ผู้เขียน หัวข้อ: ความสุขที่ไม่ควรสูญเสีย (พระอาจารย์อํานาจ โอภาโส)  (อ่าน 7070 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



ความสุขที่ไม่ควรสูญเสีย
(พระอาจารย์อํานาจ โอภาโส)

มงคลส่งผลสู่ความสุข

**ทันทีที่ความเอาใจใส่รวมตัวลงสู่จิตใจ
เจียระไนแต่ละขณะด้วยสติสัมปชัญญะอันสว่างเรืองรอง
มงคลทั้งผองล้วนถักร้อยต่อเนื่องอย่างมีระเบียบ
ไม่ใช่สิ่งบังเอิญ
โชคและโอกาส เป็นเพียงทาสที่ซื่อสัตย์ ซึ่งงอกงาม
ตามอุดมมงคล**


ชีวิตนั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ หรือว่าบังเอิญเดินไปซื้อมีด หรือบังเอิญเดินไปซื้อมาลัยดอกไม้ การรู้จักเลือกคบคนที่เป็นมงคลและอัปมงคลก็เช่นเดียวกัน การคบคนพาลหรืออยู่ใกล้ชิดคนพาลนั้นนับว่าเป็นอัปมงคลอย่างยิ่ง เพราะจะนำสิ่งอัปมงคลมาสู่ตัว นับตั้งแต่การหลอกลวง ยาเสพติด ถ้อยคำเท็จ การใส่ร้ายลับหลัง หรือสนทนาแต่ความชั่วที่ไม่มีประโยชน์ ยั่วเย้าหรือยั่วยุให้เกิดโทษแก่จิตใจ

ดังนั้น การอยู่ในถิ่นที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ทำให้ได้พบคนดี และได้ฟังในสิ่งที่ดีมีประโยชน์ เพราะทุกคนล้วนมีทุนแห่งความบริสุทธิ์อยู่ในใจก่อนแล้ว การตั้งปณิธานเอาไว้ในความดี หรือรักษาความดีความสะอาดสดใสในใจที่มีอยู่ก่อนนั้น เป็นการตั้งสติที่จะดูแลจิตใจอันปกติสุข
**ไม่คลุกคลีกับคนพาลหรือเรื่องไร้สาระ มีสติสัมปชัญญะตั้งเป้าหมายที่จะเกื้อกูลปัญญาให้กว้างขวางขึ้น**
ในเมื่อทุกวันชีวิตจำเป็นจะต้องรับรู้ รู้สึก จดจำ หรือนำมาคิด ก็ควรจัดทิศทางชีวิตให้รับรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ อำนวยต่อความรู้สึกที่เป็นสุขไม่เป็นโทษ ด้วยการจัดระเบียบวินัยในชีวิตประจำวัน ที่จะมีวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ของสติสัมปชัญญะในปัจจุบันขณะอยู่ เสมอๆ


องค์ประกอบของสิ่งที่เป็นมงคลนั้น ทำให้ความชั่วไม่สามารถเข้ามาครอบงำใจได้ หรือไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับสิ่งอัปมงคล
**แต่สมควรได้รับความสุขจากมงคลอันควรจะได้รับ หรือฉลาดที่จะนำความเป็นมงคลมาสู่ชีวิต รู้จักใช้เหตุปัจจัยอย่างมีเหตุผล **
หากจัดระเบียบชีวิตให้อุดมมงคล ย่อมส่งผลไปสู่ความสุขอันสมควรจะได้รับจากเหตุอันเป็นมงคลเหล่านั้น


หลวงพ่ออำนาจ โอภาโส
หนังสือ “ความสุขที่ไม่ควรสูญเสีย”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 25, 2013, 09:36:34 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด




ดุจวิถี.. นายช่างร้อยดอกไม้
โดย พระอาจารย์อํานาจ โอภาโส


  ขอเจริญพรกับทุกท่านและขออนุโมทนากับทุกคนที่ได้มาฟังธรรมร่วมกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่มาใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ หากเราใช้เวลาโดยสูญเปล่า เราจะขาดทุนมาก เพราะว่าเราได้พลังงานมาฟรีๆ อยู่ตลอดเวลา จากลมหายใจของเพื่อนๆ รอบข้างเรา ที่หายใจออกมาแล้วเราหายใจเข้าไป จากใบไม้หลายๆ ล้านใบ จากเมฆฝนกลายเป็นสายน้ำ มีแต่ของที่เราได้มาจากธรรมชาติฟรีๆ ทั้งนั้น จากแสงอาทิตย์ที่มีเตาปฏิกรณ์ปรมาณูอยู่ใจกลางจักรวาลไกลโพ้นมาสัมผัสกับผนังโซล่าเซลล์ที่มีอยู่ในร่างกายเรา ไม่มีใครจ่ายค่าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ไม่มีใครจ่ายค่าลมหายใจ แต่ถ้าเราได้พลังงานนี้มาแล้ว ไม่ใช้ชีวิตให้สมประโยชน์ เราจะขาดทุนมากเลย
 
          เคยมีคนคิดว่าเกิดมาแล้วจะไม่ทำอะไร ไม่ทำงาน เพราะเขาเกิดมาเป็นลูกเศรษฐีในตระกูลใหญ่โต แล้วเขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ คือพยายามไม่ทำงานอะไรเลยทั้งชาติ ขนาดตัวเองก็ยังไม่อยากจะดูแลให้สะอาดเรียบร้อย ชีวิตจะค่อยๆ ตกต่ำ จิตมันตกลง เพราะไม่คิดจะทำอะไร สิ่งนี้น่าเสียดายกับเวลาในหนึ่งชาติของเขา ใครที่คิดว่าเกิดมาแล้วจะได้อะไรนี่ก็น่าหวาดเสียวมาก เมื่อสองวันก่อนมีคนโทรศัพท์มาจากต่างประเทศ คือเขาคิดว่าเขาทำงานล้มเหลวในชาตินี้ เพราะเขาไม่มีทรัพย์สินเงินทองอะไรเลย ซึ่งเขาคิดผิดนะ ถ้าเขาคิดว่าเขาจะได้เขาล้มเหลวตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ แต่ถ้าลองเปลี่ยนมุมมองใหม่แค่นิดเดียว คือถ้าเขาคิดว่าเขาจะให้และเสียสละ เขาจะไม่ล้มเหลวเลย เขาจะชนะแล้วในชาตินี้ ความสำเร็จไม่ได้หมายถึงการมีเงินมาก หรือมีหน้าที่การงานที่ดี หรือมีคู่ครองที่ดี ซึ่งมันไม่ใช่อย่างนั้นทั้งหมด
 
          หลวงพ่อรู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง เขารักกับผู้ชายที่เป็นโรคมะเร็งซึ่งจะต้องตายแน่นอน แต่ผู้หญิงตัดสินใจที่จะแต่งงานด้วยเป็นคนไทยนะ เขาไม่ได้คิดแค่ว่า การมีคู่ครองที่ดีคือการที่คู่ต้องอำนวยให้เขาพบความสำเร็จร่ำรวยและคู่ครองจะต้องดูแลเขา แต่เขาแต่งงานเพื่อต้องการที่จะดูแลคนรักของเขา ชีวิตที่คิดว่าจะเสียสละเป็นชีวิตที่ประสบความสำเร็จ ถ้าเขาตายลงในชาตินี้ เขาได้ทำหน้าที่ของการเสียสละ เขาได้มีจิตใจที่เบิกบาน ถ้าชีวิตเขายังต้องเดินทางต่อไป จิตใจเขาจะคะแนนสูงลิบเลย การที่เขาจะมีชีวิตอยู่จากการได้รับพลังงานมาฟรีๆ สำคัญมาก เราได้ของฟรีมาทุกวัน เราต้องจ่ายออกไปโดยการเสียสละ มันเป็นมุมมองที่ง่ายมาก ถ้าเรามัวแต่ไปคิดว่าชาตินี้เราต้องได้อะไร เราจะล้มเหลว ถึงแม้ว่าเราจะร่ำรวย แต่เราไม่ได้เคยเสียสละอะไร เราจะรู้สึกตกใจในวันตายของเรา

เราควรตั้งเป้าหมายให้ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้นว่า เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น เพราะว่าเราได้ของฟรีมา ของฟรีนี้ถ้าเรานำมาเปลี่ยนเป็นการทำประโยชน์ เราจะได้ความสุขกลับมาเป็นอริยทรัพย์ ได้ความภาคภูมิใจ ได้ศรัทธาต่อตัวเอง การศรัทธาต่อตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ บางทีการอยู่ด้วยกันเราอาจจะคิดว่าเราจะได้อะไรจากเขา คิดอย่างนั้นมันแพ้ตลอด แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราพลิกกลับมามองว่า เราจะเสียสละ มันจะปลุกเร้าศรัทธาที่มีต่อตัวเราให้เข้มแข็งขึ้นมาทันทีเลย แล้วศรัทธาที่คนอื่นมองเราก็จะได้รับกลับมาทั้งหมด ผู้ให้จะรู้สึกเบิกบาน อย่านึกว่าคนที่ทำงานเสียสละเพื่อส่วนรวม เป็นคนแห้งแล้งห่อเหี่ยวหรือว่าเหงาๆ มันไม่ใช่เลยนะ เขากลับเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างเบิกบานเปรียบเหมือนนายช่างผู้ร้อยดอกไม้ของแต่ละนาที

บางทีปัญหามันเกิดมาจากการคิดปรุงแต่งของเราเองที่ต้องการให้ทุกอย่างเป็นดั่งใจ ความคิดอย่างนั้นจะทำให้รู้สึกแห้งแล้งแต่ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า ปัญหาทำให้เราได้พัฒนาตัวเรา ชีวิตมันจะสุกสกาวสดใส มันจะมองสิ่งรอบด้านอย่างท้าทาย มองว่าเราโชคดี ไม่ควรจะหนีจากปัญหา เพราะปัญหามันท้าทายเรามาก ถ้าเราหนีมันจะหมดรสชาติของชีวิต จะแห้งแล้งจริงๆ เลยนะ แต่ถ้าสามารถอยู่กับปัญหาอย่างเบิกบานได้ จะเห็นว่าปัญหามันจะพัฒนาตัวเรา เราจะคลี่ม้วนแนวทางแก้ปัญหาที่จะทำให้เกิดความสุขกับเราได้ ถ้าไม่มีปัญหาก็ไม่มีใครที่จะกล้าพูดคำว่าความสำเร็จได้จริงไหม มันจะพูดคำว่าความสำเร็จได้อย่างไร ในเมื่อมันไม่เคยผ่านอะไรมาเลย ต่อเมื่อเราได้ผ่านปัญหามาเราถึงจะกล้าพูดได้ว่าเราสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้นความสำเร็จมันจะต้องผ่านกระบวนการที่เราได้พบปัญหา อย่าหนีปัญหานะ จงภูมิใจกับมันเหมือนกับนายช่างผู้ร้อยดอกไม้ เราต้องทำใจให้เบิกบานทุกสถานการณ์ ทุกปัจจุบันขณะ


        หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “สติ” หรือคำว่า “ปัจจุบันขณะ” หรือคำว่า “ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด” และอาจสงสัยว่าต้องทำอย่างไร ปัจจุบันมันคืออะไร แล้วเราไม่ต้องมีอนาคตหรือ ไม่ต้องตั้งเป้าหมายหรือทำปัจจุบันให้ดีที่สุดแล้วเป้าหมายมันอยู่ที่ไหนกัน บางทีเราไม่เข้าใจคำว่าทำปัจจุบันให้ดีที่สุดนั้นทำอย่างไร อันดับแรก เราต้องมีเป้าหมายอยู่ในตัว ถ้าไม่มีเป้าหมายหรือมีเป้าหมายไม่ชัดเจนก็ถือว่าล้มเหลวเหมือนกัน เพราะหากเราตั้งเป้าหมายในชีวิตของเราไม่ชัดเจน นั่นเป็นข้อแรกของบาปแห่งความล้มเหลวเลย เพราะไม่รู้ว่าเราจะทำอะไร เพื่ออะไร เราจะล้มเหลวเพราะเราไม่มีจุดเริ่มต้น แต่ถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเราจะทำสิ่งนี้ให้เป็นเหตุเพื่อผลลัพธ์จะเป็นอย่างนี้ บางคนตั้งเป้าหมายอย่างคนขาดปัญญา

