แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น
"ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
ฐิตา:
สวัสดีค่ะ พี่เม็ดทราย
...
หลวงพ่อบอกว่า ใช่เลย ใช่เลย โยม มันไม่มีอะไรต้องทำ จะไปทำอะไรให้มันมีขึ้นมาอีกเล่า ก็มันว่างของมันอยู่แล้ว
ผมอดไม่ได้จึงถามหลวงพ่อว่า ไม่ต้องทำอะไร มันว่างอยู่แล้ว มันเป็นยังไงหรือครับหลวงพ่อ ?
หลวงพ่อตอบว่า มันพูดยากบอกยาก มันเป็นปัจจัตตังนะโยม
เรารึ นึกว่าหลวงพ่อจะอธิบายให้รู้เรื่อง กลับงงหนักเข้าไปอีก เผอิญลมพัดผ่านมาวูบใหญ่
หลวงพ่อบอกว่าโยม โยม เย็นไหม ?
ครับ เย็นดีครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อบอกว่า ไหนโยมลองคว้าลมเอาไว้ให้หลวงพ่อดูหน่อย่ ซิ
จะคว้าลมไว้ได้ยังไงหลวงพ่อ ? ลมมันพัดมาแล้วมัก็ผ่านไป
หลวงพ่อบอกว่า ก็ใช่นะซิ ถึงคว้าไว้ก็ไม่ได้ ถึงไม่คว้ามันก็ผ่านไปมันจึงว่างอยู่อย่างเดิมอย่างที่ท่านทั้งหลายสนทนากันนั่นแหละ จะไปคว้าหรือไม่คว้า มันก็ไม่ได้อะไร มันว่างอยู่แล้ว มันไม่ต้องไปทำอะไรเลยโยมสมมุติ หรือความคิดปรุงแต่งทั้งหลาย มันก็เหมือนกับสายลมที่พัดผ่านมาและผ่านไปนั่นแหละ ยึดไว้ก็ไม่ได้ ไม่ยึดมันก็ผ่านพ้นไปมีแต่ว่างกับว่างอยู่อย่างเดิมนั่นแหละ โยม โยมเห็นหรือยัง ?
จริงครับหลวงพ่อ ผมพอจะเห็นอย่างหลวงพ่อว่าบ้างแล้วครับแต่ผมยังสงสัยอยู่ว่า เมื่อไม่ต้องทำอะไร เพราะมันว่างอยู่แล้วทำไมหลวงพ่อยังต้องพาโยมสวดมนต์นั่งสมาธิอยู่ทุกเช้าเย็นเล่าครับ ?
หลวงพ่อตอบว่า นั่นเป็นอุบาย เป็นการใช้สมมุติเป็นเครื่องมือเพราะโยมเขายังไม่เห็น ยังไม่เข้าใจนะโยมมันต้องค่อยเป็นค่อยไปอย่านั้นแหละ ปํญญามันไม่เท่ากันนิ่โยมนะ
...
แหมชักนึกอยากไปกราบนมัสการหลวงพ่อของพี่เม็ดทรายเสียแล้วไม่ทราบว่ามีนามว่ากระไร
จำพรรษาอยู่แห่งหนตำบลใดวัดใดหรือค่ะ
ถ้าไม่ขัดข้องโปรดแสดงตน ด้วยนะค่ะหนูจะได้ไปกราบนมัสการ สนทนารับ ธรรมจากหลวงพ่อ
หนูจะเอา บอร์ดี้การ์ด ไปด้วย
ตอนนี้หลวงพ่อจริง หรือหลวงพ่อเท็จอย่างไรหนูก็ไม่อาจทราบได้ค่ะ
ป๊ะเตือนหนูเสมอๆบอกว่าระวังเน้ออีหนู เล่นเนตน่ะ
พวกหลอกลวงต้มตุ๋นเยอะมีข่าวบ่อยๆระวังนะ ๆ
น่ากลัวจังนะพี่เม็ดทราย
เมื่อหลวงพ่อข้างบ้านไม่อธิบาย
หนูจะอธิบายให้พี่เม็ดทรายทราบแทนหลวงพ่อขออนุญาตนะค๊ะ นะค๊ะ
พี่จะได้เอาที่หนูสนทนากับพี่ ไปเรียนหลวงพ่อด้วยนะค่ะ ว่าหนูอธิบายว่าอย่างนี้นะคะ
ตรงเผงเลยค่ะ
จริงๆด้วยเมื่อยังไม่เข้าใจก็เลยเห้นความแตกต่างของปัญญาว่า มีมากมีน้อยไม่เท่ากัน
ปัญญาอย่างตรัสรู้ และปัญญาอย่างสามัญสัตว์จึงแตกต่างกัน สูงต่ำไม่เท่ากัน นะค๊ะ
ถ้าเข้าใจก็ไม่ต่างกัน
ลมพัดไหวๆ ไขว่คว้าไม่ได้
จิตใหวๆหรือลมใหวก็ไขว่คว้าไม่ได้
จิตหนึ่งไม่มีแม้แต่อนุภาคเดียวจึงไม่มีลมใหวๆ ให้ใขว่คว้า
อากาศ นั้นว่างหายใจได้มีอนุภาคเล็กๆๆ ลอยไปลอยมา
อวกาศนั่นว่างกว่าไม่มีอากาศแต่มีอนุภาคบิ๊กๆๆๆๆ ใหญ่กว่าเช่นดวงอาทิตย์และโลกธาตุ
(น้องมารน้อย)
ฐิตา:
แต่เอ่ ?
