01-10-2010, 11:32 PM #41081
:::เพชร:::
สมาชิก
กรรมที่นำไปสู่นรก
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระคุณเจ้าที่เคารพ วันนี้อาตมามีโอกาสพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทตามปกติ เอายังงี้ก็แล้วกันนะ คือว่าเราพูดกันถึงเหตุมานานแล้ว การที่นำเอาเรื่องราวของหลวงพ่อปานและคณะศิษยานุศิษย์ก็ดี หรือว่าพระรุ่นท่าน พระเพื่อนท่านก็ตาม เอามาเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง อันนี้เป็นเหตุ เหตุที่บอกก็บอกว่าถ้าใครทำความดีแบบนั้น ใครทำความชั่วแบบนั้นจะไปสู่อบายภูมิ หรือว่าไปสู่สวรรค์ ไปสู่พรหมไปสู่นิพพาน นี่เรียกว่าเราเล่าต้นทาง แล้วก็พาดพิงไปถึงปลายทางว่า ถ้าทำแบบนี้ละก็ ท่านจะต้องไปนรก หรือว่าไปสวรรค์ ไปทำแบบนี้ละก็ ท่านจะต้องไปนรก หรือว่าไปสวรรค์ ไปพรหมโลก หรือไปนิพพาน ตอนต้นเรากล่าวกันอย่างนั้น
ต่อจากนี้ไป จะขอให้เรื่องที่พูดนี้ เรียกกันว่าเรื่อง "ไตรภูมิ"
ไตรภูมิ แปลว่า ภูมิสาม ภูมิ ก็แปลว่า แผ่นดินหรือสถานที่อยู่ เป็นสถานที่ที่อยู่กัน เราเรียกกันว่าภูมิ สำหรับภูมิในที่นี้ จะกล่าวถึงอบายภูมิ แล้วก็สวรรค์ พรหมโลก ดีไม่ดี ก็จะย่องพูดถึงเรื่องนิพพานสักนิดหนึ่ง เพราะกันตัวอาตมาเองเป็นมิจฉาทิฏฐิ สำหรับคนอื่นไม่เกี่ยว อาตมาน่ะเป็นห่วงตัวเอง ห่วงความเป็นมิจฉาทิฏฐิของตัวเอง ที่เทศน์ว่าพระนิพพานสูญมานาน ใครเขาจะถามถึงพระนิพพานก็บอกเลย บอกว่าพระนิพพานนี่มีสภาพสูญ มีอุปมาดุจหนึ่งว่าควันไฟที่ลอยไปในอากาศ จะมีที่เกาะที่พักมันก็ไม่มีฉันใด แม้พระที่เข้าสู่พระนิพพานก็เหมือนกัน มีสภาพเหมือนควันไฟ นี่ไปค้านกับคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้า เพราะว่าไปค้นในพระไตรปิฎก ไปพบเอาตอนที่พระพุทธเจ้าทรมานท้าวผกาพรหมที่ท้าผกาพรหมท่านบอกว่า พรหมเท่านั้นแหละเป็นความสุขสูงสุด และพรหมไม่เป็นอนัตตา พรหมเป็นอัตตาไม่มีการสลายตัว
ทั้งนี้ก็เพราะว่าอาศัยพวกระฆังเล็ก ๆ ทั้งหลายสนับสนุนยุยงส่งเสริม เห็นว่าท่านผกาพรหมเป็นพรหมที่มีวาสนาบารมีมากก็เลยยุท่านส่งเดชเข้าให้ ท่านผกาพรหมก็เมามัน ไอ้เสียงคนนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทกรอกหูนาน ๆ มันอดจะเขวไม่ได้หรอก เป็นเรื่องธรรมดา
