ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง

รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"

<< < (40/58) > >>

sithiphong:
.
-http://www.sso.go.th/wpr/content.jsp?lang=th&cat=876&id=3694-

หลักเกณฑ์และเงื่อนไข

ที่มา
การขยายประกันสังคมให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบโดยผลักดันร่าง พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ฉบับแก้ไข เพื่อรัฐร่วมจ่ายในมาตรา 40 และแก้ไขพระราชกฤษฎีกา เพื่อพัฒนาสิทธิประโยชน์ของมาตรา 40 ให้เป็นที่จูงใจ โดยเป็นระบบสมัครใจ

ความหมาย
ผู้ประกันตนมาตรา 40 หมายถึง บุคคลที่มิใช่ลูกจ้างตามมาตรา 33 หรือเป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจ มาตรา 39 เรียกว่า ผู้ประกันตนโดยอิสระ

คุณสมบัติผู้สมัคร

อายุ 15-60 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39 ไม่เป็นข้าราชการหรือบุคคลที่ถูกยกเว้นตามกฎหมายประกันสังคม
บุคคลพิการที่สามารถรับรู้สิทธิประกันสังคม
เฉพาะปีแรก (มีผลบังคับใช้วันที่ 9 ธันวาคม 2556 - วันที่ 8 ธันวาคม 2557) เปิดโอกาสให้ผู้สมัครที่มีอายุ 60-65 ปี สมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ได้ทุกทางเลือก
สำหรับผู้สมัครที่มีอายุเกินกว่า 65 ปี เฉพาะปีแรก (มีผลบังคับใช้วันที่ 9 ธันวาคม 2556 - วันที่ 8 ธันวาคม 2557) สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ได้เฉพาะทางเลือก 3 เท่านั้น และไม่มีสิทธิเปลี่ยนทางเลือก

หลักฐานการสมัคร

สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรอื่นที่หน่วยงานราชการออกให้ (ใบอนุญาตขับขี่รถ)

สำนักงานประกันสังคมทั่วประเทศเลือกทางเลือกใน การจ่ายเงินสมทบได้ 3 ทางเลือก คือ

ทางเลือกที่ 1 จ่ายเงินสมทบ 100 บาท/เดือน (จ่ายเอง 70 บาท รัฐสนับสนุน 30 บาท)

ทางเลือกที่ 2 จ่ายเงินสมทบ 150 บาท/เดือน (จ่ายเอง 100 บาท รัฐสนับสนุน 50 บาท)

ทางเลือกที่ 3 มี 3 ทางเลือก ดังนี้

ทางเลือกที่ 3 จ่ายเงินสมทบ 200 บาท/เดือน (จ่ายเอง 100 บาท รัฐสนับสนุน 100 บาท)

ทางเลือกที่ 1 และทางเลือก 3 (1+3) จ่ายเงินสมทบ 300 บาท/เดือน (จ่ายเอง 170 บาท รัฐสนับสนุน 130 บาท)

ทางเลือกที่ 2 และทางเลือก 3 (2+3) จ่ายเงินสมทบ 350 บาท/เดือน (จ่ายเอง 200 บาท รัฐสนับสนุน 150 บาท)

หมายเหตุ

รัฐสนับสนุนในระยะแรกทั้งนี้ จนกว่าสำนักงานประกันสังคมจะประกาศเป็นอย่างอื่น
ทั้งนี้ ในการจ่ายเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 40 จ่ายเป็นรายเดือน ๆ ละ 1 ครั้ง และจ่ายเงินสมทบล่วงหน้าได้ครั้งละไม่เกิน 12 เดือน แต่ไม่สามารถจ่ายเงินสมทบย้อนหลังได้
ทั้งนี้ผู้ประกันตนที่ประสงค์รับเงินบำเหน็จชราภาพเพิ่มขึ้นสามารถจ่ายเงินสมทบเพิ่มเติมได้ไม่เกินเดือนละ 1,000 บาทต่อเดือน ยกเว้น กรณีทางเลือกที่ 5 (2+3) สามารถจ่ายเงินสมทบเพิ่มเติมได้ไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท
ทั้งนี้ผู้ประกันตนที่เลือกความคุ้มครองทางเลือกที่ 3 สามารถจ่ายเงินสมทบย้อนหลังได้ไม่เกินเดือนพฤษภาคม 2555 แต่ต้องจ่ายในระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2556 ถึง วันที่ 8 ธันวาคม 2557

