ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง
รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
sithiphong:
เส้นทางทองคำ โดย ปิรันย่า !
-http://www.thaigold.info/Board/index.php?/topic/476-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2/page__st__2130-
เส้นทางทองคำ โดย ปิรันย่า !
ปิรันย่า
โพสต์ 01 กันยายน 2012 - 08:06
สวัสดีครับ คุณผู้อ่าน
เห็นหลายท่านที่กรุณาเข้ามาอวยพรหรือทักทายในช่วงที่ผู้เขียนกบดานยาวไปพร้อมกับการปรับฐานยาวนานของทองคำก็รู้สึกว่าตนเองเสียมรรยาทอยู่บ้างต้องขออภัยจริงๆครับ ครั้นจะออกมาโพสต์ในช่วงที่ตนเองก็ไม่มีเวลาและอารมณ์ก็เกรงจะเกิด”ภาระผูกพัน”ที่ทำให้หน้าที่การงานเสียไป ช่วงนี้ภารกิจการงานบรรเทาลงเล็กน้อยเลยพอจะกลับมาเสนอหน้าชั่วคราวเผื่อจะเป็นประโยชน์กับสาธารณชนบ้างครับ
หลังจากดราม่ากันตามธรรมเนียมแล้วก็มาว่ากันเรื่องเส้นทางทองคำได้เลยครับ
เนื่องจากช่วงนี้ผู้เขียนคาดว่าทองคำอาจจะกำลังเริ่มวัฎจักรใหม่ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร วันนี้จึงอยากเรียบเรียงคลื่นใหญ่ของวัฎจักรทองคำในมุมมองของผู้เขียนเผื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนในทองคำระยะยาวถึงยาวมากให้มีเป้าหมายในการลงทุนคร่าวๆ
วัฎจักรยักษ์ชุดนี้ของทองคำนั้นเมื่อเรียบเรียงบนพื้นฐานของทฤษฎีคลื่นแล้วออกมาเป็นดังนี้ครับ
- คลื่นขาขึ้นที่ 1 เริ่มเดินทางจากบริเวณ 254.2$ ในเดือน 4 ปี 2001 ขึ้นไปถึง 1032.6$ ในเดือน 3 ปี 2008 คิดเป็นขนาดความสูง 778.4$ ใช้เวลาเดินทางราว 7 ปี
- คลื่นปรับฐานที่ 2 ปรับฐานจาก 1032.6$ ลงไปที่ 681.4$ สิ้นสุดในเดือน 10 ปี 2008 คิดเป็นระยะความสูงปรับฐาน 351.2$ คิดเป็นสัดส่วนการปรับฐานราว 45.1% ใช้เวลาปรับฐานราว 7 เดือนครึ่ง
- คลื่นขาขึ้นที่ 3 ซึ่งช่วงคลื่นนี้ตลาดทองคำเริ่มร้อนแรงและมีตลาดทองคำเกิดใหม่ในหลายประเทศทั่วโลก เกิดการสะสมทุนสำรองระหว่างประเทศในรูปทองคำในหลายประเทศ ปริมาณการซื้อขายในตลาดโลกในช่วงคลื่นนี้มีมากกว่าในช่วงคลื่นที่ 1 หลายสิบเท่า ด้วยเหตุนี้จึงคาดว่าเป็นสาเหตุให้เวลาเดินทางของคลื่นขาขึ้นที่ 3 นี้สั้นกว่าคลื่นขาขึ้นที่ 1 หลายปี คลื่นนี้ราคาทองคำขึ้นจาก 681.4$ ไปจนถึง 1920.8$ ในเดือน 9 ปี 2011 คิดเป็นขนาดความสูง 1239.4$ หรือราว 1.59 เท่าของคลื่นขาขึ้นที่ 1 ใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ปี 11 เดือน
- คลื่นปรับฐานที่ 4 ซึ่งปรับฐานจบแล้วหรือไม่ยังไม่มีใครทราบ แต่ตามความเห็นของผู้เขียนแล้วเมื่อประเมินจากลักษณะคลื่นของกราฟค่าเงินยูโรและ Silver ประกอบกับการขึ้นผ่าน trend line ขาลงของทองคำประกอบกับการโหมซื้ออัดเข้าพอร์ตของกองทุนด้วยแล้ว ผู้เขียนคาดว่าการปรับฐานน่าจะสิ้นสุดแล้วเมื่อเกือบปลายเดือน 7 ปี 2012 ที่ผ่านมา โดยใช้ลักษณะคลื่นปรับฐานของค่าเงินยูโรเป็นหลักในการสันนิษฐานถึงแม้ว่าราคาทองคำจะไม่ได้ทำ New low ก็ตาม
ตามทฤษฎีคลื่นนั้นเมื่อการปรับฐานในคลื่นที่ 2 เกิดเป็นรูปแบบธรรมดาแล้ว การปรับฐานในคลื่นที่ 4 จะมีโอกาสสูงในการปรับฐานเป็นรูปแบบซับซ้อนและจุดสุดท้ายของการปรับฐานอาจจะไม่เกิด New low อีกทั้งการปรับฐานลงมาเป็นคลื่นที่ 4 ตามทฤษฎีคลื่นแล้วมักจะมีสัดส่วนการปรับฐานไม่มากนัก
