คลังธรรมปัญญา > หนังสือธรรมะ

พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์ โดย รอง ศจ.แสง จันทร์งาม

<< < (2/4) > >>

ฐิตา:




ตอน ๔ ลักษณะพระนิพพาน
ปัญหา จงแสดงลักษณะของพระนิพพานว่ามีอย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ "ดิน น้ำ ลม ไฟ ย่อมไม่ตั้งอยู่ในที่ใด สงสารทั้งหลายย่อมกลับแต่ที่นี้ วัฏฏะย่อมไม่เป็นไปในที่นี้ นามก็ดี รูปก็ดี ย่อมดับหมดในที่นี้"
สรสูตรที่ ๗
 
สิ่งที่ไม่รู้จักตาย
ปัญหา สังขารร่างกายย่อมตายหายสูญไปเป็นธรรมดา มีอะไรบ้างที่ไม่ตายไปตามสังขารร่างกาย ?
เทวดาตอบ (พระบรมศาสดาทรงรับรอง)

"ชนทั้งหลายเหล่าใด เมื่อของมีน้อยก็แบ่งให้เหมือนพวกเดินทางไกล ก็แบ่งของให้แก่พวกที่เดินทางร่วมกัน ชนทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อบุคคลทั้งหลาย เหล่าอื่นตายแล้ว ก็ชื่อว่าย่อมไม่ตาย ธรรมนี้เป็นของบัณฑิตแต่ปางก่อน..."
มัจฉริยสูตรที่ ๒
 
ชีวิตประเสริฐ
ปัญหา(เทวดาทูลถาม)

อะไรหนอเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างประเสริฐของคนในโลกนี้
อะไรหนอที่บุคคลประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้
อะไรหนอเป็นรสดีกว่าบรรดารสทั้งหลาย
คนมีชีวิตเป็นอยู่อย่างไร นักปราชญ์ ทั้งหลายกล่าวว่ามีชีวิตประเสริฐ ?

พุทธดำรัสตอบ "ศรัทธาเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างประเสริฐของคนในโลกนี้ ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้ว นำความสุขมาให้ ความจริงเท่านั้น เป็นรสที่ดียิ่งกว่ารสทั้งหลาย คนที่เป็นอยู่ด้วยปัญญา นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่ามีชีวิตประเสริฐ"
วิตตสูตรที่ ๓
 
ยาอายุวัฒนะ
ปัญหา จะมีวิธีบริหารกายอย่างไร จึงจะทำให้อายุยืน ?

พุทธดำรัสตอบ "มนุษย์ผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ รู้จักประมาณในโภชนะที่ได้มา ย่อมมีเวทนาเบาบาง เขาย่อมแก่ช้า ครองอายุได้ยืนนาน"
โทณปากสูตรที่๓
 
ความเพลิดเพลินและทุกข์
ปัญหา (เทวดาทูลถาม) "ข้าแต่ภิกษุ ทำไมพระองค์จึงไม่มีทุกข์ ทำไมความเพลิดเพลินจึงไม่มี ทำไมความเบื่อหน่ายจึงไม่ครอบงำพระองค์ผู้นั่งแต่ผู้เดียว ?

พุทธดำรัสตอบ  "ผู้มีทุกข์นั่นแหละจึงมีความเพลิดเพลิน ผู้มีความเพลิดเพลินนั้นแหละจึงมีทุกข์ภิกษุย่อมเป็นผู้ไม่มีความเพลิดเพลิน ไม่มีทุกข์..."
กกุธสูตรที่ ๘
 
สิ่งที่ไม่ควรดูหมิ่น
ปัญหา มีอะไรบ้าง ที่คนไม่ควรดูหมิ่น แม้จะดูเป็นของเล็กน้อยไม่สำคัญก็ตาม
พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนมหาบพิตร ของ ๔ อย่างเหล่านี้ ไม่ควรดูหมิ่นว่าเล็กน้อย... คือ

๑.กษัตริย์ไม่ควรดูหมิ่นว่ายังทรงพระเยาว์
๒.งูไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่าตัวเล็ก
๓.ไฟ ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่าเล็กน้อย
๔.ภิกษุ ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่ายังหนุ่ม"
ทหรสูตรที่ ๑
 
อย่าดูหมิ่นสตรี
ปัญหา เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง ขณะที่พระเจ้าปเสนทิโกศลกำลังประทับนั่งเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่ราชบุรุษได้เข้ามาทูลว่า พระราชินีประสูติ พระราชธิดาออกมา พระราชาทรงผิดหวังมาก เพราะพระองค์ต้องการโอรส เช่นเดียวกับชาวอินเดียทั้งหลาย ที่อยากได้บุตรชายมากกว่าบุตรหญิง

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนมหาบพิตรผู้เป็นใหญ่ยิ่งกว่าปวงชน แท้จริงแม้สตรีบางคนก็เป็นผู้ประเสริฐ พระองค์จงชุบเลี้ยงไว้ สตรีที่มีปัญญา มีศีล ปฏิบัติพ่อผัว แม่ผัว แม่ผัวดังเทวดา จงรักสามีฯ
"บุรุษที่เกิดจากสตรีนั้นย่อมเป็นคนแกล้วกล้า เป็นเจ้าแห่งทิศได้ บุตรของภริยาที่ดีเช่นนั้น แม้ราชสมบัติก็ครอบครองได้"
ธีตุสูตรที่ ๖
 
สง่าราศีของสตรี
ปัญหา(เทวดาทูลถาม) อะไรหนอเป็นสง่าของรถ อะไรหนอเป็นเครื่องปรากฏของไฟ อะไรหนอเป็นสง่าของแว่นแคว้น อะไรหนอเป็นสง่าของสตรี ?

พุทธดำรัสตอบ"ธงเป็นสง่าของรถ ควันเป็นเครื่องปรากฏของไฟ พระราชาเป็นสง่าของแว่นแคว้น สามีเป็นสง่าของสตรี"
รถสูตรที่ ๒
 
อำนาจจิต
ปัญหา (เทวดาทูลถาม) โลกอันอะไรย่อมนำไป อันอะไรหนอเสือกไสไปได้ โลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคืออะไร ?

พุทธดำรัสตอบ "โลกอันจิตย่อมนำไป อันจิตย่อมเสือกไสไป โลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคือ จิต"
จิตตสูตรที่ ๒
 
ใครเป็นผู้สร้าง
ปัญหา (มารเป็นผู้ถาม) รูปนี้ใครเป็นผู้สร้าง ผู้สร้างรูปอยู่ที่ไหน รูปบังเกิดในที่ไหน รูปดับไปในที่ไหน ?

เสลาภิกษุณีตอบ "รูปนี้ไม่มีใครสร้าง อัตตภาพนี้ไม่มีใครก่อ รูปเกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุ ดับไปเพราะเหตุดับ

พืชชนิดใดที่บุคคลหว่านลงในนา ย่อมงอกขึ้นเพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการ คือ รสในแผ่นดิน และยางในพืช ฉันใด ขันธ์ ธาตุ และอายตนะ ๖ เหล่านี้ ก็เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุ ดับไปเพราะเหตุดับฉันนั้น"
เสลาสูตร
 
ทุกข์ทั้งนั้น
ปัญหา (มารถาม)สัตว์นี้ใครสร้างผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน สัตว์บังเกิดในที่ไหน สัตว์ดับไปในที่ไหน ?

วชิราภิกษุณีตอบ "ดูก่อนมาร เพราะเหตุไรหนอความเห็นของท่านจึงหวนกลับมาว่าสัตว์ ในกองสังขารนี้ ย่อมไม่ได้นามว่าสัตว์ เหมือนอย่างว่าเพราะคุมส่วนทั้งหลายเข้า เสียงว่ารถย่อมมีฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมีอยู่การสมมติว่าสัตว์ย่อมมีฉันนั้น ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ"
วชิราสูตรที่ ๑๐
 
พระพุทธเจ้าทรงเคารพอะไร ?
ปัญหา พระพุทธเจ้าจัดว่าเป็นพระบรมศาสดาของโลก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้พระองค์ทรงเคารพใคร ? หรือว่าไม่ทรงเคารพใครเลย ?

พุทธดำรัสตอบ "...บุคคลผู้ไม่มีที่เคารพ ที่ยำเกรง ย่อมอยู่เป็นทุกข์ เราจะพึงสักการะเคารพอาศัยสมณะ หรือพราหมณ์ใครผู้ใดอยู่หนอ ?"

ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคได้มีพระดำริว่า"เราควรสักการะเคารพสมณะหรือพราหมณ์อื่นแล้วอาศัยอยู่ เพื่อความบริบูรณ์แห่งศีลขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์ แต่ว่า เรายังไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์อื่น ที่ถึงพร้อมด้วยศีลยิ่งกว่าตนในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ซึ่งเราควรสักการะเคารพแล้วอาศัยอยู่

"เราควรสักการะเคารพสมณะหรือพราหมณ์อื่นแล้วอาศัยอยู่ เพื่อความบริบูรณ์แห่งสมาธิที่ยังไม่บริบูรณ์...
เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์...
เพื่อความบริบูรณ์แห่งวิมุติขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์..
เพื่อความบริบูรณ์แห่งวิมุติญาณทัสสนะขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์

แต่ว่าเรายังไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์อื่น ที่ถึงพร้อมด้วยวิมุติญาณทัสสนะยิ่งกว่าตนในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ซึ่งเราควรสักการะเคารพแล้วอาศัยอยู่

"อย่ากระนั้นเลย เราควรสักการะเคารพธรรมที่เราตรัสรู้นั้นแหละ แล้วอาศัยอยู่"
คารวสูตรที่ ๒ 
 
ชาวนาพิเศษ
ปัญหา วันหนึ่งกสิภารทวาชพราหมณ์กำลังเตรียมจะไถนา พระพุทธองค์เสด็จไปบิณฑบาต พราหมณ์เห็นแล้วกล่าวขึ้นว่า เขาเองไถและหว่านแล้วจึงบริโภค และขอให้พระพุทธองค์ไถและหว่านแล้วบริโภคเช่นเดียวกัน พระพุทธองค์ตรัสว่า เราก็ไถและหว่านแล้วบริโภคเหมือนกัน พราหมณ์จึงกล่าวว่า พระองค์ตรัสว่าเป็นชาวนา แต่เขาไม่เห็นไถของพระองค์เลย

พุทธดำรัสตอบ "ศรัทธาเป็นพืช ความเพียรเป็นฝน ปัญญาของเราเป็นแอกและไถ หิริเป็นงอนไถ ใจเป็นเชือก สติของเราเป็นผาลและประตัก เรามีกายคุ้มครองแล้ว มีวาจาคุ้มครองแล้ว เป็นผู้สำรวมแล้วในการบริโภคอาหาร เราทำการดายหญ้าด้วยคำสัตย์ โสรัจจะของเราเป็นเครื่องให้แล้วเสร็จงาน ความเพียรของเราเป็นเครื่องนำธุระไปให้สมหวัง นำไปถึงความเกษมจากโยคะ ไปไม่ถอยหลัง ยังที่ซึ่งบุคคลไปแล้วไม่เศร้าโศก
"นี่การไถ การไถอย่างนี้แล้ว ย่อมมีอมฤตเป็นผล ครั้นไถอย่างนี้แล้วย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้"
กสิสูตรที่ ๑
 
แม้พระพุทธเจ้ายังทรงปวารณา
ปัญหา พระผู้มีพระภาคทรงเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดแล้วทั้ง กาย วาจา ใจ ไม่น่าจะมีข้อผิดพลาดบกพร่องใด ๆ ที่จะต้องสารภาพต่อผู้อื่น และให้ผู้อื่นตักเตือนมิใช่หรือ ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอปวารณาเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะไม่ติเตียนกรรมไร ๆ ที่เป็นไปทางกายหรือทางวาจาของเราบ้างหรือ ?"
ปวารณสูตรที่ ๗
 
พระอรหันต์กับภาษาสามัญ
ปัญหา พระอรหันต์ที่พ้นจากการสมมติและบัญญัติแล้ว เวลาพูดกับสามัญชนใช้ภาษาอะไรพูด

พุทธดำรัสตอบ "ภิกษุใดเป็นผู้ไกลจากกิเลส มีกิจทำเสร็จแล้ว มีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด ภิกษุนั้นพึงกล่าวว่า เราพูดดังนี้บ้าง บุคคลทั้งหลายอื่น พูดกะเราดังนี้บ้าง ภิกษุนั้นฉลาดทราบคำพูดในโลก พึงกล่าวตามสมมติที่พูดกัน"
อรหันตสูตรที่ ๕


ฐิตา:




ตอน ๕
ภิกษุควรหัวเราะหรือไม่
ปัญหา ได้ทราบมาว่าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ไม่มีการหัวเราะมีแต่ยิ้มแย้มเท่านั้น พระภิกษุควรจะหัวเราะหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การขับร้องคือ การร้องไห้ในวินัยของพระอริยเจ้า การฟ้อนรำคือ ความเป็นบ้าในวินัยของพระอริยเจ้า การหัวเราะจนเห็นฟันพร่ำเพรื่อ คือความเป็นเด็กในวินัยของพระอริยเจ้า เพราะเหตุนั้นแหละ จงละเสียโดยเด็ดขาดในการขับร้องฟ้อนรำ เมื่อท่านทั้งหลายเบิกบานในธรรม ก็ควรแต่เพียงยิ้มแย้ม"
โรณสูตร
 
ฤกษ์ยามในพระพุทธศาสนา
ปัญหาทางพระพุทธศาสนามีการสอนให้ถือฤกษ์ถือยามในการทำงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ"...สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี

 ... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย... ด้วยวาจา... ด้วยใจในเวลาเช้า เวลาเช้าก็เป็นเวลาเช้าที่ดีของสัตว์เหล่านั้น
สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย... ด้วยวาจา... ด้วยใจในเวลาเที่ยงเวลาเที่ยงก็เป็นเวลาที่ดีของสัตว์เหล่านั้น
สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย... ด้วยวาจา... ด้วยใจในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาเย็นที่ดีของสัตว์เหล่านั้น..."
สุปุพพัณหสูตร
 
พระพุทธศาสนาก็ส่งเสริมทรัพย์
ปัญหา มีบางคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนาสอนจะให้คนออกจากโลกท่าเดียว ไม่ส่งเสริมการมีโภคทรัพย์ จริงหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ "...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลสองตาเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ มีนัยน์ตาเป็นเหตุได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ ทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น ทั้งมีนัยน์ตาเป็นเครื่องรู้ธรรมทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล รู้ธรรมที่มีโทษและไม่โทษ รู้ธรรมที่เลวและประณีต รู้ธรรมที่มีส่วนเปรียบด้วยธรรมฝ่ายดำและฝ่ายขาว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าคนสองตา..."
อันธสูตร
 
ความรักทำให้ตาบอด
ปัญหา มีคำพังเพยกล่าวไว้ว่า ความรักทำให้คนตาบอด ดังนี้ ทางพระพุทธศาสนายอมรับคำกล่าวนี้ว่า เป็นความจริงหรือไม่เพียงใด ?

พระอานนท์ตอบ "...บุคคลผู้กำหนัด อันความกำหนัดครอบงำรึงรัดจิตใจไว้ ย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ตน ตามความเป็นจริง ย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่น ตามความเป็นจริง ย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่นทั้งสองฝ่ายตามความเป็นจริง...
ความกำหนัดแล ทำให้เป็นคนมืด ทำให้เป็นคนไร้จักษุ ทำให้ไม่รู้อะไร ทำให้ปัญญาดับ เป็นไปในฝ่ายความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน...ฯ"
ฉันนสูตร
 
ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ?
ปัญหา ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ? ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีจริงหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ "อริยสาวกนั้น มีจิตหาเวรมิได้อย่างนี้ มีจิตหาความเบียดเบียนมิได้อย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองแล้วอย่างนี้ มีจิตหมดจดแล้วอย่างนี้ เธอย่อมได้ความอุ่นใจ ๔ ประการในชาตินี้
"ความอุ่นใจที่หนึ่งว่า ถ้าโลกเบื้องหน้ามีอยู่ ผลแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะซึ่งจะเป็นไปได้ คือเบื้องหน้าแต่กายแตกตายไปแล้ว เราจะได้เข้าไปถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่หนึ่ง
"ความอุ่นใจที่สองว่า ถ้าโลกเบื้องหน้าไม่มี ผลแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี เราก็จะรักษาตนเป็นคนไม่มีเวร ไม่มีความลำบาก ไม่มีทุกข์ มีแต่สุขในชาตินี้ ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สอง

"ความอุ่นใจที่สามว่า ถ้าเมื่อบุคคลทำบาป บาปชื่อว่าเป็นอันทำแล้ว (และจะนำผลคือทุกข์มาให้เรา) เราไม่ได้คิดบาปให้แก่ใคร ๆ ไหนเลยทุกข์จักมาถูกต้องเรา ผู้ไม่ได้ทำบาป ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สาม
"ความอุ่นใจที่สี่ว่า ถ้าเมื่อบุคคลทำบาป บาปไม่ชื่อว่าเป็นอันทำแล้ว (และจะไม่นำผลคือทุกข์มาให้เรา) เราก็ได้พิจารณาเห็นตนเป็นคนบริสุทธิ์แล้วทั้ง ๒ ส่วน ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สี่
"อริยสาวกมีจิตหาเวรมิได้ -หาความเบียดเบียนมิได้ -มีจิตไม่เศร้าหมอง -มีจิตหมดจดแล้วอย่างนี้ -ย่อมได้ความอุ่นใจ ๔ ประการนี้แล ในชาตินี้ ฯ"
เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร)
 
