ประชาสัมพันธ์ > การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ

ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว

<< < (12/38) > >>

sithiphong:
เริ่มวันนี้! ลดหนี้บัตรเครดิต ช่วยเหลือลูกหนี้





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
           
            จากกรณีที่สถาบันการเงิน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ได้ร่วมมือกันเปิดโครงการ "ลดหนี้บัตรเครดิต" เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีภาระหนี้บัตรเครดิต และมีวินัยทางการเงิน  โดยวงเงินของโครงการรวม 3 ธนาคาร อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 3 เดือน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ (1 มิถุนายน) ถึงสิ้นเดือน สิงหาคม 2554 นั้น …

           เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายประสิทธิ์ อำภรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจรายย่อยและเครือข่าย ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการลดภาระดอกเบี้ยหนี้บัตรเครดิต พร้อมเปิดการให้สินเชื่อแล้ว โดยทางธนาคารจะให้สินเชื่อเพื่อชำระหนี้กับลูกหนี้บัตรเครดิตรายที่มีเงื่อนไขชำระเงินขั้นต่ำได้ตามใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิต และเป็นลูกหนี้ที่ดี ณ วันที่ 30 เมษายน  2554 เป็นต้นไป

           นายประสิทธิ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในการให้กู้นั้น ทางธนาคารจะให้ลูกหนี้กู้เพื่อนำเงินไปชำระหนี้บัตรเครดิตเต็มตามจำนวนของแต่ละบัตร และยกเลิกการใช้บัตรเครดิตใบนั้น แต่สำหรับกรณีที่มีหลายบัตร ลูกหนี้สามารถกู้ชำระเพียงบัตรใบใดใบหนึ่ง หรือทุกบัตรก็ได้ โดยธนาคารจะให้กู้ได้ในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท และเมื่อรวมกันวงเงินสินเชื่อประเภทอื่น ๆ ที่เป็นสินเชื่อบุคคลที่มีอยู่กับธนาคาร ต้องไม่เกิน 5 เท่าของเงินเดือน โดยให้ผ่อนชำระเงินต้น พร้อมดอกเบี้นเป็นรายเดือน ๆ  ละเท่า ๆ กัน ภายในเวลา 1-3 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยMRR บวก 2.5% ต่อปี ปัจจุบันเท่ากับ 10% ต่อปี

           สำหรับโครงการลดภาระดอกเบี้ยหนี้บัตรเครดิตที่กู้ผ่านธนาคาร ลูกหนี้ก็ยังสามารถทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองอุบัติเหตุ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตได้ โดยเสียค่าเบี้ยประกัน 440 บาทต่อปี สำหรับวงเงินคุ้มครอง 100,000 บาท เบี้ยประกัน 880 บาทต่อปี สำหรับวงเงินคุ้มครอง 200,000 บาท และเบี้ยประกัน 1,320 บาทต่อปี สำหรับวงเงินคุ้มครอง 300,000 บาท
 
           ทั้งนี้ นายประสิทธิ์ กล่าวปิดท้ายว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ลูกหนี้มีวินัยทางการเงิน ทางธนาคารได้จัดแพ็คเกจสำหรับลูกหนี้ที่ผ่อนชำระตรงเวลา โดยลดดอกเบี้ยลง 0.50% สำหรับลูกหนี้ผ่อนชำระตรงเวลา 1ปี และลดดอกเบี้ยลง 1% ในปีถัดมา อย่างไรก็ตาม ถ้าหากลูกหนี้ผ่อนชำระตามเงื่อนไขตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว ทางธนาคารจะให้สิทธิในการกู้สินเชื่อกรุงไทยธนวัฏและสินเชื่ออเนกประสงค์  โดยปีแรกจะลดดอกเบี้ยให้ 3.50% ต่อปี


นายกรณ์ จาติกวณิช



 [27 พฤษภาคม] กรณ์ ยัน รีไฟแนนซ์บัตรเครดิตไม่ใช่นโยบาย


          รมว.คลัง ยัน นโยบายรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต ไม่ใช่นโยบายหาเสียงช่วงเลือกตั้ง มั่นใจ 10,000 ล้านบาท พอ

