อวิชชาทำให้เกิดตัณหาและอุปาทานในการยึดมั่นทั้งต่อชีวิตและต่อ
ความเห็นผิดเกี่ยวกับตัวตน การดำเนินตามทางแห่งอริยมรรคช่วยให้ผู้ปฏิบัติสามารถทำลายเหตุของอวิชชา เมื่อไม่มีเหตุเหล่านี้ แม้เพียงชั่วขณะเดียว
จิตก็จะเป็นอิสระ สังสารวัฏจะขาดลง นี่คือสถานที่ที่ปลอดจากภัยที่พระพุทธองค์ตรัสถึง เมื่อเป็นอิสระจากอวิชชา ภยันตรายจากกิเลส และผลกรรมอันน่ากลัวที่จะพึงก่อให้เกิดทุกข์ใน
อนาคต ผู้ปฏิบัติก็จะสามารถพบกับความปลอดภัย และความมั่นคงตราบเท่าที่ยัง
ดำรงสติอยู่
บางทีผู้ปฏิบัติอาจรู้สึกว่ากายและจิตของตนนี้น่ากลัวมากเสียจนอยากจะกำจัดมันไป หากเป็นเช่นนี้ การฆ่าตัวตายก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น หากต้องการความหลุดพ้นจริง ๆ ผู้ปฏิบัติพึงดำเนินชีวิตอย่างฉลาด กล่าวกันว่า ต่อเมื่อบุคคลเฝ้าสังเกต
ผลเท่านั้น
เหตุจึงถูกทำลายลงได้ การทำลายนี้มิใช่การลงมือทำลายล้างจริง ๆ
แต่เป็นการสิ้นสุดของพลัง ปัญญาทำหน้าที่ทำลายเหตุของ
รูปและนามอันจะพึง
เกิดในอนาคต เมื่อจิตรวมลงด้วย
สัมมาสติ สัมมาสมาธิ และสัมมาทิฏฐิ กล่าวคือ เฝ้าดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นทาง
อายตนะทั้งหกทุก ๆ ขณะในเวลาเช่นนี้ กิเลสจะไม่สามารถบุกรุกเข้ามาหรือ
เกิดขึ้นได้ เมื่อกิเลสอันเป็นตัวก่อให้เกิดกรรมและการเกิดใหม่เกิดขึ้นไม่ได้แล้ว
ผู้ปฏิบัติก็จะสามารถตัดภพตัดชาติในสังสารวัฏได้ เมื่อได้เดินตามหาทางแห่ง
อริยมรรค ผ่าน
วิปัสสนาญาณขั้นต่าง ๆ ผู้ปฏิบัติก็จะบรรลุถึงพระนิพพาน อันเป็นที่ซึ่งปราศจากอันตรายได้ในที่สุด การเข้าถึงพระนิพพานมีสี่ระดับ ในแต่ละขั้นกิเลสแต่ละอย่างจะถูกทำลายไปอย่างถาวร เมื่อบรรลุพระนิพพานในระดับสุดท้าย คือ
อรหัตตผล จิตจะบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง
ผู้ถึงกระแส : ประสบการณ์พระนิพพานครั้งที่หนึ่ง เมื่อบรรลุพระนิพพานครั้งแรก ในขณะที่
ที่ผู้ปฏิบัติเข้าถึงโสดาปัตติมรรค สังสารวัฏ (กิเลส กรรม วิบาก) อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์จะถูกทำลาย บุคคลผู้นั้นจะไม่ไปเกิดในภูมิของดิรัจฉาน เปรต หรือนรก เพราะกิเลสที่จะนำไปสู่ภพภูมิเหล่านี้ได้ถูกทำลายไป บุคคลผู้นั้นจะไม่ประกอบกรรมที่จะนำไปสู่การเกิดในสภาวะเช่นนั้นอีก และผลกรรมแต่อดีตที่จะนำไปสู่ภพภูมิเหล่านี้ก็จะกลายเป็น
อโหสิกรรมไปโดยปริยาย
ในการบรรลุธรรมในระดับที่สูงขึ้น กิเลสจะถูกทำลายมากขึ้น ๆ จนในที่สุดเมื่อบรรลุอรหัตตผล กิเลสจะถูกทำลายไปโดยสิ้นเชิง
รวมถึงกรรมและผลของกรรม พระอรหันต์จะไม่ถูกรบกวนด้วยกิเลสเหล่านี้อีก และเมื่อท่านดับขันธ์ก็จะเข้าสู่สถานที่อันปลอดภัย คือพระนิพพาน ไม่กลับมาเวียนว่ายในสังสารวัฏอีกต่อไป