ทำอย่างไรจะได้พบกันอีกในชาติหน้า ?
ปัญหา ถ้าสามีภรรยารักกันมาก ๆ ในชาตินี้ และปรารถนาจะพบกันอีก ได้เป็นสามีภรรยากันอีกในชาติหน้า จะมีทางเป็นไปได้ไหม ? และควรจะปฏิบัติอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ "...ดูก่อนคฤหบดีและคฤหปตานี ถ้าภรรยาและสามีทั้งสองหวังจะพบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ (ชาติหน้า) ไซร้ทั้งสองคนนั้นแลพึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ..."
สมชีวสูตร
 
องค์แห่งการตรัสรู้
ปัญหา ภิกษุที่จะได้ตรัสรู้หรือบรรลุอรหัตตผลนั้น ควรจะประกอบด้วยคุณสมบัติอะไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ "๑.ดูก่อนโพธิราชกุมาร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศรัทธาเชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า... พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ... เป็นผู้จำแนกธรรม
๒. เธอเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง ประกอบด้วยไฟธาตุสำหรับย่อยอาหารสม่ำเสมอ ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก เป็นปานกลาง ควรแก่ความเพียร

๓. เธอเป็นผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีมายาเปิดเผยตนตามความเป็นจริง ในพระศาสดาหรือในเพื่อนพรหมจรรย์ผู้เป็นวิญญูชนทั้งหลาย
๔. เธอเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม เป็นผู้มีกำลังมีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดทิ้งธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย
๕. เธอเป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาอันเห็นความเกิดและดับ เป็นอริยะ สามารถชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ"
โพธิราชกุมารสูตร
 
กำหนดเวลาตรัสรู้
ปัญหา เมื่อภิกษุประกอบด้วยคุณสมบัติเหล่านี้แล้ว จะได้บรรลุอรหัตตผลในเวลาช้านานเท่าไร ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนราชกุมาร... ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์แห่งภิกษุผู้มีความเพียร ๕ ประการนี้แล เมื่อได้ตถาคตเป็นผู้แนะนำ พึงทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า... ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน (ภายในเวลา) เจ็ดปี... หกปี... ห้าปี... สี่ปี... สามปี... สองปี... หนึ่งปี... เจ็ดเดือน... หกเดือน... ห้าเดือน... สี่เดือน... สามเดือน... สองเดือน... หนึ่งเดือน... ครึ่งเดือน... เจ็ดคืนเจ็ดวัน... หกคืนหกวัน... ห้าคืนห้าวัน... สี่คืนสี่วัน... สามคืนสามวัน... สองคืนสองวัน... หนึ่งคืนหนึ่งวัน...
 ดูก่อนราชกุมาร หนึ่งคืนหนึ่งวันจงยกไว้ ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์แห่งภิกษุผู้มีความเพียรห้าประการนี้ เมื่อได้ตถาคตเป็นผู้แนะนำ ตถาคตสั่งสอนในเวลาเย็น จักบรรลุคุณวิเศษในเวลาเช้า ตถาคตสั่งสอนในเวลาเช้า จักบรรลุคุณวิเศษได้ในเวลาเย็น..."
โพธิราชกุมารสูตร
 
มหาสมุทรในพุทธศาสนา
ปัญหา คำว่า 'มหาสมุทร' ตามความหมายของคนธรรมดา และตามความหมายทางพุทธศาสนาหมายถึงอะไร

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ย่อมกล่าวว่า 'มหาสมุทร' มหาสมุทรนั้นไม่ชื่อว่าเป็นมหาสมุทรในวินัยของพระอริยเจ้า มหาสมุทรนั้นเป็นเพียงแอ่งน้ำใหญ่เป็นห้วงน้ำใหญ่...

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ...หู...จมูก...ลิ้น...กาย...ใจ เป็นมหาสมุทรของบุรุษ
กำลังของตา...หู...จมูก...ลิ้น...กาย...ใจ นั้นเกิดจากรูป...กลิ่น...รส...โผฏฐัพพะ...ธรรมารมณ์

บุคคลใดย่อมอดกลั้นกำลังอันเกิดจากรูป...เสียง...กลิ่น...รส...โผฏฐัพพะ...ธรรมารมณ์นั้นได้ บุคคลนี้เรียกว่าเป็นพราหมณ์ สามารถข้ามมหาสมุทร คือ ตา...หู...จมูก...ลิ้น...กาย...ใจ ซึ่งมีทั้งคลื่น มีทั้งน้ำวน มีทั้งสัตว์ร้าย มีทั้งผีเสื้อ น้ำ แล้วขึ้นฝั่งยืนอยู่บนบกได้...อยู่จนพรหมจรรย์ ถึงที่สุดแห่งโลกข้ามถึงฝั่งแล้ว"
สมุทรสูตรที่ ๑
 
พระพุทธเจ้ายังมีอายตนะ แต่ไม่ติดในอายตนะ
ปัญหา พระโกฏฐิกะถามพระสารีบุตรว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ต่างเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวผูกมัดซึ่งกันและกันหรืออย่างไร ?

พระสารีบุตรตอบ "ดูก่อนท่านโกฏฐิกะ ตาเป็นเครื่องผูกมัดรูป และ รูปเป็นเครื่องผูกมัดตาหามิได้...หูเป็นเครื่องผูกมัดเสียงและเสียงเป็นเครื่องผูกมัดหูก็หามิได้...จมูกเป็นเครื่องผูกมัดกลิ่น และกลิ่นเป็นเครื่องผูกมัดจมูกหามิได้...ลิ้นเป็นเครื่องผูกมัดรส และรสเป็นเครื่องผูกมัดลิ้นก็หามิได้...กายเป็นเครื่องผูกมัดโผฏฐัพพะ และโผฏฐัพพะเป็นเครื่องผูกมัดกายก็หามิได้...ใจเป็นเครื่องผูกมัดธรรมารมณ์ และธรรมารมณ์เป็นเครื่องผูกมัดใจก็หามิได้...

ความพอใจรักใคร่ที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักษุและรูป...อาศัยหูและเสียง...อาศัยจมูกและกลิ่น...อาศัยลิ้นและรส...อาศัยกายและโผฏฐัพพะ...อาศัยใจและธรรมารมณ์นั้นต่างหาก เป็นเครื่องผูกมัดในจักษุและรูปเป็นต้นนั้น...

"ท่านผู้มีอายุ เปรียบเหมือนโคดำและโคขาวที่เขาผูกโยงไว้ด้วยเชือกหรือด้วยสายแอกเส้นเดียว ใครเล่าจะพึงพูดได้ว่า โคดำเป็นเครื่องผูกมัดโคขาว หรือโคขาวเป็นเครื่องผูกมัดโคดำ ที่แท้เชือกและสายแอกเส้นเดียวที่ใช้ผูกโยงโคทั้งสองนั้น และชื่อว่าเป็นเครื่องผูกมัดในโคทั้งสองนั้น...

"ท่านผู้มีอายุถ้าจักษุเป็นเครื่องผูกมัดรูปหรือรูปจักเป็นเครื่องผูกมัดจักษุ ฯลฯ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบไม่พึงมีปรากฏได้

"ดูก่อนท่านโกฏฐิกะ พระเนตรของพระผู้มีพระภาคมีอยู่แท้ พระองค์ก็ทรงเห็นรูปด้วยพระเนตร...ยังทรงฟังเสียงด้วยพระโสต...ยังทรงสูดกลิ่นด้วยพระนาสิก...ยังทรงลิ้มรสด้วยพระชิวหา...ยังทรงถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยพระกาย...ยังทรงรู้ธรรมารมณ์ด้วยพระมนัส แต่พระองค์ก็ไม่มีความพอใจรักใคร่ พระองค์ทรงมีจิตหลุดพ้นแล้ว..."
โกฏฐิกสูตร
 
บาดาลในพุทธศาสนา
ปัญหา คนเชื่อกันว่าใต้มหาสมุทรมีบาดาล บาดาลในทางพุทธศาสนาหมายถึงอะไร ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ย่อมพูดว่าในมหาสมุทรมีบาดาล...ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มี ไม่ปรากฏ...

