อีกตัวอย่างหนึ่งได้แก่ กระบวนการรับรองเอกสารของทางราชการ ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนมากมาย กระบวนการนี้ต้องใช้เวลานานมาก เริ่มด้วยประชาชนต้องเข้าไปติดต่อประชาสัมพันธ์ที่ชั้นแรกของอาคาร จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะส่งบุคคลนั้นขึ้นไปที่ชั้นสองเพื่อรับเอกสาร และไปติดต่อขอลายเซ็นอนุมัติจากฝ่ายหนึ่งสู่อีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อไปยื่นเอกสารเจ้าหน้าที่อีกฝ่ายหนึ่งก็จะขอให้กรอกแบบฟอร์มแล้วรอจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบลงนาม ตลอดทั้งวันประชาชนคนนั้นต้องติดต่อผ่านหน่วยงานต่าง ๆ จากชั้นหนึ่งไปอีกชั้นหนึ่ง กรอกแบบฟอร์มและรอรับลายเซ็นกว่าจะได้เอกสารทั้งหมดครบถ้วนต้องใช้เวลานานมาก ในที่สุด บุคคลผู้นั้นก็ขึ้นไปหาเจ้าหน้าที่สูงสุด
และใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นลงนามเอกสารได้รับการรับรองเป็นเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แต่เขาผู้นั้นจำต้องผ่านขั้นตอนของราชการที่ยาวเหยียดเหล่านั้นก่อน เช่นเดียวกับ
การปฏิบัติวิปัสสนา มีกระบวนการมากมาย แต่
มรรคญาณเกิดเร็วกว่าเวลาที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงผู้นั้นใช้ในการลงนามเสียอีก
ถึงกระนั้นผู้ปฏิบัติต้องทำหน้าที่ของตนก่อน เมื่อทุกอย่างพร้อม
มรรคญาณก็จะปรากฏและรับรองอย่างเป็นทางการว่า
กิเลสได้ถูกประหารไปหมดสิ้นแล้ว
ช่วงแรกของ
วิปัสสนาญาณ อาจเรียกได้ว่าเป็น “
หนทางของคนทำงาน” ผู้ปฏิบัติต้องทำงานให้เสร็จโดยสมบูรณ์โดยไม่หลบเลี่ยง
มรรคญาณเปรียบเหมือนเจ้านายสูงสุดทำหน้าที่สั่งการ เจ้านายคงไม่อาจลงนามในกระดาษเปล่าที่ยังไม่ได้
ผ่านขั้นตอนการทำงานเบื้องต้นอย่างสมบูรณ์ได้
อริยมรรคและผลญาณ : ดับไฟและชโลมน้ำลงบนเถ้าถ่านแห่งกิเลส เมื่อ
วิปัสสนาญาณบริบูรณ์แล้ว
มรรคญาณก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ติดตามด้วย
ผลญาณ ในภาษาบาลี
สภาวจิตนี้เรียกว่า
มรรค และผล องค์ประกอบของมรรคญาณและผลญาณก็คือ
สัมมาทิฏฐิประเภทที่สี่และห้า จากทั้งหมด
หกประเภท
เมื่อเกิด
มรรคญาณ อริยมรรคสัมมาทิฏฐิจะทำหน้าที่ประหารกิเลสที่จะนำเราไปเกิดในอบายภูมิ อันเป็นสภาวะที่ทุกข์ทรมาน
ภพเหล่านี้ได้แก่
นรก เดรัจฉาน เปรต และอสุรกาย ต่อจากนั้น
ผลญาณก็จะตามมาทันที ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือ
อริยผลสัมมาทิฏฐิ ผู้ปฏิบัติอาจสงสัยว่า ญาณนี้ทำหน้าที่อะไร
เพราะอนุสัยกิเลสได้ถูกประหารไปแล้ว ผลญาณสัมมาทิฏฐิทำให้กิเลสเย็นลง กองไฟแห่ง
กิเลสอาจมอดไปแล้ว แต่ก็ยังมีเถ้าถ่านอุ่น ๆ เหลืออยู่
ผลญาณสัมมาทิฏฐินี้ ทำหน้าที่ชโลมน้ำลงบนเถ้าถ่านเหล่านั้น
ปัจจเวกขณสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบประเภทที่หก คือ
ปัจจเวกขณสัมมาทิฏฐิ ทำหน้าที่
ทบทวนความรู้ที่ติดตามมาจากผลญาณและประสบการณ์นิพพาน ญาณนี้จะทบทวนสิ่งห้าประการ คือ