ถ้านับจุดต่ำสุดของราคาทองคำที่สามารถลงมาได้ในคลื่นนี้ก็คือ 1522.6$ คิดเป็นความสูงของการปรับฐาน 398.2$ คิดเป็นสัดส่วนการปรับฐานราว 32.1% ของคลื่นขาขึ้นที่ 3 และใช้เวลาปรับฐานราว 10 เดือนกว่า
ดังนั้นหากสันนิษฐานตามทฤษฎีคลื่นได้ถูกต้องแล้ว ทองคำน่าจะยังเหลือคลื่นขาขึ้นที่ 5 ที่มีขนาดความสูงมากกว่าคลื่นขาขึ้นที่ 1 แต่อาจจะน้อยกว่าคลื่นขาขึ้นที่ 3 นั่นหมายถึงอาจมีขนาดความสูงได้มากกว่า 800$ ขึ้นไปและอาจใช้เวลาเดินทางราวๆ 2 ปีกว่านับจากนี้ แล้วเมื่อสิ้นสุดวัฎจักรนี้คาดว่าจะเกิด Mega tsunami หรือสึนามิทองคำลูกยักษ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน สรุปแล้วประมาณหยาบๆคือทองคำอาจมีราคาสูงขึ้นราว 50% ในอีกราว 2-3 ปีข้างหน้าแล้วค่อยถล่มครับ
กระทู้นี้ถือเป็นการรันอินก็จบเพียงเท่านี้ก่อนก็แล้วกันครับ อย่างไรก็ดีข้อสันนิษฐานข้างต้นยังเป็นเพียงมุมมองความเห็นส่วนบุคคลเท่านั้น มิอาจรับรองความแม่นยำถูกต้องใดๆได้ทั้งสิ้น เวลาเท่านั้นที่จะสามารถเป็นผู้เฉลยคำตอบครับ
ว่าแต่หากผู้เขียนสันนิษฐานถูกต้องล่ะก็การลงทุนกับทองคำรอบนี้น่าจะฟันก่อนทิ้งได้พอสมควรเลยทีเดียว แล้วคุณล่ะพร้อมจะเข้าร่วมขบวนฟันแล้วทิ้งหรือยังครับ !
http://www.thaigold.info/Board/index.php?/topic/476-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2/page__st__2130
.-------------------------------------------------------------------------------
ไม่แน่ใจลงแล้วหรือยัง ขอลงอีกรอบครับ
.
sithiphong:
ศูนย์วิจัย คาด ราคาทองคำดิ่งลงถึงสิ้นปี ต่ำสุดที่บาทละ 17,000 บาท
-http://hilight.kapook.com/view/88208-
ราคาทองคำ
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ คาด ราคาทองคำตลาดโลกช่วงครึ่งปีหลัง ลดลงต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี ซึ่งกดราคาในประเทศต่ำสุดที่ บาทละ 17,000 บาท
วันนี้ (5 กรกฎาคม 2556) นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ค้าทองคำรายใหญ่ 6 แห่ง มีความเห็นตรงกันว่า ราคาทองคำในช่วงครึ่งปีหลัง จะอยู่ระหว่าง 1,300 - 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยกรอบบนที่ 1,520 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (20,500 - 21,000 บาท) กรอบล่างที่ 1,150 - 1,050 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (17,000 - 17,500 บาท)
ทั้งนี้ ปัจจัยหลักมาจากการชะลอการใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE) ของสหรัฐฯ ซึ่งทิศทางของค่าเงินบาท การขายของกองทุนขนาดใหญ่ เศรษฐกิจเอเชียที่เริ่มมีการ ชะลอตัว และการเก็งกำไรในตลาด รวมทั้งความต้องการทองคำของจีน และอินเดียจะลดลง ดังนั้น ราคาทองคำยังเป็นขาลงถึงสิ้นปี และจะปรับขึ้นในช่วง 1 - 2 ปีข้างหน้า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ ราคาทองคำตลาดโลกในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,150 - 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศไทยจะอยู่ในกรอบ 17,000 - 20,500 บาท
ด้าน นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ มั่นใจว่า ราคาทองคำในปีนี้จะลดลงไม่ถึง 1,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพราะเป็นราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนเหมืองทองคำ และทองคำอยู่ในภาวะขาดตลาด ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้เกิดจากการทุบตลาดของกองทุนเก็งกำไร โดยอาศัยข่าวความกังวลธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะถอนมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE)