ทีนี้ในเมื่อท่านผกาพรหมท่านมาเข้าแล้วท่านก็เลยคิดว่าในเมื่อพรหมเป็นอมตะ เป็นแดนไม่ตาย เป็นแดนที่มีความสุขมากที่สุด เวลานี้พระสมณโคดมออกจากตระกูลศากยราชมาบวชแล้วก็ประกาศว่า สิ่งที่สูงสุดยิ่งกว่านั้นมีอยู่ คือ พระนิพพาน ยิ่งกว่าพรหม สูงกว่าพรหมมีพระนิพพานเป็นที่ไป แล้วก็เป็นแดนสูงสุด มันจะจริงหรือไม่จริงเราไม่เชื่อ เมื่อพระพุทธเจ้าทราบวาระน้ำจิตของท่านผกาพรหมก็เสด็จไปสู่พรหม ท้าทายกันด้วยเรื่องฤทธิ์ต่าง ๆ เพื่อเป็นการทรมาน ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็บอกว่า หากว่าท่านเก่งจริงละก้อ เล่นซ่อนหากับเรา พระพุทธเจ้าให้ท้าวผกาพรหมซ่อนก่อน จะซ่อนที่ไหนก็ตาม พระพุทธเจ้าก็มองเห็น ในที่สุดหมดท่า ก็ให้พระพุทธเจ้าซ่อนบ้าง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ซ่อน ท่านประทับนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วก็ทำให้ท้าวผกาพรหมไม่เห็น พระองค์ก็ทรงแสดงเสียงให้ ปรากฏท้าวผกาพรหมก็มองไม่เห็นว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ตรงไหน เป็นอันว่าท้าวผกาพรหมยอมแพ้พระพุทธเจ้า
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสว่า ผกาพรหมเธอเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะคำป้อยอของคนอื่น บรรดามารทั้งหลาย คำว่า มารในที่นี้ไม่ได้แปลว่า ยักษ์ มาร แปลว่า ผู้ฆ่า คือ ความเห็นที่ไม่ถูกทางของบุคคลผู้ยุยงส่งเสริม พยายามเกลี้ยกล่อมชักจูงเธอให้เห็นผิด เธอเกิดเป็นพรหมชั้นสูงแล้วมาเกิดเป็นพรหมชั้นต่ำแล้วก็ต่ำลงมา อาศัยที่เธอบำเพ็ญบารมีมามาก ไปเป็นพรหมเสียหลายร้อยกัปหลายพันกัปจึงลืมสภาวะเดิม ลืมเรื่องของการจุติ การเกิดการตายในแดนที่ไม่ใช่พระนิพพาน ต่อจากนี้ไปเธอจงเป็นผู้เห็นถูก
ในที่สุดท้าวผกาพรหมก็ยอมรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงตรัสว่า ดินแดนที่มีสุขยิ่งกว่านี้มีอยู่ นั่นคือ พระนิพพาน
เห็นไหมเล่า บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าทรงยืนยันพระนิพพานว่าเป็นดินแดนพิเศษ เป็นทิพย์พิเศษสูงยิ่งกว่าพรหม คราวนี้เรื่องของพรหม เรื่องของเทวดา เรื่องพระนิพพานนี่ ถ้าเรายังไม่เห็น เราก็อย่าพึ่งรับรองกันนักว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง ถ้าใครเขาถามขึ้นก็บอกว่าพูดตามตำรากันไว้ก่อน ต่อมาเมื่อเราเข้าถึงทิพจักขุญาณ แล้วก็สามารถเจริญวิปัสสนาถึงระดับพอที่จะเห็นพระนิพพานได้ ตอนนั้นเราค่อยพูดกันเรื่องพระนิพพาน จะพูดกันได้ตอนไหน ก็ตอนที่ท่านทั้งหลายเจริญสมถะพอสมควรจนได้ทิพจักขุญาณแล้ว แล้วก็เจริญวิปัสสนาญาณให้เข้าถึงโคตรภูญาณ โคตรภูรู้จักไหม? ถ้าไม่รู้จักก็จะบอกว่า อยู่ระหว่างโลกียะ กับ โลกุตตระ ส่วนหนึ่งของใจยังเป็นโลกียชน อีกส่วนหนึ่งของใจจะเป็นโลกุตตรชน จะเป็นพระโสดาบัน ตอนนั้นแหละท่านทั้งหลายจะอาศัยทิพจักขุญาณเห็นพระนิพพานได้แบบสบาย ๆ ตอนนั้นแหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เราพูดกันถึงเรื่องพระนิพพาน