คือมองแต่วัตถุอย่างเดียว ลืมไปว่าร่างกายมีทั้งสองส่วน คือ ทั้งร่างกายและจิตใจ เราจะตั้งเป้าหมายเพื่อไปปรนเปรอร่างกายอย่างเดียวไม่ได้ ถือว่าเป้าหมายผิดแล้วนะ เพราะว่ามันใช้ได้แค่ช่วงขณะสั้นๆ ของชีวิตเท่านั้นเอง แล้วพอถึงนาทีแห่งความตายเราจะล่มสลาย เพราะเราลืมตั้งเป้าหมายในส่วนที่เป็นนามธรรมเอาไว้ด้วย เพราะฉะนั้นเราต้องตั้งเป้าหมายให้ดีมีคุณค่า เรื่องนี้สำคัญมากและอย่าลืมว่าไม่มีใครที่ทำอะไรสำเร็จด้วยตัวคนเดียวได้ มันต้องอาศัยเหตุโครงสร้างหลายอย่างที่เป็นปัจจัยของความสำเร็จ อย่างเช่น ความรัก การทำงานต้องมีความรัก ถ้าเราไม่มีคนที่รักเราก็ยากมากที่จะสำเร็จ ความรักมันเป็นเรื่องของนามธรรมแล้วเห็นไหม เราอย่าไปมองว่ามันเป็นเรื่องของเหตุผลเท่านั้นแล้วทิ้งส่วนที่เป็นนามธรรมไป อันนี้ถือว่าเราตั้งเป้าหมายไม่เป็น เพราะฉะนั้นเป้าหมายที่เราตั้งอยู่กับเพื่อนร่วมโลก  อยู่กับเพื่อนร่วมงาน มันต้องมีความรัก



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 21, 2013, 05:24:10 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



หลวงพ่อขอเล่าเรื่องส่วนตัว สมัยเป็นฆราวาสได้มีโอกาสไปบรรยายธรรมที่เสถียรธรรมสถานกับพระอาจารย์ดุษฎี เจ้าอาวาสวัดทุ่งไผ่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ท่านบวชมา 20 พรรษาแล้ว ท่านนั่งฉันกาแฟด้วยกันตอนเช้า หลวงพ่อเป็นฆราวาส ส่วนท่านเป็นพระผู้ใหญ่ เรารับกาแฟกันเสร็จ ท่านก็เก็บแก้วหลวงพ่อ (ซึ่งตอนนั้นเป็นฆราวาส) ไปล้างเลย หลวงพ่อรีบบอกพระอาจารย์ว่า เดี๋ยวผมล้างเอง ท่านบอกไม่เป็นไร ใครล้างก็เหมือนกัน นี่เป็นครั้งที่หนึ่งนะ โยมดูให้ดีนะ หลวงพ่อกำลังชี้ให้เห็นว่า การกระทำมันไม่ใช่แค่ด้านวัตถุอย่างเดียว ความรู้สึกด้านจิตใจนั้นสำคัญมาก เราอย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ หลวงพ่อสร้างงานศิลปะเล็กๆ น้อยๆ ต่างๆ ขึ้นมานี้ ให้มีความสวยงาม แต่พอเป็นความงามมันไม่เล็กน้อยแล้วใช่ไหม เราก็รู้หลายๆ อย่างเกี่ยวกับความงามว่ามันมีค่าขนาดไหน ซึ่งมันเกิดจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นะ เมื่อกี้เล่าถึงท่าน พระอาจารย์ดุษฎีล้างแก้วหนึ่งใบ ถามว่าได้อะไรจากการล้างแก้วกาแฟหนึ่งใบ โยมว่าได้อะไร พอจะมองออกไหม ได้ความรักไปเต็มเปี่ยมไงล่ะ
 
          ศาสนาพุทธสอนไว้ละเอียดมากเกี่ยวกับการอ่อนน้อม ถ่อมตน การขวนขวาย รับใช้นี้ก็ถือเป็นบุญนะ เพราะใจมันเบาและงาม เวลาเขาได้ความรักเขาได้อะไรโยม เขาได้ทั้งหมด ทั้งชีวิตทั้งจิตใจของเราไป ล้างแก้วกาแฟใบเดียว ถือว่าลงทุนน้อยมากเลย เราอย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี้
 
          ดังนั้น เวลาเราตั้งเป้าหมาย เราอย่ามองแต่การกระทำด้านวัตถุ หรือมองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไป หลวงพ่อมีโอกาสเจอท่านอาจารย์ดุษฎีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้หลวงพ่อบวชแล้ว ไปบรรยายที่พุทธมณฑลด้วยกัน ทางผู้จัดได้เตรียมที่จำวัดเป็นแอร์อย่างดีเลย และมีห้องแอร์ห้องเดียวเพราะอีกห้องมันเสีย พอท่านอาจารย์เห็นหน้าหลวงพ่อ ท่านอาจารย์บอกผมไม่ชอบนอนห้องแอร์ ผมชอบอยู่กับเด็กๆ และจะอยู่จนถึงตี 4 เลย พอเช้าขึ้นมาหลวงพ่อก็ได้ข่าวว่า ท่านถูกยุงกัด อากาศก็ร้อนมากเลย ท่านต้องไปเคาะห้องลูกศิษย์ขอเข้าไปหลบนอน นี่คือความเสียสละ ทำให้ดูน่ารัก ทำให้งดงาม ไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่จะเสียสละให้ผู้น้อยไม่ได้ ไม่ใช่ว่าพระจะเสียสละให้ญาติโยมไม่ได้ ตอนนั้นหลวงพ่อเป็นฆราวาส ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ท่านยังเสียสละ แค่ท่านล้างแก้วกาแฟหนึ่งครั้ง สละห้องให้หนึ่งครั้ง ท่านได้อะไรไป ท่านได้ความรักไปทั้งหมดเลยทีเดียว ต่อมาไม่นาน ท่านอาจารย์ดุษฎีปรารภจะพาทั้งพระทั้งโยมรวม 50 กว่าคน ไปที่เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อปฏิบัติธรรม ท่านเตรียมปัจจัยจะมาถวายค่าอาหาร แต่หลวงพ่อบอกไม่ต้อง เพียงขอให้ท่านมาที่นี่ จะเตรียมทุกอย่างให้ เรื่องที่พัก อาหาร และอุปกรณ์ในการสอนศิลปะ นี่คือการที่ว่า เวลาได้ความรักเราจะได้ทั้งหมดของชีวิต ได้ทั้งหมดของหัวใจ ได้ความรู้สึกที่ดีงาม นี่คือเล็กๆ น้อยๆ ในการที่เราตั้งเป้าหมายให้ถูกต้อง
 
          เมื่อเช้าก็มีคนมาถามเหมือนกันว่า สิ่งเหล่านี้มันต้องฝึกหัดหรือเปล่า หลวงพ่อตอบว่าสิ่งเหล่านี้ มันฝึกหัดไม่ได้นะ ถ้าฝึกขึ้นมาก็จะเป็นของเก๊ แล้วมันทำจากอะไร ถ้าไม่ฝึกหัด คือมันทำจากความจริงต่างหาก ทำจากความเข้าใจเรื่องความจริง เราต้องเข้าใจว่าจิตเราทุกดวงมันสวยงามเหมือนกัน มันประภัสสรเหมือนกัน สิ่งนี้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่เพราะความไม่รู้ทำให้เราแสวงหาสิ่งต่างๆ เพื่อความสุข แล้วบางทีเราก็ทำผิดพลาด แต่เมื่อเราเข้าใจสิ่งที่เป็นความจริง เราจะเกิดความเมตตาและให้อภัยกัน จนเกิดเป็นความรักขึ้นมา เราจะเกิดความเข้าใจที่ว่า เราทุกคนเคยเป็นสิ่งเดียวกัน แต่เพราะว่าเราหลงทาง เราจึงทำอะไรที่มันไม่สมบูรณ์ในรูปแบบของแต่ละคน เมื่อเราเข้าใจเราจะเกิดความรักและให้อภัยได้ เราไม่มองที่จะไปเพ่งโทษ ไม่มองที่จุดบอดของเขา แต่เราจะมองด้วยความเมตตาแทน เราจะเข้าใจว่าชีวิตทุกคนมันไม่สมบูรณ์ เมตตาจึงเกิดจากความเข้าใจตามความเป็นจริง ไม่ใช่เกิดจากการสร้างและเสแสร้งขึ้นมา
 
          ทุกคนต้องทำงาน คนที่ไม่ได้ทำงานเขาจะอยู่ไม่ได้นะ มันจะอ่อนแรง ชีวิตไม่มีพลัง แล้วจะขาดทุนไปเลยในหนึ่งชาติ ถือว่าเป็นโมฆบุรุษ คือ เกิดมาแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เพราะฉะนั้นการทำงานมันสำคัญ เราทำงานเพื่อเปลี่ยนพลังงานที่เราได้มาฟรีๆ เป็นทรัพย์ ทรัพย์นี่สำคัญเหมือนกัน ถ้าเราไม่มีทรัพย์เราจะดูแลตัวเองไม่ได้ เราจะเป็นภาระให้กับคนอื่น อันนี้ไม่เอาไม่ดี คนบางคนเป็นภาระให้กับคนอื่นดูแลตัวเองไม่ได้ อันนี้ก็ขาดทุนเหมือนกันนะ ถ้าเราสามารถเปลี่ยนพลังงานของเรามาเป็นทรัพย์และดูแลตัวเองได้ มีศักยภาพหรือมีส่วนเหลือที่จะแบ่งปันให้กับผู้อื่นก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก





เราควรอยู่อย่างนายช่างผู้ร้อยดอกไม้
ให้จิตแต่ละดวงที่เกิดในทุกขณะ คือ ดอกไม้ที่งดงาม
เพราะจิตที่มีสติ รู้สึกตัวในปัจจุบันนั้นเป็นกุศล มีสันติสุข
ขอให้ใช้แต่ละนาทีของปัจจุบันในชีวิตให้ผลิแย้ม
งอกงามเป็นคุณแก่ตน และเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 21, 2013, 05:35:33 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



      มีเรื่องจริงอีกเรื่องหนึ่งที่จะเล่าให้ฟัง คือ มีผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตัวผอมๆ ไม่สวยเลย หน้าตาตกกระ เดินเสียงดัง ดูหยิ่งทะนงมาก หลวงพ่อมองแล้วคิดในใจว่า ผู้หญิงคนนี้ใช้ไม่ได้ วันหนึ่งเห็นนักการเขาแบกโต๊ะลงมาจากชั้นสองอยู่คนเดียว ผู้หญิงหน้าตกกระคนนั้นเขาวิ่งขึ้นไปช่วย หลวงพ่อมองเห็นพอดี ความรู้สึกเปลี่ยนไปเลย จากที่เคยคิดว่า ผู้หญิงคนนี้ใช้ไม่ได้ มันงามขึ้นมาเลย มันงามภายในใจ ฉะนั้นการที่จะเปลี่ยนพลังงาน มันไม่ใช่เรื่องของเราคนเดียว คนอื่นไม่เกี่ยว มันไม่ใช่นะ เมื่อกี้ที่หลวงพ่อบอกว่าเคล็ดลับ คือ เราควรอยู่อย่างนายช่าง ผู้ร้อยดอกไม้ ทุกขณะของเราคือดอกไม้ที่งดงามในแต่ละนาที แต่ละวินาที

เราสามารถที่จะปรับเปลี่ยน แต่ต้องมีปฏิภาณไหวพริบนะ หลายคนพอพูดเรื่องนี้แล้วไม่ค่อยมีไหวพริบว่าจะใช้ชีวิตให้งดงามได้อย่างไร จะอยู่ดูแลคนอื่นให้งดงามได้อย่างไร การที่อยู่ในปัจจุบันมันต้องมีปฏิภาณไหวพริบที่ไวมาก และเมื่อเราตั้งเป้าหมายจะทำให้เราอยู่ในปัจจุบันได้อย่างมีจุดเริ่มต้น พอปัจจุบันเรามีจุดเริ่มต้นเราก็จะสามารถใช้แต่ละนาทีของเราให้มันเกิดความงอกงาม เหมือนนายช่างผู้ร้อยดอกไม้ที่ใช้ แต่ละนาทีของปัจจุบันให้เป็นความงาม
 