ท่านสังฆปรินายกบอกว่า ปัญญาสุดๆ ไม่ต่างกันนี่ ทั้งพระพุทธเจ้าและสามัญสัตว์ ไม่ได้เป็นอะไรเลย
นอกจากจิตหนึ่งเท่านั้น
ปัญญา อย่างตรัสรู้ ปัญญาแห่งความรู้แจ้ง ก็มีบริบูรณ์ สุดๆอย่างเท่าเทียมกัน
เอ่ ? แล้วทำไม หลวงพี่ยังเห็น ยังว่าแตกต่างกัน
เอ่ ? แล้ว หลวงพี่เข้าใจ เข้าใจเป็นเซนแบบใดกันนี่
หรือว่าว่างแบบปัจตังแท้ๆไม่ได้ว่างแบบสากล
ไม่เหมือนท่านสังฆปรินายกเห็นเลย ?
หนู งง ไปหมดแล้ว ค่ะ
ว่างแบบปัจจตัง
(น้องมารน้อย)
#35 น.3
ฐิตา:
เจ๊....เจ๊.....
ระวัง.....นิพพาน"กระเพื่อม".....
(สุชัมบดี)
........
มีอยู่พรรษานึง ตถาคตนั่งใต้โคนศรีมหาโพธิ์อยู่ตลอดไตรมาสมีพราหมณ์คนหนึ่งเข้าไปทูลถามพระพุทธองค์ว่าเมื่อตถาคตเป็นพระอรหันต์เป็นผู้ไกลจากกิเลสแล้ว
ตถาคตมี"วิตก วิจารณ์"อีกหรือไม่พระองค์ทรงตรัสว่า"เราตถาคตเองก็วิตก วิจารณ์ อยู่ แต่การวิตกวิจารณ์เราเป็นไปด้วยความดับสนิทไม่มีเหลือไม่ได้เป็นไปเพื่อให้เกิดตัณหาอุปาทานแต่อย่างใด "
*ผมเองชอบสูตรนี้มาก ในช่วงที่ผมตกผลึกในธรรมทั้งระบบหมดแล้วจิตอยู่ในระนาบ "จิตไม่หลุดพ้นก็เป็นธรรมชาติแห่งการรู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น"เข้าในสูตรแห่งสติปัฎฐานที่พระองค์แจกแจงไว้ในหมวดจิต ก็สาละวนอยู่นานตรงไม่หลุดก็ได้สูตรข้างบนนี่แหละ
อ๋อ การวิตก วิจารณ์ พูดง่ายๆก็คือความคิดเราเมื่อคิดแล้ว"ก็ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติแห่งความไม่หวนกลับไปบัญญัติและปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติแห่งความดับสนิทไม่มีเหลือ"
*ผมถึงไม่แปลกใจ พวกบรรลุเซนทั้งหลายถึงมีพฤติกรรมคำพูดแปลกเพราะไอ้ลูกพริ้วตรงนี้นี่เองธรรมชาติแห่งความไม่หวนกลับไปบัญญัติทำให้ผู้บรรลุไม่จำเป็นต้องกล่าวธรรมแบบเพริดพริ้งพรรณรายเสมอไป บางทีพระอรหันต์อาจจะพูดว่า"คุณสวยจังผมรักคุณแล้วนะ"ก็ได้ ดินแดนอสังขตะธรรมไม่มีกรอบอยู่แล้ว
*ขนาดพระอรหันต์ด้วยกัน พระพุทธองค์ยังตรัสว่าดูกันไม่ออก เอาพระอรหันต์ 2 รูปมายืนคุยกันยังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายก็หมดจดแล้วต่อให้คุณเก่งปานว่ามีเจโตวาระจิตรู้จิตใจผู้อื่นว่าเขาคิดอย่างไรหากรู้ว่าเค้าคิดเรื่องอะไรบางอย่างแล้วเที่ยวไปบัญญัติว่าเขาไม่ผ่านเพราะยังคิดแบบสมมุติอยู่เดี๋ยวจะหน้าแตกเพราะเขามีธรรมชาติแห่งความพริ้วไม่หวนไปบัญญัตินี่แหละ
*ผู้ที่จะพยากรณ์ว่าบรรลุธรรมหรือไม่เห็นจะเป็นพระพุทธองค์เท่านั้น เว้นแต่ว่าผู้มีจิตสูงกว่าก็จะพอมองผู้มีจิตต่ำกว่าออก
*แต่ถ้าหากบุคคลนั้นมีนิสัยชอบหวนกลับไปบัญญัติเช่นชอบคิดว่านั่นใช่ นั่นไม่ใช่ นั่นถูก นั่นผิด
และบังเอิญอีกฝ่ายอยู่ในระนาบธรรมชาติแห่งความไม่หวนกลับไปบัญญัติโดยที่อาจไม่ได้กล่าวธรรมแบบเฉิดฉันท์สมาหลาเพริดพริ้งพรรณรายแต่ชอบพูดแต่เรื่องไร้สาระแต่ถูกฝ่ายแรกจับผิด งานนี้ไก่เต็มเล้าแน่
*ผมก็มีวัดอยู่ ชื่อวัด"ตลาดไท"
นั่งขายส่งฟักทอง อยู่แผงเบอร์ 50
*รักนะ.....เด็กโง่ (ใครเป็นใครฝ่ายค้านฝ่ายแค้นผมไม่เกี่ยว....ผมตีหัวแล้วเข้าบ้านอย่างเดียว...อิอิ)
(สุชัมบดี)
.................