เวลานี้ท่านเห็นเปรตบ้างไหม? เปรตมีสภาพหยาบที่สุด ถ้าหากว่าท่านไม่สามารถจะเห็นเปรตก็อย่าเพิ่งพูดเรื่องของพระนิพพาน ถ้าพูดแล้วมันผิด ที่นี้เรื่องของพระกรรมฐานนี่นะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท มีหลวงพี่องค์หนึ่งท่านสอนมาทางอากาศ ว่าอย่าเที่ยวนำพูดเพ้อเจ้อไปนะ เรื่องกรรมฐานนี่ ต้องพูดเฉพาะในเวลาที่สมควร ถ้ายังไม่ถึงเวลาสมควรมาพูดละ ดีไม่ดีเป็นอวดอุตตริมนุสสธรรม ตีความหมายเป็นอย่างงั้นนะ
อาตมาฟังแล้วก็สงสัย ไม่รู้ว่าพระอะไร ได้ยินแต่เสียง ก็อยากจะถามท่านเสียตอนนี้เลยว่า ไอ้ "เวลาสมควร" น่ะ มันตรงไหนเวลาเท่าไหร่ เมื่อไรจึงจะสมควร เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัทที่เป็นฆราวาสเขาเจริญพระกรรมฐานกัน มีหลายท่านได้ทิพจักขุญาณ ไปนั่งอายเขามานี่หลายคนแล้วนะ จะบอกให้ ผู้หญิงบางทีเรียนนอกเรียนนามาตั้งแต่อายุ ๖ ขวบ ๗ ขวบ กว่าจะเข้ามานับถือพระพุทธศาสนาก็ ๓๐ ปีเศษ เขาได้ทิพจักขุญาณ เขาสามารถใช้กำลังจิตรักษาโรคก็ได้
นี่อำนาจพระกรรมฐานเข้าไปถึงฆราวาสแล้วหลวงพี่ แล้วถ้าหล่วงพี่ยังจะมรานั่งคอยเวลา "สมควร" น่ะ นี่ถามจริง ๆ เถอะพ่อคุณ บวชเข้ารมาเวลานี้น่ะ ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า?
ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า การบวชจะต้องถือกฎ ๓ อย่าง เป็นสำคัญ
๑. อธิศีลสิกขา รักษาศีลยิ่งกว่าฆราวาส
๒. อธิจิตสิกขา ทำจิตให้มั่นคงในสมาธิที่เรียกกันว่า ได้ฌาน
๓. อธิปัญญาสิกขา ทำจิตใจของเราให้ผ่องใสจากกิเลส
นี่คงจะบวชเข้ามาแล้วก็ทำตัวเป็นฆราวาสเอาเอ่น แล้วเวลาพูดก็เห็น อ้างพระอาจารย์อะไรต่อพระอาจารย์อะไร พระอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้นยังเมาอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ตามธรรมดาน่ะ พระที่บวชเข้ามาน่ะ เขาเกาะพระพุทธเจ้ากันนะ เขาไม่ได้เกาะพระที่มีกิเลส ก็หลวงพี่ไปเกาะพระที่มีกิเลสเป็นสรณะ แล้วกิเลสมันจะหมดหัวได้ยังไง แสดงว่า กิเลสยังเต็มหัวอยู่
เรื่องของพระกรรมฐานเป็นเรื่องธรรมดาที่พุทธบริษัทควรรู้ ถ้าเราไม่พูดเมื่อไรเขาจะรู้ จะมานั่งหลอกลวงเขากินอยู่ หรือว่าเราบวชเข้ามาแล้วน่ะ ดียังงั้นดียังงี้ ควรแก่การไหว้ สักการะของบรรดาพุทธบริษัท แต่ความจริงแล้วจะพูดเรื่องพระกรรมฐานก็บอกไม่สมควร นีมันดีหรือหลวงพี่?