          เมื่อเราตั้งเป้าหมายแล้ว ต้องคำนึงถึงนามธรรมด้วย อย่าเอาแค่รูปธรรมอย่างเดียว มันต้องมีความสุขทางจิตใจลงไปด้วย อย่างนามธรรมที่พูดไปเมื่อกี้ คือ เรื่องความรัก หลายคนบอกว่ามันสร้างยากมาก การทำให้คนอื่นอยู่อย่างมีความรักจริงๆ หลวงพ่อว่ามันง่ายนะ มันง่ายมากตรงที่ว่าเราแค่เริ่มต้นรักก่อน รักคนอื่นเป็นก่อน เป็นความรักที่บริสุทธิ์เพราะเราคิดว่าเรามีจิตใจที่ประภัสสรเหมือนกัน มันทำให้เกิดความรัก ความรักที่เป็นความเข้าใจ ตรงนี้เป็นเป้าหมายด้านนามธรรม เราจะมีชีวิตอยู่อย่างไม่แห้งแล้ง ไม่ใช่อยู่อย่างรอคอยความรัก หรือคิดว่า ถ้าเราไม่มีคนรักเราจะไม่มีความสุข หรือต้องการให้คนมารักเราอย่างนั้นไม่ใช่นะ เรามีชีวิตอยู่ด้วยความรัก ด้วยเราเข้าใจว่าจิตทุกดวงมีธรรมชาติเหมือนกัน ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา แต่มันเป็นความรักที่เกิดจากปัญญาที่เห็นจริงๆ
 
          สำหรับโยมบางคนที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องพุทธศาสนาอาจจะไม่เข้าใจเรื่องตรงนี้ เรื่องของจิตเดิมที่มันประภัสสร ที่เท่าเทียมกันทุกดวงเหมือนสรรพสัตว์ทั้งหลายก็เท่าเทียมกับเรา นี่ถึงทำให้เกิดความเข้าใจในเวลาที่เราแผ่เมตตาไปให้สรรพสัตว์เหล่านี้ เพราะเราเข้าใจว่าจิตทุกดวงมันเหมือนกัน มีธรรมชาติที่บริสุทธิ์เหมือนกัน เมื่อตอนหลวงพ่อสิบกว่าขวบเคยอ่านหนังสือท่านอาจารย์พุทธทาสแปลของอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านแปลไว้ว่า ธรรมชาติของจิตเดิมไม่มีความแตกต่างระหว่างสัตว์ที่ต่ำต้อยกับพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้ว โยมที่ไม่เคยฟังจะตกใจ โยมจะคิดว่าจิตของพระพุทธเจ้า คือ จิตที่สูงส่งจะมาเทียบกับสัตว์ได้อย่างไร แต่เราหมายถึงจิตเดิมต่างหากธรรมชาติของจิตมันมันไม่ต่างกัน มีความบริสุทธิ์เหมือนกัน เพียงแต่ว่าสรรพสัตว์หรือพวกเราไม่สามารถเข้าไปเห็นถึงตรงนี้ได้ เราแตกต่างกัน แค่ความคิด แต่เนื้อแท้ข้างในมันเหมือนกัน
 
          หลวงพ่อขยายความนิดหนึ่ง เวลาที่เราเห็นจริงว่าจิตเดิมทุกคนเหมือนกันก็จะเกิดความรักหรือความเมตตา ทำให้การมีชีวิตของเราไม่แห้งแล้งและทำให้เราเกิดความรักได้ทุกขณะกับทุกชีวิตกับทุกสรรพสัตว์ นี่คือการตั้งเป้าหมายของเรา เราต้องตั้งให้ชัดเจนก่อน เราถึงจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอย่างเบิกบาน ต่อจากนั้นเราจะใช้ชีวิตในปัจจุบันได้อย่างมีความสุข เพราะในช่วงที่เรารู้สึกตัวในปัจจุบันขณะ นี่คือสติ คือขณะที่เรารู้สึกตัว รู้ว่ามือเราอยู่ที่ไหน รู้ว่าพยักหน้าอยู่ นี่คือปัจจุบันขณะ ปัจจุบันขณะที่เรารู้สึกตัวนี้คือสติ สตินี่เป็นสิ่งที่เป็นจิตกุศล จิตที่เป็นกุศลเป็นจิตที่มีความสุข คือ มีโสมนัสเวทนา พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้สึกตัว รู้ทุกขณะไปเรื่อยๆ เพราะมันเป็นสิ่งที่ขยับตลอดเวลา ขยับมือรู้ ขยับเท้ารู้ รู้ทีละขณะ การรู้สึกตัว และจิตเป็นกุศล มีความสุขเหมือนนายช่างผู้ร้อยดอกไม้ไหม เพราะทุกขณะมันคือความสุข มีสันติสุขแล้วทุกขณะมันก็ผลิแย้มไปเรื่อยๆ เป็นดอกไม้ดวงใหม่เราก็ถักทอไปเรื่อยๆ เป็นดอกไม้ดวงใหม่เหมือนนายช่างผู้ร้อยดอกไม้ เพราะฉะนั้นแต่ละขณะมันจะไม่เท่ากัน

ช่วงไหนมีสติเราเห็นความงามผุดพรายขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นบนท้องถนน บางทีมองเห็นคนตัดต้นไม้บนถนน มันจะมีความงามที่เกิดขึ้น ให้โยมลองนึกว่าเหมือนภาพยนตร์เรื่องหนึ่งก็ได้ มองให้เป็นเหมือนหนังที่เรื่องนี้พิเศษตรงที่ว่าเราเข้าไปอยู่ในฉากหนังนั้นจริงๆ  เหมือนเราเป็นแขกรับเชิญของโลกนี้ก็ได้ แต่ถ้าเราไปใช้อารมณ์แบบจำเจ จมอยู่กับความไม่สมหวัง ชีวิตมันจะแห้งแล้งมาก ก่อนหลวงพ่อจะต้องผ่าตัดหัวใจ หมอให้อดอาหารเที่ยงคืนถึงเที่ยงวัน ปากแห้งมากพูดก็ไม่ถนัด อยู่ๆ ก็มีคนโทรศัพท์เข้ามาร้องไห้ บอกอาจารย์ช่วยพูดให้หนูสบายใจหน่อย หนูอยู่ในเมืองผู้คนหนาแน่น แต่เหมือนไม่มีตัวตน ไม่มีคนเห็นหนูเลย ช่วยพูดให้กำลังใจหน่อย เราก็เลยแนะนำไปว่า รู้จักให้สิ่งอื่นไปก่อน แทนการรอคอยให้เขาเอามาให้ ให้เรามองเห็นความงามของคนอื่น หากเราเปลี่ยนมุมมองใหม่ เป็นการให้คนอื่นได้ประโยชน์ เราจะเป็นผู้เสียสละอย่างแท้จริง คือเราจะมีคุณค่าขึ้น พอพูดให้เขาฟัง เขาก็หาย แล้วหลวงพ่อเลยบอกเขาไปว่าจะไปผ่าตัด อาการหนักกว่าเขาอีก เขาแค่รู้สึกเหมือนไม่มีคนอื่นมองเห็น แต่หลวงพ่ออาจจะไม่มีคนเห็นต่อไปอีกเลย
เพราะอาจจะตายก็ได้

 
          การมองเห็นความงามในคนอื่น ในสิ่งรอบตัว จะทำให้จิตใจเบิกบาน ที่กุฏิมีนกกางเขนคู่หนึ่งพยายามมาทำรังในกุฏิ ส่วนใหญ่นกตัวผู้มันจะต้องหาญกล้าเป็นด่านหน้าเข้ามาเพราะมีคนอยู่ในกุฏิ มันจะเข้ามาลองร้องดังๆ ให้เรามอง เราก็มอง พอรู้ว่าเราไม่ทำอะไรมันก็ไปชวนภรรยามาบอกว่าเข้ามาเลย ไม่มีอันตราย และไปคาบหญ้าคาบฟางมาทำรัง เห็นไหมว่าชีวิตที่เราอยู่ด้วยกันอย่างเอื้อเฟื้อมันงดงาม แม้แต่กับ สรรพสัตว์ กับผู้คนที่ทำงานรอบตัวเหมือนกัน ที่เขาค้อมีคนทำงานเยอะเหมือนกันถึง 30-40 คน เวลาหลวงพ่อมองไปก็เห็นแต่ความงามไม่เคยเห็นคนงานเลย เห็นแต่นางฟ้า อันนี้ไม่ได้เสแสร้งนะ

คือเวลาเห็นคนทำงานด้วยหัวใจ มันมีความสุข ค่าแรงอาจจะแค่วันละร้อยกว่าบาทแต่เขามีความสุข ความสุขที่เกิดขึ้นมาในหัวใจเขา ช่วงที่ผ่านมานี้เขาทำงานหนักมากเลย หลวงพ่อกับหลวงพ่อยงยุทธก็เลยตกลงกันให้ปัจจัยหนึ่งพันบาท รุ่งขึ้นเขาเอามาคืน เขาบอกว่าเขาทำด้วยหัวใจ เขาอยากทำบุญทั้งๆ ที่เขาก็ไม่มีเงินนะ ไม่ได้ร่ำรวยอะไร จึงบอกว่าบางทีไม่ได้เห็นคนงานแต่เห็นนางฟ้า เห็นจิตใจที่สุกสกาว เห็นจิตใจที่มีความสุขอยู่เบื้องหลัง



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 21, 2013, 05:32:56 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



พวกเราก็เป็นนางฟ้าได้เหมือนกันนะ พวกเราอย่าไปคิดว่าการที่เราจะเป็นนางฟ้าหรือการทำบุญต้องไปทำที่วัดมันไม่ใช่เลยนะ รู้จักอาหมวย ลูกเถ้าแก่คนหนึ่ง ชอบไปเดินจงกรมที่วัด ตอนเช้าวันเสาร์อาทิตย์พ่อแม่ชวนให้กินข้าวด้วยกันก่อน ก็บอกพ่อแม่ว่าไม่ได้ๆ จะรีบไปเดินจงกรมที่วัด และรีบออกจากบ้านแต่เช้ามืดเลย ในขณะขับรถก็ทั้งแซงทั้งปาด ใครจะแซงหน้าก็จะโกรธเพราะจะรีบไป เมื่อถึงวัดแล้วรีบแย่งที่จอดรถเพื่อเดินจงกรม พอนึกภาพออกไหมโยม วันก่อนหลวงพ่อไปบรรยายธรรมก็ถามว่ามีใครเดินจงกรมเป็นบ้าง ขออาสาสมัครมาเดิน เขาก็ลุกออกมาก้าวพรวดๆ ออกมาถึงก็มายืนตรงนี้ ตั้งท่าเตรียม หลวงพ่อบอกไม่ต้องเดินแล้ว เขาก็เดินกลับไปพรวดๆ อย่างหัวเสีย ก่อนจะนั่งหลวงพ่อบอกว่าทำไมไม่เดินจงกรมมา แล้วเวลาเดินกลับ ทำไมไม่เดินจงกลมกลับด้วย การเดินจงกรมคือการเดินอย่างมีสติ คนเราชอบลืมสติ ทำไมเวลาเดินที่บ้าน เดินจากเตียงนอนไม่เดินอย่างมีสติล่ะ มันต้องไปรอเดินจงกรมที่วัด ถึงจะได้บุญหรือ เราเดินที่ไหนก็ได้ใช่ไหม ตื่นเช้ามาเดินไปห้องน้ำ เดินอย่างมีสติคือรู้สึกตัวนั่นเอง
 