อย่างไรก็ตาม ในแต่ละวันการซื้อ ขายทองคำในตลาดล่วงหน้าทั่วโลก มีปริมาณสูงถึง 5,000 ตัน ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่า ราคาทองมีโอกาสกลับมายืนในกรอบ 1,500 - 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ภายใน 6 เดือน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก สปริง นิวส์
-http://news.springnewstv.tv/31847/%E0%B8%A8%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AF-%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0-17-000-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97-
sithiphong:
ต้นทุนการผลิตทองคำ...บล.โกลเบล็ก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กรกฎาคม 2556 15:30 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000082054-
หลังจากเหล่าสถาบันการเงินต่างๆปรับมุมมองราคาทองคำโลกลงทั้งของปี 2013 และ 2014 เป็นครั้งที่ 3 ตั้งแต่ต้นปี สาเหตุก็อย่างที่ทุกคนทราบคือความกังวลว่าเฟดจะยุติมาตรการ QE และห่วงว่าดอกเบี้ยสหรัฐกำลังจะกลับตัวเป็นขาขึ้นอีกครั้งหลังเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัว ทำให้เกิดแรงขายทองคำออกมาโดยเฉพาะจากกองทุน SPDR Gold Trust ที่ทยอยขายออกมาต่อเนื่อง ทำเอาตลาดเริ่มวิตกว่าทองคำกำลังจะเข้าสู่ช่วงพักฐานนานเป็นสิบปีกว่าจะมีการปรับขึ้นมาใหม่อีกรอบเหมือนในช่วงหลัง ค.ศ.1980 หรือไม่
ประเด็นที่นักลงทุนเป็นห่วงกันมากที่สุดคือ ราคาทองคำจะลงไปต่ำสุดที่เท่าไหร่
ก่อนหน้านี้เคยเกริ่นไว้บางส่วนแล้วว่าต้นทุนหน้าเหมืองของแต่ละบริษัทในแต่ละประเทศอาจจะไม่เท่ากัน แต่จะอยู่ราวๆ $900-1,290 เหรียญต่อออนซ์ แต่ตรงแถว $1,200-,1290 เหรียญต่อออนซ์นี่เป็นต้นทุนของพวกเหมืองที่ประสบปัญหาค่าแรงสูงเพราะมีการประท้วงกัน แต่หากไปดูเหมืองใหญ่ๆจริงๆแล้ว ราคาต้นทุนทองคำจะอยู่ราวๆ $900-1,150 เหรียญ
ยกตัวอย่าง 4 บริษัทเหมืองทองคำที่ใหญ่ๆของโลกเช่น
บริษัท Goldcorp ต้นทุนอยู่ที่ $1,135 เหรียญต่อออนซ์
บริษัท Newmont ต้นทุนอยู่ที่ $1,115 เหรียญต่อออนซ์
บริษัท Kinross ต้นทุนอยู่ที่ $1,038 เหรียญต่อออนซ์
บริษัท Barrick ต้นทุนอยู่ที่ $1,038 เหรียญต่อออนซ์
ต้นทุนเหล่านี้นอกจากรวมต้นทุนค่าขุดเจาะเหมืองแล้วก็ยังรวมค่าปฏิบัติงานอื่นๆด้วย รวมถึงการป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน ฯลฯ ซึ่งใครที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า มีวิธีการ Hedge หรือป้องกันความเสี่ยงทั้งราคาทองคำและอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่า หรือเรียกว่ามี Efficiency ก็จะมีต้นทุนการผลิตทองคำที่ต่ำกว่าคู่แข่ง
เนื่องจากต้นทุนเหมืองอยู่ระดับที่โชว์ข้างต้น ทำให้โอกาสที่ราคาทองคำโลกจะลงต่ำกว่าก็คงยากพอสมควร เพราะถ้าลงมาต่ำกว่าต้นทุนเหมือง การลดกำลังการผลิตทองคำเพื่อพะยุงราคาทองคำไม่ให้ตกลงเหมือนเวลากลุ่มโอเปกทำกับราคาน้ำมันก็คงเกิดขึ้นบ้าง แต่ควรระมัดระวังเหมือนกันเพราะในอดีต ราคาทองคำตลาดโลกเคยต่ำกว่าต้นทุนหน้าเหมืองก็เคยมีในช่วงภาวะตลาดทองคำเงียบเหงามากๆ