จำไว้นะ จำไว้ให้ดีว่า เราบวชเข้ามาแล้ว จงเอาสวรรค์ เอาพรหมโลก เอาพระนิพพานเป็นปัจจัยของเรา เอาสิ่งทั้งสามประการเป็นที่พึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่เราจะบวช เวลานี้นักปรูดทั้งหลาย ( ไม่ใช่นักปราชญ์ ) ตัดความสำคัญออก
เมื่อก่อนนี้เวลาเขาจะบวชกับอุปัชฌาย์ว่า
"นิพพานนัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา" ซึ่งแปลเป็นใจความว่า "ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน"
แต่เวลานี้นักปรูดทั้งหลายตัดทิ้งไป ใช้อะไรเสียก็ไม่ทราบ ไปขึ้น เอสาหัง ก็ปรารภพระนิพพานในเบื้องต้นเหมือนกัน ในเมื่อเราบวชเข้ามาปรารภพระนิพพาน แล้วเวลาเราบวชเข้าแล้วจริง ๆ เราจะมาปรารภ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เพื่อประโยชน์อะไร
เป็นอันว่า หลวงพี่เข้าใจผิดเสียแล้วนะ หลวงพี่นะดีไม่ดี ผมจะบอกว่า หลวงพี่นั่นแหละ เวลานี้กำลังใจยังทรามกว่าฆราวาสที่เป็นผู้หญิงหลายคนที่เขาปฏิบัติตนได้ดี กว่าหลวงพี่นะ เพราะเห็นว่าควรแล้ว
เวลานี้กรรมฐานตั้งสำนักกันอย่างกับดอกเห็ด มีทั่วประเทศ มีกระทั่งนอกประเทศ ถ้าเวลานี้ยังไม่สมควรพูดเรื่องกรรมฐาน เวลาไหนมันจะควร หรือว่าจะรอให้กิเลสมันเลยหัวไปสักหน่อยแล้วจึงจะควร อันนี้เราฟังกันไว้แล้วก็คิดด้วยนะ ถ้าหลวงพี่องค์นั้นรับฟังละก้อเอาไปคิดด้วย แล้วก็จงรู้ตัวเสียด้วยว่าเราทำเราพูดน่ะมันไม่ควร
เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท อาตมาเป็นคนปากเสียเป็นปกติ แต่เสียแบบนี้เสียในฐานะเพื่อจะตักเตือนเพื่อนพระด้วยกัน ให้บวชให้เป็นพระ ไม่ใช่บวชเข้ามาแล้ว แล้วก็จะเอาปฏิปทาอย่างอื่นมาใช้ ประเดี๋ยวจะพูดให้ฟัง เรื่องทะเลาะกันแล้วนะ หลวงพี่องค์นั้นก็เหมือนกัน ทีหลังจะทะเลาะกับผลละก้อ ฟังเรื่องต่อไปว่าท่านชอบอะไร
วันนี้ เรามาเริ่มเรื่องไตรภูมิกัน แล้วเราจะไปไหนกันก่อนล่ะ มีอบายภูมิสี่ คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน นี่จัดเป็นภูมิที่หนึ่ง ภูมิที่สองก็ได้แก่ สวรรค์ชั้นกามาวจรสวรรค์ ภูมิที่สามก็ได้แก่ พรหม พระนิพพานยังไม่เกี่ยว สามภูมินี่เราจะไปไหนกันก่อน ขอชวนบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท และพระคุณเจ้าที่เคารพ ไปเที่ยวนรกกันก่อนดีกว่า
ต่อจากนี้ไป เราไปทัศนาจรนรกกัน แน่ะ พูดทันสมัยเสียด้วย ไอ้ทัศนาจรนี่น่ะ มันเป็นศัพท์บาลีแกมไทย ทัศนะ จระ จระเป็นภาษาบาลี ไทยล่อจรเข้าให้ ก็เรียกว่าเที่ยวไปดูนรก ทัศนาจร แปลว่า เที่ยวดู ดูอะไร ดูนรก ตานี้เราจะไปนรก เราก็มาคิดดูว่า เราจะไปอยู่เลยหรือว่าเราจะไปเที่ยว ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทมีความสมัครใจจะอยู่นรกขุมไหน ตามอาตมาไปแล้วก็สมัครใจอยู่ได้เลย อาตมาจะบอกปฏิปทาให้ว่า เขาบำเพ็ญบารมีอะไร? จึงจะอยู่ขุมนรกนั้นได้ แต่ใครไม่อยากอยู่ก็ไปเที่ยวเฉย ๆ ก็แล้วกัน เวลากลับก็กลับด้วยกัน