          เราต้องร้อยดอกไม้ทุกขณะ ไม่ใช่ว่าต้องไปร้อยที่วัดนะ ตื่นเช้ามาก็ร้อยดอกไม้เลย ต้องร้อยทุกขณะ ตื่นขึ้นมามันงัวเงียรู้สึกว่ามันขี้เกียจไม่อยากจะลุกก็ขยับขึ้นมานั่ง อารมณ์ก็จะเปลี่ยน พออารมณ์เปลี่ยนดอกไม้ดอกใหม่บานขึ้นแล้วนะ มันเปลี่ยนทุกขณะ พอเข้าห้องน้ำแปรงฟันออกจากบ้านเสร็จเจอคนเยอะแยะ เหมือนเปิดซาวด์แทร็คเลย ภาพยนตร์เรื่องใหม่กำลังเล่นแล้ว ตัวเอกกำลังเดินออกจากประตูบ้าน และให้มีความรู้สึกของความใหม่สดขึ้นมาเลย อย่าใช้ชีวิตอย่างจำเจทุกวันให้รู้ตัว ให้ตื่นตัว และเบิกบานใจ
 
          หลวงพ่อเดินบิณฑบาตทุกวันยังไม่เคยรู้สึกเก่าเลย บรรยากาศมันแตกต่างแปรเปลี่ยนไปทุกวัน ไม่เคยเบื่อพระอาทิตย์ขึ้นเพราะมันจะเปลี่ยนฉากไปเรื่อยๆ บางวันมันตามก้อนเมฆเป็นชั้นๆ บางวันเป็นเส้นสีทอง บางวันเป็นหมอกบางๆ ทุกวันมันจะมีความตื่นของฉากใหม่ๆ ในชีวิต ทุกวันมันจะมีความงามไม่ซ้ำกันนี่คือปัจจุบันขณะ
 
          บางคนไม่เข้าใจว่าปัจจุบันขณะคืออะไร มันคือทีละขณะ อย่างหลวงพ่อขยับมือมันเปลี่ยนไปแล้ว มันไม่ซ้ำที่เก่า มันเปลี่ยนไปทีละขณะที่เรามีสตินั่นคือความงามคือความสุข เราสามารถนำมาใช้ได้กับการงานของเรา ที่วัดจะสอนตรงนี้มากเกี่ยวกับการทำงาน สอนให้ทำงานอย่างมีความสุข คนปลูกต้นไม้ขนาดฝนตกยังใส่เสื้อกันฝนไปปลูกต้นไม้กัน นี่มันเป็นความขยันนะโยม มองให้มันเป็นความงาม หลวงพ่อกำลังจะเน้นว่า การทำงานอย่างมีความสุขในปัจจุบันขณะ มันสำคัญมากที่เราจะมองมันให้เหมือนดอกไม้ที่บานใน แต่ละขณะ ซึ่งจะบานไม่ซ้ำกันในแต่ละนาที ก็เหมือนกับการทำงานของเรา เราสามารถที่จะใช้ชีวิตอย่างนี้ให้มีความสุข โดยที่ไม่ต้องไปรอว่าเดี๋ยวเลิกงานจะมีความสุข เดี๋ยวพระหยุดเทศน์จะมีความสุข สมัยก่อนตอนเด็กๆ วันศุกร์ก่อนกลับบ้านเขาจะให้สวดมนต์นะ ก็คิดว่าเมื่อไหร่สวดมนต์จะเสร็จ จะได้มีความสุขเพราะได้กลับบ้าน วันหนึ่งหลวงพ่อไปเจอหนังสือโบราณที่เขาใช้สวดมนต์ตอนเย็น รู้สึกว่าเพราะมากอยากจะกลับไปสวดมนต์ตอนเย็นอีก นั่นเป็นตัวอย่างที่เราสูญเสียความสุขในปัจจุบันขณะไป โดยไปรอว่ากลับบ้านเราจะมีความสุข
 
          ขอให้เรารู้จักอยู่กับความสุขในปัจจุบัน รู้จักต้อนรับคนรอบข้างเราให้เป็น เพราะทุกคนเป็นคนใหม่ในทุกขณะ เขาไม่เคยเป็นคนเดิมเลย อารมณ์ก็ไม่ซ้ำกัน ไม่เคยมีใครเหมือนเดิมเลย คนที่เคยอยู่ในช่วงวิกฤติให้ใช้วิกฤตินั่นให้เป็นโอกาส ปัญหานั้นหลวงพ่อคิดว่าเป็นสิ่งที่มีค่าที่ช่วยพัฒนาตัวเรา ใครที่คิดว่าเจอปัญหานั้นไม่ดี นั่นเป็นความคิดที่ผิด แต่ถ้าใครคิดว่าปัญหานั้นเป็นการพัฒนาตัวเรามันจะมีค่ามหาศาลเลยทีเดียว เพราะเวลาที่เสียอย่างหนึ่ง มันจะได้อีกอย่างหนึ่ง หลวงพ่อเคยถูกรถชนเหมือนจะตายเลย รถพังหัวแตก แต่อีกใจหนึ่งคิดว่ามันจะต้องเกิดโชคดีขึ้นกับเรา เพราะมันมีโชคร้ายมาแล้ว แล้วใช้โอกาสนั้นเป็นการพัฒนา เช่น ตอนประสบอุบัติเหตุได้พัฒนาหลายอย่างดีมาก หนึ่งได้พัฒนาการปล่อยวาง การทิ้งความกังวล การปล่อยจิตใจไม่ให้ไปคิดเรื่องความเจ็บ ทำให้จิตใจเราเข้มแข็ง เราต้องอย่าไปโอดครวญหรืออยากให้มันหายเจ็บ พยายามต่อสู้กับความเจ็บปวดให้เป็น

เพราะฉะนั้นใครที่ประสบอุบัติเหตุหรือพบสิ่งที่ไม่สมหวังหรือสิ่งที่เป็นวิกฤติต้องถือว่ากำลังจะโชคดี คือ ได้พัฒนาตัวเองแน่นอน ยิ่งถ้ามีความทุกข์เกิดขึ้นในใจให้รีบดูเลย แสดงว่าเรากำลังวางใจ วางจุดยืนหรืออะไรสักอย่างผิดไปแน่นอน มันถึงได้เกิดความทุกข์ในใจขึ้นมาอย่างนี้ แต่ถ้าไม่เกิดความทุกข์ เราจะไม่รู้เลยว่าเราวางจิตวางใจผิดจุดไปหรือเปล่า หลายคนคิดว่าชีวิตนี้ทำอะไรจะต้องได้เปรียบคนอื่น ไปไหนก็จะต้องได้ พบกับใครจะต้องได้ มาเพื่อจะมาขุดทองหรือว่าต้องได้อะไร สักอย่างกลับไป โยมลองนึกภาพดูถ้าเจอคนที่เข้ามาหาเราที่ไม่รู้จักกันเลย โยมเห็นแววตา เห็นสิ่งที่เขาทำว่าจะต้องได้อะไรสักอย่าง อย่างนี้มันน่ากลัวไหม แล้วเขาจะไม่รู้ตัวเลยจนกว่าเขาจะเริ่มเจ็บตัว เมื่อเขาเกิดความทุกข์เขาถึงจะเริ่มรู้ว่าเขาไปผิดทางแล้ว เขาตั้งศูนย์กลางไว้ผิดทำให้เขาได้รับความทุกข์ ไม่ได้รับความรักจากคนอื่น ไม่ได้ความไว้วางใจ ความเชื่อถือจากคนอื่น ไม่ได้รับอะไรที่มนุษย์ควรจะได้จากกันและกัน

 



การแบ่งชีวิตเป็นช่วงสั้นๆ มีช่วงทำงาน
ช่วงครอบครัว ช่วงส่วนตัว ช่วงปฏิบัติธรรม
เราอาจพลาดทำความดี และพบสุขในปัจจุบันขณะไปได้
อย่าทิ้งทุกหยาดมณีของมัน ทำชีวิตให้มีความสุข
ทั้งการงานและการปฏิบัติธรรม
ทำชีวิตให้เป็นการเอื้อเฟื้อ มีความรักทุกขณะ
หากเข้าถึงได้ตลอดเวลา แต่ละวันมันจะไม่น่าเบื่อเลย




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 21, 2013, 07:06:56 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด


          สรุปโดยย่อในเบื้องต้นว่าคนเราต้องมีเป้าหมายชัดเจน ต้องมีความเชื่อที่ถูกต้อง ในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า ศรัทธาคือความเชื่ออย่างมีเหตุผล จึงจะสามารถตั้งเป้าหมายได้ การมีความเชื่ออย่างมีเหตุผล ชีวิตถึงจะมีจุดเริ่มต้น เพราะฉะนั้นการใช้ชีวิตอย่างนี้สำคัญมากเลยต้องใช้ทั้งชีวิตพิสูจน์ ไม่ใช่ใช้แค่บางเรื่องบางช่วง หลายคนชอบแบ่งชีวิตเป็นตอนๆ เป็นช่วงสั้นๆ ว่า อันนี้เป็นการงาน อันนี้เป็นชีวิตส่วนตัว อันนี้เป็นการปฏิบัติธรรม แต่ถ้าสามารถใช้ทั้งสามได้จะดี อย่าไปมักน้อย ให้เราเป็นคนมักมากในความดีในความสุขในปัจจุบันขณะ โดยที่จะไม่ทิ้งทุกหยาดมณีของมัน ทำชีวิตให้มีความสุขทั้งด้านการงาน ทั้งการปฏิบัติธรรม ทำชีวิตให้เป็นการเอื้อเฟื้อ ทำชีวิตให้มีความรักได้ด้วยทุกขณะเลย การแบ่งชีวิตเป็นช่วงๆ ช่วงการทำงาน ช่วงครอบครัว ช่วงเวลาส่วนตัว อย่างนี้ล้มเหลว ต้องทำให้เป็นอย่างเดียวกัน ถ้าใครสามารถเข้าถึงตรงนี้ได้ตลอดเวลาของแต่ละวันมันจะไม่น่าเบื่อ ไม่ต้องไปรอคอยว่าเดี๋ยวจบเทศน์ถึงจะมีความสุข จะได้กลับบ้าน จะได้ไปหาของกิน

แต่ถ้าเราเริ่มเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เริ่มหาความน่าสนใจจากสิ่งรอบข้าง อย่ามัวแต่มองว่าจะได้นะโยม ลองคิดในมุมกลับกันก็ได้ว่า ถ้าใครสักคนเข้ามาหาเราด้วยสายตาอย่างนั้น เราจะคิดยังไงกับเขา เราจะมองเขาด้วยสายตาแบบไหน เช่น ในฐานะผู้ชาย ถ้าผู้หญิงเข้าไปคบผู้ชาย เพราะคิดว่าจะต้องได้อะไร เช่น ได้ความดูแลเอาใจใส่ ได้ความรัก ผู้ชายคนนั้นจะรู้สึกเหมือนเขาเป็นวัตถุก้อนหนึ่ง บางทีเรามองข้ามสิ่งนี้ไป แล้วเขาจะรู้สึกเหมือนเป็นภาระที่เขาจะต้องตอบแทนกับสิ่งที่ผู้หญิงนั้นมุ่งหวังมา  แต่ถ้าเราเข้าไปในอีกจุดหนึ่ง คือมาเป็นผู้ดูแล ผู้ให้  ผู้เสียสละ ชีวิตก็ไม่ล้มเหลว มีจุดยืนจากการเป็นผู้ให้  อันนี้หลวงพ่อถือเป็นคติประจำวันมาตั้งแต่เด็กๆ เลย มีความเชื่อฝังใจว่า พลังงานทุกอย่างเราได้มาฟรี เพราะฉะนั้น เราจะไม่เก็บมันไว้กับตัว ต้องเอาไปเผื่อแผ่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับคนส่วนใหญ่ เพราะมันไม่มีของเราเลย มีแต่ของฟรี ส่วนปัญหาหรือวิกฤตนี่มันดีเพราะมันทำให้เราได้พัฒนา ถ้าเราคิดอย่างนี้เป็นเราจะใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่ามาก และเวลาที่เจอใครเราจะไม่คิดว่า เราจะได้อะไรจากเขา แต่เราจะคิดว่าเราจะแบ่งปันอะไรให้เขาได้มากกว่า
 
          พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราใช้ชีวิตเหมือนนายช่างผู้ร้อยดอกไม้ หลวงพ่อจำฝังใจจึงใช้ชีวิตอย่างนี้มาตลอด คือจำทุกขณะจิตที่ใช้ชีวิตเพราะความงามเหล่านั้นมันจะไม่หวนกลับมาอีก แม้แต่หยาดน้ำตาที่เราเสีย มันก็มีความงามซ่อนอยู่ มีอัญมณีบนหยาดน้ำตาบนแก้มของเรา แล้วไม่ใช่มันจะกลับมาอีกบ่อยนะ มีใครอกหักบ่อยๆ ไหม มันมีคุณค่ามีความงามนะ เรียนรู้มันไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เคยอกหัก ใครที่เคยอกหักจะรู้ว่าช่วงนั้นมันจะเป็นช่วงสุกงอม เพราะก่อนหน้านั้นมันยังจะไม่สุก มันจะสุกงอมตรงช่วงการพลัดพรากพอดีเลย เราจะไม่โวยวาย ถ้าเรารู้จักเก็บเกี่ยวทุกขณะให้เป็น แม้แต่การหกล้มหรืออะไรก็ตามมันมีความงามซ่อนอยู่หมดเลย

          ใครเคยรู้บ้างว่าแสงสว่างเปิดเผยความงามจริงหรือเปล่า เช้าๆ แสงสว่างเจิดจ้าเปิดเผยความงามจริงหรือเปล่า ไม่จริงนะ แสงสว่างไม่ได้เปิดเผยทุกอย่าง แต่มันปกปิดความมืดที่งดงามเอาไว้ ใครเชื่อบ้าง ความมืดมีความงดงาม
อย่างน้อยก็มีดวงดาว หิ่งห้อย แมลงที่ออกหากินกลางคืน เพราะฉะนั้น ชีวิตเราก็เหมือนกัน มันมีทั้งรุ่งอรุณและมีทั้งราตรี เราต้องต้อนรับรัตติกาลและใช้ชีวิตให้เป็น อันนี้สำคัญมาก พอช่วงรัตติกาลมาถึงต้องต้อนรับเลย เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้ ในขณะที่ราตรีเข้ามาในชีวิตเราไม่ต้องรู้สึกตกใจกลัว ให้ทำใจว่าไม่นานหรอก อีกสักพักหนึ่งตะวันจะเข้ามาทำลายความมืดให้หมดไป

 


          ทุกอย่างทุกขณะ เวลาที่เรามองย้อนไปในอดีตอย่าไปมองหาแต่ความเศร้าสร้อยหรือความผิดหวัง ให้หาสิ่งดีๆ เราจะมีกำลังใจในการชีวิต เราจะก้าวไปอย่างมั่นคง ในชีวิตการงานเราก็เหมือนกัน ถ้าเราสามารถหาสิ่งดีออกมาได้ มองเพื่อนร่วมงานว่าเป็นสิ่งที่มีค่า รู้ไหมว่าการเกิดมามันมีค่าและยากขนาดไหน พระพุทธเจ้าตรัสว่า เหมือนเต่าตาบอดว่ายอยู่ในมหาสมุทรร้อยปีขึ้นมาหายใจผิวน้ำครั้งหนึ่ง ถ้าเจอห่วงยางเมื่อไหร่จะได้เกิดขึ้นมาเป็นคน หลวงพ่อเลยมีเคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งว่าการเกิดเป็นคนมันยากแสนยากจริงๆ และการพบกัน มันยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะฉะนั้นเราควรจะต้องต้อนรับการพบกันอย่างคุ้มค่า แล้วทำไมเราจะต้องมาทำสิ่งไม่ดีต่อกัน ทำไมไม่มอบสิ่งที่ดีงามต่อกันและกัน
 
          ชีวิตรอบตัวเรามีสรรพสัตว์มากมาย เฉพาะมดก็มีเป็นล้านๆ ตัวเลยรอบกุฏิ เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าการเกิดมาเป็นคนนั้นมันยากจริงๆ แล้วชีวิตมันก็ไม่ได้มีเวลามากอะไรแค่ 80 ปี เดี๋ยวนี้ไม่ถึงแล้วเหลือ 65-66 ปีแล้ว พวกเราก็เข้ามาใกล้แล้วใช่ไหม ดีมากเลยที่ยอมรับความจริง ถ้าคิดอย่างนี้เป็น เราจะใช้เวลาที่เหลืออย่างคุ้มที่สุด คนที่อยู่รอบๆ ตัวเราขณะนี้ไม่มีคำว่าบังเอิญนะที่ได้มาเจอกัน มีแต่เหตุปัจจัยที่มันพอเหมาะพอดี เพราะฉะนั้น ให้เรารู้จักที่จะเปลี่ยนมุมมองบางอย่างที่เศร้าหมอง ปรับให้เป็นความงดงาม คิดง่ายๆ ว่า ถ้าเราตายไปเมื่อวานแล้วให้กลับมาใหม่ เราจะทำอะไรบ้าง อย่างน้อยคนที่เราไม่ชอบหน้า เราจะมองเขาอีกมุมมองหนึ่งได้ เราจะเริ่มมองเห็นความงามของเขา แต่เพราะเราอยู่อย่างประมาท อยู่อย่างชินชาจึงมองคนรอบข้างไม่เป็น ถ้ารู้จักมองให้เป็น ทุกๆ วันก็จะใหม่ตลอดเวลา ตัวเราก็ใหม่ คนรอบข้างเราก็ใหม่ไม่ซ้ำนะ จิตใจก็ไม่ซ้ำทุกขณะ เพราะฉะนั้นการอยู่ร่วมกันสำคัญมาก ควรอยู่ด้วยกันด้วยความเอื้ออาทร มีน้ำใจทุกขณะในทุกเรื่อง



          บางคนอาจจะนึกว่า ชีวิตนักบวชแห้งแล้ง จริงๆ ไม่เป็นอย่างนั้นเลย เมื่อเช้าตอนหลวงพ่อจะมาตอนตี 5 ฝนตกพรำๆ หัวใจก็ไม่ค่อยจะดี ควานหาร่มได้ก็ค่อยๆ ปีนขึ้นบันไดอย่างระมัดระวังเพราะตี 5 ยังมืดอยู่ แต่ซักเดี๋ยวเดียวที่บันไดมีแสงไฟสว่าง ปรากฏว่าเพราะอาจารย์ยงยุทธ์ ท่านถือร่มและไฟฉายมาให้อีกหนึ่งกระบอก ท่านเป็นห่วงเลยเอาร่มและไฟฉายมาให้ เห็นไหมว่าชีวิตพระไม่ได้แห้งแล้งนะ ยังมีความงดงามในการอยู่ร่วมกัน แม้แต่ตอนฉันข้าวด้วยกัน ถ้าหลวงพ่อตักอะไร พระอาจารย์ก็จะไม่ค่อยตัก พอหลวงพ่อลุกแล้วค่อยตัก คือเริ่มรู้แล้วว่าท่านคอยสังเกตเราตลอดเวลา เห็นไหมว่านักบวชไม่ได้แห้งแล้งนะ เอาใจใส่กันทุกขณะ ถ้าโยมสามารถใช้ชีวิตทางโลกด้วยกันอย่างนี้ได้มันจะมีความสุขมาก

 
          เราอย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ สิ่งเล็กน้อยนี้สร้างความสวยงาม แต่ความงามไม่ใช่สิ่งเล็กน้อย แล้วชีวิตเราจะมีความสุขมากเลย เวลาที่เรารู้จักแบ่งปันหัวใจมันจะแช่มชื่นขึ้นมา ถึงจะดูโง่ในสายตาเขาก็ยอม


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 04, 2015, 12:23:29 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



สมัยก่อนเวลาใครจะมองหลวงพ่อว่า ผู้ชายคนนี้โง่มาก เรากลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเรากลับรู้สึกสดชื่นอยู่ภายใน เพราะในขณะที่ดอกไม้มันผลิแย้มบานในแต่ละวินาที มันมีความงามเกิดขึ้นในใจของเราเอง ที่เราเรียกว่าศรัทธา ศรัทธาต่อตนเองนี้สำคัญมากนะ ถ้าศรัทธาต่อตัวเองได้จะอยู่ที่ไหนเราก็มีความสุข
 
          เมื่อก่อนอยู่แถวพุทธมณฑลมีหมาขี้เรื้อนเยอะ เวลาเดินผ่านหมา ก็จะนึกว่าตัวนี้อาจเคยเป็นญาติเรามาก่อนชาติใดชาติหนึ่ง ชาตินี้น่าสงสารมากเกิดมาอาภัพ คือมองด้วยความรักไม่ได้รังเกียจ เขาเรียกว่าอันนี้เป็นแยบคายในหัวใจว่า
เราจะพลิกมุมมองอย่างไรที่จะมองให้เกิดความรัก ความสงสาร ชีวิตมันจะไม่แห้งแล้ง สมกับที่พระพุทธเจ้าสอนว่าให้เราอยู่อย่างนายช่างผู้ร้อยดอกไม้ ร้อยในทุกขณะของชีวิตให้งดงาม เราใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า เราจะเริ่มมีเป้าหมายว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรทั้งรูปธรรมและนามธรรม สิ่งที่เราได้มามันฟรีทั้งนั้น เราต้องรู้จักแบ่งปันให้กับผู้อื่นบ้าง ทำให้เกิดประโยชน์ต่อมหาชนในวงกว้าง อย่างเช่น งานของพุทธศาสนา ทำไมหลวงพ่อถึงเปลี่ยนตัวเองจากปัจเจกชน จากศิลปินอิสระที่เคยได้รับเชิญเป็นแขกไปต่างประเทศ เวลาเดินทางไปไหนมาไหนก็ฟรีหมด

แต่กลับมาใช้ชีวิตนักบวชก็เพราะเห็นว่ามันมีประโยชน์ในวงกว้างมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีค่ามากเลยและมันยากมากที่จะมีคำสอนที่ถูกต้องเกิดขึ้นในโลก พระพุทธเจ้าใช้เวลาประมาณสี่อสงไขยกับแสนกัลป์ในการตรัสรู้ ครูอาจารย์นักปราชญ์บอกว่าหนึ่งอสงไขย เท่ากับการเกิดและดับของจักรวาลหนึ่งครั้ง
กว่าจะสะสมคำสอนต่างๆ นี้มาได้มันยากมาก จะเห็นว่าเรามีคำสอนที่ผิดๆ มากมาย แต่เดิมก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ หลายคนเชื่อว่าชีวิตเกิดมาเพราะว่าพระเจ้าเป็นคนสั่ง บางคนบอกว่าเกิดมาเพื่อใช้กรรมเก่า บางคนบอกว่าเกิดมาไม่มีกรรมหรอกจะทำอะไรก็ได้ ขอให้ใช้ชีวิตสมใจอยากของเราแล้วกัน ถ้าใครจะทำให้ใครเสียหายก็ไม่เป็นไร เพราะไม่มีกรรม กว่าที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ความจริงตรงนี้มันยากมากเลย เพราะฉะนั้นการมาเป็นผู้สืบทอดความจริงตรงนี้ให้คนรุ่นหลังเป็นหน้าที่สำคัญอันหนึ่งของชาวพุทธเรา หลวงพ่อจึงสำนึกในบุญคุณของพุทธบริษัททั้งสี่ คืออุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ สามเณรที่ได้ช่วยรักษาคำสอนที่ดีงามเหล่านี้จนมาถึงรุ่นพวกเรา

                         

          ปัจจุบันนี้ หลวงพ่อคิดว่าทุกวันนี้เวทีได้กลับมาอยู่ในมือของเราแล้ว เราจะทำอย่างไรเท่าที่กำลังความสามารถเรามี ถึงจะได้ใช้ความสามารถที่เรามี ให้เกิดประโยชน์เต็มที่ ตอนเป็นนักวาดก็อธิษฐานนะว่า ขอใช้ชีวิตเป็นพู่กันและหยดหมึกที่จะเผยแผ่ คำสอนที่ถูกต้องและดีงาม และเราได้ลิ้มรสชาติอมตธรรมนั้นเหมือนเราได้ชิมน้ำทิพย์สักหยดหนึ่งที่มีรสชาติประณีต สุขุมลุ่มลึกและก็มีความจริงมีสัจธรรมมาก เราอยากจะแบ่งปันไปยังคนอื่นๆ เหมือนเราไปเที่ยวที่สวยๆ เราจะคิดถึงคนที่เรารัก คิดถึงพ่อแม่ อยากให้เขามาเห็นบ้าง มันก็แบบเดียวกัน ความรู้สึกหลวงพ่อก็ไม่ต่างกับเวลาได้พบคำสอนนี่มีค่า เรารู้สึกว่ามันมีประโยชน์สูงสุดต่อหัวใจเราต่อชีวิตของเรา ทำให้เราเลือกใช้ชีวิตอย่างนี้ และอยากถ่ายทอดในทุกรูปแบบให้คนอื่นรับรู้ คำสอนที่มีคุณค่านั้นๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของเขาต่อไป