          นายกรณ์ จาติกวณิช รักษาการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา กระทรวงการคลัง พยายามแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนมาโดยตลอด โดยเริ่มจากการแก้หนี้นอกระบบ จนถึงนโยบายรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต  ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข เพราะประชาชนรอความช่วยเหลืออยู่ และขอยืนยันว่าการผลักดันนโยบายดังกล่าวในช่วงนี้ไม่ใช่เพื่อหาเสียงเลือกตั้งแต่อย่างใด โดยไม่แปลกใจที่นายแบงก์ส่วนใหญ่ จะมีมุมมองต่อนโยบายรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิตในลักษณะดังกล่าว เพราะธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ ที่ทำธุรกิจบัตรเครดิตมีส่วนได้ส่วนเสียกับนโยบายดังกล่าว

          นอกจากนี้ ยังยืนยันด้วยว่า รัฐบาลไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินชดเชยให้แบงก์รัฐทั้ง 3 แห่ง ที่รับรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต เพราะเป็นเงื่อนไขทางธุรกิจของแต่ละแบงก์ และไม่ถือว่าเป็นการแทรกแซงของภาครัฐ โดยยืนยันว่า นโยบายดังกล่าวออกมาเพื่อเป็นทางเลือก และให้โอกาสลูกหนี้ที่ดี ในการลดภาระการจ่ายหนี้ และเชื่อว่าเม็ดเงิน 10,000 ล้านบาทจะเพียงพอต่อความต้องการ



รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต

[25 พฤษภาคม] KTC เชื่อรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต ไม่กระทบมาก


          ผู้ให้บริการบัตรเครดิตเชื่อรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตทำลูกค้าหดแค่ 10%

          นายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือเคทีซี กล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลที่จะเปิดรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต เพื่อแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าบัตรเครดิตว่า โครงการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อธุรกิจบัตรเครดิตอย่างแน่นอน เพราะจะมีลูกค้าที่ต้องการชำระหนี้ให้หมดเข้าร่วมโครงการนี้ แต่ก็คงไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากโครงการนี้มีวงเงินเพียง 10,000 ล้านบาท แต่ยอดเงินใช้จ่ายหมุนเวียนในธุรกิจบัตรเครดิตมีถึง 190,000 ล้านบาท ซึ่งเทียบกันแล้วมีสัดส่วนน้อยกว่ามาก

          นอกจากนี้ นายนิวัตต์ ยังกล่าวต่อด้วยว่า เบื้องต้นคาดการณ์ว่าผู้ให้บริการบัตรเครดิตทุกรายจะสูญเสียลูกค้าไปราว 10% เท่านั้น เพราะตามหลักเกณฑ์ลูกค้าที่จะเข้าร่วมโครงการรีไฟแนนซ์ต้องเลิกใช้บัตรเครดิตนั้น แต่เชื่อว่าลูกค้าหลายรายยังจำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตอยู่ จึงอาจไม่ได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว หรือต้องพิจารณาให้ละเอียดอีกครั้งก่อนตัดสินใจ





[24 พฤษภาคม] ผู้ว่าฯ ธปท. เตือนลดหนี้บัตรเครดิต ชี้ช่องคนเบี้ยวหนี้
 
         ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย  เตือนลดหนี้บัตรเครดิต สร้างนิสัยคนเบี้ยวหนี้ บิดเบือนกลไก ร้ายถึงขั้นเสียวินัยการคลัง
 
          จากกรณีที่สถาบันการเงิน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ได้ร่วมมือกันเปิดโครงการ "ลดหนี้บัตรเครดิต" เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีวินัยทางการเงิน โดยวงเงินของโครงการรวม 3 ธนาคาร อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 3 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนถึงสิ้นเดือน สิงหาคม 2554 โดยจะช่วยเหลือผู้ที่มีสถานะหนี้บัตรเครดิตปกติ (PL) นับตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2554 เป็นต้นไปนั้น
 
          เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.มีความเป็นห่วงมาตรการรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิตด้วยอัตราดอกเบี้ย 10% ของรัฐบาล จะเป็นการสร้างวัฒนธรรมวินัยทางการเงินที่ไม่ดีแก่ผู้ถือบัตรเครดิต ซึ่งโดยปกติถ้าเป็นหนี้ก็ต้องมีการชำระหนี้เอง
 
           นอกจากนั้น รัฐบาลอาจเสียวินัยทางการคลัง หากมาตรการดังกล่าวเกิดความเสียหายจากกลไกการกำกับมีจุดอ่อน ดังนั้น จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องนำภาษีประชาชนมาแก้ไขปัญหา และกลายเป็นการนำภาษีคนส่วนใหญ่มาช่วยคนส่วนน้อยซึ่งมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
 
          ทางด้าน นายบัณฑูร ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า สถาบันการเงินผู้ให้บริการบัตรเครดิต จะได้รับผลกระทบจากมาตรการรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตของรัฐบาลบ้าง จากลูกค้าที่โอนหนี้ไป แต่ยังไม่สามารถระบุความเสียหายได้อย่างชัดเจนว่าจะกระทบต่อธนาคารมากน้อยเพียงใด

รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต คืออะไร

          สำหรับการ รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต คือ โครงการลดภาระดอกเบี้ยบัตรเครดิต หรือการรีไฟแนนซ์ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีวินัยทางการเงิน ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าที่ลูกค้าเคยผ่อนชำระ โดยเงื่อนไขของโครงการ รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต จะต้องเป็นบุคคลทั่วไปที่เป็นหนี้บัตรเครดิตที่มีสถานะปกติ คือ ไม่ติดเอ็นพีแอล. ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2554 เป็นต้นไป และเป็นผู้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้ตามเกณฑ์ของธนาคาร ไม่ต้องมีผู้ค้ำ วงเงินให้กู้ไม่เกิน 5 เท่า หรือเงินเดือน หรือรายได้ปัจจุบัน แต่ไม่เกิน 300,000 บาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 1-3 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อปี เริ่มโครงการตั้งแต่ 1 มิถุนายน - สิ้นเดือนสิงหาคม 2554

          ทั้งนี้ จากข้อมูลหนี้บัตรเครดิตทั้งระบบ ขณะนี้อยู่ที่ 1.9 แสนล้านบาท เป็นลูกหนี้ที่ประวัติดี 1.5 แสนล้านบาท ที่เหลือเป็นลูกหนี้ผ่อนชำระดอกเบี้ย หรือชำระขั้นต่ำ 10 % ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 35 % หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่กำหนดให้เข้าร่วมโครงการได้ แต่ก็คาดว่าธนาคารพาณิชย์เจ้าของบัตรจะมีการเสนอเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ เพื่อดึงลูกค้าไว้ ทำให้คาดว่าจะเหลือลูกหนี้เข้าร่วมโครงการประมาณ 20 % หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท

          อย่างไรก็ตาม โครงการ รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต จะไม่รับรีไฟแนนซ์บัตรของกลุ่มนอนแบงค์ เช่น อิออน ยูเมะพลัส หรือเฟิร์สช้อยส์ และสินเชื่อส่วนบุคคล หรือบัตรกดเงินสด ซึ่งกลุ่มนี้จะมีการพิจารณาอีกครั้ง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ผู้ถือบัตรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรากหญ้า และกลุ่มแรงงาน ที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะทำบัตรเครดิต กับธนาคารพาณิชย์ได้

เอกสารยื่น รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต

          - หลักฐานใบแจ้งหนี้บัตรเครดิต
          - สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และทะเบียนบ้าน
          - เอกสารแสดงรายได้เช่น สลิปเงินเดือน หรือหลักฐานอื่นที่แสดงการมีรายได้ที่เชื่อถือได้
          - หนังสือแสดงเจตจำนงค์ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญผู้ที่เข้าร่วมโครงการจะต้องทำกับธนาคารว่าจะไม่ก่อภาระหนี้บัตรเครดิตเพิ่มเติมเป็นระยะเวลา 1 ปี
          - ผู้ที่มีบัตรเครดิตมากกว่า 1 ใบ บัตรที่เข้าร่วมโครงการจะต้องคืนก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ครอบครัวข่าว 3 , เดลินิวส์ , ไทยโพสต์ , ไอ.เอ็น.เอ็น. , สำนักข่าวไทย
   