...เสี่ยงรักเจ้าแบบ"เดาใจฟ้า"....
ไม่รู้ว่าเทวดาจะเห็นดีด้วยหรือไม่
...ผู้ชายปอนด์ๆนอนห้องเช่ารักเจ้าด้วยใจ......
...แทบไม่เห็นความเป็นไปได้....
แต่ใจก็ดันทุรัง....
(ธรรมะทั้งนั้น พอๆกับยักคิ้ว หลิ่วตานั่นแหละ)
(สุชัมบดี)
ฐิตา:
โอ น่าสนใจจริงๆนะค่ะ
ผู้ใด จะที่มีจิต สูงกว่าผู้ได หรือค่ะ
ผู้ใด จะมีจิตต่ำกว่า จิต ของผู้ใดหรือค่ะ
ยังหลงเชื่อว่า จิตผู้สูงศักดิ์ กับจิต สามัญชน แตกต่างกันอีก เฮ้อ
ระนาบของผลึก จึงตะปุมตะป่ำ
ผลึกเกลือ ผลึกสารส้ม ผลึกตะกอนปากน้ำ ก็เลยตะปุ่มตะป่ำเละๆ นะค่ะ
ไก่ จึงไหลเท ออกมาจากจิตที่สูงต่ำ
ความดับสนิทไม่มีเหลือ
ตถาคตมี"วิตก วิจารณ์"อีกหรือไม่ พระองค์ทรงตรัสว่า"เราตถาคตเองก็วิตก วิจารณ์ อยู่ แต่การวิตก วิจารณ์เราเป็นไปด้วยความดับสนิทไม่มีเหลือ ไม่ได้เป็นไปเพื่อให้เกิดตัณหาอุปาทานแต่อย่างใด "
โอ ขณะนั้น ยังไม่ถึงศูนยตนิพพาน
วิตกวิจารณ์ทั้งหลาย ยังไม่ดับหมด นะจ๊ะ
เเต่เป็นไป เพื่อ ถึง ความดับไม่มีเหลือ
++++"อ๋อ การวิตก วิจารณ์ พูดง่ายๆก็คือความคิดเรา "+++++
ไก่ ก็ออกไข่ มาอีกแล้ว
ถ้าดับหมด แล้ว ก็จะรู้จัก หนู และรักหนูอย่างเต็มเปา เองแหละ
และจะรู้จักธรรมชาติ แบบ ออโตเมติก แบบคุณขาจรจัด
โดยไม่มีคิด แม้แต่นิดเดียว
เพราะคิด ดับ
ไม่ได้ดับเพราะคิด
นะค้า นะค้า
(น้องมารน้อย)
ฐิตา:
โหลๆๆ คิดถุงพี่มารน้อยจังเยย ...เจ้าแม่เซน...พี่ฮานะจังไปเก็บมาได้... เย่ๆๆ...เก่งจัง...จุ๊ปส์ๆๆ
apocalypse
...............
ท่านสังฆปรินายก บอกว่า ปัญญาสุดๆ ไม่ต่างกันนี่ ทั้งพระพุทธเจ้าและสามัญสัตว์ ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากจิตหนึ่งเท่านั้น ปัญญา อย่างตรัสรู้ ปัญญาแห่งความรู้แจ้ง ก็มีบริบูรณ์ สุดๆอย่างเท่าเทียมกัน
เอ่ ? แล้วทำไม หลวงพี่ยังเห็น ยังว่าแตกต่างกัน
เอ่ ? แล้ว หลวงพี่เข้าใจ เข้าใจ เป็น เซนแบบใด กันนี่หรือว่า ว่าง แบบปัจตังแท้ๆ ไม่ได้ว่างแบบสากล ไม่เหมือนท่านสังฆปรินายกเห็นเลย ? หนู งง ไปหมดแล้ว ค่ะ ว่างแบบปัจจตัง
(น้องมารน้อย)
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version