                       

                        การที่เราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ให้มองว่า
                          ทุกคนปรารถนาความสุขเหมือนกัน
                               มีความทุกข์เหมือนกัน
                        หากกระทบกระทั่งกัน เราควรให้อภัย
                            และเอื้อเฟื้อแบ่งปันกันให้เป็น

          เพราะฉะนั้น ในชีวิตหน้าที่การงานเราก็เหมือนกัน คนทำงานสามารถปฏิบัติธรรมได้ และสามารถใช้ชีวิตการทำงานกับการปฏิบัติธรรมให้มันสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกันได้ เพราะชีวิตเป็นกระแสสัมพันธ์ที่เป็นหนึ่งเดียวกันได้ เหมือนลมหายใจจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ลมหายใจที่ไหลเข้าไหลออกมีแต่กระแสหายใจที่เป็นหนึ่งเดียวกัน คนเราชอบไปมองเปลือกที่บอกถึงความแตกต่างกัน แต่จริงๆ ข้างในเหมือนกันนะ จิตใจเหมือนกัน ความรู้สึกที่เหมือนกัน มีใครที่ขาถูกพื้นอยู่บ้าง ระหว่างเท้าถูกพื้น จิตจะเป็นผู้รู้สึก แต่ละคนจะรู้สึกเท่ากันนะ รู้สึกเสมอภาคกัน รู้สึกได้เหมือนกันถ้าไม่เติมคำว่า “เรา” ลงไป เพราะฉะนั้นการทำงานของเรากับธรรมะมันสอดคล้องกัน

                             

เพราะว่าเรามีร่างกายที่เป็นรูปธรรม ธรรมะคือเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นกระแสสัมพันธ์ มีนามธรรมเหมือนกัน เราอยู่กับธรรมะตลอดเวลาเห็นไหม กับการทำงานก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราต้องใช้ให้มันสอดคล้องกัน ไม่ใช่ใช้ชีวิตอย่างแห้งแล้ง หรือมีเป้าหมายแค่เรื่องวัตถุอย่างเดียว การมีแค่เป้าหมายที่จะตอบสนองความต้องการของตัวเองนั้นแห้งแล้ง ไม่มีใครที่จะอยู่คนเดียวในโลกได้
ไม่มีใครจะประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเอง มันต้องมีสายสัมพันธ์โดยเฉพาะความรักมันสำคัญมาก เรารักจิตใจที่มันเป็นความบริสุทธิ์เหมือนกัน แต่เปลือกคือความแตกต่าง อย่าไปมองที่เปลือกที่แตกต่าง เปลือกของความแตกต่างเราจะประสานมันด้วยความเข้าใจ ด้วยการให้อภัย ด้วยการเรียนรู้ การทำงานก็เหมือนกัน เราต้องมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เรื่องนี้มีความสำคัญมาก
 
          เมื่อทุกคนเข้ามาในสายพานการใช้ชีวิต ทุกคนต้องแบกภาระอย่างหนึ่ง คือแบกภาระความขัดแย้งของธาตุทั้งสี่ในร่างกายอันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มันไม่สมดุลกัน มีความทุกข์ที่เป็นภาระอยู่แล้วในตัว เวลามองไปที่คนหนุ่มคนสาวให้มองเห็นความป่วยเฒ่า แล้วก็มองเห็นว่าทุกคนมีความทุกข์เหมือนกัน บางคนไปนั่งสมาธิพิจารณาแล้วก็เกิดความสลดสงสาร เกิดความรัก ความรักที่เกิดจากความเมตตา เป็นความปรารถนาที่ทำให้เขาพ้นทุกข์ อยากให้เขามีความสุข
เพราะรู้ว่าจิตมันเหมือนกัน เพียงแต่มันเป็นจิตที่ห่อหุ้มด้วยความไม่รู้ มันบอบช้ำ หรือกำลังหลงทางอยู่ การที่เราเป็นเพื่อนร่วมงานกันก็เหมือนกัน สิ่งนี้จำเป็นมาก ให้มองว่าทุกคนก็ปรารถนาความสุขเหมือนกัน ทุกคนก็มีความทุกข์เหมือนกัน

หากกระทบกระทั่งกันเราควรจะให้อภัยกันก่อน เอื้อเฟื้อกัน แบ่งปันกันให้เป็น อีกสิ่งหนึ่งที่ตามมาคือวาจาหรือคำพูด เพราะวาจาหรือคำพูดมันจะต้องปลิวเป็นละอองเกสรออกไปตลอด และบางทีมันอาจจะเป็นละอองเกสรเพลิงลุกไหม้ เชือดเฉือนกัน เป็นละอองเกสรที่เป็นแก้วทิ่มแทงก็มี
เพราะฉะนั้นคำพูดนี่น่ากลัวมากเลย บางคนอยู่ด้วยกันสองคน คนหนึ่งขี้บ่น อีกคนขี้โมโห เข้าคู่กันแล้วพอดีเลย มันจะต้องทะเลาะกันตลอดเวลา อีกคนจะบ่นเรื่อยเลย อีกคนพอได้ยินเสียงบ่นแล้วจะหงุดหงิด นี่มันอันตรายมาก ถ้าเราไม่เข้าใจตรงนี้จะลำบากมาก ทุกข์มาก ลองปรับดูนะว่า เขาเป็นคนขี้บ่น เราจะเป็นคนดูแลคนขี้บ่น ถ้าเขาขี้โมโห เราจะเป็นคนดูแลคนขี้โมโห อย่าไปคิดว่าเราจะต้องชนะเขา มันจะแพ้ทั้งคู่ สงครามครั้งนี้มันจะย่อยยับมีแต่ความหายนะเกิดขึ้น




เขาไม่ได้ ทำ ให้เราทุกข์
ความไม่ชอบเขา ในใจเรา ต่างหากที่ทำให้เกิดทุกข์

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 21, 2013, 04:40:43 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



คนที่อยู่ด้วยกันคำพูดนั้นสำคัญมากเลย หลวงพ่อเจอหลายคนโทรมาบอกว่ามีปัญหาเรื่องที่ทำงาน คำถามที่เจอบ่อยคือทำอย่างไรถึงจะอบรมหัวหน้าให้มีธรรมะ หัวหน้าเอาแต่ใจ ขี้บ่น ขี้โมโห ขี้หงุดหงิด ในนี้ไม่รู้จะมีหรือเปล่านะ ฉะนั้น เวลาเราเจอเรื่องแบบนี้ให้เราปรับมุมมองใหม่ อย่าไปคิดว่าเราต้องเอาชนะหรือเขาเป็นศัตรูของเรา ให้คิดว่าเราจะดูแลเขา อย่างน้อยคิดต้นทางให้ถูกก่อน เพราะว่าความทุกข์ของเราไม่ได้เกิดจากเขาทำ บางคนคิดว่าอยู่กับหัวหน้าคนนี้แล้วทำให้เราเกิดทุกข์ เลยย้ายงานไปเรื่อย ย้ายกี่ที่ก็ไม่มีความสุขหรอก เพราะหัวหน้าก็เป็นอย่างนี้ต้องดูแลทุกคน ภาระหนักนะ ต้องรับผิดชอบมาก

บางคนจะย้ายงานจนไม่ทำงานเลยเพราะไม่อยากมีหัวหน้า จริงๆ แล้วเราหนีไม่พ้น เราหนีปรากฏการณ์ไม่พ้น เราหนีคนขี้บ่น คนขี้หงุดหงิด คนปากมากไม่พ้น หนีคนโกงคนที่ถามอะไรไร้สาระไม่พ้น หนีได้อย่างเดียวคือความไม่ชอบในใจเรา ความไม่ชอบทำให้เราทุกข์ ตกลงไม่ใช่คนปากมาก คนขี้บ่นทำให้เราทุกข์ เราไม่ชอบคนปากมาก คนขี้บ่น ทุกข์ของเราไม่ใช่เขาทำนะ เราต้องจัดการตัวเราเอง สรุปเลยว่าเราไปห้ามเขาไม่ได้ ไปห้ามไม่ให้ขี้บ่นหรือหงุดหงิดไม่ได้ เราต้องดูแลใจเรา เมื่อเราเริ่มดูแลใจเราความอัศจรรย์มันจะเกิดขึ้น ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นแล้วสำหรับโยมที่ได้เจอคนขี้บ่นขี้โมโหให้ลองคิดใหม่ ดูแลตัวเราใจเราก่อนโดยไม่โกรธไม่ตอบโต้ เขาจะเริ่มทึ่ง เขาจะงงว่าเราทำได้ยังไงที่เราไม่ตอบโต้ แต่กลับเป็นฝ่ายดูแลแทน เขาจะเริ่มศรัทธาว่าทำได้ยังไง เมื่อเริ่มศรัทธาแล้วจะเริ่มละอายใจ และไม่กล้าทำสิ่งไม่ดีออกมา
 
          ความละอายใจเป็นสิ่งมีค่ามาก แต่คนเริ่มต้นนี่สำคัญที่สุดคือต้องเริ่มเปลี่ยนตนเองให้เป็นผู้เสียสละ ในที่ทำงานนี้เราลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ดู เปลี่ยนเป็นผู้เสียสละแทนแล้วกัน อย่างน้อยเรตติ้งตอนตายกระฉูดแน่นอน บนสวรรค์จดคะแนนไว้เรียบร้อยแล้ว เสียสละครั้งหนึ่งนี่ไม่ใช่ธรรมดานะ เราเคยได้ยินบ่อยๆ ใช่ไหมว่าเวลาคนทำความดีพระอินทร์ที่นั่งจะร้อน เทวดาที่นั่งร้อน โยมว่าจริงหรือเปล่า พิสูจน์ด้วยตัวเองก็ได้นะ สมมติว่าเราไปเห็นเด็กที่เป็นคนดีคนหนึ่ง ที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เรารู้สึกทนไม่ได้แล้วเราต้องหารางวัลให้เขา ก็เหมือนกับที่อาสนะของพระอินทร์ร้อน สมัยเป็นฆราวาสหลวงพ่อเคยเจอหมา มันร้องทั้งคืนเพราะมันหิวและมันไม่มีแม่ ถูกปล่อยทิ้งไว้ เลยขับรถไปซื้อข้าวมาให้มันกิน

ตอนนั้นก็มีหมาวิ่งโซเซเข้ามาจะขอส่วนแบ่งแต่เราไม่ให้มัน ให้แต่ลูกหมาตัวนี้เพราะมันหิวมาทั้งคืน พอลูกหมากินหมด เจ้าหมาผอมโซตัวนั้นเดินเลยไป ลูกหมาก็เดินตามไปจะกินนม หมาตัวเมียนั้นนมก็ไม่มี แต่ก็นอนให้ลูกหมากินนม หลวงพ่อมองแล้วหัวใจแหลกสลาย ที่นั่งเทวดาร้อนอีกแล้ว ขับรถไปซื้อข้าวมาอีกเที่ยวหนึ่ง พอมาถึงไม่เจอ แม่หมาหายไปแล้ว รู้สึกว่าเสร็จแน่ถ้าวันนี้ไม่เจอมัน พยายามไปตามหาเรียกมัน จนไปเจอและรู้สึกค่อยยังชั่วหน่อย ดังนั้น เทวดาที่นั่งร้อนมันมีจริงนะ อย่างที่หลวงพ่อบอกว่าแม้แต่หมาที่ผอมโซมันยังสามารถแบ่งปันได้ ความดีที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่สิ่งเล็กน้อยอีกแล้วนะ แค่สิ่งเล็กน้อยก็สร้างความงาม แต่ความงามไม่ใช่สิ่งเล็กน้อย แล้วมันจะกระเทือนไปถึงสรวงสวรรค์ สรวงสวรรค์ในจิตใจของมนุษย์ด้วยกันก่อน ต่อไปถึงสรวงสวรรค์ในสิ่งที่สูงส่งกว่าเราก็ยังมีนะ