การแจ้งเปลี่ยนแปลงข้อมูล

เมื่อเป็นผู้ประกันตนแล้วหากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล เช่น เปลี่ยนคำนำหน้านาม ชื่อ - สกุล ที่อยู่ที่ติดต่อขอเปลี่ยนทางเลือกจ่ายเงินสมทบ หรือแจ้งความไม่ประสงค์เป็นผู้ประกันตนต่อไป (ลาออก) เป็นต้น ให้แจ้งต่อสำนักงานประกันสังคม
กรณีขอเปลี่ยนทางเลือกจ่ายเงินสมทบจะทำได้ปีละ 1 ครั้ง โดยเมื่อยื่นขอเปลี่ยนแปลทางเลือกแล้วจะมีผลในเดือนถัดไป

ประโยชน์ทางภาษี

เงินสมทบในแต่ละปี ใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยใช้ใบเสร็จรับเงินที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบเป็นหลักฐาน หรือขอหนังสือรับรองการชำระเงินสมทบจากสำนักงานประกันสังคม

สิทธิประโยชน์พื้นฐาน

กรณีประสบอันตราย/เจ็บป่วย เมื่อนอนโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยในตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้จำนวน 200 บาทต่อวัน ไม่เกิน 30 วันต่อปี เงื่อนไขจ่ายเงินสมทบครบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 4 เดือน (การรักษาพยาบาลใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพ (บัตรทอง) จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ)

กรณีทุพพลภาพ รับเงินทดแทนการขาดรายได้จำนวน 500 - 1,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลานานถึง 15 ปี เงื่อนไข เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อทุพพลภาพขึ้นอยู่กับระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบครบ 6 เดือนขึ้นไป (ต้องเป็นผู้ทุพพลภาพหรือทุพพลภาพเพิ่มขึ้นตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการ แพทย์)

กรณีตาย จะได้รับค่าทำศพจำนวน 20,000 บาทต่อราย เงื่อนไข จ่ายเงินสมทบครบ 6 เดือน ภายในระยะเวลา 12 เดือน ก่อนเสียชีวิต ยกเว้น เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ เงื่อนไข จ่ายเงินสมทบครบ 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือน ก่อนเสียชีวิต

กรณีชราภาพ (เงินบำเหน็จ) ผู้ประกันตนสามารถรับเงินก้อนเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ เงื่อนไข มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน

กรณีชราภาพ (เงินบำนาญ)

- ผู้ประกันตนสามารถรับเงินบำนาญเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน

- ต้องจ่ายเงินสมทบถึงบำนาญขั้นต่ำหรือไม่น้อยกว่า 420 เดือน (35 ปี) ได้รับเงินบำนาญชราภาพขั้นต่ำเดือนละ 600 บาท ตลอดชีวิต

ทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับคุณ เพื่อสิทธิประโยชน์ดังกล่าวสำนักงานประกันสังคมขอเสนอทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับคุณด้วย ชุดสิทธิประโยชน์ ดังนี้

ทางเลือกที่ 1 (จ่ายเงินสมทบ 100 บาท/เดือน)

สิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง 3 กรณี คือ กรณีประสบอันตราย/เจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย

ทางเลือกที่ 2 (จ่ายเงินสมทบ 150 บาท/เดือน)

สิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง 4 กรณี คือ กรณีประสบอันตราย/เจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย กรณีชราภาพ (เงินบำเหน็จ)

ทางเลือกที่ 3 มี 3 ทางเลือก ดังนี้

ทางเลือกที่ 3

สิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง 1 กรณี คือ กรณีชราภาพ (เงินบำนาญ)

ทางเลือกที่ 1 และทางเลือก 3 (1+3)

สิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง 4 กรณี คือ กรณีประสบอันตราย/จ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย กรณีชราภาพ (เงินบำนาญ)

ทางเลือกที่ 2 และทางเลือก 3 (2+3)

สิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง 5 กรณี คือ กรณีประสบอันตราย/จ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย กรณีชราภาพ (เงินบำเหน็จ) กรณีชราภาพ (เงินบำนาญ)

วิธีการนำส่งเงินสมทบ
จ่ายเป็นเงินสด

สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา
หน่วยบริการเคลื่อนที่ของสำนักงานประกันสังคม
เคาน์เตอร์เซอร์วิส
เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำักัด (มหาชน)
ห้างเทสโก้โลตัส
ไปรษณีย์ (ธนาณัติ)

หักผ่านบัญชีธนาคาร

ธนาคารเพื่่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ธนาคารออมสิน
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

หมายเหตุ การชำระเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 40 ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสจะเสียค่าธรรมเนียมครั้งละ 10 บาท ในส่วนการชำระผ่านการหักธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพานิชย์ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จะมีค่าธรรมเนียม 5 บาทต่อครั้ง โดยจะได้รับใบเสร็จรับเงินทันที แต่ผู้ประกันตนที่ชำระเงินผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสต้องนำใบเสร็จรับเงินที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ออกให้พร้อม สมุดนำส่งเงินสมทบมาตรา 40 ไปติดต่อที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ทำการบันทึกข้อมูลในสมุดนำส่งเงินสมทบ เนื่องจากต้องใช้ประกอบการยื่นเรื่องเมื่อมีการรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ

เอกสารประกอบการสมัคร

แบบการขึ้นทะเบียนการเป็นผู้ประกันตน มาตรา 40 (สปส.1-40)
บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงหรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้พร้อมสำเนา

สถานที่ในการขึ้นทะเบียน

สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา
หน่วยบริการเคลื่อนที่ของสำนักงานประกันสังคม

ข้อมูล ณ วันที่ 17 กรกฎาคม 2557

sithiphong:
ใครได้เงินรางวัลปีนี้ อย่าลืมจ่ายภาษีให้ถูกต้อง

-http://money.sanook.com/239213/%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87/-


ใกล้สิ้นปีเข้าไปเต็มที  นอกจากการวางแผนเที่ยวในช่วงสิ้นปีแล้ว มนุษย์เงินเดือน และผู้มีหน้าที่เสียภาษีต้องเตรียมตัววางแผนสำหรับการจ่ายภาษี ในช่วงต้นปีหน้าให้ดีด้วย

ในส่วนของการลงทุนเพื่อนำมาใช้หักค่าใช้จ่ายก่อนเสียภาษีไม่ว่า LTF RMF หรือประกันชีวิตมีการแนะนำออกมาค่อนข้างเยอะในช่วงนี้ แต่ มีรายได้อีกอย่างหนึ่งที่คนมักจะผิดพลาดไม่นำมาจ่ายภาษีจนบางครั้งถูกกรมสรรพากรเรียกปรับ จนเป็นข่าวโด่งดังมาหลายครั้งหลายคราว นั้นก็คือ เงินรางวัล
 
ทั้งนี้ผู้ที่ได้รางวัลจากการชิงโชคต่างๆคิดว่า เมื่อตอนรับรางวัลมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้ว พอถึงสิ้นปีภาษีไม่ได้นำรายได้มาคำนวณเพื่อเสียภาษีอีก เป็นการเข้าใจผิดอย่างยิ่ง  วันนี้เรามาทบทวนกันในเรื่อง ภาษีเงินรางวัล เพื่อจะได้ไม่ผิดพลาดถูกเสียค่าปรับเงินเพิ่ม กันอีก

 สำหรับประเด็นที่มักจะเข้าใจกันคลาดเคลื่อนก็คือ “เมื่อถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายตอนรับเงิน/ของรางวัล กันแล้วที่ 5% ก็เป็นอันหมดสิ้นภาระทางภาษีแล้ว” โดยแท้จริงแล้ว ภาระภาษีจะหมดไปได้ก็ต่อเมื่อสิ้นปีภาษีแล้วผู้ได้รับเงิน/ของรางวัล ได้ดำเนินการยื่นแบบคำนวณและนำส่งภาษีประจำปี (ภ.ง.ด.90) ซึ่งมีกำหนดเวลาให้ยื่นได้ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป

สมมุติ มีผู้ได้รับเงินรางวัลจากการชิงโชค จำนวน 10 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวถือเป็น เงินได้พึงประเมิน (มาตรา 40(8)
แต่ทั้งนี้ในการเสียภาษีสามารถ หัก รายจ่ายตามจริงและสมควร(หากมี) และเงินดังกล่าวนำมาหัก ลดหย่อนส่วนตัวผู้มีเงินได้ ได้ 30,000 บาท ทำให้มียอดสุทธิที่ต้องเสียภาษี  9,970,000 โดยต้องนำไปคำนวณตามอัตราตามที่กรมสรรพากรกำหนด


โดยส่วนที่เกิน 4 ล้านบาท หรือ 4,000,001-9,970,000 บาทเสียภาษี 35 %
ส่วนที่ต่ำกว่า 4 ล้านบาทลงมา สามารถหักค่ายกเว้นจำนวน 150,000 บาท ซึ่งเป็นอัตราที่ไม่ต้องเสียภาษีออกไปก่อน จากนั้นนำมาคำนวณภาษีตามขั้นบันใด คือ 


จำนวน 150,001-300,000 บาท เสียภาษีอัตรา 5 %
จำนวน 300,001-500,000บาทเสียภาษีอัตรา 10 %
จำนวน 500,001-750,000บาท เสียภาษีอัตรา 15 %
จำนวน 750,001-1,000,000บาท เสียภาษีในอัตรา 20 %
จำนวน 1,000,001-2,000,000 บาท เสียภาษีอัตรา 25 %
จำนวน 2,000,001-4,000,000 บาทเสียภาษี 30 %


จะเห็นได้ว่า เงินรางวัล เป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีและดำเนินการให้ถูกต้อง ดังนั้น ในช่วงปีที่ผ่านมาใครได้โชคได้รางวัลต้องนำมาคำนวณภาษีให้ถูกต้องด้วยเพื่อจะได้ไม่ถูกกรมสรรพากรปรับ ซึ่งอาจต้องเสียเงินเพิ่มให้เจ็บใจด้วย



sithiphong:
เปิดสูตรคำนวนค่าลดหย่อนภาษีจาก LTF RMF

-http://money.sanook.com/239569/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-ltf-rmf/-.






.

sithiphong:
คลินิกกองทุนรวม : เช็กผลการดำเนินงานกองทุน LTF-RMF ได้ที่นี่

-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9570000145873-


คอลัมน์ “คลินิกกองทุนรวม” ในสัปดาห์นี้หยิบผลการดำเนินงานของกองทุนที่น่าสนใจจากงาน “มหกรรมมีใช้ตอนแก่ด้วย LTF-RMF” เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการลงทุนของนักลงทุน ... อย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ทุกครั้งก่อนที่ตัดสินใจลงทุนนักลงทุนควรประเมินความเสี่ยงของตนเองก่อนทุกครั้ง และทีมงานขอยก "5 อย่างที่ไม่ควรทำกับการเลือก LTF & RMF" บทความดีๆ จาก บลจ.กรุงศรีมานำเสนออีกครั้ง สำหรับนักลงทุนที่กำลังตัดสินใจซื้อกองทุน LTF-RMF ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปีนี้...

ส่วนท่านผู้อ่านท่านใดมีคำถามก็สามารถส่งคำถามมาได้ที่ mgrfund@gmail.com ทางทีมงานจะทยอยตอบคำถามให้ ขอบคุณทุกท่านที่ส่งคำถามเข้ามาคะ

