ประชาสัมพันธ์ > การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ
ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
sithiphong:
รู้เท่าทัน กลโกงเงิน
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/money_trick/Pages/moneytrick.aspx-
กลลวงผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Banking : e - banking) และบัตรกดเงินต่าง ๆ
1. ใช้เครื่องบันทึกข้อมุลในแถบแม่เหล็ก (Skimmer)
มิจฉาชีพจะทำการติดตั้งเครื่องบันทึกข้อมูลในแถบแม่เหล็ก (Skimmer) ไว้ที่ช่องเสียบบัตรเพื่อคัดลอกข้อมูลในบัตรหรือนำแป้นกดตัวเลขปลอมครอบแป้น กดตัวเลขของตู้เอทีเอ็ม และทำการแอบดูรหัสผ่านจากการติดตั้งกล้องไว้ ณ ตู้เอทีเอ็ม หรือ แอบดู แล้วจึงนำข้อมูลดังกล่าวไปทำบัตรปลอมและถอนเงิน โอนเงิน หรือซื้อสินค้าและบริการในนามของเรา
ตู้ เอทีเอ็มที่ปลอดภัย ตู้เอทีเอ็มที่มีการตั้ง เครื่อง Skimmer และแป้นกดตัวเลขปลอม
ตู้เอทีเอ็มที่มีการติดตั้งกล้องขนาดเล็ก เพื่อแอบดูการกดรหัสของเรา
2. ใช้อุปกรณ์คัดลอกข้อมุล (Scanner)
มิจฉาชีพ จะทำการขโมยบัตรเดบิตหรือเครดิตของเรา แล้วนำไปรูดกับอุปกรณ์คัดลอกข้อมูลที่อยู่ในบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิต เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปผลิตบัตรปลอมสำหรับใช้ซื้อสินค้าและบริการ
เครื่องสแกนเนอร์ที่มิจฉาชีพใช้รูดเพื่อขโมยข้อมูลของเรา
.
sithiphong:
รู้เท่าทัน กลโกงเงิน
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/money_trick/Pages/moneytrick.aspx-
3. ปลอมอีเมล์ และสร้างเว็บไซต์ธนาคารพาณิชย์ปลอม (Phishing)
มิจฉาชีพจะส่งอีเมล์แอบอ้างว่าเป็นธนาคารพาณิชย์ คนรู้จัก หรือเพื่อนสนิท เพื่อขอข้อมูลทางการเงิน หรือให้ทำการโอนเงินให้
อีเมล์แอบอ้างมีลักษณะอย่างไร
อีเมล์จากธนาคารพาณิชย์
มิจฉาชีพ จะทำการส่งอีเมล์มาให้เราในหัวข้อและข้อความที่น่าเชื่อถือ อาจจะเป็นการแจ้งให้เรายืนยันข้อมูลทางการเงินเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการ รักษาความปลอดภัย หรือ อาจแจ้งว่าบัญชีของเราถูกอายัดไว้ชั่วคราว จึงขอให้ยืนยันข้อมูลส่วนตัวโดยให้กรอกข้อมูลในแบบฟอร์มที่แนบมา หรือในลิงก์แนบที่เชื่อมไปยังเว็บไซต์ปลอมที่มีหน้าตาเหมือนเว็บไซต์ของสถาบันการเงินนั้นๆ แล้วจึงนำข้อมูลที่ได้มานั้นไปใช้แอบอ้างทำการซื้อหรือชำระสินค้าและบริการผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
อีเมล์จากคนรู้จัก เพื่อน หรือ ญาติสนิท
มิจฉาชีพ จะส่งอีเมล์มาหาเราโดยใช้อีเมล์ของคนรู้จักของเรา มีข้อความในลักษณะการขอความช่วยเหลือ โดยแอบอ้างว่าพวกเขาเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักของเรา และกำลังเดือดร้อนด้วยเหตุต่างๆในต่างประเทศ จึงอยากขอให้เราโอนเงินให้พวกเขา
...เช็คข้อมุลกับสถาบันการเงิน หรือติดต่อไปหาคนรู้จักก่อนที่จะทำการโอนเงินหรือให้ข้อมูลใด ๆ...
ต้วอย่าง รูปแบบ อีเมล์และเว็บไซต์ที่แอบอ้างเป็นธนาคารพาณิชย์
ตัวอย่าง รูปแบบ เว็บไซต์ปลอม
4. การแท็บสายโทรศัพท์เพื่อดักขโมยข้อมูลบัตรเครดิตหรือบัตรเครดิตที่ตู้พักสายโทรศัพท์
มิจฉาชีพ จะทำการดักขโมยข้อมูลของเราที่ถูกส่งจากร้านค้าไปยังสถาบันการเงินหรือผู้ ประกอบการบัตรเครดิตขณะที่มีการใช้จ่าย โดยมิจฉาชีพจะทำการติดตั้งเครื่องดักข้อมูลที่ตู้พักสายโทรศัพท์ แล้วนำข้อมูลที่ได้ ไปทำบัตรเครดิตปลอมเพื่อใช้ซื้อสินค้าและบริการต่างๆในนามของเรา
แบบนี้การใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตใช้จ่ายก็ไม่ปลอดภัยนะสิ...