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า 'บาดาล' นี้เป็นชื่อของทุกขเวทนาที่เป็นไปในสรีระแล ปุถุชนผู้ไม่ได้เรียนรู้ถูกทุกขเวทนา...ถูกต้องแล้ว ย่อมโศกเศร้า ลำบาก คร่ำครวญ ทุบอกร่ำร้อง ถึงความหลงเพ้อ ปุถุชนผู้ไม่ได้เรียนรู้นี้ เรากล่าวว่าไม่โผล่มาจากบาดาล ไม่ถึงแผ่นดินแข็ง...
"ส่วนอริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้วถูกทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมไม่โศกเศร้า...อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้วนี้ เรากล่าวว่า โผล่พ้นจากบาดาลและบรรลุถึงฝั่งแผ่นดิน..."
ปาตาลสูตร
 
สิ่งที่ทำได้ยากในพระพุทธศาสนา
ปัญหา อะไรคือสิ่งที่ทำได้ยากในพระพุทธศาสนา

พระสารีบุตรตอบปริพาชกชื่อชัมพุขาทกะ "ท่านผู้มีอายุ การบรรพชาเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในธรรมวินัยนี้"
ชัมพุขาทกะ "ท่านผู้มีอายุก็อะไรอันบุคคลผู้บวชแล้วกระทำได้โดยยาก"
พระสารีบุตร "ความยินดียิ่งในการบวช ท่านผู้มีอายุ"

ชัมพุขาทกะ "ท่านผู้มีอายุอะไรที่ผู้ยินดียิ่งแล้วกระทำได้โดยยาก"
พระสารีบุตร "ท่านผู้มีอายุ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม"
ชัมพุขาทกะ "ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ก็ภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว จะพึงเป็นพระอรหันต์ได้ในเวลาช้านานเพียงไร"
พระสารีบุตร "ไม่นานนัก ผู้มีอายุ"
ชัมพุขาทกสังยุตต์


ฐิตา:




ตอน ๖
สังขาร ๓ และวิธีดับ
ปัญหา กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขารคืออะไร และสังขารทั้ง ๓ นี้ดับไปเมื่อใด ?

พระกามภูตอบ "ดูก่อนคฤหบดีลมหายใจเข้าและหายใจออก ชื่อว่ากายสังขาร...ลมหายใจเข้าหายใจออกเป็นของเกิดที่กายธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยกายฉะนั้น...จึงชื่อว่ากายสังขาร...
"วิตกวิจารชื่อว่าวจีสังขาร...บุคคลตรึกตรองก่อนจึงเปล่งวาจาภายหลัง ฉะนั้น วิตกวิจารจึงชื่อว่า วจีสังขาร...

"สัญญาและเวทนาชื่อว่าจิตตสังขาร...สัญญาและเวทนาเป็นของเกิดที่จิต ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิตฉะนั้น...จึงชื่อว่าจิตตสังขาร
"ดูก่อนคฤหบดี เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ วจีสังขารดับก่อน ต่อจากนั้นกายสังขารดับต่อจากนั้นจิตตสังขารจึงดับ..."
กามภูสูตรที่ ๒
 
ภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอย่างไร
ปัญหา การเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ มีได้อย่างไร?

พระกามภูตอบ "ดูก่อนคฤหบดีภิกษุเมื่อจะเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ มิได้คิดอย่างนี้ว่าเราจักเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธหรือว่า เรากำลังเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ หรือว่าเราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว โดยที่แท้จิตของภิกษุนั้นเป็นจิตที่ได้รับการอบรมไว้ก่อนแล้วจนกระทั้งจิตนั้นสามารถนำภิกษุนั้นเข้าสู่สภาพตถัตตา ( คือ ภาวะเช่นนั้น ภาวะไม่มีชื่อ อันหมายถึงนิพพาน)"
กามภูสูตรที่ ๒
 
สังขารดับตามภูมิแห่งการปฏิบัติ
ปัญหา สังขารทั้งหลายย่อมดับไปตามลำดับตามภูมิแห่งการปฏิบัติทางจิตอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุ... เรากล่าวความดับสนิทแห่งสังขารทั้งหลายโดยลำดับคือ
เมื่อภิกษุเข้าปฐมฌาน วาจาย่อมดับ
เมื่อเข้าทุติยฌาน วิตก วิจารย่อมดับ
เมื่อตติยฌาน ปีติย่อมดับ
เมื่อเข้าจตุตถฌาน ลมอัสสาสะ ปัสสาสะย่อมดับ
เมื่อเข้าอากาสานัญจายตนฌาน รูปสัญญาย่อมดับ

เมื่อเข้าวิญญาณัญจายตนฌาน อากาสานัญจายตนสัญญาย่อมดับ
เมื่อเข้าอากิญจัญญายตฌาน วิญญาณัญจายตนสัญญาย่อมดับ
เมื่อเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน อากิญจัญญายตนสัญญาย่อมดับ
เมื่อเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาและเวทนาย่อมดับ ราคะ โทสะ โมหะ ของพระขีณาสพย่อมดับ"
รโหคตสูตร
 
ภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอย่างไร
ปัญหา การเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธมีได้อย่างไร ?

พระกามภูตอบ "ดูก่อนคฤหบดีภิกษุเมื่อจะเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ มิได้คิดอย่างนี้ว่าเราจักเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ หรือว่าเรากำลังเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ หรือว่าเราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว โดยที่แท้จิตของภิกษุนั้นเป็นจิตที่ได้รับการอบรมไว้ก่อนแล้วจนกระทั่งจิตนั้นสามารถนำภิกษุนั้นเข้าสู่สภาพตถัตตา (คือภาวะเช่นนั้น ภาวะไม่มีชื่อ อันหมายถึงนิพพาน)"
กามภูสูตรที่ ๒
 
คนตายกับสัญญาเวทยิตนิโรธ
ปัญหา คนตายกับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธมีความแตกต่างกันอย่างไร ?

พระภามภูตอบ "ดูก่อนคฤหบดี คนที่ตายแล้วทำกาละแล้ว มีกายสังขารดับสงบ มีวจีสังขารดับสงบ มีจิตตสังขารดับสงบ มีอายุสิ้นไปไออุ่นสงบ อินทรีย์กระจัดกระจาย
ส่วนภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ กายสังขารดับสงบ วจีสังขารดับสงบ จิตตสังขารดับสงบ แต่ยังไม่สิ้นอายุ ไออุ่นยังไม่สงบ อินทรีย์ผ่องใส..."
กามภูสูตรที่ ๒
 
ลำดับการออกสัญญาเวทยิตนิโรธ
ปัญหา การออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธมีได้อย่างไร ? สังขารต่างๆ เกิดขึ้นอย่างไร ? ผัสสะอะไรเกิดขึ้นก่อน ? จิตน้อมไปสู่อะไร ? อะไรเป็นอุปการะแก่สัญญาเวทยิตนิโรธ ?

พระกามภูตอบ "ดูก่อนคฤหบดี ภิกษุเมื่อจะออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธ ไม่ได้คิดอย่างนี้ว่า เราจักออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธ หรือว่าเรากำลังออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธ หรือว่าเราออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว โดยที่แท้ จิตของภิกษุนั้นเป็นสภาพได้รับการอบรมไว้ก่อนจนสามารถนำภิกษุนั้นเข้าสู่สภาพตถัตตาได้...

 "ดูก่อนคฤหบดีเมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธจิตตสังขารเกิดก่อน ต่อจากนั้นกายสังขารจึงเกิดต่อจากนั้นวจีสังขารจึงเกิด...
"ดูก่อนคฤหบดีผัสสะ ๓ อย่าง คือสุญญผัสสะอนิมิตตผัสสะ อัปปณิหิตผัสสะย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ...
จิตของภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธย่อมน้อมไปสู่วิเวก...
ธรรม ๒ อย่าง คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑ ย่อมมีอุปการะมากแก่สัญญาเวทยิตนิโรธ"
กามภูสูตรที่ ๒
 
เหตุให้คนใจดี - ใจร้าย
ปัญหา อะไรเป็นเหตุให้คนบางคนดุ ใจร้าย อะไรเป็นเหตุให้คนบางคนเป็นคนใจดี ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนนายคามณี คนบางคนในโลกนี้ ยังละราคะไม่ได้...ยังละโทสะไม่ได้...ยังละโมหะไม่ได้...เพราะเป็นผู้ยังละราคะ...โทสะ...โมหะไม่ได้ คนอื่นจึงทำให้โกรธได้ เมื่อถูกคนอื่นยั่วให้โกรธอยู่ จึงแสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่าเป็นคนดุ
"ดูก่อนนายคามณีส่วนคนบางคนในโลกนี้ละราคะได้แล้ว...ละโทสะได้แล้ว...ละโมหะได้แล้ว เพราะละราคะ...โทสะ...โมหะได้คนอื่นจึงทำให้โกรธไม่ได้
คนที่ละราคะ...โทสะ...โมหะได้แล้ว ถูกคนอื่นยั่วให้โกรธก็ไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ"
จัณฑสูตร
 
อนาคตของดารานักแสดง
ปัญหา ดารานักแสดงที่ให้ความบันเทิงแก่ผู้อื่นด้วยคำจริงบ้าง ไม่จริงบ้างนั้น ตายแล้วจะไปเกิดในสุคติหรือทุคติ ?