ผู้ปฏิบัติอาจมีกำลังใจที่ได้รู้ว่า แม้ในการบรรลุธรรมขั้นต่ำสุด ผู้ปฏิบัติจะรอดพ้นจากการบำเพ็ญเพียรทางจิตที่ผิดทาง หรือ
หนทางอันเป็นอกุศลทุกชนิด ดังกล่าวไว้ใน “
วิสุทธิมรรค” ที่พระพุทธโฆษาจารย์ได้เขียนไว้ในพุทธศตวรรษที่สิบ นอกจากนี้ผู้ปฏิบัติจะยังได้รับ
อานิสงส์ที่ทำให้พ้นจาก
ความรู้สึกลงโทษตนเอง จากการ
ตำหนิของบัณฑิต จากอันตรายในการถูกลงโทษ และจาก
การตกลงไปอยู่ใน
สภาวะที่เป็นทุกข์ ราชรถที่สงัดเงียบ ปุถุชนที่ยังมิได้ถึงกระแสแห่งพระนิพพาน เปรียบได้กับนักเดินทางที่เริ่มท่องเที่ยวไปบนหนทางที่เต็มไปด้วยภยันตราย มีอันตรายนานัปการที่รอคอยผู้ที่ประสงค์จะข้ามทะเลทราย ป่าดงดิบ หรือป่าโปร่งอยู่ บุคคลผู้นั้นจะต้องเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือให้พร้อม ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นคือ
พาหนะที่ดีและมีคุณภาพ พระพุทธองค์ประทานทางเลือกที่ล้ำเลิศแก่เทพบุตร พระองค์ตรัสว่า “เธอจงเดินทางไปในราชรถที่สงัดเงียบ”
เราคงพอจะเดาได้ว่า เทพบุตรองค์นั้นคงจะเห็นว่า การเดินทางที่สงบเป็นสิ่งที่ควรยินดี หลังจากที่ต้องเผชิญกับเสียงอึกทึกของนักดนตรีบนสวรรค์ แต่ความจริงยังมีความหมายอื่นอีก ณ ที่นี้
พาหนะส่วนใหญ่มีเสียงดัง เกวียนและรถม้าโบราณที่ใช้ในสมัยพุทธกาลมีเสียงดังมาก โดยเฉพาะหากไม่ได้หยอดน้ำมันหรือสร้างมาไม่ดี หรือเวลาบรรทุกผู้โดยสารจำนวนมาก แม้แต่รถยนต์และรถบรรทุกสมัยใหม่ก็ยังมีเสียงอึกทึก แต่ราชรถที่พระพุทธองค์ประทานให้นี้ มิใช่ราชรถธรรมดา แต่เป็นพาหนะที่บรรจงสร้างมาอย่างดีเสียจนสงัดเงียบเวลาขับเคลื่อนไป ไม่ว่าจะมีสรรพสัตว์จำนวนล้านหรือพันล้านขับอยู่ก็ตาม ราชรถนี้สามารถนำสรรพสัตว์ทั้งหลายข้ามมหาสมุทร ข้ามทะเลทราย ผ่านป่าอันรกชัฏแห่ง
สังสารวัฏได้ นี่คือราชรถแห่ง
การเจริญวิปัสสนา หรือราชรถแห่งอริยมรรคมีองค์แปด เมื่อพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ มีสรรพสัตว์นับล้านทั้งมนุษย์และเทวดา
บรรลุธรรมโดยการฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์เท่านั้น เหล่าสัตว์นับพันนับแสนหรือนับล้านอาจฟังพระธรรม
เพียงครั้งเดียวก็สามารถก้าวข้ามสังสารวัฏไปในราชรถพร้อม ๆ กันได้
ราชรถอาจไม่มีเสียง แต่ผู้โดยสารมักจะแซ่ซ้องกันโดยมาก โดยเฉพาะผู้ที่ไปถึงฝั่งอันปลอดจากภัยแล้ว คือพระนิพพาน อริยบุคคลเหล่านี้ย่อมกล่าวสรรเสริญและแสดงความปีติยินดีอย่างยิ่งยวด “ราชรถนี้ช่างวิเศษเสียนี่กระไร เราได้โดยสารแล้วและได้รับอานิสงส์จริง ๆ ราชรถนี้นำเรามาถึงพระนิพพาน”