ยังคงปลอดภัยอยู่ เพราะสถาบันการเงินต่าง ๆ ได้ร่วมกันป้องกันการดักขโมยข้อมูลด้วยวิธีการใส่รหัสข้อมูล (Encryption) ใน การรับส่งข้อมูลตั้งแต่ต้นทางและปลายทางทำให้ผู้ไม่ได้รับอนุญาตไม่สามารถ อ่านข้อมูลได้ ดังนั้น หากมีการรูดบัตรในสถานที่ไม่มีความเสี่ยง จึงวางใจได้ว่า การใช้จ่ายผ่านบัตรยังคงปลอดภัยอยู่
ทำอย่างไร...จึงจะปลอดภัยจากกลโกงผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
1. ไม่ใช้เอทีเอ็มที่ตั้งไว้ ณ จุดเสี่ยง เพราะคนร้ายสามารถติดอุปกรณ์บันทึกข้อมูลได้ง่าย และควรสังเกตตู้ก่อนใช้งานว่ามี
ลักษณะผิดปกติหรือไม่ เช่น แป้นพิมพ์มีลักษณะถูกครอบด้วยอุปกรณ์บางชนิด หรือมีกล่องแปะอยู่ข้างตู้ หรือมีอุปกรณ์
แปลกปลอมติดอยู่ในมุมที่สามารถมองเห็นการกดรหัสผ่านได้
2. หลีกเหลี่ยงการใช้บัตรเดบิตหรือบัตรเครดิตกับร้านค้าที่มีความเสี่ยง หรือบริเวณที่มีข่าวการทุจริต
3. ใช้มือปิดบังทุกครั้งระหว่างการกดรหัสเอทีเอ็ม
4. หากใช้บัตรในการชำระสินค้าและบริการ ควรอยู่ในบริเวณที่มองเห็นการทำรายการ ทั้งนี้เพื่อป้องกันพนักงานนำบัตร
ไปรูดกับเครื่องคัดลอกข้อมูล (Scanner)
5. ไม่บอกรหัสผ่านหรือข้อมูลสำคัญทางการเงินแก่ผู้อื่น และไม่เขียนรหัสผ่านไว้บนบัตร นอกจากนี้ควรทำลายเอกสาร
แจ้งรหัสผ่าน และเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำทุก 3 เดือน
6. ไม่ควรใช้รหัสผ่านที่เหมือนกันสำหรับการใช้บริการอิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่างๆของธนาคารพาณิชย์
7. เก็บใบบันทึกรายการไว้ทุกครั้งเพื่อเป็นหลักฐานในการตรวจสอบยอดใช้จ่าย และควรตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ หากมีเหตุ
สงสัยหรือผิดปกติ ให้รีบแจ้งธนาคารพาณิชย์เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาทันที
8. อ่านข้อควรระวังเกี่ยวกับพฤติกรรมการหลอกลวงรูปแบบต่างๆของธนาคารพาณิชย์อย่างสม่ำเสมอ
9. หากบัตรสูญหายหรือถูกขโมย ให้รีบแจ้งธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตรดำเนินการอายัดบัตรทันที
10. ไม่ควรตอบรับอีเมล์จากคนที่ไม่รู้จัก คนคุ้นเคย หรือผู้ที่ขอให้ผู้ใช้บริการส่งข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลสำคัญทางการเงิน
ให้ เพราะธนาคารพาณิชย์ไม่มีนโยบายขอข้อมูลส่วนตัวลูกค้าผ่านทางอีเมล์ โทรศัพท์ หรือจดหมาย
11. ไม่ควรเชื่อมโยงลิงก์ที่แนบมากับอีเมล์ เมื่อต้องการเข้าใช้บริการธนาคารพาณิชย์ผ่านทางอินเตอร์เน็ต ควรพิมพ์
ชื่อเว็บไซต์และตรวจสอบการสะกดคำให้ถูกต้องทุกครั้ง
.