.

http://hilight.kapook.com/view/59052

.

sithiphong:
รู้จักรายจ่ายของตัวเอง


บันทึกรายจ่ายเพื่อการรู้จักตนเอง อย่างน้อยของอย่างน้อยที่สุด ก็พอจะเห็นแววว่า จะพัฒนาหรือเปลี่ยนไปในทางที่รวยได้ยังไง ถึงจะ(ยัง) ไม่รวย แต่ก็ไม่จนไปกว่านี้!

เรื่อง วันพรรษา อภิรัฐนานนท์

แม้เงินจะซื้อทุกอย่างในชีวิตไม่ได้ แต่เงินก็ซื้อหลายๆ อย่างในชีวิตได้ ที่สำคัญคือมันให้โอกาสเราในการเป็นผู้เลือก และใช้ชีวิตอย่างที่เลือก เงินซื้อได้ไม่ทั้งหมดก็จริง แต่ถ้าพูดกันตามจริงเงินก็ซื้อได้เป็นส่วนใหญ่ สำหรับผู้เขียนแล้วเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตก็จริง แต่อย่างน้อยมันก็เป็นหนึ่งในท็อปไฟว์
ศิลปะของคนใช้เงินเป็น คือรู้ว่าจะใช้ซื้ออะไร ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของคนจน ซึ่งใช้จ่ายเงินเหมือนกระเชอก้นรั่ว คนที่ชอบบ่นว่าสิ้นเดือนไม่มีเงินเหลือ ชอบบ่นว่าค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตทำไมถึงได้สูงปรี๊ด (อย่าลืมรีบไปรีไฟแนนซ์นะ) พวกนี้คือพวกไม่รู้จักนิสัยในการใช้จ่ายของตัวเอง ไม่รู้จักตัวเอง และไม่มีเป้าหมายการออม ถ้าไม่อยากเป็นแบบนี้ ก็ต้องทำในสิ่งตรงกันข้าม

ทำความเข้าใจกับตัวเองผ่านรายจ่าย ก่อนอื่นขอให้ลองสำรวจตัวเองว่า มีการใช้จ่ายทำนองนี้บ้างหรือไม่



1.มื้อเที่ยงกินข้าวแกงจานละ 20 บาท ไม่ใส่ไข่ดาวนะ จะได้ประหยัด แต่ขากลับก่อนขึ้นออฟฟิศ ขอแวะซื้อกาแฟแบรนด์นอกถ้วยละ 100 กว่าบาท แหม...ก็มันติดกาแฟอ่ะ จริงๆ บนออฟฟิศก็มีบริการกาแฟฝาแดงให้ชงฟรีนะ แต่ไม่อยากกินเพราะรสชาติไม่คุ้นลิ้น

2.ช็อปปิ้งที่ตลาดนัดข้างตึกทุกวัน ถือเป็นการผ่อนคลายความเครียด และรักษาสมดุลชีวิต ซื้อเสื้อผ้าถูกๆ ใส่ แค่ตัวละ 159 บาท แต่สัปดาห์หนึ่งต้องซื้อไม่ต่ำกว่าสี่ซ้าห้าตัว จะได้เอาไปสลับแบบสลับสีกับเสื้อกระโปรงที่มีอยู่แล้ว (เต็มตู้เสื้อผ้าที่บ้าน) ถามว่าเสียดายเงินไหม-ก็ไม่นะ ตัวล่ะไม่กี่สตางค์...เศษเงินอ่ะ...ขำขำ

3.จากบ้านนั่งมอเตอร์ไซค์ออกมาที่ถนนใหญ่ ต่อแท็กซี่มาลงเรือ ขึ้นจากเรือแล้วไปรถไฟฟ้า ต่อจากรถไฟฟ้าขึ้นแท็กซี่เข้าออฟฟิศ รวมค่าเดินทางไป-กลับวันละไม่ต่ำกว่า 400 บาท