1. อย่ามองแค่ผลตอบแทนระยะสั้น :วัตถุประสงค์ของการลงทุนในกองทุน LTF-RMF มี 2 ข้อ คือ ประหยัดภาษี และเน้นการลงทุนในระยะยาว น่าเสียดายตรงที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองเรื่องของภาษีเป็นหลัก และมองผลตอบแทนในระยะยาวเป็นเรื่องรอง โดยให้ความสนใจแค่ผลตอบแทนระยะสั้นๆ ว่า 3 เดือนที่แล้ว 6 เดือนที่ผ่านมา หรือไกลสุดย้อนไปดู 1 ปีก่อนหน้าว่าแต่ละกองทุนได้ผลตอบแทนเป็นอย่างไร กองทุนใดสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด แต่กลับลืมไปว่าระยะเวลาการถือครองกองทุน LTF อย่างน้อยๆ คือ 3 ปีปฏิทิน

สำหรับกองทุน RMF นั้นมีระยะเวลาการถือครองยาวนานกว่า โดยผู้ลงทุนจะขายหน่วยลงทุนก็ตอนเกษียณอายุ และการถือครองต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของสรรพากร ดังนั้น อย่าดูแค่ผลตอบแทนระยะสั้นๆ โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ

2. อย่าซื้อเพราะโปรโมชันแรง!! : กองทุนรวมไม่ใช่การชอปปิ้ง ใครลดแหลก ทั้งแจกทั้งแถมเยอะสุด แปลว่ากองทุนนั้นน่าลงทุนที่สุด ถ้าคิดแบบนี้ ถือว่า “คิดผิด” โปรโมชันล่อใจในระยะสั้นอาจทำให้คุณต้องติดกับดักกับกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนไม่เหมาะสมกับตัวคุณเอง ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือ ผลตอบแทนที่ได้รับเมื่อขายคืนหน่วยลงทุนมีมูลค่าน้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ แถมของโปรโมชันที่ได้รับแจกตั้งแต่ตอนลงทุนก็อาจใช้ไม่คุ้ม หรือวางทิ้งในบ้านจนลืมไปเลยก็มี อาจมีนักลงทุนบางท่านแย้งว่า “ก็ไม่รู้นี่” ว่ากองทุนใดจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี ก็เลยเลือกของที่ดูชัวร์ที่สุด นั่นก็คือ ของแถม” ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงต้องศึกษานโยบายการลงทุน ระดับความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุนรวม ซึ่งมีความแตกต่างกัน และควรศึกษาคู่มือภาษีให้เข้าใจก่อนการลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก บลจ. หรือธนาคารที่เป็นตัวแทนขายกองทุน

3. อย่าคิดว่า LTF & RMF กองไหนๆ ก็เหมือนกัน: ถึงแม้จะเป็นกองทุนที่ได้ชื่อว่า LTF-RMF เหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานก็แตกต่างกันในรายละเอียด ยกตัวอย่างเช่น กองทุน LTF บางกองมีนโยบายกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในตราสารหนี้บางส่วน ในขณะที่บางกองทุนเลือกลงทุนในหุ้นทั้งหมด 100%เต็ม หรือกองทุน RMF ก็มีตัวเลือกทั้งนโยบายที่ลงทุนในตราสารหนี้ ตราสารทุน ลงทุนในทองคำ หรือกระทั่งกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งมีลักษณะของกองทุนที่แตกต่างกัน หากผู้ลงทุนเลือกลงทุนเพราะคิดว่าเป็นกองทุน RMF เหมือนกันนักลงทุนก็อาจได้ผลตอบแทนไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง แล้วมานั่งเสียใจเมื่อขายคืนหน่วยลงทุนยามเกษียณ

4. อย่าคิดว่าลงทุนใน LTF - RMF ไปแล้วจะสับเปลี่ยนไม่ได้: จริงๆ แล้วหากเราพบว่ากองทุน LTF- RMF ที่เลือกลงทุนไว้มีนโยบายการลงทุนหรือระดับความเสี่ยงที่ไม่เหมาะกับตนเองเราสามารถสับเปลี่ยนการลงทุนไปยังกองทุนอื่นภายใต้กองทุนประเภทเดียวกันได้ เช่น การสับเปลี่ยน LTF กองเดิมไปยัง LTF อีกกองหนึ่ง หรือการสับเปลี่ยนกองทุน RMF ไปยังกองทุน RMF ด้วยกัน แต่เราไม่สามารถสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF ไปยังกองทุน RMF หรือกองทุนรวมทั่วไปได้