sithiphong:
รู้เท่าทัน กลโกงเงิน
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/money_trick/Pages/moneytrick.aspx-
ภัยจากกลโกงบัตรเครดิต และบัตรผ่อนสินค้า
เป็นอย่างไรนะ...โกงผ่านบัตรเครดิต
มิจฉาชีพ จะทำการขโมย ข้อมูลบัตรเครดิต บัตรเครดิต หรือข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ของเรา แล้วนำไปซื้อสินค้าและบริการต่างๆในนามของเรา โดยวิธีที่มิจฉาชีพนิยมใช้ มีดังนี้
1. ปลอมแปลงเอกสารสำคัญในการสมัครบัตรเครดิต เพื่อหลอกลวงให้สถาบันการเงินออกบัตรให้ในนามของเรา
2. ขโมยบัตรเครดิตหรือนำบัตรที่สูญหายไปใช้โดยที่เราไม่รู้ตัว
3. ใช้อุปกรณ์อ่านข้อมูลจากแถบแม่เหล็ก (เครื่อง Skimmer) คัดลอกข้อมูลของเราแล้วทำบัตรปลอม
4. หลอกลวงขอข้อมูลของบัตรและข้อมูลส่วนตัวของเรา แล้วนำไปใช้ซื้อสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเตอร์เน็ต ข้อมูลดังกล่าว
ได้แก่ ชื่อผู้ถือบัตร ประเภทของบัตร ธนาคารผู้ออกบัตร หมายเลขบัตร เดือน/ปี ที่ออกบัตร และเดือน/ปี ที่หมดอายุ รวมไปถึง
รหัสปลอดภัยเลข 3 -4 หลัก ที่ปรากฏอยู่บนบัตร
เตรียมพร้อม...ระวังภัยบัตรเครดิต
1. เซ็นชื่อหลังบัตรทันทีเมื่อได้รับบัตรใหม่
2. เก็บรักษาบัตรเครดิต บัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ และเอกสารสำคัญอื่นๆไว้ในที่ปลอดภัยและไม่มอบให้กับ
ผู้ไม่น่าไว้ใจ
3. จดหมายเลขบัญชีบัตรเครดิต รหัสถอนเงินสด และหมายเลขโทรศัพท์สำหรับแจ้งอายัดบัตรได้กรณีบัตรหายไว้ในที่
ปลอดภัย (ไม่ควรเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ หรือเก็บรวมกับบัตรเครดิต)
4. อย่าเปิดเผยรหัสถอนเงินสดให้กับผู้อื่น
5. อย่าเปิดเผยรหัสความปลอดภัยโดยไม่จำเป็น (สำหรับบัตร MasterCard และ Visa คือ
เลข 3 หลัก ที่อยู่ด้านหลังบัตร บริเวณขวามือของแถบลายเซ็น สำหรับบัตร American Express คือ เลข 4 หลัก
ที่อยู่ด้านหน้าบัตร บริเวณเหนือหมายเลขบัตรเครดิต )
6. พึงระวังการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของคุณ เช่น เลขประจำตัวประชาชน และ วัน/เดือน/ปี เกิด เป็นต้น รวมถึงข้อมูล
ที่อยู่บนบัตรเครดิต ซึ่งสามารถนำไปทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ คือ
- ธนาคารผู้ออกบัตร และประเภทของบัตร
- ชื่อผู้ถือบัตร
- หมายเลขบัตรเครดิต
- เดือน/ปี ที่ออกบัตร และ เดือน/ปี ที่บัตรหมดอายุ
7. หลี่กเลี่ยงการใช้บัตรในร้านค้าหรือตู้เอทีเอ็มที่มีความเสี่ยงหรือมีข่าวการทุจริต หากจำเป็นต้องใช้ในสถานที่ดังกล่าว
ควรอยู่ ณ จุดที่พนักงานทำรายการ หรืออยู่บริเวณใกล้ๆในระยะที่สังเกตได้
8. การใช้บัตรที่ร้านค้าควรเช็คให้แน่ใจว่าได้บัตรเครดิตคืนมาทุกครั้ง และตรวจสอบชื่อ-นามสกุลบนบัตร
9. ตรวจสอบความถูกต้องก่อนเซ็นชื่อใน Sales Slip และเก็บไว้เพื่อตรวจสอบกับใบแจ้งหนี้ หากไม่ถูกต้อง แจ้งผู้ออกบัตร
ทันที
10. การใช้บัตรเครดิตเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าจากตู้ ATM ควรปฏิบัติ ดังนี้
- ระวังไม่ให้ผู้อื่นเห็นรหัสเบิกถอนเงินสด
- ระมัดระวัง ATM ที่น่าสงสัยว่าอาจมีการลักลอบติดตั้งอุปกรณ์ที่ใช้ขโมยข้อมูลจากบัตรเครดิต เช่น เครื่องอ่านแถบ
แม่เหล็กที่ช่องเสียบบัตรเพื่อขโมยข้อมูล หรือเครื่องบันทึกข้อมูลที่แป้นกดรหัสเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว
11. การซื้อสินค้าหรือบริการทางอินเทอร์เน็ต ควรเลือกใช้บริการเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ
12. กรณีบัตรเครดิตหาย ต้องรีบแจ้งให้ผู้ออกบัตรทราบทันที (ทั้งนี้ คุณยังต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก่อนการแจ้งบัตรหาย)