พระพุทธเจ้าทรงห้ามมิให้หัวหน้านักแสดงนามว่าตาลปุฏะถามคำถามนั้นถึง ๓ ครั้ง แต่นายตาลปุฏะก็ยังคะยั้นคะยอจะเอาคำตอบให้ได้ พระพุทธองค์จึงตรัสตอบว่า

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนหัวหน้านักแสดงแท้จริงเราไม่อนุญาตให้ท่านถามปัญหานี้เรากล่าวว่า อย่าเลย หัวหน้านักแสดง เรื่องนี้หยุดไว้เสียเถิด อย่าถามปัญหานี้กะเราเลยแต่เอาเถอะ เราจะตอบปัญหาแก่ท่าน

"ดูก่อนหัวหน้านักแสดง สัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากราคะถูกราคะผูกมัดไว้...ยังไม่ปราศจากโทสะ ถูกโทสะผูกมัดไว้...ยังไม่ปราศจากโมหะ ถูกโมหะผูกมัดไว้อยู่ก่อนแล้ว นักแสดงยิ่งนำเข้ามาซึ่งธรรมอันส่งเสริมราคะ...ส่งเสริมโทสะ...ส่งเสริมโมหะแก่ชนเหล่านั้นในท่ามกลางเวที ท่ามกลางโรงมหรสพ ให้มี ราคะ...โทสะ...โมหะมากยิ่งขึ้น บุคคลนั้น ตนเองก็ประมาทมัวเมาอยู่แล้ว ยังทำให้คนอื่นประมาทมัวเมาอีก เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกทำลาย ย่อมเกิดในนรกชื่อปหาสะ...

"ถ้าเขามีความเห็นอย่างนี้ว่านักแสดงคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริงตามคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางเวที...ผู้นั้นเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกทำลาย ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชื่อปหาสะ ความเห็นของเขานั้นเป็นความเห็นผิด..."
ตาลปุฏสูตร
 
อนาคตของนักรบมืออาชีพ
ปัญหา นักรบมืออาชีพที่มีความอุตสาหะวิริยะในสงครามตายไปแล้วจะเกิดในสุคติหรือทุคติ ?

คำถามนี้ประธานชุมชน (นายบ้าน) ผู้เป็นนักรบอาชีพทูลถามพระพุทธเจ้า ๓ ครั้ง พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงตอบ แต่ในที่สุดก็จำต้องตอบว่า

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนนายบ้าน แท้จริงเราไม่ได้อนุญาตให้ท่านถามปัญหานี้ เรากล่าวว่า 'อย่าเลย นายบ้าน เรื่องนี้พักไว้เสียเถิด อย่าถามปัญหานี้กะเราเลย' แต่เอาเถอะ เราจะตอบปัญหาแก่ท่าน

"ดูก่อนนายบ้านนักรบอาชีพคนใด อุตสาหะพยายามในสงคราม จิตของเขาเป็นสภาพต่ำ ชั่ว ตั้งไว้ไม่ดีก่อนแล้วว่า ขอสัตว์เหล่านี้จงถูกฆ่า จงถูกแทง จงขาดสูญ จงพินาศ หรือว่าอย่าได้มีอยู่เลย ดังนี้บุคคลอื่นย่อมฆ่าย่อมกำจัดเขาที่กำลังอุตสาหะพยายามอยู่นั้น เมื่อเขาตายเพราะกายแตกทำลายย่อมบังเกิดในนรกชื่อสรชิต...

"ถ้าเขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นักรบอาชีพคนใดอุตสาหะพยายามในสงคราม...ผู้นั้นเมื่อตายไปเพราะกายแตกทำลาย ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าสรชิตดังนี้ไซร้ความเห็นของผู้นั้นเป็นความเห็นผิด
ดูก่อนนายบ้าน ก็เราย่อมกล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานของบุคคลผู้มีความเห็นผิด..."
โยธาชีวสูตร
 
พิธีส่งวิญญาณไปสวรรค์ของพราหมณ์
ปัญหา นายบ้านชื่อสิพันธกบุตรทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิผู้ถือหม้อน้ำคล้องพวงมาลัยดอกไม้ผู้ล้างบาปด้วยน้ำ ผู้บูชาไฟ สามารถทำพิธีปลุกคนตายที่ถึงวาระสุดท้ายแล้วให้เป็นขึ้น ทำให้เขารู้ตัวแล้วส่งเขาขึ้นสู่สวรรค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าสามารถทำได้เช่นนั้นหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนนายคามณี ถ้าอย่างนั้น เราจักย้อนถามท่านในปัญหาข้อนี้...ท่านจะเห็นความข้อนั้นอย่างไร บุรุษในโลกนี้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในการพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิดหมู่มหาชนมาประชุมกันแล้ว พึงสวดวิงวอนสรรเสริญประนมมือเดินเวียนรอบผู้นั้นกล่าวว่า ขอบุรุษผู้นี้เมื่อตายไป จงเข้าถึงสุคติโลกสรรค์ ท่านจะเห็นความข้อนั้นอย่างไร บุรุษนั้นเมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะเหตุ การสวดวิงวอน...การสรรเสริญ หรือการประนมมือเดินเวียนรอบนั้นหรือ ?"
"ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า"

"ดูก่อนนายคามณีเปรียบเหมือนบุรุษโยนหินก้อนหนาใหญ่ลงในห้วงน้ำลึก หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน...ว่า ขอจงลอยขึ้นมาเถิด ท่านก้อนหิน ท่านจะคิดเห็นอย่างไรก้อนหินนั้นถึงจะลอยขึ้น เพราะเหตุ การสวดวิงวอนของหมู่มหาชนบ้างหรือ ?"
"ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า"

"ดูก่อนนายคามณี ฉันนั้นเหมือนกันบุคคลใดฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ฯลฯ แม้หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน...ว่า ขอบุรุษนี้เมื่อตายไปจงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ก็ตาม แต่บุรุษนั้นเมื่อตายไปพึงเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรกโดยแท้..."
ภูมกสูตร
 
จุดรวมของอกุศลกรรม
ปัญหา เมื่อกล่าวโดยรวบยอดแล้ว อกุศลธรรมและกุศลธรรมทั้งสิ้นรวมลงในอะไร ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อจะกล่าวว่ากองอกุศลจะกล่าวให้ถูก ต้องกล่าวถึงนิวรณ์ ๕ เพราะว่ากองอกุศลทั้งสิ้นได้แก่นิวรณ์ ๕...

 "เมื่อจะกล่าวว่ากองกุศลจะกล่าวให้ถูก ต้องกล่าวถึงสติปัฏฐาน ๔ เพราะว่ากองกุศลนี้ทั้งสิ้นได้แก่สติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง..."
อกุสลราสิสูตร


ฐิตา:




ตอน ๗
การแสดงธรรมแบบต่าง ๆ แก่คนประเภทต่าง ๆ
ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาแก่สัตว์ทั้งปวง แต่เหตุไฉนจึงทรงแสดงธรรมด้วยดีแต่คนบางพวก ไม่ทรงแสดงธรรมด้วยดีแก่คนบางพวก ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนนายคามณีถ้าอย่างนั้นเราจักย้อนถามท่านถึงข้อนี้ ท่านพึงพยากรณ์ปัญหานั้นตามที่ท่านเห็นสมควร
 ดูก่อนนายคามณีท่านจะเห็นความข้อนั้นอย่างไร นาของคฤหบดีชาวนาในโลกนี้มี ๓ ชนิด คือ ชนิดหนึ่งเป็นนาดี ชนิดหนึ่งเป็นนาปานกลาง ชนิดหนึ่งเป็นนาเลว มีดินแข็ง ดินเค็ม มีเนื้อดินเลว...คฤหบดีต้องการจะหว่านพืชจะพึงหว่านในนาไหนก่อน ?
"พึงหว่านในนาดีก่อน...แล้วจึงหว่านในนาปานกลาง...ในนาเลว...พึงหว่านบ้าง ไม่หว่านบ้างเพราะเหตุไร เพราะในที่สุด จักเป็นเพียงอาหารโค

"ดูก่อนนายคามณี เปรียบเหมือนนาดีฉันใด เราย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งความหมาย (อรรถะ) และตัวอักษร (พยัญชนะ) บริสุทธิ์ บริบูรณ์ สิ้นเชิง แก่ภิกษุและภิกษุณีของเราเหล่านั้นก่อน ฉันนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะภิกษุและภิกษุณีเหล่านี้ มีเราเป็นที่พึ่ง มีเราเป็นที่หลบภัย มีเราเป็นเครื่องป้องกันมีเราเป็นสรณะ

"ดูก่อนนายคามณี เปรียบเหมือนนาปานกลางฉันใด เราย่อมแสดงธรรม...แก่อุบาสก อุบาสิกาของเราเหล่านั้นฉันนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะอุบาสกอุบาสิกาเหล่านั้นมีเราเป็นที่พึ่ง...