การเกิดมรรคญาณและผลญาณ นิพพานในฐานะที่เป็นอารมณ์ ๆ หนึ่ง
กิเลสที่ได้ถูกทำลายไปและส่วนที่ยังเหลืออยู่ นอกจากนี้แล้ว ไม่มีหน้าที่สำคัญอื่นใด
สัมมาทิฏฐิประเภทแรก คือ
กมฺมสกตาสมฺมาทิฏฺฐิ กล่าวว่าเป็นสิ่ง
ถาวร กล่าวคือเป็นสิ่งที่จะไม่หายไปจากชีวิต โลกนี้อาจแตกสลายถูกทำลายไป แต่ยังคงมีสิ่งมีชีวิตซึ่งบางทีอาจจะอยู่ในอีกโลกหนึ่งก็ได้ ที่มี
ความเห็นถูกว่าทุกคนมี
กรรมเป็นของของตน
บุคคลที่ไม่พยายามแยกแยะความแตกต่างระหว่าง
กุศลกรรมและอกุศลกรรมย่อมตกอยู่ในที่มืด เปรียบเหมือนเด็กทารกที่เกิดมาตาบอด บอดมาตั้งแต่ในครรภ์ และมืดบอดเมื่อคลอดออกมาแล้ว หากทารกนี้โตขึ้น ก็ไม่มีทางมองเห็นพอที่จะช่วยเหลือตนเองได้
คนตาบอดและขาดผู้นำทาง ย่อมจะประสบกับอุบัติภัยมากมาย
ฌานสัมมาทิฏฐิ จะยังคงมีปรากฏอยู่เสมอ
ตราบเท่าที่มีผู้ปฏิบัติธรรมและบรรลุฌาน แม้ในช่วงที่พระพุทธศาสนาไม่รุ่งเรือง ก็ยังจะมีผู้เจริญสมาธิ และเจริญฌานอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ความเห็นชอบในส่วนที่เหลือจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อพระพุทธศาสนายังตั้งมั่นอยู่เท่านั้น นับแต่ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์จนถึงปัจจุบัน คำสอนของพระพุทธองค์ยังรุ่งเรืองอยู่ ขณะนี้พระพุทธศาสนาเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก แม้ในประเทศที่มิได้นับถือพระพุทธศาสนา ก็ยังมีองค์กร หรือกลุ่มชนซึ่งมี
หลักการที่มีรากฐานมาจากคำสอนของพระพุทธองค์ บุคคลที่พอใจเพียง
ความเห็นชอบในเรื่องของกรรมหรือฌานเท่านั้น ยังไม่อาจได้รับแสงแห่งพระธรรมได้ เขาอาจได้รับความสว่างจากแสง
ทางโลก แต่มิใช่แสงของพระพุทธองค์ ความเห็นชอบอีกสี่ประเภทที่เหลือจาก
วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิจนถึง
ปัจจเวกขณสัมมาทิฏฐิ เท่านั้น
ที่ประกอบด้วยแสงแห่งพระพุทธธรรม เมื่อผู้ปฏิบัติสามารถ
แยกรูปและนามออกจากกันได้ ก็จะ
หลุดพ้นจากทิฏฐิวิปลาสในเรื่องของตัวตน และม่านของความมืดชั้นที่หนึ่งก็จะถูกถอดออกไป กล่าวได้ว่าแสงแห่งธรรมะได้เริ่มส่องสว่างผ่านเข้ามาถึง
จิตสำนึกของผู้ปฏิบัติแล้ว แต่ก็ยังมีม่านชั้นอื่น ๆ ที่ยังต้องถอดถอนออกไปอีก ม่านแห่ง
อวิชชาชั้นที่สองก็คือความเห็นที่ว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างไม่มีระเบียบและไม่มีเหตุผล ม่านนี้จะถูกยกออกไปเมื่อเกิด
ญาณหยั่งรู้ในเหตุและผล เมื่อผู้ปฏิบัติ
เห็นเหตุและผลของสรรพสิ่ง แสงสว่างในจิตก็จะสว่างเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ผู้ปฏิบัติไม่พึงประมาทในชั้นนี้ เพราะว่าจิตยังมืดบอดด้วย
อวิชชา ความไม่รู้ใน
อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เพื่อกำจัดความมืดนี้ ผู้ปฏิบัติพึงทำงานหนักอย่างไม่ย่อท้อ เฝ้าดูอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ลับ
สติให้แหลมคม ทำ
สมาธิให้ตั้งมั่น แล้ว
ปัญญาก็จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