13. ทำลายบัตรเครดิตก่อนที่คุณจะทิ้งบัตรเครดิต หรือเอกสารใดๆ เกี่ยวกับบัตรเครดิตทุกครั้ง เพื่อมิให้ผู้อื่นนำข้อมูลไปใช้โดยมิชอบ
บัตรผ่อนสินค้า คืออะไร
บัตร ผ่อนสินค้า เป็นบัตรที่ใช้ซื้อสินค้า โดยส่วนมากมักใช้สำหรับการซื้อสินค้าเงินผ่อน ซึ่งผู้ซื้อยังไม่ต้องจ่ายค่าสินค้าเต็มจำนวน โดยบริษัทผู้ออกบัตรจะเป็นผู้ชำระค่าสินค้าเต็มจำนวนให้แทน หลังจากนั้นผู้ซื้อต้องชำระเงินค่าสินค้าและดอกเบี้ยคืนให้กับบริษัทผู้ออก บัตรจนครบสัญญา
มิจฉาชีพโกงผ่านบัตรผ่อนสินค้าหรือบัตรเครดิตได้ด้วยหรือ
ได้สิ โดยใช้บัตรผ่อนสินค้าและบัตรเครดิตในการซื้อสินค้า
มิจฉาชีพทำอย่างไร
มิจฉาชีพ จะติดป้ายโฆษณาตามเสาไฟฟ้า ตู้โทรศัพท์ หรือที่สาธารณะ ด้วยข้อความเชิญชวน เช่น ให้วงเงินสูง อนุมัติและรับเงินสดทันทีภายใน 30 วัน ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับ เงินกู้นอกระบบ หากเราสนใจและติดต่อไปตามเบอร์โทรที่ให้ไว้ มิจฉาชีพจะแนะนำวิธีการและเงื่อนไขต่างๆที่เกี่ยวกับการขอรับสินเชื่อ โดยเราไม่จำเป็นต้องมีประวัติการเงินที่ดี หรือมีวงเงินเหลือในบัตรเครดิตมากนัก
หาก เรายอมรับข้อตกลง มิจฉาชีพจะพาเราไปสมัครบัตรผ่อนสินค้าของบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (หากเรามีบัตรผ่อนสินค้า หรือบัตรเครดิตอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องสมัครใหม่) เมื่อได้บัตรแล้วมิจฉาชีพจะพาเราไปซื้อสินค้าโดยจ่ายผ่านบัตรนั้นๆของเรา หลังจากนั้นมิจฉาชีพจะเป็นผู้รับซื้อสินค้านั้น โดยจะหักค่านายหน้าประมาณ 30%
ตัวอย่าง เช่น
เรา ตกลงกู้เงินนอกระบบกับกลุ่มมิจฉาชีพแล้ว เขาก็จะพาเราไปทำบัตรผ่อนสินค้า (ถ้ามีแล้วก็ไม่ต้องทำ) เมื่อได้บัตรก็พาเราไปซื้อสินค้า สมมติราคาเท่ากับ 10,000 บาท มิจฉาชีพก็จะหักค่านายหน้า 30 % คิดเป็นเงิน 3,000 บาท เราก็จะได้เงินแค่ 7,000 บาท แต่เป็นหนี้ทั้งหมด 10,000 บาท
เรายังต้องเสียเงินค่าอย่างอื่นอีกไหม
เสียสิ เรายังคงต้องเสียเงินผ่อนชำระสินค้าพร้อมดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ อีก 28% ให้กับผู้ออกบัตร โดยผู้ปล่อยกู้ไม่ต้องร่วมรับผิดชอบใด ๆ และยังนำสินค้าไปจำหน่ายต่ออีกด้วย
ถ้าไม่อยากถูกโกงทำอย่างไร
1. ใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลกับสถาบันการเงินหรือบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ถูกกฎหมาย
เท่านั้น
2. พิจารณาเปรียบเทียบเรื่อง อัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน ค่าธรรมเนียมการ
จัดการเงินกู้ ค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี ก่อนใช้บริการ
3. ระมัดระวังโฆษณาอัตราดอกเบี้ยที่แจ้งว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยต่อเดือน หรือต่อปี
เกร็ดความรู้เรื่องดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ยต่อปี = อัตราดอกเบี้ยต่อเดือน x 12
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = อัตราดอกเบี้ยเงินต้นเท่ากันทุกงวด x 1.8
(Effective Rate) (Flat Rate)
(อ่านต่อ ความรู้เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย)
4. อย่าใช้บริการสินเชื่อเพียงเพราะต้องการของแถม ควรใช้เมื่อมีความจำเป็นที่ต้องกู้ยืม
หลอกลวงเงินผ่านแชร์ลูกโซ่
แชร์ลูกโซ่ คืออะไร
เป็น กลโกงหลอกให้เราลงทุนในธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูงผิดปกติ โดยในช่วงต้นจะมีการจ่ายผลตอบแทนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แต่จริง ๆ แล้ว เป็นเงินที่เอามาจากนักลงทุนรายใหม่ ไม่ได้มาจากเงินลงทุนจริง ๆ ถ้าไม่มีนักลงทุนรายใหม่ ก็ไม่มีเงินจ่ายนักลงทุนรายเก่า แชร์ก็ปิดตัว ผู้ลงทุนก็เสียเงินไป