4.เนื้อตัวเหนียวกว่าคนทั่วไป ต้องให้คนอื่นอาบน้ำให้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1,500-3,000 บาท แถมต้องเตรียมเงินไว้คอยทิปอีกครั้งละ 300 บ้าง 500 บ้าง (กลัวถูกหาว่าไม่ป๋าไง)

5.สังคมจัดสุดสุด เย็นวันนี้สังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มนี้ เย็นพรุ่งนี้สังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มโน้น ศุกร์สุดสัปดาห์มีนัดรียูเนียนกับเพื่อนสมัยเรียนมัธยมประถมอนุบาล ฯลฯ ตกค่าสังสรรค์วันเว้นวัน เหยียบสัปดาห์หนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่า 3,000-4,000 บาท

6.วันหยุดก็ไม่หยุด ไม่อยากพักผ่อนที่บ้าน แต่ตะลอนๆ ออกไปไม่เว้น ชอบเปิดโลกกว้าง ดูหนังฟังเพลง ไปเล่นกอล์ฟ โยนโบว์ลและอื่นๆ ถ้าไม่ค่ำถ้าไม่มืดไม่กลับบ้าน

7.คลั่งเทคโนโลยีและเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด รุ่นใหม่ออกต้องตามติด เพราะกลัวเอาต์! เปลี่ยนมือถือหรือ PDA ทุก 3 เดือน ซื้อโน้ตบุ๊กใหม่ ซื้อคอมพ์ใหม่ทุกครั้งที่มีงานสินค้าไฮเทค

8.บอกใครๆ ว่าชอบอ่านหนังสือ แต่จริงๆ แล้วชอบดูแต่รูป ซื้อแมกกาซีน วารสารไทยเทศมาจนเต็มบ้านเต็มห้อง แต่ไม่เคยเปิดอ่าน (พลิกดูแต่รูป-มีคนอย่างนี้จริงๆ)

9.ชอบกินอาหารหรูๆ อย่างต่ำก็ต้องเดลิเวอรีสั่งมากินที่บ้าน

10.สมัครบัตรเครดิตเรื่อยไป ประมาณว่าอยากได้ของแถม (บางยี่ห้อก็แจกมาได้แค่ตุ๊กตาสตึๆ แต่ก็มีคนอยากได้แฮ่ะ) สมัครไปเถอะ เดี๋ยวค่อยบอกเลิกทีหลัง แต่ขอโทษเถอะ เงินเดือนแค่หมื่นสองหมื่น แต่วงเงินบัตรรวมกันทั้งหมดมากกว่ารายได้รวมกันสามปีเสียอีก (ไม่รู้ผ่านอนุมัติมาได้ยังไงเนี่ย)

สรุปแล้วคือการไม่ประมาณตน ตัวเอง (มีปัญญา) จ่ายแค่ไหน ก็ควรวางแผนบริหารจัดการรายจ่ายให้เหมาะสม หมั่นเตือนตัวเองและทำบัญชีค่าใช้จ่าย ขอแนะนำการบันทึกรายจ่ายง่ายๆ แบบ Spread Sheet ในคอมพิวเตอร์ ขอให้ทำทุกวันโดยแบ่งเป็นหมวดๆ อย่างชัดเจน เช่น หมวดอาหาร หมวดค่าขนส่ง หมวดงานสังสันท์ หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดเสื้อผ้าเครื่องประดับ หมวดภาษีสังคม (นานาซองทั้งหลาย) ฯลฯ