"ราคาต้นทุนทองคำหน้าเหมือง เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยหนุนราคาทองคำไม่ให้ตกต่ำไปมากกว่านี้เท่าไหร่ แต่ถ้าคุณเป็นนักเก็งกำไรทางเทคนิค ซื้อด้วยกราฟ คุณก็ควรขายด้วยกราฟ ถ้าคุณเป็นนักลงทุนสะสมทองคำในระยะยาว ราคาทุนหน้าเหมืองจะเป็นตัวช่วยบอกคุณว่า ราคาต่ำกว่า $1,250 ลงไปเป็นจังหวะสะสมทองคำแท่งแล้ว จะเลือกลงทุนด้วยเหตุผลอะไร เลือกให้เหมาะสมกับนิสัยตัวเองก่อน แล้วอย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่งั้นก็คงไม่ต่างกับแมงเม่าทั่วๆไปในตลาดเก็งกำไรทั่วๆไปในตลาดเก็งกำไร"
สัญญา หาญพัฒนกิจพาณิช
ผู้อำนวยการทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก
sithiphong:
ฟันธง! ราคาทองคำโลกไม่หลุด 1,100 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับต้นทุนผลิต
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กรกฎาคม 2556 16:16 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000082102-
นายกสมาคมค้าทองฯ มั่นใจราคาทองคำโลกไม่หลุด 1,100 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับราคาต้นทุน ลุ้นครึ่งปีหลังรีบาวนด์ทดสอบ 1,500-1,600 ดอลลาร์/ออนซ์ เชื่อความต้องการยังสูง และราคาจะไม่ต่ำกว่าหน้าเหมือง ส่วนประเด็นข่าวที่กองทุนหลายแห่งขายทองคำออกมา มองว่าเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวถึงสถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก โดยมั่นใจว่า ภายในปีนี้ราคาทองคำจะไม่หลุดต่ำกว่า 1,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากระดับดังกล่าวใกล้เคียงกับราคาต้นทุน
นอกจากนี้ ยังคาดว่าราคาทองคำจะมีโอกาสทดสอบแนวต้านบริเวณ 1,500-1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากความต้องการทองคำในตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูง สังเกตจากค่าพรีเมียมสำหรับคำสั่งซื้อหากใครต้องการสินค้าเร็วขึ้นจะต้องเสียค่าพรีเมียมเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 1.00-1.50 ดอลลาร์ต่อตัน เป็น 6-8 ดอลลาร์ต่อตัน
ส่วนประเด็นข่าวการชะลอมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (คิวอี) มองว่าให้นักลงทุนอย่าเพิ่งวิตกกังวลกับประเด็นดังกล่าวมากจนเกินไป เนื่องจากการชะลอมาตรการยังไม่เกิดขึ้นจริง ถึงแม้ว่าเกิดขึ้นจริงก็ยังไม่สนับสนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วทันที
“มองว่าข่าวต่างๆ ที่ออกมาทำให้ราคาทองปรับตัวลดลงในช่วงนี้ มาจากการปั่นกระแสข่าวจากกองทุนต่างๆ เนื่องจากในปัจจุบัน บรรดากองทุนมีการซื้อขายในสินค้า Gold Futures ที่เป็นใบกระดาษมากขึ้น”
ทั้งนี้ ราคาทองคำเป็นไปได้ยากที่จะต่ำกว่าหน้าเหมือง เพราะเมื่อ 10 กว่าปีก่อนราคาทองคำหลุดต่ำลงไปอยู่ที่ 257 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าราคาหน้าเหมืองเพียง 300 ดอลลาร์ ทำให้เหมืองทองเริ่มขาดทุน ซึ่งเป็นผลให้ราคาทองคำขยับเพิ่มขึ้นได้
ดังนั้น ในกรณีปัจจุบันนี้จึงคาดว่าราคาทองคำคงไม่ต่ำกว่าราคาหน้าเหมือง และความต้องการยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนประเด็นข่าวที่กองทุนหลายแห่งขายทองคำออกมา มองว่าเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
-------------------------------------------------------------------------
อ่านหู ไว้หู
(ฟังหู ไว้หู ครับ)
.