ทีนี้เวลานำเที่ยวเวลานี้ใช้ยานอะไรเป็นพิเศษ? ไม่ยาก ใช้ยานหนังสือ เรียกว่าใช้ยานหนังสือเอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก นี่.. คนชั้นดีเขาต้องทำยังงี้นะ นี่..ไม่มีใครเขายกก็ยกมันเองละ ไปมัวคอยชาวบ้านยกย่องสรรเสริญ เมื่อไรเขาจะยก ก็เอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก แล้วก็เอาเรื่องที่พระคณาจารย์ทั้งหลายที่ทรงฌาน ทรงญาณพิเศษ อย่างพระโมคคัลลาน์ไปพบเห็นมา เอามาพูดต่อ รวมกันเข้าไป ญาติโยมทั้งหลายจะได้ทราบว่าตอนนี้ ที่นี้นรกชั้นนี้ สวรรค์ชั้นนี้ วิมานแบบนั้น เขาบำเพ็ญบารมีอะไรเข้าไว้ จึงจะได้อยู่อย่างนั้น นี่เป็นอันว่าเข้าใจ
ทีนี้ต่อจากนี้ไป ก่อนที่จะเดินทางไปนรก เราก็มาหาทุนกันก่อน ไปไหนไม่มีทุนนั้นไม่ได้ ทุนในทสี่นี้ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่ทอง แต่ว่าเป็นทุนการบำเพ็ญบารมี เรามาพูดกันเสียก่อนว่า บารมีทสี่จะทำให้คนลงนรกน่ะ มันมียังไง เขาจึงได้ลงกันได้
นรกน่ะ แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ
นรกขุมใหญ่ และ ยมโลกียนรก
แล้วก็เฉพาะนรกขุมใหญ่แต่ละขุมกันมีนรกบริวารด้านละ ๔ ขุม ๔ ด้าน เป็นอันว่านรกขุมใหญ่ ๑ ขุม มีนรกบริวาร ๑๖ ขุม แต่ว่าสัตว์นรกที่จะผ่านนรกบริวารก็ผ่านแต่เพียง ๔ ขุม เพราะออกด้านใดด้านหนึ่งก็ผ่านสี่ขุม นรกขุมใหญ่นี่เราเรียกกันว่า นรกแป๊ะเจี๊ยะ หมายความว่า ลงโทษไม่จำกัดโทษ ไม่ใช่แยกประเภท
สำหรับยมโลกียนรกนั่นแยกประเภท คือ หมายความว่า ถ้าคนใดทำกรรมชั่วไปลงนรกขุมใหญ่ก่อน ลงขุมนี้เวลาจะออกจากขุมนี้ผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม ถ้ากรรมชั่วอย่างหนักยังไม่หมดก็ไปลงขุมโน้นต่อไป ออกจากขุมนั้นก็ผ่านนรกบริวารอีก ๔ ขุม นรกขุมใหญ่นี้ เรียกกันว่า นรกแป๊ะเจี๊ยะ ไม่จำกัดโทษ ตรงกันข้ามกับยมโลกียนรก เขาแยกโทษเข้าไว้
ทีนี้มาว่ากันไป นรกขุมใหญ่มีโทษอะไร นี่ศึกษาบารมีการลงนรกเสียก่อน คนที่จะลงนรกต้องสร้างบารมี ต้องบำเพ็ญบารมี ถ้าบารมีไม่ถึงเขาก็ขับไปสวรรค์บ้าง ขับไปพรหมโลกบ้าง ขับมาเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์เดียรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เขาไม่ยอมให้ลง แต่ถ้าหากว่ามีบารมีสมควร เขาก็ยินดีรับเอาไว้ในนรก นี่เฉพาะนรกขุมใหญ่นะ
บรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพที่กำลังรับฟัง และ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท จะพูดให้ฟังว่านรกขุมใหญ่มีอะไรบ้างที่เราจะได้ไปน่ะ ต้องสร้างบารมีอะไร บารมีที่จะลงนรกขุมใหญ่นั้น ท่านกล่าวว่า ต้องสร้างบารมี ๑๐ อย่างครบถ้วน สุดแล้วแต่หนักเบา ถ้าสร้างเบาหน่อยก็ลงนรกขุมที่ ๑ หนักลงไปอีกนิดก็ลงนรกขุมที่ ๒ หนักลงไปอีกหน่อยก็ลงนรกขุมที่ ๓ หนักไปตามลำดับ ถ้าหนักเต็มที่ลงนรกขุมที่ ๘ เรียกว่า อเวจีมหานรก แล้วก็มีนรกพิเศษอีกอย่างหนึ่ง ถ้าหนักล้นเกินไปละก้อ ลงโลกันตนรก แล้วจึงจะถอยมาสู่อเวจีมหานรก
บารมีที่เขาปฏิบัติ ๑๐ อย่าง ก็คือ กรรมบถ ๑๐ ใครไม่เคารพกรรมบถ ๑๐ ต้องลงนรกขุมใหญ่ ๑๐ หรือเรียกว่า ใครไม่เคารพในกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ มีโอกาสได้อยู่นรกขุมใหญ่สบาย ๆ มีวาสนาบารมีมาก
กรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ ที่ควรเว้นมีอะไร คือ
๑.เราต้องไม่ฆ่าสัตว์ ถ้าเราฆ่าสัตว์ ก็เรียกว่า เราไม่เคารพในกรรมบถข้อนี้
๒.การลักทรัพย์
๓.การประพฤติผิดในกาม ทั้งเมียเขา ทั้งลูกเขา ทั้งผัวเขา ทั้งลูกจ้างของเขา ขี้ข้าเขา ทาสเขา ทั้งนั้น จิปาถะ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตถือว่าเป็นการไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐
๔.ไม่พูดโกหกมดเท็จ
๕.ไม่ส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน
๖.ไม่พูดคำหยาบ
๗.ไม่พูดจาเพ้อฝัน เลอะเทอะหาประโยชน์มิได้
๘.ไม่เพ่งเล็งอยากจะลักทรัพย์ ขโมยทรัพย์ ปล้นทรัพย์ แย่งทรัพย์ คดโกงทรัพย์ของบุคคลอื่น
๙.ไม่จองล้างจองผลาญ ที่เรียกกันว่า ความพยาบาท
๑๐.ไม่มีความเห็นไม่ตรงกับพระพุทธเจ้า ไอ้ส่วนที่เลวคิดว่าดี ส่วนที่ดีคิดว่าเลว ที่พระพุทธเจ้าตักเตือนแล้วไม่เอา
นี่การบำเพ็ญบารมีเพื่อจะอยู่ในนรกขุมใหญ่ บำเพ็ญกันให้ครบ ๑๐ อย่างดีไหม บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท
เอ๊ะ..๑๐ อย่างนี่ ไม่มีน้ำเมาไว้ด้วยนะ น่ากลัวนรกขุมใหญ่นี่เขาไม่รับคนชอบดื่มเหล้า คนชอบดื่มเหล้านี่ควรจะดีใจนะ นรกขุมใหญ่เขาไม่รับแล้ว มันดีไม่พอ อย่าลืมนะบรรดาท่านผู้ฟัง และญาติโยมพุทธบริษัทที่กำลังรับฟัง และพระคุณเจ้าที่เคารพ อยากจะไปนรกท่องให้ดีนะ เฉพาะนรกขุมใหญ่
๑. พยายามฆ่าสัตว์เข้า
๒. ลักทรัพย์ ขโมยทรัพย์ ปล้นทรัพย์ แย่งชิงทรัพย์ คดโกงทรัพย์ ใครเขามาทำบุญสุนทาน กันเข้ากระเป๋าไว้บ้าง
๓. ไอ้เรื่องกาเมสุมิจฉาจาร เหมาะเมื่อไรว่าเมื่อนั้น ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องเลือกจะเป็นลูกใคร เมียใคร ขี้ข้าใคร คนรับใช้ใคร ลูกจ้างใคร ไม่เกี่ยว มีโอกาสจัดการเรื่อยไป แล้วผัวใครด้วยนะ