ที่สำคัญคือต้องลงบันทึกทุกวัน หรือในทันทีที่ทำได้ ทุกรายจ่ายที่จ่ายจริง-จดเลย เล็กน้อยแค่ไหนก็จำไว้ว่าต้องจด เช่น ให้เงินขอทานหน้าปากซอย 5 บาท หยอดกระป๋องมูลนิธิหมาพิการ 17 บาท ใส่ซองผ้าป่า 200 เงินหาย 500 ฯลฯ หลักการคือตามจริง และขอให้บันทึกต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือน แล้วใช้โปรแกรม Spread Sheet เพื่อดูแพตเทิร์นการจ่าย หรือแบบแผนการใช้เงินของตัวเองว่า สุรุ่ยสุร่ายในหมวดใดสูงสุด รองลงมาๆๆๆ หรือหมวดไหนที่มีปัญหาวิธีนี้เราจะเช็กตัวเองได้ และสกัดกั้นการจ่ายได้อย่างเป็นรูปธรรม
อย่างน้อยก็จะรู้จักรายจ่ายของตัวเอง จับต้องได้ว่าใช้จ่ายด้านไหนเกินตัว จากนั้นวางแผนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายที่ควรลดมากที่สุดคือค่าใช้จ่ายผันแปร (ค่าดูหนัง, ค่าเอนเตอร์เทน เป็นต้น) ส่วนค่าใช้จ่ายคงที่ส่วนใหญ่เป็นภาระหนี้สิน เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ก็ควรมองหาโอกาสที่จะทำให้ลดลง

บันทึกรายจ่ายเพื่อการรู้จักตนเอง อย่างน้อยของอย่างน้อยที่สุด ก็พอจะเห็นแววว่า จะพัฒนาหรือเปลี่ยนไปในทางที่รวยได้ยังไง ถึงจะ(ยัง) ไม่รวย แต่ก็ไม่จนไปกว่านี้!




โพสต์ทูเดย์ ไลฟ์สไตล์ : รู้จักรายจ่ายของตัวเอง

.


http://www.posttoday.com/%E0%B9%84%E...B8%AD%E0%B8%87
.

http://www.posttoday.com/%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B9%8C/%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B9%8C/92868/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87

.

sithiphong:
ออมสิน อนุมัติรีไฟแนนซ์ หนี้บัตรเครดิตแล้ว



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
           

           ธนาคารออมสิน แจง ยอดลูกค้ายื่นขอรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต รวม 5,793 ราย คิดเป็นวงเงินกว่า 749 ล้านบาท อนุมัติแล้ว 254 ราย วงเงิน 25.03 ล้านบาท

           ความคืบหน้าการดำเนินโครงการรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต ผ่านทางธนาคารออมสิน ตั้งแต่วันที่ 1 - 10 มิถุนายน 2554 มีผู้สนใจยื่นผ่าน 650 สาขาทั่วประเทศ จำนวนขอกู้บัตรรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตกว่า 5,793 ราย วงเงินกว่า 749.7 ล้านบาท ทั้งนี้ทางธนาคารได้มีการอนุมัติวงเงินดังกล่าวไปแล้วจำนวน 254 ราย คิดเป็นวงเงิน 25.03 ล้านบาท



http://hilight.kapook.com/view/59052


[2 มิถุนายน] เริ่มแล้ว!  ลดหนี้บัตรเครดิต ช่วยเหลือลูกหนี้

            จากกรณีที่สถาบันการเงิน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ได้ร่วมมือกันเปิดโครงการ "ลดหนี้บัตรเครดิต" เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีภาระหนี้บัตรเครดิต และมีวินัยทางการเงิน  โดยวงเงินของโครงการรวม 3 ธนาคาร อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 3 เดือน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ (1 มิถุนายน) ถึงสิ้นเดือน สิงหาคม 2554 นั้น …

           เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายประสิทธิ์ อำภรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจรายย่อยและเครือข่าย ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการลดภาระดอกเบี้ยหนี้บัตรเครดิต พร้อมเปิดการให้สินเชื่อแล้ว โดยทางธนาคารจะให้สินเชื่อเพื่อชำระหนี้กับลูกหนี้บัตรเครดิตรายที่มีเงื่อนไขชำระเงินขั้นต่ำได้ตามใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิต และเป็นลูกหนี้ที่ดี ณ วันที่ 30 เมษายน  2554 เป็นต้นไป