5. อย่าเข้าใจผิดว่าลงทุนไปแล้วไม่สามารถโอนย้าย บลจ.ได้:มีผู้ลงทุนหลายท่านเข้าใจผิดว่าถ้าลงทุนในกองทุน LTF RMF กับ บลจ.ใดแล้วจะต้องถือครองไว้จนครบกำหนดตามเงื่อนไขของสรรพากร ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถโอนย้ายกองทุน LTF -RMF จาก บลจ.เดิมไปยัง บลจ.อื่นได้ แต่อาจมีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าธรรมเนียมการโอนย้ายที่ บลจ.ต้นทางจะเรียกเก็บ โดย บลจ.แต่ละแห่งจะมีอัตราค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ การโอนย้าย LTF-RMF ข้าม บลจ.ก็จะต้องโอนย้ายกองทุนไปยังกองทุนประเภทเดียวกัน เช่น LTF โอนย้ายไป LTF หรือ RMF โอนย้ายไป RMF ด้วยกัน

sithiphong:
คลินิกกองทุนรวม : เช็กผลการดำเนินงานกองทุน LTF-RMF ได้ที่นี่

-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9570000145873-



--- อ้างจาก: sithiphong ที่ ธันวาคม 20, 2014, 08:34:58 pm ---คลินิกกองทุนรวม : เช็กผลการดำเนินงานกองทุน LTF-RMF ได้ที่นี่

-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9570000145873-


คอลัมน์ “คลินิกกองทุนรวม” ในสัปดาห์นี้หยิบผลการดำเนินงานของกองทุนที่น่าสนใจจากงาน “มหกรรมมีใช้ตอนแก่ด้วย LTF-RMF” เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการลงทุนของนักลงทุน ... อย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ทุกครั้งก่อนที่ตัดสินใจลงทุนนักลงทุนควรประเมินความเสี่ยงของตนเองก่อนทุกครั้ง และทีมงานขอยก "5 อย่างที่ไม่ควรทำกับการเลือก LTF & RMF" บทความดีๆ จาก บลจ.กรุงศรีมานำเสนออีกครั้ง สำหรับนักลงทุนที่กำลังตัดสินใจซื้อกองทุน LTF-RMF ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปีนี้...

ส่วนท่านผู้อ่านท่านใดมีคำถามก็สามารถส่งคำถามมาได้ที่ mgrfund@gmail.com ทางทีมงานจะทยอยตอบคำถามให้ ขอบคุณทุกท่านที่ส่งคำถามเข้ามาคะ

1. อย่ามองแค่ผลตอบแทนระยะสั้น :วัตถุประสงค์ของการลงทุนในกองทุน LTF-RMF มี 2 ข้อ คือ ประหยัดภาษี และเน้นการลงทุนในระยะยาว น่าเสียดายตรงที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองเรื่องของภาษีเป็นหลัก และมองผลตอบแทนในระยะยาวเป็นเรื่องรอง โดยให้ความสนใจแค่ผลตอบแทนระยะสั้นๆ ว่า 3 เดือนที่แล้ว 6 เดือนที่ผ่านมา หรือไกลสุดย้อนไปดู 1 ปีก่อนหน้าว่าแต่ละกองทุนได้ผลตอบแทนเป็นอย่างไร กองทุนใดสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด แต่กลับลืมไปว่าระยะเวลาการถือครองกองทุน LTF อย่างน้อยๆ คือ 3 ปีปฏิทิน

สำหรับกองทุน RMF นั้นมีระยะเวลาการถือครองยาวนานกว่า โดยผู้ลงทุนจะขายหน่วยลงทุนก็ตอนเกษียณอายุ และการถือครองต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของสรรพากร ดังนั้น อย่าดูแค่ผลตอบแทนระยะสั้นๆ โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ

2. อย่าซื้อเพราะโปรโมชันแรง!! : กองทุนรวมไม่ใช่การชอปปิ้ง ใครลดแหลก ทั้งแจกทั้งแถมเยอะสุด แปลว่ากองทุนนั้นน่าลงทุนที่สุด ถ้าคิดแบบนี้ ถือว่า “คิดผิด” โปรโมชันล่อใจในระยะสั้นอาจทำให้คุณต้องติดกับดักกับกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนไม่เหมาะสมกับตัวคุณเอง ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือ ผลตอบแทนที่ได้รับเมื่อขายคืนหน่วยลงทุนมีมูลค่าน้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ แถมของโปรโมชันที่ได้รับแจกตั้งแต่ตอนลงทุนก็อาจใช้ไม่คุ้ม หรือวางทิ้งในบ้านจนลืมไปเลยก็มี อาจมีนักลงทุนบางท่านแย้งว่า “ก็ไม่รู้นี่” ว่ากองทุนใดจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี ก็เลยเลือกของที่ดูชัวร์ที่สุด นั่นก็คือ ของแถม” ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงต้องศึกษานโยบายการลงทุน ระดับความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุนรวม ซึ่งมีความแตกต่างกัน และควรศึกษาคู่มือภาษีให้เข้าใจก่อนการลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก บลจ. หรือธนาคารที่เป็นตัวแทนขายกองทุน

3. อย่าคิดว่า LTF & RMF กองไหนๆ ก็เหมือนกัน: ถึงแม้จะเป็นกองทุนที่ได้ชื่อว่า LTF-RMF เหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานก็แตกต่างกันในรายละเอียด ยกตัวอย่างเช่น กองทุน LTF บางกองมีนโยบายกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในตราสารหนี้บางส่วน ในขณะที่บางกองทุนเลือกลงทุนในหุ้นทั้งหมด 100%เต็ม หรือกองทุน RMF ก็มีตัวเลือกทั้งนโยบายที่ลงทุนในตราสารหนี้ ตราสารทุน ลงทุนในทองคำ หรือกระทั่งกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งมีลักษณะของกองทุนที่แตกต่างกัน หากผู้ลงทุนเลือกลงทุนเพราะคิดว่าเป็นกองทุน RMF เหมือนกันนักลงทุนก็อาจได้ผลตอบแทนไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง แล้วมานั่งเสียใจเมื่อขายคืนหน่วยลงทุนยามเกษียณ

4. อย่าคิดว่าลงทุนใน LTF - RMF ไปแล้วจะสับเปลี่ยนไม่ได้: จริงๆ แล้วหากเราพบว่ากองทุน LTF- RMF ที่เลือกลงทุนไว้มีนโยบายการลงทุนหรือระดับความเสี่ยงที่ไม่เหมาะกับตนเองเราสามารถสับเปลี่ยนการลงทุนไปยังกองทุนอื่นภายใต้กองทุนประเภทเดียวกันได้ เช่น การสับเปลี่ยน LTF กองเดิมไปยัง LTF อีกกองหนึ่ง หรือการสับเปลี่ยนกองทุน RMF ไปยังกองทุน RMF ด้วยกัน แต่เราไม่สามารถสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF ไปยังกองทุน RMF หรือกองทุนรวมทั่วไปได้

5. อย่าเข้าใจผิดว่าลงทุนไปแล้วไม่สามารถโอนย้าย บลจ.ได้:มีผู้ลงทุนหลายท่านเข้าใจผิดว่าถ้าลงทุนในกองทุน LTF RMF กับ บลจ.ใดแล้วจะต้องถือครองไว้จนครบกำหนดตามเงื่อนไขของสรรพากร ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถโอนย้ายกองทุน LTF -RMF จาก บลจ.เดิมไปยัง บลจ.อื่นได้ แต่อาจมีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าธรรมเนียมการโอนย้ายที่ บลจ.ต้นทางจะเรียกเก็บ โดย บลจ.แต่ละแห่งจะมีอัตราค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ การโอนย้าย LTF-RMF ข้าม บลจ.ก็จะต้องโอนย้ายกองทุนไปยังกองทุนประเภทเดียวกัน เช่น LTF โอนย้ายไป LTF หรือ RMF โอนย้ายไป RMF ด้วยกัน

--- End quote ---

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version