sithiphong:
แนะวิธีปลดหนี้ ห่วงคนไทยหนี้เพิ่ม-ใช้จ่ายเกินตัว เตือนละเลยอาจถึงขั้นล้มละลาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กรกฎาคม 2556 18:40 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000082183-
สมาคมนักวางแผนการเงินไทย (TFPA) มองสถานการณ์ปัญหาหนี้ครัวเรือนน่าเป็นห่วง แนะผู้บริโภคผ่อนชำระหนี้แต่ละเดือนไม่ควรจะสูงเกินกว่าร้อยละ 36 ของรายได้ หากสูงเกินกว่านี้อาจส่งผลต่อการผ่อนชำระหนี้ในอนาคต และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องให้เป็นบุคคลล้มละลายได้
ธีระ ภู่ตระกูล นายก สมาคมนักวางแผนการเงินไทย กล่าวว่า จากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งครอบคลุมรวมไปถึงหนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล ที่เริ่มมีสัญญาณการหยุดชำระหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำ อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน การหลีกเลี่ยงการก่อหนี้มีความเป็นไปได้ยากมากขึ้น ดังนั้น วิธีการที่ดีที่สุดคือ ทุกคนจะต้องเรียนรู้และมีการบริหารจัดการหนี้ที่ดี เพื่อลดปัญหาวิกฤติหนี้สินที่มี
โดยแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ควรเริ่มจากการสำรวจภาระหนี้สินที่มีว่ามีจำนวนเท่าใดที่เป็นหนี้สินที่ดี คือเป็น “หนี้ที่สร้างความมั่งคั่ง” หรือ “หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต” เช่น หนี้กู้ยืมซื้อบ้าน หรือเพื่อการศึกษาของบุตร มีจำนวนเท่าใด และหนี้สินรวมทั้งหมดมีจำนวนเท่าใด ทั้งนี้ จำนวนเงินผ่อนชำระในแต่ละเดือนควรจะไม่สูงเกินกว่าร้อยละ 36 ของรายได้ เพราะหากสูงเกินกว่านี้ อาจส่งผลต่อการผ่อนชำระหนี้ในอนาคต และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องให้เป็นบุคคลล้มละลายได้
นอกจากนี้ ควรพยายามลดในส่วนของ “หนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดความมั่งคั่ง” เป็นลำดับแรก เพราะหนี้สินเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้สินที่เกิดจากการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน โดยการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต หรือสินเชื่อบุคคล ซึ่งเป็นหนี้ระยะสั้น และมีอัตราดอกเบี้ยสูง
อีกทั้ง ควรจะสำรวจทรัพย์สินที่ไม่มีความจำเป็นและสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสด เพื่อลดภาระหนี้ดังกล่าวรวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้โดยการหาแหล่งเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เช่น เงินกู้สวัสดิการพนักงาน เพื่อนำไปปลดหนี้ที่มีต้นทุนดอกเบี้ยสูง นอกจากนี้ ควรพยายามจ่ายหนี้ให้มากกว่าอัตราชำระขั้นต่ำ มิเช่นนั้นโอกาสที่จะทำให้หลุดพ้นจากวงจรหนี้เป็นไปได้ยากมาก เพราะจะจ่ายได้ในส่วนของดอกเบี้ยเท่านั้น ไม่ได้ทำให้เงินต้นลดลงแต่อย่างใด
ในขณะเดียวกัน ควรมีการบริหารรายรับรายจ่ายให้สมดุลโดยการทำบัญชีรายรับรายจ่าย เพื่อให้ทราบถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและสามารถใช้เป็นข้อพิจารณาในการลดรายจ่ายฟุ่มเฟื่อยหรือไม่จำเป็นลงได้ ทำให้มีรายรับสุทธิเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปชำระหนี้ ซึ่งควรจะนำไปชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงเป็นลำดับแรก และในจำนวนอื่นที่มีดอกเบี้ยต่ำลดลงมาตามลำดับ
นอกจากนี้ ยังต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคควบคู่กันไป โดยให้ใช้จ่ายตามความจำเป็นเท่านั้น อย่าใช้จ่ายตามความต้องการ ซึ่งจะเป็นการใช้จ่ายตามกระแสการโฆษณาประชาสัมพันธ์อันเป็นกลยุทธ์การตลาดเพื่อกระตุ้นการบริโภคสินค้า
อย่างไรก็ตาม หลายๆ ครั้งการเป็นหนี้ อาจเกิดจากความจำเป็นที่ไม่สามารถคาดการได้ เช่น หนี้ที่เกิดจากรายการค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล ตกงาน หรือซ่อมแซมบ้าน เป็นต้น ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาดังกล่าว เมื่อปลอดจากภาระปัญหาหนี้สินแล้ว ควรมีการเก็บออมเงินเพื่อสภาพคล่องไว้จำนวนหนึ่ง อาทิ ฝากธนาคาร ให้เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายปกติได้จำนวนอย่างน้อย 6 เดือน
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version