           นายประสิทธิ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในการให้กู้นั้น ทางธนาคารจะให้ลูกหนี้กู้เพื่อนำเงินไปชำระหนี้บัตรเครดิตเต็มตามจำนวนของแต่ละบัตร และยกเลิกการใช้บัตรเครดิตใบนั้น แต่สำหรับกรณีที่มีหลายบัตร ลูกหนี้สามารถกู้ชำระเพียงบัตรใบใดใบหนึ่ง หรือทุกบัตรก็ได้ โดยธนาคารจะให้กู้ได้ในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท และเมื่อรวมกันวงเงินสินเชื่อประเภทอื่น ๆ ที่เป็นสินเชื่อบุคคลที่มีอยู่กับธนาคาร ต้องไม่เกิน 5 เท่าของเงินเดือน โดยให้ผ่อนชำระเงินต้น พร้อมดอกเบี้นเป็นรายเดือน ๆ  ละเท่า ๆ กัน ภายในเวลา 1-3 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยMRR บวก 2.5% ต่อปี ปัจจุบันเท่ากับ 10% ต่อปี

           สำหรับโครงการลดภาระดอกเบี้ยหนี้บัตรเครดิตที่กู้ผ่านธนาคาร ลูกหนี้ก็ยังสามารถทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองอุบัติเหตุ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตได้ โดยเสียค่าเบี้ยประกัน 440 บาทต่อปี สำหรับวงเงินคุ้มครอง 100,000 บาท เบี้ยประกัน 880 บาทต่อปี สำหรับวงเงินคุ้มครอง 200,000 บาท และเบี้ยประกัน 1,320 บาทต่อปี สำหรับวงเงินคุ้มครอง 300,000 บาท
 
           ทั้งนี้ นายประสิทธิ์ กล่าวปิดท้ายว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ลูกหนี้มีวินัยทางการเงิน ทางธนาคารได้จัดแพ็คเกจสำหรับลูกหนี้ที่ผ่อนชำระตรงเวลา โดยลดดอกเบี้ยลง 0.50% สำหรับลูกหนี้ผ่อนชำระตรงเวลา 1ปี และลดดอกเบี้ยลง 1% ในปีถัดมา อย่างไรก็ตาม ถ้าหากลูกหนี้ผ่อนชำระตามเงื่อนไขตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว ทางธนาคารจะให้สิทธิในการกู้สินเชื่อกรุงไทยธนวัฏและสินเชื่ออเนกประสงค์  โดยปีแรกจะลดดอกเบี้ยให้ 3.50% ต่อปี


sithiphong:
แฉกลโกงใหม่! ภัยคอลเซ็นเตอร์ เหยื่อสูญเงินนับล้าน




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

ยังคงตกเป็นเหยื่ออย่างต่อเนื่อง สำหรับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ทุกวันนี้มีเหยื่อรายหลายออกมาแฉถึงขั้นตอนกระบวนการที่โดนหลอก ให้บรรดาประชาชนรู้เท่าทัน แต่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็สรรหารูปแบบวิธีการหลอกลวงขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เหยื่อตายใจและโอนเงินมาให้ใช้ อย่างสบายมือเลยทีเดียว

โดยเหยื่อรายล่าสุด ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้ฟังว่า ตนมีเงินสะสมอยู่ในธนาคารอยู่ประมาณกว่าล้านบาท ซึ่งตนจะเก็บไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต แต่ก็ต้องเสียเงินที่มีทั้งหมดให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยแก๊งดังกล่าว โทรมาหาตนทำทีว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหนึ่ง แล้วบอกกับตนว่า ตนเป็นหนี้บัตรเครดิตอยู่ 4 หมื่นบาท ก่อนที่จะโอนสายโทรศัพท์ไปมาหลายครั้ง จนครั้งสุดท้าย ถูกโอนสายไปยังชายคนหนึ่งที่อ้างตัวเป็น พันตำรวจโท จากดีเอสไอ ซึ่งชายดังกล่าว บอกกับตนว่า เงินที่อยู่ในบัญชีของตนนั้นเป็นเงินที่ถูกฟอก และมีความผิด ขณะเดียวกัน ก็พยายามหลอกล่อ ถามตนถึงจำนวนเงินในบัญชี ซึ่งตนตกใจเลยบอกจำนวนเงินดังกล่าวไป