แชร์แบบไหนที่ควรระวัง
- ที่ตั้งสำนักงานไม่มั่นคงถาวร เช่น เช่าตึกที่ไม่มีอาคารเป็นของตัวเอง ทรัพย์สินมีค่าในสำนักงานมีน้อย
- ไม่มีโรงงานผลิตสินค้าเป็นของตัวเอง แต่มีสินค้าซึ่งไม่ระบุแหล่งผลิตถาวร
- เก็บค่าสมัครสมาชิกเป็นจำนวนสูงมาก และมีการบังคับซื้อสินค้า
- ไม่เน้นการขายสินค้าแต่เน้นให้สร้างทีมให้หาสมาชิกและผู้ลงทุนรายใหม่ โดยหาสมาชิกได้มากจะได้ค่าตอบแทนมาก
- ลงทุนต่ำ ผลตอบแทนสูงและจ่ายค่าตอบแทนเร็วเกินเหตุ รับลงทุนแบบไม่จำกัดจำนวน
ทำไมถึงมีคนถูกหลอกผ่านแชร์ลูกโซ่
ผู้ที่ทำธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ใช้วีธีการ ดังนี้
- ใช้เครือข่ายจากความใกล้ชิดสนิทสนมใกล้ตัวที่เราไว้ใจได้
- อ้างถึงบุคคลที่น่าเชื่อถือว่าได้เข้าร่วมหุ้นกับบริษัทด้วย เช่น รัฐมนตรี อธิบดี หรือเจ้านายเรา ฯลฯ พร้อมภาพบุคคลเหล่านั้น
ร่วมกิจกรรม
- แสดงหลักฐานเรื่องผลประโยชน์ที่ตนเองได้รับมาแล้ว เช่น เงินที่เข้าบัญชี เพื่อให้เหยื่อเชื่อในประโยชน์ที่จะได้รับ
- ใช้สื่อโฆษณาสร้างความมั่นใจ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ
- แสดงแผนการลงทุนและสัญญาร่วมทุนให้ดู ทำให้เห็นว่าการลงทุนจะได้รับผลตอบแทนมหาศาล
- จัดอมรมสัมมนาหรือแถลงข่าวเปิดตัวที่โรงแรมใหญ่ๆ และเชิญคนดังมาร่วมงานมากมาย
- มักจะหว่านล้อมและกดดันให้เหยื่อรีบตัดสินใจ โดยจะเชิญเหยื่อไปที่บริษัท แล้วพยายามให้ทีมงานแสดงให้เห็นถึงผลตอบ
แทนที่จะได้รับ หลังจากนั้นพยายามกดดันให้เหยื่อตัดสินใจ
เงินกู้นอกระบบ (Loan Sharks) เป็นอย่างไร
ลักษณะของเงินกู้นอกระบบเป็นอย่างไร
- เป็นการให้กู้ยืมเงินจากกลุ่มบุคคลที่มักเป็นนายทุนมีอิทธิพลในท้องถิ่น
- เงินกู้ที่มีการติดป้ายประกาศตามป้ายรถประจำทาง ตู้สาธารณะ หรือบนรถบริการสาธารณะ โดยมีข้อความชักจูง เช่น
“เงินกู้ 100%” “เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ” “เงินด่วนทันใจเพียงมีบัตรผ่อนสินค้าก็สามารถกู้ได้เต็มจำนวน” หรือ
“อนุมัติเร็วภายใน 3 ชม.” เป็นต้น
- เรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูงมากเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน แล้วแต่ข้อตกลง
- อาจมีสัญญากู้ยืม หรือไม่มีก็ได้
- อาจมีหรือไม่มีหลักประกันก็ได้ หากมีการเรียกหลักประกัน ผู้ให้กู้จะยึดหลักประกันไว้ พร้อมกับให้ผู้กู้เซ็นใบมอบฉันทะเพื่อ
โอนกรรมสิทธิ์ไว้ หากมีการผิดชำระหนี้ หลักประกันก็จะถูกยึด
- มีการติดตามทวงหนี้ที่มีลักษณะไม่เหมาะสม เช่น ขู่กรรโชก ทำร้ายร่างกาย
ตัวอย่าง สมมติว่า กู้เงินจำนวน 10,000 บาท ผ่อนวันละ 220 บาท จำนวน 60 วัน ฉะนั้น ดอกเบี้ยทั้งสิ้น 3,200 บาท หรือคิด
เป็นอัตราร้อยละ 350.2 ต่อปี (ตัวเลขสมมติเท่านั้น)
ใครที่ใช้เงินกู้แบบนี้
ส่วนมากจะเป็นคนที่ไม่สามารถกู้เงินจาก
ธนาคารได้ เช่น
- คนที่มีรายได้น้อย หรือรายได้ไม่แน่นอน
- ประวัตการชำระหนี้ไม่ดี หรือไม่มีทรัพย์สินหรือ
บุคคลค้ำประกัน
- ต้องการใช้เงินเร่งด่วน
ถ้าเรากลายเป็นเหยื่อของเงินกู้นอกระบบ เราจะทำอย่างไร
แจ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ดำเนินคดีอาญากับเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ เราไม่สามารถฟ้องเองได้เนื่องจากความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ย เกินอัตรา พ.ศ. 2475 เป็นความผิดตามอาญาแผ่นดิน ซึ่งผู้เสียหายคือ รัฐ
.