"ดูก่อนนายคามณี นาเลว มีดินแข็ง...มีดินเหลว ฉันใด เราย่อมแสดงธรรม...แก่อัญเดียรถีย์ สมณะ พราหมณ์ และปริพาชกเหล่านั้นฉันนั้น...ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะถ้าอัญเดียรถีย์ สมณะ พราหมณ์และปริพาชก จะพึงรู้ทั่วถึงธรรมนั้นแม้บทเดียว ความรู้นั้นพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่เขาสิ้นกาลนาน..."
เทศนาสูตร
 
พระภิกษุกับการรับเงินและทอง
ปัญหา ราชบริษัทในเมืองราชคฤห์สนทนากันว่า เงินและทองเป็นสิ่งควรแก่ภิกษุ พระภิกษุยังยินดีในเงินและทอง และย่อมรับเงินและทองได้ นายบ้านนามว่ามณีจูฬกะได้ยินเช่นนั้น จึงปฏิเสธคำกล่าวหานั้น แล้วภายหลังได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลเรื่องนี้ให้ทราบ และทูลถามว่าที่เขาปฏิเสธไปนั้นถูกต้องหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ "ดีละนายคามณี เมื่อท่านตอบอย่างนั้น เป็นอันกล่าวตามที่เรากล่าว ไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง และกล่าวตอบธรรมถูกต้องเหมาะสม...เพราะว่าทองและเงินไม่ควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมไม่ยินดีในเงินและทอง...ห้ามเสียซึ่งเพชรนิลจินดาและทอง ปราศจากเงินและทอง

"ดูก่อนนายคามณี กามคุณทั้ง ๕ ควรแก่ผู้ใด เงินและทองย่อมควรแก่ผู้นั้น ท่านพึงจำข้อนี้ไว้อย่างเด็ดขาดเถิดว่า ข้อนั้นไม่ใช่สมณธรรม ไม่ใช่ธรรมของสมณศากยบุตร

นายคามณี เรากล่าวยืนยันอย่างนี้ว่า ผู้ต้องการหญ้าพึงแสวงหาหญ้า ผู้ต้องการไม้พึงแสวงหาไม้ ผู้ต้องการหาเกวียนพึงแสวงหาเกวียน ผู้ต้องการบุรุษจึงแสวงหาบุรุษ แต่เรามิได้กล่าวโดยปริยายใด ๆ เลยว่า พระศากยบุตรพึงยินดีและแสวงหาเงินและทอง"
มณีจุฬาสูตร
 
ความสำคัญของความเห็น
ปัญหา ความเห็นผิด และความเห็นถูก มีความสำคัญอย่างไรในการปฏิบัติทางพุทธศาสนา ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเดือยข้าวสาลี หรือเดือยข้าวบาเลย์ ที่จัดตั้งไว้ไม่ถูก (เมื่อ)มือหรือเท้ากระทบเข้า จักทำลายมือหรือเท้า จักทำให้ห้อเลือด ข้อนี้มิใช่สิ่งที่จะเป็นไปได้ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเดือยนั้นบุคคลจัดตั้งไว้ผิด...

 ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแลจักทำลายอวิชชา จักยังวิชาให้เกิด จักทำนิพพานให้แจ้ง ด้วยความเห็นที่ตั้งไว้ผิด ด้วยการเจริญมรรควิชาให้เกิด จักทำนิพพานให้แจ้ง ด้วยความเห็นที่ตั้งไว้ผิด ด้วยการเจริญมรรคที่ตั้งไว้ผิด ข้อนั้นมิใช่สิ่งที่จะเป็นไปได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะความเห็นตั้งไว้ผิด

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...ข้อที่ภิกษุจักทำลายอวิชชา จักยังวิชชาให้เกิด จักทำนิพพานให้แจ้งด้วยความเห็นที่ตั้งไว้ถูกด้วยการอบรมที่มรรคตั้งไว้ถูก นี้เป็นฐานะที่จะเป็นไปได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะความเห็นตั้งไว้ถูก..."
สุกสูตร
 
เครื่องรองรับจิตคืออะไร
ปัญหา เครื่องรองรับจิตคืออะไร ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหม้อที่ไม่มีเครื่องรองรับ ย่อมกลิ้งไปได้ง่าย หม้อที่มีเครื่องรองรับย่อมกลิ้งไปได้ยากฉันใด จิตก็ฉันนั้นเหมือนกัน ที่ไม่มีเครื่องรองรับย่อมกลิ้งไปได้ง่าย ที่มีเครื่องรองรับย่อมกลิ้งไปได้ยาก

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นเครื่องรองรับจิต อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล...เป็นเครื่องรับรองจิต"
กุมภสูตร
 
สิ่งจำเป็นเบื้องต้นในการเจริญอริยมรรค
ปัญหาอะไรคือสิ่งจำเป็นเบื้องต้นในการเจริญอริยมรรค ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่ขึ้นก่อน สิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน คือแสงเงินแสงทอง สิ่งที่เป็นเบื้องต้นเป็นนิมิตมาก่อน แห่งความเกิดขึ้นแห่งอริยมรรคมีองค์ ๘ ของภิกษุ คือความเป็นผู้มีมิตรดีฉันนั้นเหมือนกัน
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีมิตรดี เป็นอันหวังได้ว่า จักเจริญอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ จักกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคมีองค์ ๘ "
กัลยาณมิตตสูตรที่ ๑
 
องค์ประกอบอื่น ๆ ของมรรค
ปัญหา สิ่งจำเป็นเบื้องต้นอื่น ๆ อีกในการเจริญอริยมรรค คืออะไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่ขึ้นก่อน...คือแสงเงินแสงทอง...สิ่งที่เป็นเบื้องต้นเป็นนิมิตมาก่อน แห่งความเกิดขึ้นแห่งอริยมรรคมีองค์ ๘ ของภิกษุ คือ ความสมบูรณ์แห่งศีล...ความสมบูรณ์แห่งฉันทะ...ความสมบูรณ์แห่งโยนิโสมนสิการ (การคิดพิจารณาอย่างรอบคอบ) ฉันนั้นเหมือนกัน

 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีความสมบูรณ์แห่งศีล ฯลฯ ความสมบูรณ์แห่งโยนิโสมนสิการ เป็นอันหวังได้ว่า จักเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘..."
สีลสัมปทาสูตรที่ ๑
 
จุดหมายปลายทางของอริยมรรค
ปัญหา อริยมรรคมีองค์ ๘ ที่บุคคลเจริญเต็มที่แล้วย่อมนำไปสู่อะไร ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำใหญ่ ๆ สายใดสายหนึ่งนี้คือ แม่น้ำคงคา แม่น้ำมุนา แม่น้ำอจิรวดี แม่น้ำสรภู แม่น้ำมหิ ทั้งหมดนั้นไหลไปสู่ทิศตะวันออก หลั่งไปสู่ทิศตะวันออก บ่าไปสู่ทิศตะวันออก...ไหลไปสู่สมุทร หลั่งไปสู่สมุทร บ่าไปสู่สมุทรแม้ฉันใด เมื่อภิกษุเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ เพิ่มพูนอริยมรรคมีองค์ ๘ ก็เป็นผู้น้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพานฉันนั้นเหมือนกัน

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...ภิกษุเจริญอริยมรรคอันมีองค์ ๘...อย่างไรเล่า จึงเป็นผู้น้อมไปสู่นิพพาน ?... ภิกษุในธรรมวินัยนี้เจริญสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา ฯลฯ สัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธน้อมไปในการสละ...มีอันกำจัดราคะเป็นที่สุด...กำจัดโทสะเป็นที่สุด...กำจัดโมหะเป็นที่สุด...อันหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด...อันน้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน...
"เมื่อภิกษุเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ อย่างนี้แลจึงเป็นผู้น้อมไปสู่นิพพาน..."
คังคาปาจีนนินนสูตรฯ
 
ยอดแห่งธรรมทั้งปวง
ปัญหา ยอดแห่งธรรมทั้งปวงคืออะไร

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายที่ไม่มีเท้าก็ดี มี ๒ เท้าก็ดี มี ๔ เท้าก็ดี มีรูปก็ดี ไม่มีรูปก็ดี มีสัญญาก็ดี ไม่มีสัญญาก็ดี มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ก็ดี มีประมาณเท่าใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บัณฑิตกล่าวว่าเป็นผู้เลิศกว่าสัตว์เหล่านั้นฉันใด...