จากนั้นคนร้ายก็ได้หลอกให้ตนไปกดเงิน โดยใช้หน้าจอภาษาอังกฤษ เพื่อให้ตนสับสน และหลอกให้ตนโอนเงินจำนวน 99,999 บาท ถึงสองครั้ง และให้ตนทำลายสลิปต์เงินทันที โดยอ้างว่าเป็นรหัสลับของทางราชการ อีกทั้งยังให้ตนเบิกเงินจากธนาคารจำนวน 1 ล้านบาท และไม่ยอมให้บอกใคร พร้อมทั้งติดตามดูพฤติกรรมของตนผ่านกล้องวงจรปิด เสร็จแล้วก็ให้ตนนำเงินเหล่านั้นโอนเข้าเครื่องรับฝากอัตโนมัติ จำนวน 3 บัญชี โดนโอนครั้งละ 100,000-200,000 บาท จนจำนวนเงินครบล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้น คนร้ายยังทราบว่า ตนมีเงินอยู่ในธนาคารอื่นอีกจำนวนหนึ่ง จึงออกอุบายให้ตนไปทำธุรกรรมลักษณะดังกล่าวต่อ แต่หลานสาวของตนทราบเรื่อง จึงสั่งระงับเงินที่เหลืออยู่ได้ ทำให้คนร้ายไหวตัวทัน และหนีไปได้ในที่สุด

ทางด้าน พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ได้เปิดเผยข้อมูลในการระดมกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์พร้อมกัน 7 ประเทศ โดยระบุว่า มีต้องหาทั้งสิ้น 692 คน เป็นชาวไต้หวัน 471 คน, จีน 214 คน, เวียดนาม 1 คน, เขมร 1 คน, เกาหลีใต้ 2 คน และไทย 3 คน ทั้งนี้คนร้ายในประเทศไทย จะอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร และบอกว่ามีหนี้บัตรเครดิต เสร็จแล้วจะโอนสายไปยังผู้ที่อ้างตนว่าเป็นตำรวจและบอกว่าเงินของเหยื่อเป็น เงินที่ถูกฟอก ซึ่งเหยื่อที่หลงกลเชื่อ ก็จะโอนเงินให้ทางเอทีเอ็ม โดยอ้างว่าเป็นบัญชีกลางของทางราชการ

ล่าสุด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็มีกลยุทธใหม่ ๆ เพราะกลยุทธ์แบบเดิมเริ่มใช้ไม่ได้ผล โดย วิธีใหม่นั้น เป็นการเรียกค่าไถ่ ซึ่งคนร้ายจะโทรศัพท์เข้าบ้านในช่วงเวลากลางวัน เพื่อให้ผู้สูงอายุที่บ้านรับสาย แล้วอ้างว่า ลูกหลานและญาติ ถูกจับไปเป็นตัวประกัน เพราะไปค้ำประกันให้คนอื่น จากนั้นก็ทำเสียงเหมือนว่ามีการทำร้ายร่างกาย ทำให้เหยื่อเกิดความกลัว ต้องโอนเงินให้คนร้ายในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะมาในรูปแบบไหน อยากให้ประชาชนระมัดระวัง และไม่ให้หลงเชื่อโอนเงินให้ผู้อื่นง่าย ๆ อีกทั้ง อย่าให้เลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลส่วนตัวกับโทรศัพท์ที่ไม่น่าไว้วางใจเด็ดขาด



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ครอบครัวข่าว 3

-http://www.krobkruakao.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/39570/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88.html-




.

-http://hilight.kapook.com/view/59847-

.

http://www.krobkruakao.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/39570/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88.html

http://hilight.kapook.com/view/59847

.

Plusz:
ขอบคุณค่ะพี่หนุ่ม เยอะแยะมากมายจนอ่านไม่หมดเลยค่า  :14:
แต่อิ๋มอ่านอันนึงที่เกี่ยวกับ รายจ่ายของตัวเองค่ะ ตรงดี  :44:

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version