sithiphong:
รู้เท่าทัน กลโกงเงิน
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/money_trick/Pages/moneytrick.aspx-
ทำอย่างไรเมื่อคุณโดนหลอก
1. ตั้งสติให้ดี จดบันทึกและเก็บข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องไว้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลต่อไป
2. กรณีที่โอนเงินให้กลุ่มมิจฉาชีพแล้ว ให้รีบดำเนินการดังนี้
o โทรศัพท์แจ้งไปยังฝ่ายบริการลูกค้า (Call center) ของสถาบันการเงินนั้น ๆ
o โทรศัพท์แจ้งไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โทร. 1155 หรือ 1195
o โทรศัพท์แจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และไปแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่เกิดเหตุ
3. กรณีถูกหลอกในเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงิน ให้รีบติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า (Call center) ของสถาบันการเงินนั้นๆ
เพื่อขอความช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาเบื้องต้นก่อน
4. สามารถติดต่อสอบถามเกี่ยวกับสถาบันการเงินนั้น ได้ที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศ
ไทย เพื่อขอข้อมูลหรือขอคำแนะนำในแนวทางการดำเนินการ
1. ด้านสินเชื่อ การโกงผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ท่านสามารถแจ้งเรื่อง หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย
ในเวลาทำการ 08.30 – 16.30 น. ผ่านช่องทางดังต่อไปนี้
o สายด่วน ศคง. โทร. 1213 หรือ โทรสารหมายเลข 0-2283-6151
o Email address: fcc@bot.or.th
o ส่งจดหมาย หรือติดต่อเข้าพบเพื่อขอคำปรึกษาด้วยตนเองที่
ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) อาคาร 3 ชั้น 5
ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานใหญ่
273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา
เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
ส่วนคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ
68/3 ถนนโชตนา ตำบลช้างเผือก
อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50300
ส่วนคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงหนือ
393 ถนนศรีจันทร์ ตำบลในเมือง
อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000
ส่วนคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้
472 ถนนเพชรเกษม อำเภอหาดหใญ่
จังหวัดสงขลา 90110
2. ด้านแชร์ลูกโซ่
ท่านสามารถติดต่อร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสได้ที่
ส่วนป้องปรามการเงินนอกระบบ สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงิน ภาคประชาชน
สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลัง
o โทร 0-2273-9140, 0-2273-9021 ต่อ 2627 – 34
o สายด่วนการเงินนอกระบบ 1359 และ 1689
o Email address: 1359@mof.go.th หรือ fincrime@mof.go.th
o ส่งจดหมายมาที่ ตู้ ปณ. 1359 ปณจ. บางรัก
3. ด้านเงินกู้นอกระบบ
ท่านสามารถติดต่อร้องเรียนได้ที่
o สถานีตำรวจท้องที่ทุกแห่ง
o ศูนย์ปราบปรามการปล่อยเงินกู้และการทวงหนี้นอกระบบ (บก.ปคบ.)
· โทรศัพท์ 0-2513-0051 – 53
· สายด่วน ปคบ. 1135
· ส่งจดหมายมาที่ ตู้ ปณ. 459 ปณศ.สามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400
Website: www.consumer.police.go.th
.
sithiphong:
.
ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) > บัตรเครดิต สิทธิที่ควรทราบ
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/creditcard/Pages/creditcard.aspx-
บัตรเครดิต คืออะไร
บัตรเครดิตเป็นบัตรที่ธนาคารพาณิชย์หรือผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non-bank)
ออกให้แก่ผู้ถือบัตร เพื่อ
- ใช้แทนเงินสดในการชำระค่าสินค้าและบริการ
เป็นการอำนวยความสะดวกในการซื้อสินค้าและบริการให้แก่ผู้ถือบัตรโดยลดการพกพาเงินสดจำนวนมาก ซึ่งเสี่ยงต่อการสูญหายหรือถูกโจรกรรม
- ใช้ถอนเงินสดจากเครื่อง ATM มาใช้ล่วงหน้า
ผู้ถือบัตรสามารถเบิกเงินสดจากตู้ ATM มาใช้ก่อนล่วงหน้าได้ แต่มีข้อควรระวังในการใช้บริการ คือ คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมในการเบิกใช้เงินสดในอัตราที่ค่อนข้างสูง
ประโยชน์อื่น ๆ ของการใช้บัตรเครดิต เมื่อเทียบกับการใช้เงินสดยังมีอีก เช่น
- ได้รับสินค้าก่อน และชำระเงินภายหลัง แต่ต้องชำระเต็มจำนวน และตรงกับวันที่กำหนดไว้ในใบแจ้งยอดรายการบัตรเครดิตไม่เช่นนั้น จะมีภาระในการจ่ายดอกเบี้ยและค่าบริการต่าง ๆ ให้แก่ผู้ออกบัตร