"รอยเท้าของสัตว์ทั้งหลายผู้สัญจรไปบนแผ่นดินชนิดใดชนิดหนึ่งทั้งหมดนั้น ย่อมถึงความประชุมลงในรอยเท้าช้าง รอยเท้าช้างบัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่ารอยเท้าเหล่านั้น เพราะเป็นรอยใหญ่แม้ฉันใด...

"กลอนแห่งเรือนยอดอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งหมดนั้นย่อมไปสู่ยอด น้อมไปสู่ยอด ประชุมเข้าที่ยอด ยอดแห่งเรือนยอดนั้น บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่ากลอนเหล่านั้นเหมือนกัน...

"กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทั้งหมดนั้นมีความไม่ประมาทเป็นมูล รวมลงในความไม่ประมาท ความไม่ประมาท บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่ากุศลธรรมเหล่านั้นฉันนั้นเหมือนกัน...
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้ไม่ประมาทแล้ว พึงหวังข้อนี้ได้ คือจักเจริญอริยมรรคอันมีองค์ ๘ เพิ่มพูนอริยมรรคมีองค์ ๘..."
ตถาคตสูตรที่ ๑
 
ศีลส่งเสริมอริยมรรค
ปัญหา ธรรมอะไรเป็นรากฐานแห่งความเจริญงอกงามแห่งอริยมรรคมีองค์ ๘ ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การงานที่จะพึงทำด้วยกำลังที่บุคคลทำอยู่ใด ๆ งานทั้งหมดนั้น คนอาศัยแผ่นดิน ยืนอยู่บนแผ่นดินจึงทำได้...แม้ฉันใด...
"พืชคามและภูตคามชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่เจริญงอกงามใหญ่โต...ทั้งหมดนั้นอาศัยแผ่นดิน ตั้งอยู่บนแผ่นดิน จึงถึงความเจริญงอกงามใหญ่โต...แม้ฉันใด
"ภิกษุอาศัยศีลตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญ...เพิ่มพูนอริยมรรคมีองค์ ๘ ฉันนั้นเหมือนกัน..."
พลกรณียสูตรที่ ๑
 
ธรรมที่ควรรู้และทำให้แจ้งและทำให้เจริญ
ปัญหา ธรรมอะไรที่ควรกำหนดรู้ และกระทำให้แจ้งและทำให้เจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งคืออะไร ? คือ ธรรมที่เรียกว่า อุปาทานขันธ์ ๕ คือ ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ...

"...ก็ธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่งคืออะไร ?คือ อวิชชาและภวตัณหา...
"...ก็ธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งคืออะไร ? คือ วิชชาและวิมุติ
"...ก็ธรรมที่ควรทำให้เจริญด้วยปัญญาอันยิ่งคืออะไร ? คือ สมถะและวิปัสสนา

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อเจริญ...เพิ่มพูนอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล จึงกำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง จึงละธรรมที่ควรละ...จึงทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง...จึงเจริญธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง..."
อาคันตุกาคารสูตร
 
คนใฝ่หา ๓ สิ่ง
ปัญหา คนในโลกใฝ่หาอะไรบ้างและเราควรทำอย่างไรเกี่ยวกับการใฝ่หานั้น ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การใฝ่หามี ๓ อย่าง...คือ การใฝ่หากาม ๑ การใฝ่หาภพ ๑ การใฝ่หาพรหมจรรย์ ๑...
 ภิกษุควรเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เพื่อความรู้ยิ่งการใฝ่หา ๓ อย่างนี้แล..."


ฐิตา:




ตอน ๘สนิมของจิต
ปัญหา ธรรมที่เป็นสนิมของจิตทำให้จิตเสียไปคืออะไร ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งเศร้าหมองของทองคำ ๕ อย่างนี้ เป็นเครื่องทำทองไม่ให้อ่อน ไม่ให้ควรแก่การงาน ไม่ให้มีสีสุก ให้เปราะ ให้ใช้การไม่ได้ดี สิ่งเศร้าหมอง ๕ อย่างคืออะไรบ้าง ?
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล็ก ...ดีบุก...ตะกั่ว...เงิน เป็นเครื่องเศร้าหมองของทองคำ ทำทองคำไม่ให้อ่อน...ให้ใช้การไม่ได้ดี

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เครื่องเศร้าหมองของจิต ๕ อย่างนี้ เป็นเครื่องทำจิตไม่ให้นิ่มนวล ไม่ให้ควรแก่การงาน ไม่ให้ผุดผ่อง ให้เสียไป และไม่ให้ตั้งมั่นด้วยดี เพื่อความสิ้นอาสวะ เครื่องเศร้าหมองแห่งจิต ๕ อย่างคืออะไรบ้าง ?
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กามฉันทะ...พยาบาท...ถีนมิทธะ...อุทธัจจะ กุกกุจจะ...วิจิกิจฉาเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต ทำจิตไม่ให้นิ่มนวล...

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้แลไม่เป็นธรรมกั้น ไม่เป็นธรรมห้าม ไม่เป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตอันบุคคลเจริญแล้ว...ย่อมเป็นไปเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผลคือวิชชาและวิมุติ"
อุปกิเลสสูตร
 

นิวรณ์ ๕ ระงับเมื่อใด
ปัญหา ทำอย่างไรนิวรณ์ ๕ จึงระงับ ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกมุ่งต่อพระธรรม ใส่ใจ พิจารณาด้วยใจทั้งหมด เงี่ยโสตลงฟังธรรม สมัยนั้น นิวรณ์ ๕ ย่อมไม่มีแก่เธอ โพชฌงค์ ๗ ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์"
อาวรณานีวรณสูตร
 

อาหารของโพชฌงค์ ๗
ปัญหา อะไรเป็นอาหารเครื่องบำรุงเลี้ยงโพชฌงค์ ๗ ให้เจริญ ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่เป็นที่ตั้งแห่งสติสัมโพชฌงค์มีอยู่ การเพิ่มพูนโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้นเป็นอาหารให้สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น...
"ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลและอกุศล ที่มีโทษและไม่มีโทษ ที่เลวและประณีต ที่เป็นฝ่ายดำและฝ่ายขาวมีอยู่การเพิ่มพูนโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้นเป็นอาหารแห่งธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์

"ความริเริ่มความพยายาม ความบากบั่นมีอยู่การเพิ่มพูนโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านี้ เป็นอาหารแห่งวิริยสัมโพชฌงค์
"ธรรมทั้งหลายที่เป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์มีอยู่การเพิ่มพูนโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น เป็นอาหารแห่งปีติสัมโพชฌงค์

"ความสงบกาย ความสงบจิตมีอยู่ การเพิ่มพูนโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น เป็นอาหารแห่งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
"สมาธินิมิตและอัพยัคคนิมิต (นิมิตแห่งจิตที่มีอารมณ์ไม่ฟุ้งซ่าน) มีอยู่การเพิ่มพูนโยนิโสมนสิการในนิมิตเหล่านั้น เป็นอาหารแห่งสมาธิสัมโพชฌงค์
"ธรรมทั้งหลายที่เป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์มีอยู่ การเพิ่มพูนโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น เป็นอาหารแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์..."
กายสูตร
 

อานิสงส์โพชฌงค์ ๗
ปัญหา เมื่อเจริญโพชฌงค์ ๗ ประการบริบูรณ์และจะเกิดอานิสงส์อย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อโพชฌงค์ ๗ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้..ผลานิสงส์ ๗ ประการ อันเธอพึงหวังได้ คือ

(๑) จะได้บรรลุอรหัตตผลโดยพลัน ในปัจจุบัน
(๒) ถ้าไม่ได้บรรลุในปัจจุบัน จะได้บรรลุอรหัตตผลในเวลาใกล้ตาย
(๓) ถ้าไม่ได้บรรลุในปัจจุบันในเวลาใกล้ตายจะได้เป็นพระอนาคามี ประเภทอันตราปรินิพพายี เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป

(๔) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุและไม่ได้เป็นพระอนาคามีประเภทอันตราปรินิพพายี...จะได้เป็น พระอนาคามีประเภทอุปหัจจปรินิพพายีเพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๕) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุและไม่ได้เป็นพระอนาคามีประเภทอันตราปรินิพพายี ทั้งประเภทอุปหัจจปรินิพพายี จะได้เป็นพระอนาคามีประเภทอสังขารปรินิพพายีเพราะสังโยชน์ ๕ เบื้องต่ำสิ้นไป

(๖) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ ฯลฯ และไม่ได้เป็นพระอนาคามีมีผู้อสังขารปรินิพพายี...จะได้เป็นพระอนาคามีประเภทสสังขารปรินิพพายีเพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๗) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ ฯลฯ และไม่ได้เป็นพระอนาคามีมีผู้สสังขารปรินิพพายี จะได้เป็นพระอนาคามีประเภทอุทธังโสโตอกนิฏฐคามีเพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป..."
สีลสูตร
 

พระพุทธเจ้าอยู่ด้วยวิชชาและวิมุติ
ปัญหา กุณฑลิยปริพพาชกทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระสมณโคดมทรงมีอะไรเป็นอานิสงส์ดำรงชีวิตอยู่ ?