บางทีปัญหาเกิดจากการคิดปรุงแต่งของเราเอง
ที่ต้องการให้ทุกอย่างเป็นดั่งใจ ความคิดอย่างนั้นจะแห้งแล้ง
หากเปลี่ยนมุมมองว่า ปัญหาทำให้เราได้พัฒนา
ชีวิตมันจะสุกสกาวสดใส


          ถ้าเรามีความเชื่อแบบนี้ ชีวิตเราจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น หลวงพ่อบอกไว้แล้วว่าตั้งแต่เด็กๆ มีเป้าหมายว่าจะใช้ชีวิตเพื่อมหาชน ใช้เป็นพู่กันของพุทธองค์ที่จะฝากไว้ให้กับคนรุ่นหลังเมื่อเราตายไปแล้ว คนรุ่นหลังเกิดมายังต้องเรียนรู้ต่อ ฉะนั้น ในงานบางอย่างมันจะเป็นงานในระดับลึกเชิงปัญญาเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเราทำอย่างงมงาย แต่เราทำอย่างลึกซึ้ง ที่เมตตาเกิดจากปัญญา ไม่ใช่เมตตาที่เสแสร้งหรือสร้างขึ้นมา ฉะนั้นการอยู่ด้วยการเอื้อเฟื้อ ด้วยการมีคำพูดที่ดีงามและให้อภัยกัน มอบดอกไม้ที่งดงามในคำพูดให้กัน เรียกว่า เป็นลาวัลย์สำหรับหูแล้วกัน ดีกว่าเป็นเศษแก้วที่ทิ่มแทงกัน ฉะนั้น คำพูดนี่สำคัญนะบางทีทำร้ายจิตใจกันได้ ถ้าอีกคนขี้บ่น อีกคนขี้หงุดหงิดมักจะต้องต่อสู้กันมากเลย ถ้าคนหนึ่งเปลี่ยนเป็นคนเสียสละ เปลี่ยนเป็นคำพูดที่จะไม่ระรานกัน ชีวิตจะมีความสุขมาก เปลี่ยนมุมมองใหม่เป็นผู้เสียสละ หนึ่งคือเป็นผู้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สองคือเสียสละ เหมือนอย่างที่หลวงพ่อเล่าว่าเห็นเขาแบกโต๊ะก็ไปช่วยเขาแบกอะไรเล็กๆ  น้อยๆ ก็ไปช่วยเขา

                                   

อย่าไปตั้งเวลาว่าชั่วโมงนี้ชั่วโมงหน้าจะทำอะไร
ชีวิตไม่มีล่วงหน้านะ อะไรที่เกิดในปัจจุบันขณะเราต้องมีตลอดเวลา พร้อมที่จะเสียสละทุกขณะ พยายามต้องลึกซึ้งด้วยไม่ใช่ทื่อๆ คนเมตตาไม่ใช่ทื่อๆ ต้องระวังคำพูดด้วย คนมีเมตตาต้องถนอมน้ำใจกัน ทำให้สามัคคี ให้อภัย และการที่เราเอาตัวเราเข้าไปเป็นผู้กระทำ เขาทำอะไรเราต้องไปมีส่วนร่วมอย่าดูดาย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เวลาคนไปวัดหลวงพ่อเห็นแล้วรู้เลย บางคนเห็นคนปลูกต้นไม้ก็ไปช่วยเขา บางคนเดินผ่านแค่ชมดอกไม้และผิวปาก ทั้งๆ ที่ไปกลุ่มเดียวกัน ก็มองเห็นความแตกต่าง ถึงบอกว่า การใช้ชีวิตในปัจจุบันขณะต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบ บางคนทื่อๆ ไม่ค่อยมีไหวพริบว่า เราจะหาโอกาสที่จะเก็บความงาม หรือเก็บบุญกุศลที่เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตในแต่ละวันของเราได้อย่างไร ต้องหาโอกาสให้เป็น แต่บางคนที่ไม่รู้จักใช้โอกาสปล่อยให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์
 
          อีกอย่างหนึ่ง คือการที่เราไม่ถือตัวว่าเราใหญ่กว่า การอ่อนน้อมถ่อมตนลงมาหาผู้น้อยเป็นความงามที่น่าประทับใจ เหมือนอย่างท่านอาจารย์ดุษฎี ที่หลวงพ่อเล่าว่า นำแก้วของฆราวาสไปล้างให้ ท่านได้ความรักไปทั้งหมด ลงทุนน้อยจริงๆ เลย ทำให้ต้องมานั่งบรรยายความงามของท่านไม่สิ้นสุด   

          ฉะนั้นการไม่ถือตัวการอ่อนน้อมลงมา ถ้าทำได้จะนำความรักมาสู่ตัวเราได้ง่ายดาย เป็นการลงทุนน้อย แต่ผลมันยิ่งใหญ่มหาศาล ดังนั้น ก็ขอฝากให้พวกเราใช้ธรรมะในการทำงาน ใช้ธรรมะในการอยู่ด้วยกันเป็นเครื่องเหนี่ยวนำในการอยู่ร่วมกัน ในการที่จะทำให้เกิดความสุขเอื้อเฟื้อกัน เมตตาทั้งกาย วาจา ใจ เอาตัวเราเข้าไปสมาน ไม่ใช่แค่สั่งคนอื่นหรือใช้คนอื่นทำ จงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำ
เอาแรงกายที่เราได้มาฟรีๆ เปลี่ยนเป็นประโยชน์ เปลี่ยนเป็นสวนดอกไม้แห่งความรัก ปลูกในใจคนรอบข้างแล้วให้ไปบานบนสวรรค์ ใครเคยมีความรักไหม เวลาคนมีความรักมันจะมีต้นรักในหัวใจงอกคนละต้น ต้นรักของผู้ชายที่งอกงามใครเป็นคนรดน้ำ ใครเป็นคนปลูก ผู้หญิงใช่ไหม เพราะฉะนั้น เราต้องเป็นคนปลูกต้นรักในหัวใจเขา กติกาง่ายๆ เลย ถ้าเราเอาน้ำร้อนไปรดมันตายแน่นอน น้ำร้อน คือ คำหยาบคาย ความหึงหวงอะไรต่างๆ รดไปนิดเดียวตายเลย บางคนไปวัดหลวงพ่อเป็นสามีภรรยามีปัญหากัน ภรรยาไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองมีปัญหาอะไร ทำไมสามีไม่มีความสุขเลยที่อยู่กับเขา เขาหาสาเหตุไม่เจอ หลวงพ่อมองไปก็พบเลยเพราะว่าเขาชอบใช้น้ำร้อนรด เขาไม่รู้ว่าเขาใช้น้ำร้อนรดอยู่ ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งดูต่ำต้อย ทำให้เขาไม่มีความสุข สิ่งนี้สำคัญมาก

                             

          การที่เราเริ่มทำความดีมันกระเทือนไปถึงสรวงสวรรค์ สวรรค์ในจิตใจคนอื่นๆ ด้วย และสิ่งเล็กน้อยก็สร้างความสวยงาม อย่าคิดว่าต้องไปทำโครงการใหญ่ๆ ใครกินกาแฟก็คอยล้างแก้วกาแฟให้ดีล่ะกัน การอยู่ด้วยกันต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมตตาทั้งกาย วาจา ใจ เอาตัวเข้าสมานด้วยการทำความดีในหัวใจเขา เราต้องหาทุกโอกาสทุกขณะที่ทำความดี ให้ใช้ชีวิตประดุจนายช่างผู้ร้อยดอกไม้นั่นเอง


          มีคณะผู้ปฏิบัติธรรมมาจากวิทยุชุมชนกรุงเทพฯ ขับรถฝ่าสายฝนขึ้นมาถึงสำนักพุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว เขาค้อ เดินมาบอกด้วยความตื่นเต้นว่าสถานที่แห่งนี้งามตระการตา เพลิดเพลินใจ
นี่คืออานุภาพของธรรมชาติที่งดงาม สามารถบันดาลให้รู้สึกเบิกบานในจิตใจเป็นเบื้องต้น และจะค่อยๆ อำนวยให้เกิดการซึมซับความสงบสุขในส่วนลึกของจิตใจ ซึ่งเมื่อเกิดภาวะนั้นแล้ว ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความรัก ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลจะแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจ จากนั้น ใจที่ประณีตนุ่มนวลนั้น ก็จะสามารถสัมผัสสัจธรรมจากธรรมชาติได้
 
          ธรรมชาติที่ผาซ่อนแก้ว จะแสดงสัจธรรมการเกิดของดอกไม้ การตั้งอยู่ไม่ได้และร่วงหล่นของใบไม้ เมฆที่แปรเปลี่ยนเป็นฝน พระอาทิตย์ที่ให้พลังงานแบบให้เปล่าแก่สรรพชีวิต มีคนงาน มีนก มีมดเป็นล้านๆ ตัวให้เราเห็นทุกข์ ความไม่เที่ยง และตระหนักถึงความไม่ประมาทที่จะใช้ชีวิตทุกหยาดหยดอย่างเกิดประโยชน์ต่อตนเอง และเพื่อนร่วมทุกข์ เพียงแต่รู้จักเรียนรู้จากธรรมชาติ มองไปอย่างซื่อๆ ตรงๆ ใจก็จะสว่างด้วยปัญญา

 
     อำนาจ โอภาโส


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 21, 2013, 08:18:57 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด


"ไม่เห็นตัวตน
มองทุกหนเห็นแต่กระแสไหลไปในทุกที่
เปลี่ยนแปลงทุกวินาที
อยู่ที่ใครจะผลักดันเหตุปัจจัย

ชีวิตเลยเป็น ธรรม ทั้งแท่ง
ที่ประชุมแห่งเหตุปัจจัยที่ลื่นไหล
ใช้ปัญญาให้เข้าใจ
สร้างปัจจัยทางดีงาม ก็งามพลัน

ชีวิตเลยเป็น ตู้พระธรรม
ค่าล้ำแหล่งในกาย ใจผสาน
เห็นเกลียวปัจจยาการ
ทุกขณะปัจจุบัน พลันเกิดปัญญา"


ที่มา : พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส (อำนาจ กลั่นประชา).
คำตอบของชีวิต ปฏิจจสมุปบาท. หน้า ๑๗๖.
นำมาแบ่งปันโดย กุหลาบสีชา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=12931


               

ดุจวิถีนายช่างร้อยดอกไม้
สรรค์สร้างให้ทุกนาทีมีความหมาย
ด้วยตื่นรู้ปัจจุบันที่ผุดพราย
จึงเห็นธรรมอยู่ในกายและใจตน

มีสติเรียงร้อยคอยถักสาน
เป็นลาวัณย์แห่งความดีมีกุศล
ทุกขณะเบิกบานได้อย่างแยบยล
นี่คือชนในวิถีผู้มีธรรม




ประวัติพระอาจารย์อำนาจ โอภาโส   
 นามเดิม อำนาจ กลั่นประชา
 เกิด 13 สิงหาคม 2497 กรุงเทพฯ
 การศึกษา ศึกษาศิลปะด้วยตัวเอง
 
 ปัจจุบัน จำพรรษาอยู่ที่พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว จ.เพชรบูรณ์
 
รางวัลและเกียรติประวัติสำคัญ
 2002 ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมสหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เนื่องในงานประชุมผู้นำสตรีทางศาสนาและจิตวิญญาณเพื่อศานติภาพโลก
 
 2001 ผลงานชุดทาโรห์ รูทออฟเอเชีย 78 ภาพ พิมพ์เผยแพร่ออกเป็น 4 ภาษา ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศษ เยอรมัน และเชคโกสโลวาเกีย 
 2001 - 2002 อาจารย์พิเศษวิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล
 1993 ได้รับรางวัลผลงานดีเด่นจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
 
