาตุเลย
แล้วจะมีอะไรต้องทำในโลกธาตุนี้อีกหรือ

หลวงพ่อบอกว่าใช่เลยใช่เลย โยมมันไม่มีอะไรต้องทำจะไปทำอะไรให้มันมีขึ้นมาอีกเล่า ก็มันว่างของมันอยู่แล้ว
ผมอดไม่ได้จึงถามหลวงพ่อว่าไม่ต้องทำอะไรมันว่างอยู่แล้ว มันเป็นยังไงหรือครับหลวงพ่อ ?

หลวงพ่อตอบว่ามันพูดยากบอกยากมันเป็นปัจจัตตังนะโยม
เรารึนึกว่าหลวงพ่อจะอธิบายให้รู้เรื่องกลับงงหนักเข้าไปอีกเผอิญลมพัดผ่านมาวูบใหญ่

หลวงพ่อบอกว่าโยม โยม เย็นไหม ?
ครับเย็นดีครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อบอกว่าไหนโยมลองคว้าลมเอาไว้ให้หลวงพ่อดูหน่อย่ ซิ
จะคว้าลมไว้ได้ยังไงหลวงพ่อ ? ลมมันพัดมาแล้วมัก็ผ่านไป

หลวงพ่อบอกว่า ก็ใช่นะซิ ถึงคว้าไว้ก็ไม่ได้ ถึงไม่คว้ามันก็ผ่านไปมันจึงว่างอยู่อย่างเดิมอย่างที่ท่านทั้งหลายสนทนากันนั่นแหละ จะไปคว้าหรือไม่คว้า มันก็ไม่ได้อะไร มันว่างอยู่แล้ว มันไม่ต้องไปทำอะไรเลยโยมสมมุติ หรือความคิดปรุงแต่งทั้งหลาย มันก็เหมือนกับสายลมที่พัดผ่านมาและผ่านไปนั่นแหละ ยึดไว้ก็ไม่ได้ ไม่ยึดมันก็ผ่านพ้นไปมีแต่ว่างกับว่างอยู่อย่างเดิมนั่นแหละ โยม โยมเห็นหรือยัง ?

จริงครับหลวงพ่อ ผมพอจะเห็นอย่างหลวงพ่อว่าบ้างแล้วครับแต่ผมยังสงสัยอยู่ว่า เมื่อไม่ต้องทำอะไร เพราะมันว่างอยู่แล้วทำไมหลวงพ่อยังต้องพาโยมสวดมนต์นั่งสมาธิอยู่ทุกเช้าเย็นเล่าครับ ?
หลวงพ่อตอบว่า นั่นเป็นอุบาย เป็นการใช้สมมุติเป็นเครื่องมือเพราะโยมเขายังไม่เห็น ยังไม่เข้าใจนะโยมมันต้องค่อยเป็นค่อยไปอย่านั้นแหละ ปํญญามันไม่เท่ากันนิ่โยมนะ

(เม็ดทราย)

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version