พุทธดำรัสตอบ" ดูก่อนกุณฑลิยะตถาคตมีวิชชาและวิมุติเป็นผลานิสงส์อยู่...
โพชฌงค์ ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว เพิ่มพูนแล้ว ย่อมยังวิชชาและวิมุติให้บริบูรณ์...
สติปัฏฐาน ๔ อันบุคคลเจริญแล้วย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์...

สุจริต ๓ อันบุคคลเจริญแล้วย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์...
อินทรีย์สังวร อันบุคคลเจริญแล้ว...ย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์...
กุณฑลิยสูตร
 

พระพุทธองค์ไม่มีคำสอนพิเศษเพื่อใคร
ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงมีคำสอนพิเศษที่สงวนไว้สำหรับ พระสาวกบางประเภทหรือไม่ ?และทรงมีคำสอนพิเศษที่จะประกาศแก่พระสงฆ์สาวกก่อนจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนอานนท์บัดนี้ภิกษุสงฆ์จะมาหวังอะไรในเราอีกเล่า ? พระธรรมเราแสดงไว้แล้วโดยไม่มีนอกไม่มีใน
 "ดูก่อนอานนท์ในธรรมทั้งหลายของตถาคต ย่อมไม่มีกำมือแห่งอาจารย์ (สิ่งที่อาจารย์กำไว้เป็นความลับ) ผู้ใดพึงมีความดำริอย่างนี้ว่าเราจักบริหารภิกษุสงฆ์หรือว่า ภิกษุสงฆ์มีเราเป็นที่อิงอาศัยผู้นั้นพึงปรารภภิกษุสงฆ์กล่าวประกาศเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างแน่นอน

"ดูก่อนอานนท์ตถาคตไม่เคยมีความดำริอย่างนี้เลยว่า เราจะบริหารภิกษุสงฆ์ หรือว่า ภิกษุสงฆ์มีเราเป็นที่อิงอาศัย ฉะนั้นตถาคตจักปรารภภิกษุสงฆ์กล่าวประกาศเรื่องใดเรื่องหนึ่งทำไมเล่า ?บัดนี้เราก็แก่เฒ่าเป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัยแล้ว วัยของเราล่วงเข้าแปดสิบปีแล้ว เกวียนเก่ายังจะใช้ไปได้ก็เพราะซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่ฉันใด กายของตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน..."
คิลานสูตร
 

อะไรเกิดขึ้นในการเจริญสติปัฏฐาน
ปัญหา ในการเจริญสติปัฏฐานอะไรเกิดขึ้นบ้างและควรปฏิบัติอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนอานนท์ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่...ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่...ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่...ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย เมื่อเธอพิจารณาเห็นกายในกาย...เห็นเวทนาในเวทนา...เห็นจิตในจิต...เห็นธรรมในธรรมอยู่ อารมณ์ทางกายย่อมเกิดขึ้นบ้าง ความเร่าร้อนในกายหรือความหดหู่จิตซัดส่ายจิตไปในภายนอกบ้าง...อารมณ์คือเวทนาย่อมเกิดขึ้นบ้าง...อารมณ์ทางจิตย่อมเกิดขึ้นบ้าง...อารมณ์คือธรรมย่อมเกิดขึ้นบ้าง...ภิกษุนั้นพึงตั้งจิตไว้ให้มั่นในนิมิตอันน่าเลื่อมใสอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อตั้งจิตไว้มั่นในนิมิต...ปราโมทย์ย่อมเกิด เมื่อเธอมีปราโมทย์ ปีติย่อมเกิด เมื่อเธอมีใจประกอบด้วยปีติ กายย่อมระงับ เธอมีกายระงับแล้วย่อมเสวยสุข เมื่อเธอมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น เธอย่อมพิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า เราตั้งจิตไว้เพื่อประโยชน์อันใด ประโยชน์นั้นสำเร็จแก่เราแล้วบัดนี้ เราจะคุมจิตไว้ เธอคุมจิตไว้ และไม่ตรึกไม่ตรอง ย่อมรู้ชัดว่าเราไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีสติในกายใน เป็นผู้มีความสุข ดังนี้..."
ภิกขุณีสูตร ๑
 

บำบัดทุกขเวทนาด้วยพลังจิต
ปัญหา ได้ทราบว่า เวลาประชวรหนัก บางคราวพระพุทธเจ้าทรงบำบัดทุกขเวทนาด้วยพลังจิต พระองค์ทรงกระทำอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนอานนท์ สมัยใดตถาคตเข้าเจโตสมาธิ อันไม่มีนิมิต เพราะไม่ได้กระทำไว้ในใจ ซึ่งนิมิตทั้งปวง เพราะดับเวทนาบางอย่างแล้วอยู่สมัยนั้นกายของตถาคตย่อมผาสุก เพราะฉะนั้นเธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง..."
คิลานสูตร
 

มหาบุรุษคือคนประเภทไหน
ปัญหา ที่เรียกว่า 'มหาบุรุษ' ในทางพระพุทธศาสนานั้น หมายถึงคนประเภทไหน ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนสารีบุตรเราเรียกว่า 'มหาบุรุษ' เพราะเป็นผู้มีจิตหลุดพ้น เราไม่เรียกว่า 'มหาบุรุษ' เพราะเป็นผู้มีจิตยังไม่หลุดพ้น
 "ดูก่อนสารีบุตรก็บุคคลเป็นผู้มีจิตหลุดพ้นอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นภายในกายอยู่เป็นปกติ...พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่เป็นปกติ...ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เป็นปกติ...ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่เป็นปกติ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย...จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น
 "ดูก่อนสารีบุตร บุคคลเป็นผู้มีจิตหลุดพ้นอย่างนี้แล เราเรียกว่ามหาบุรุษ..."
มหาปุริสสูตร
 

ไม่ใครเหนือพระพุทธองค์
ปัญหา สมณะหรือพราหมณ์อื่นซึ่งจะมีปัญญาเครื่องตรัสรู้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้ามีหรือไม่ ?

พระสารีบุตรตอบ "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์อื่น ซึ่งจะรู้ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาคในทางปัญญาเครื่องตรัสรู้ มิได้มีแล้ว จักไม่มีและย่อมไม่มีในบัดนี้...

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะมีเจโตปริยญาณ (การรู้จิตใจของผู้อื่น) ในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันก็หามิได้ แต่ข้าพระองค์รู้ได้ด้วยการอนุมานตามพระธรรม

 "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เปรียบเหมือนชายแดนของพระราชา มีเชิงเทินมั่นคง มีกำแพงและหอรบหนาแน่น มีประตูเดียว คนเฝ้าประตู...มีปัญญาเฉลียวฉลาด ห้ามคนไม่รู้จัก ให้คนรู้จักเข้าไป เขาเดินตรวจทางรอบนครนั้น ไม่พบรอยต่อหรือช่องแห่งกำแพงโดยที่สุดแม้เพียงแมวจะลอดออกไปได้ เขาพึงมีความมั่นใจอย่างนี้ว่า สัตว์ขนาดใหญ่เหล่าใดเหล่าหนึ่งจะเข้าสู่นครนั้นหรือออกไป ย่อมเข้าออกทางประตูนี้ทั้งหมดฉันใด ข้าพระองค์รู้ได้ด้วยการอนุมานตามพระธรรมก็ฉันนั้น...

 "พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดที่ได้มีมาแล้วในอดีตกาลจักมีในอนาคต...และแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจจุบันนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้นทุกพระองค์ทรงละนิวรณ์ ๕ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งใจทอนกำลังปัญญา ทรงมีพระหฤหัยตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ทาง เจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริง ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว..."
นาฬันทสูตร


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version