 1992 ได้รับรางวัลเกียรติยศจากสมาคมธุรกิจแห่งประเทศไทย
 1991 ศิลปินรับเชิญในงานอินเตอร์เนชั่นแนลโพสเลนอาร์ทิสต์ ประเทศออสเตรเลีย 
 1986 1 ปีกับการสร้างผลงานปริศนาธรรมหน้าบรรณ ขนาด 11 เมตรและขนาด 7 เมตร
ณ วัดเขาสารพัดดี จ.ชัยนาท ถวายเป็นพุทธบูชาโดยไม่รับค่าแรง
 
 ผลงานหนังสือและบทกวี 
 2003 เซียมซีพุทธ อนุสาสนีปาฎิหารย์
 2003 คำตอบของชีวิต ปฎิจจสมุปบาท
 2001 สะพานเชื่อมใจ
 
 1996 หนังสือบทกวี The Oneness 
 1996 มาลัยดอกไม้ในดวงตา 
 1995 สวรรค์ติดดิน 


ที่มา : http://www.ruendham.com/book_detail.php?id=50
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 04, 2015, 11:38:17 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: เข้าซอยให้ถูก (พระอาจารย์อํานาจ โอภาโส)
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2011, 09:44:27 am »


เข้าซอยให้ถูก 
โดย พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส

เมื่อเราใช้ชีวิตอยู่ในสังคม บ่อยครั้งเราเลือกไม่ได้ว่า
วันนี้จะมีคนดีหรือคนไม่ดีผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา
เหมือนกับทุกการงานหรือความฝันใฝ่ของเรา
เราก็เลือกไม่ได้ที่จะราบรื่นหรือมีอุปสรรค

แต่สิ่งหนึ่ง เราสามารถเลือกได้และกำหนดได้ด้วยตนเอง
คือเราเลือกที่จะขุ่นมัว หรือเลือกที่จะรักษาสันติสุขในหัวใจ

มันไม่ได้อยู่ที่ว่าเพราะเขาเป็นคนไม่ดีเราจึงขุ่นมัว
หรือเพราะว่าอุปสรรคจึงทำให้เราหงุดหงิด
แต่มันอยู่ที่ว่าเราวางใจไว้ตรงไหนในหัวใจเรา

ถ้าเราวางใจไว้ตรงการถือตัวว่าเราดีกว่า เราต้องชนะ
การแพ้จะทำให้เรารู้สึกต่ำต้อย
เวลาที่ไม่ได้รับการให้เกียรติ ไม่ได้รับความสำคัญ

แค่กิริยาเมินเฉยของใครบางคน ก็อาจทำให้เราขุ่นมัวได้
นั่นย่อมแปลว่าความทุกข์นั้นไม่เกิดเพราะเขาเป็นผู้กระทำต่อเรา
แต่เพราะความไม่รู้ตามไม่จริง (อวิชชา)
จึงทำให้เราวางใจไว้ผิด ในกรณีอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน

เราจะต้องเป็นผู้สมหวังเสมอไปหรือ
แล้วทำไมเราจึงไม่ยอมรับว่าอุปสรรคเป็นเรื่องธรรมดา
การเป็นคนดีกับการเป็นคนมีอุปสรรคเป็นคนละเรื่องกัน

ดังนั้นเวลาที่เรามีปัญหาขัดข้องในสิ่งที่เราทำ
เราก็ไม่จำเป็นต้องตกนรกด้วยการทำใจให้หงุดหงิด
ขุ่นมัว และอ้างว่าเราเป็นคนดี
เรากำลังทำในสิ่งที่ดี หรือสำคัญ หรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่มีประโยชน์
เลยจำเป็นต้องหงุดหงิดกับอุปสรรค นั่นก็เป็นการวางใจไว้ผิดเช่นกัน
เพราะอุปสรรคนั้นอยู่ในกฎแห่งความไม่เที่ยง ไม่แน่นอน
ความไม่ใช่ตัวตน สิ่งนั้นเราบังคับบัญชาไม่ได้

ดังนี้ ถ้าเราหงุดหงิดกับอุปสรรค
แสดงว่าเรากำลังวิปลาส คือเห็นผิด
เห็นว่าความไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นทุกข์เป็นสุข
เห็นความไม่ใช่ตัวตนเป็นตัวตน
และพยายามจะบังคับให้ทุกอย่างเป็นไปดังใจ

โดยลืมความจริงไปว่าคนอื่น
ก็ล้วนเกิดจากองค์ประกอบที่ผันผวนอยู่ตลอดเวลาตามเหตุปัจจัย
ยิ่งทำงานที่เกี่ยวข้องกับคนมาก
ก็ย่อมต้องพบกับความผันผวนแลแปรปรวนมากเท่านั้น
 
เหมือนเดินอยู่ท่ามกลางกระแสคลื่นที่อยู่โอบล้อมเรา
เราจะกรีดร้อง หรือยิ้มอย่างเท่าทันต่อหัวใจของตัวเอง
รักษาสมดุลย์อันสงบในหัวใจ และก้าวเดินอย่างงามสง่า
เพราะในทุกๆ วินาทีที่คลื่นแห่งความแปรเปลี่ยนโอบกอดเรา
เราเลือกได้ที่จะเอะอะโวยวาย คร่ำครวญ หรือเลือกที่จะมีศานติสุขในหัวใจ
ไม่ผลักใจตัวเองให้ลงนรกด้วยความขุ่นมัว

ในเมื่อความเปลี่ยนแปลง และความไม่แน่นอนนั้น
เป็นกฎอันศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาติ



พายุร้ายที่โหมกระหน่ำ ก็เคลื่อนตัวไปสู่ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง
รัตติกาลย่อมผลิแย้มดวงตะวันแห่งรุ่งอรุณ

เราจึงเลือกได้ที่จะสงบสันติสุขอย่างผู้มีปัญญา
ไม่หวาดหวั่นกับอุปสรรค
เพราะอุปสรรคทำให้เราตกนรกไม่ได้
ถ้าเราวางใจไว้ถูก ไม่แก้ปัญหาด้วยการทำใจให้เป็นอกุศล
หรือแม้แต่ก่อความอยากที่จะพ้นจากภาวะอันขัดข้อง

เพราะความอยากพ้นจากภาวะ ก็เป็นตัณหาตัวหนึ่ง
ที่ให้ผลเป็นความบีบเค้นต่อจิตใจ
นับเป็นการซ้ำเติมตัวเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ทุกข์ทางกายที่เราต้องประสบกันทุกคน
เหมือนกับกำปั้นของธรรมชาติ ที่คอยเราด้วยทุกข์เล็กทุกข์น้อย
แต่หากเราขาดสติ เราจะซ้ำเติมตัวเองอีกกำปั้นหนึ่ง ด้วยการวางใจไว้ผิด

อุปสรรคย่อมเกิดขึ้นโดยธรรมดา
แต่เราเลือกที่จะเครียดหรือไม่เครียด
กายเรามีสิทธิ์ที่จะเจ็บป่วยตามธรรมชาติ
แต่เราเลือกได้ที่จะเอากำปั้นเราทุบใจซ้ำ
ด้วยความกังวลหงุดหงิด อยากให้หายดิ้นรน ที่จะพ้นจากภาวะ
หรือวางใจให้เห็นธรรมชาติของกาย เวทนา ว่าไม่ใช่ของเรา
ล้วนเป็นองค์ประกอบของเหตุปัจจัย

แต่การวางใจไว้ถูก ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ
แต่เกิดขึ้นอย่างมีปัญญาที่จะเข้าใจ ตามความเป็นจริง
เหตุนั้นเองเราจึงจำเป็นต้อง เข้าใจวงจรปฏิจจสมุปบาท
คือภาวะที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น

เช่น เราเลือกไม่ได้ที่จะให้คำพูดที่ไม่ดีมากระทบหูของเรา
แล้วไหลตกลงไปสู่ในใจ
การรับรู้เกิดขึ้นแล้วตรงนั้น เสี้ยววินาทีแห่งสายฟ้าแลบนั้น
เราเลือกได้ที่จะโกรธหรือไม่โกรธ

โต้ตอบหรือสงบอย่างรู้เท่าทัน ถึงผลที่จะตามมา
ในช่วงวินาทีแห่งสายฟ้าแลบนั้น
เราอาจะเผลอถูกย้อมอารมณ์กลายเป็นปฏิกิริยา
มารู้สึกตัวอีกทีก็สายเสียแล้ว วิธีคือเราต้องวางใจให้ถูกต้องเสียก่อน



คือเข้าซอยถูก ที่ปากซอยปักป้ายไว้ว่า สัมมาทิฏฐิ
คือ เมื่อมีความเป็นที่ถูกต้อง จึงมีดำริที่ถูกต้อง คือ สัมมาสังกัปปะ
คือวางไว้ในใจว่า จะเสียสละ จะเมตตา จะกรุณา
เมื่อวางใจในลักษณะบวก (+) เช่นนี้
แม้จะถูกคลื่นลบ (-) มารบกวน จิตก็ตกลงมายาก

หากวางใจไว้เป็นลบอยู่ก่อนแล้ว
คือหมกมุ่นพัวพันกับสิ่งสนองความอยาก
หรือคิดในแง่ในแง่ร้ายเคียดแค้น ชิงชัง
หรือคิดในแง่ที่จะเอาเปรียบ ข่มเหง
การวางใจไว้ผิดเช่นนี้ ยิ่งกระทบก็ยิ่งทำให้ใจมืด
เหมือนเดินเข้าปากซอยผิดตั้งแต่เริ่มต้น
คือ ยิ่งเดิน ยิ่งมืดทึบ อึดอัด คับตัน

เป็นการดำริที่ทำให้ปัญญาดับ
เป็นการเบียดเบียนทั้งตัวเองและผู้อื่น
เพราะการวางใจไว้ผิดนั้น
ก็เผาลนตัวเองอยู่ทุกขณะอยู่แล้ว ก่อนที่จะเผาไหม้ผู้อื่น
เมื่อการกระทบนั้นไม่เป็นดังใจ
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ทุกสิ่งซึ่งไหลโอบล้อม
อยู่รอบกระแสแห่งชีวิตจะถูกใจไปทั้งหมด

ดังนั้น การเข้าซอยถูกตั้งแต่เริ่มต้น ยิ่งเดินยิ่งสว่าง

เมื่อเข้าซอยสัมมาทิฏฐิ เห็นถูกต้อง
ก็ทำให้เกิด สัมมามาสังกัปปะ ดำริคิดถูกต้อง
ทำให้เกิด สัมมาวาจา พูดถูก
สัมมากัมมันตะ คือมีกายในทางไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วยการฆ่าหรือขโมย
สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ เว้นจากมิจฉาชีพ

สัมมาวายามะ คือความเพียรคอยเร้าจิตให้มุ่งมั่น
ป้องกันอกุศลที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้น
ละอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว สร้างกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
และรักษากุศลที่มีอยู่ในใจให้เจริญยิ่งขึ้น
สัมมาสติ ระลึกชอบ คือมีสติอยู่กับกาย เวทนา จิต ธรรม
สัมมาสมาธิ คือความตั้งใจไว้ชอบ
ความตั้งมั่นของจิตที่แน่วแน่นุ่มนวลควรแก่การงาน
ทำให้เกิดปัญญาเห็นตามจริง

ดังนั้น การเริ่มต้นเริ่มเข้าซอยถูก
เห็นถูก วางใจให้ถูกจึงยิ่งเดินยิ่งสว่าง

ถึงแม้เราจะเลือกไม่ได้ว่าจะมีอุปสรรคระหว่างหนทางหรือไม่
จะเจอคนดีหรือไม่ดี ไม่มีใครผลักใจเราให้ล้มลงได้
ถ้าเราไม่ผลักใจ เราให้ลงนรกด้วยความขุ่นมัว...เราเลือกได้




: “เข้าซอยให้ถูก” ในคำตอบของชีวิตปฏิจจสมุปบาท, หน้า ๘๕-๘๙)
ที่มา :http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13688
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 04, 2015, 10:18:23 pm โดย ฐิตา »