- ได้รับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เช่น ส่วนลดจากร้านค้า หรือ การสะสมคะแนนเพื่อแลกรางวัล เป็นต้น
บัตรเครดิต ใครมีสิทธิ์บ้าง
การมีบัตรเครดิตไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยผู้ออกบัตรจะพิจารณาจากคุณสมบัติของผู้สมัครบัตรเครดิต ดังนี้
1. ความน่าเชื่อถือ โดยพิจารณาจาก ประวัติการใช้บริการสินเชื่อ ประวัติการชำระเงินคืน วินัยในการใช้สินเชื่อ ประวัติการชำระหนี้ของ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (National Credit Bureau Co.,Ltd.) การมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง อาชีพ และบุคคลอ้างอิง เป็นต้น
2. ความสามารถในการชำระหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
- มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน หรือ
- มีเงินฝากเป็นหลักประกันเต็มวงเงิน หรือ
- มีเงินฝากประจำกับธนาคารไม่น้อยกว่า 500,000 บาท เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือ
- มีเงินฝากออมทรัพย์ หรือลงทุนในตราสารหนี้ หรือลงทุนในกองทุนรวมไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน โดยวงเงินที่ผู้ถือบัตรจะได้รับจากผู้ออกบัตรเครดิตขึ้นกับการพิจารณาของผู้ออกบัตร แต่สูงสุดไม่เกิน 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน
บัตรเครดิตเจ้าไหน น่าสนใจที่สุด
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีข้อกำหนดให้ผู้ออกบัตร เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าธรรมเนียม และค่าบริการอื่น ๆ โดยให้ปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานทุกแห่ง รวมทั้งให้ระบุในเอกสารชี้ชวน ใบสมัคร และสัญญา
ดังนั้น ก่อนเลือกใช้บริการผู้บริโภคควรศึกษาค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ผู้ออกบัตรแต่ละแห่งเรียกเก็บจากลูกค้า รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย ท่านสามารถเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมเบื้องต้นได้จาก อัตราค่าธรรมเนียมเปรียบเทียบ << คลิกเพื่อดูรายละเอียด
โดย ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้บริการบัตรเครดิต ที่ประมวลจากอัตราค่าธรรมเนียมเปรียบเทียบในเว็บไซต์ของ ธปท. สรุปได้ ดังนี้
- ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 0 -15,000 บาท ขึ้นกับชนิดของบัตรเครดิต
- ค่าธรรมเนียมรายปี 0 - 30,000 บาท ขึ้นกับชนิดของบัตรเครดิต
- ค่าธรรมเนียมในการชำระเงินผ่านช่องทางต่างๆ 0 – 50 บาทต่อครั้ง
- อัตราดอกเบี้ย (ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ออกบัตรเรียกเก็บดอกเบี้ย เบี้ยปรับ และค่าบริการต่าง ๆ รวมกันเกินร้อยละ 20 ต่อปีไม่ได้)
- ค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสดผ่านบัตรเครดิต (ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ออกบัตรเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเกินร้อยละ 3 ของจำนวนเงินสดที่เบิกถอนไม่ได้)
- ค่าติดตามทวงถามหนี้ 0 - 384 บาทต่องวด
- ค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงินในการใช้บัตรเครดิตในต่างประเทศ ร้อยละ 2 - 2.5 ของอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายข้างต้นอาจเปลี่ยนแปลงได้ จึงควรตรวจสอบรายละเอียดรายการต่าง ๆ เพื่อความมั่นใจ
นอกจากนี้ ควรเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์และความสะดวกอื่น ๆ ที่สำคัญ ดังนี้
- รอบระยะเวลาบัญชี
- ระยะเวลาการชำระคืนโดยปลอดดอกเบี้ย
- จำนวนร้านค้าที่รับบัตร
- ความสะดวกในการชำระเงิน
- เงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ผู้ถือบัตรจะได้รับ
- บริการเสริม และโปรโมชั่นต่าง ๆ
- พันธมิตรทางธุรกิจของผู้ออกบัตร
TIPS
- ค่าธรรมเนียมแรกเข้า และค่าธรรมเนียมรายปี คุณสามารถต่อรองกับผู้ออกบัตรเพื่อขอยกเว้นการเรียกเก็บได้
- สิทธิประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากบัตรเครดิตชนิดต่าง ๆ เช่น บัตรพลาตินัม (Platinum) คุณควรนำมาเปรียบเทียบกับเงื่อนไขและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการใช้บัตรด้วย เนื่องจากค่าธรรมเนียมรายปีจะสูงกว่าบัตรธรรมดา
บัตรเครดิต...ใช้ที่ไหน
คุณสามารถใช้บัตรเครดิต
ซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่รับบัตรเครดิตในเครือข่ายบัตรเครดิตเท่านั้น
ซึ่งสามารถสังเกตได้จากตราสัญลักษณ์หรือโลโก้ของเครือข่ายบัตรเครดิตที่ติดตามร้านค้า