๔. เรื่องความจริงไม่ต้องพูดกัน โกหกมันดะ
๕. ยุยงส่งเสริมให้แตกร้าวกันเสีย มันสนุกดี มันทะเลาะกันได้ มันตีกันได้ มันฆ่ากันได้ เราสบายใจ
๖. เรื่องวาจาสุภาพอย่าไปพูดมัน พูดหยาบ ๆ คาย ๆ มึงวาพาโวย ด่าพ่อล่อแม่ใครก็ได้ตามอัธยาศัย
๗. เรื่องที่เป็นเรื่องอย่าพูด พูดมันแต่เรื่องที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน
๘. ทรัพย์สินของใครมีอยู่ ถ้าชอบใจ ตั้งใจเลยว่า เราจะขโมยของเขา
๙. จองล้างจองผลาญ จ้องประหัตประหารมันเรื่อยไปไม่ว่าใคร
๑๐. คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีความหมาย เราไม่เชื่อ มาพูดอะไรกัน เรื่องสวรรค์ เรื่องนรก เรื่องอะไรต่ออะไรไม่เห็นมีความหมาย เราไม่เชื่อ
เอาละ บำเพ็ญบารมี ๑๐ อย่าง อย่างนี้พอ พอที่จะลงนรกขุมใหญ่ได้แบบสบาย ๆ พระยายมไม่รังเกียจ
ตานี้ มานรกขุมเล็กอีก ๑๐ ขุม เรียกกันว่า ยมโลกียนรก ทำรับเฉพาะ เรียกว่ารับเฉพาะ ไม่ใช่นรกแป๊ะเจี๊ยะ ทำอย่างนี้อยู่ขุม ๑ ได้ ทำอย่างนี้อยู่ขุม ๒ได้ เขาเรียกกันว่าอะไร จะพูดบารมีให้ฟัง เวลามันใกล้จะหมด
ถ้าอยากจะอยู่นรกขุมที่ ๑ ฆ่าสัตว์ให้หนัก
อยากจะอยู่นรกขุมที่ ๒ เจ้าชู้ให้หนัก
อยากจะอยู่นรกขุมที่ ๓ ลักขโมยให้หนัก คดโกงเขาให้หนัก
ขุมที่ ๔ ดื่มน้ำเมาให้หนัก
ขุมที่ ๕ โกงเงินทำบุญให้หนัก ทายกกับพระนี่ระวังนะ ระวัง ถ้าชอบใจอยู่ ขุมที่ ๕ สำหรับยมโลกียนรก โกงให้หนัก
ขุมที่ ๖ เป็นข้าราชการ โกงให้หนัก
ขุมที่ ๗ เรื่องซื่อตรงไม่มีสำหรับเขา
ขุมที่ ๘ เรื่องเมตตาปรานี ไม่มีสำหรับเขา
ขุมที่ ๙ ด่าดะไม่เลือกว่าใคร
ขุมที่ ๑๐ ซ้อมคู่ครองให้หนัก
นี่เป็นบารมีสำหรับยมโลกียนรกส่วนใหญ่ คนฆ่าสัตว์แล้วก็เลยลงนรกขุมใหญ่มาก่อน พ้นจากนรกขุมใหญ่แล้วเข้านรกบริวาร ๔ ขุม แล้วจึงมาเข้าขุมที่ ๑
นี่เขามาคิดบัญชีกันต่างหากเฉพาะอย่าง สำหรับนรกขุมใหญ่น่ะ เป็นนรกแป๊ะเจี๊ยะ ไม่ยอมคิดบัญชีให้ เรียกว่าอะไร ๆ ก็ไปรวมอยู่ก่อน เสร็จจากนรกขุมใหญ่ ก็มาไล่เบี้ยกันทีหลังว่าแกมีโทษอะไรบ้าง ฉันจะจัดการกับแกตามโทษนั้น
เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน นี่พูดไปพูดมา พูดมาพูดไป ก็เห็นว่าจะหมดเวลา ๓๐ นาทีเสียแล้วกระมัง เพราะดูเวลามันก็หมดแล้วนี่ เมื่อหมดแล้วสำหรับพุธนี้ ก็ยังไม่ได้อะไร เพียงแต่ได้อารัมภบทมาบำเพ็ญบารมีลงนรกกัน เมื่อรู้บารมีแล้ว ก็ตั้งใจไว้จะไปนรกขุมไหน เอาละ สำหรับวันนี้ก็หมดเวลาแล้ว อาตมาก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี
ที่มา.......
__________________