และสถานที่ประกอบการต่าง ๆ
ใช้บัตรเครดิตแล้ว ชำระเงินที่ไหน
เมื่อครบกำหนด คุณสามารถนำเงินไปชำระเงินค่าใช้บริการบัตรเครดิต ได้ที่
- ธนาคารพาณิชย์ หรือ Non-bank ที่เป็นผู้ออกบัตรเครดิต
- จุดบริการรับชำระเงินที่ระบุในใบแจ้งหนี้ เช่น บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เคาน์เตอร์เซอร์วิส และธนาคารพาณิชย์อื่นที่ระบุในใบแจ้งหนี้ เป็นต้น
- ช่องทางต่างๆ เช่น ตู้ ATM โทรศัพท์อัตโนมัติ อินเตอร์เน็ต หรือการทำข้อตกลงให้หักจากบัญชีเงินฝาก เป็นต้น
ทั้งนี้ การชำระเงินผ่านช่องทางต่าง ๆ อาจมีค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน คุณควรศึกษาเปรียบเทียบค่าธรรมเนียม และเงื่อนไข บริการอื่นๆ เช่น จำนวนเงินที่รับชำระสูงสุด เป็นต้น
อัตราค่าธรรมเนียมเปรียบเทียบ
-http://www2.bot.or.th/feerate/internal.aspx?PageNo=7-
ขั้นตอนการใช้บัตรเครดิต
ในปัจจุบันเราใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าและบริการแทนเงินสดกันอย่างแพร่หลาย โดยเมื่อคุณเลือกสินค้าที่คุณพอใจได้แล้ว คุณยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานขาย และภายในช่วงเวลาไม่กี่นาทีคุณก็สามารถรับสินค้าและเดินออกจากร้านได้ คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า เบื้องหลังความสะดวกสบายและรวดเร็วนั้น มีขั้นตอนการดำเนินงานอย่างไรบ้าง
โปรดดูแผนผังการใช้และการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตด้านล่างนี้
การซื้อสินค้าและบริการด้วยบัตรเครดิต
1. ผู้ซื้อยื่นบัตรเครดิตให้กับพนักงานขาย จากนั้นพนักงานขายจะนำบัตรเครดิตไปรูดที่เครื่องรูดบัตร (Electronic Data Capture: EDC) ซึ่งอาจเป็นของธนาคาร หรือ Non-bank แห่งอื่น (ซึ่งเรียกว่าสถาบันผู้รับบัตร หรือ Acquirer)
2. จากนั้น เครื่อง EDC จะส่งข้อมูลกลับไปยังสถาบันผู้รับบัตร
3. สถาบันผู้รับบัตรจะส่งข้อมูลต่อไปยังศูนย์เครือข่ายบัตรเครดิต (เช่น VISA หรือ MASTER เป็นต้น)
4. ศูนย์เครือข่ายบัตรเครดิตจะส่งข้อมูลไปยังธนาคาร หรือ Non-bank ที่เป็นผู้ออกบัตรเครดิตนั้น (ซึ่งเรียกว่าสถาบันผู้ออกบัตร หรือ Issuer) เพื่อขออนุมัติการใช้บัตรเครดิต
5. สถาบันผู้ออกบัตรจะตรวจสอบวงเงินว่ามีเพียงพอหรือไม่ และแจ้งการอนุมัติกลับไปยังศูนย์เครือข่ายบัตรเครดิต
6. ศูนย์เครือข่ายบัตรเครดิตจะแจ้งการอนุมัติกลับไปยังสถาบันผู้รับบัตร
7. สถาบันผู้รับบัตรจะแจ้งการอนุมัติกลับไปยังร้านค้าเพื่อพิมพ์ใบบันทึกการขาย (Sales Slip)
8. ผู้ซื้อตรวจสอบความถูกต้องของใบบันทึกรายการขาย (Sales Slip) ก่อนที่จะเซ็นชื่อ และเก็บ Sales Slip ไว้เป็นหลักฐานการชำระเงิน และเพื่อตรวจสอบกับใบแจ้งหนี้
การชำระเงิน
9. สถาบันผู้ออกบัตรจัดส่งใบแจ้งหนี้ให้ผู้ซื้อก่อนครบกำหนดชำระเงิน
10. ผู้ซื้อควรชำระค่าใช้จ่ายตามยอดหนี้ที่ระบุในใบแจ้งหนี้ให้แก่สถาบันผู้ออกบัตรภายในเวลาที่กำหนด ไม่เช่นนั้น ต้องเสียค่าดอกเบี้ยและค่าบริการต่างๆ
สัญลักษณ์บนบัตรเครดิต
เคยสงสัยไหม “ตราสัญลักษณ์ต่าง ๆ บนบัตรเครดิตบอกอะไรบ้าง” คำตอบ คือ บอกถึง
1. ผู้ออกบัตรเครดิต เช่น ธนาคารพาณิชย์ หรือ Non-bank ผู้ออกบัตรเครดิตนั้น
2. ผู้ให้บริการเครือข่ายบัตรเครดิตที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น วีซ่า (VISA) มาสเตอร์ (Master) เป็นต้น เป็นผู้ให้บริการรับส่งข้อมูลธุรกรรมของบัตรเครดิต เพื่อการอนุมัติรายการของการใช้บัตรเครดิตในแต่ละครั้ง
3. บริษัท ร้านค้า หรือห้างสรรพสินค้าที่ร่วมกับผู้ออกบัตรเครดิต โดยที่ให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ เช่น ส่วนลดค่าสินค้าและบริการ แก่ผู้ถือบัตรเครดิตนั้น ๆ ในการใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าหรือบริการของตน
ใส่ใจกับใบแจ้งหนี้ และ Sale slip
คุณควรเก็บ Sales Slip ไว้เสมอ เพื่อ
- เป็นหลักฐานในการตรวจสอบกับใบแจ้งหนี้
- เป็นข้อมูลสำหรับตัวคุณเอง ว่าคุณได้ใช้จ่ายไปแล้วเท่าไหร่ในงวดนี้ และคุณต้องเตรียมเงินสดไว้เท่าไร เพื่อให้เพียงพอสำหรับการชำระเงินตามกำหนดเวลา
เมื่อคุณได้รับใบแจ้งหนี้ ( Credit Card Statement)
คุณต้องตรวจสอบค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บในใบแจ้งหนี้ และรายละเอียดต่าง ๆ ว่าถูกต้อง และ เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด หรือไม่ หากไม่ถูกต้องให้ทักท้วงไปยังผู้ออกบัตรทันที โดยสิ่งที่คุณต้องตรวจสอบมีดังนี้
1. การใช้จ่ายของคุณในงวดนี้
- ตรวจสอบความถูกต้องของแต่ละรายการใช้จ่าย เทียบกับ Sales Slip
- ดูยอดรวมคงค้าง และกำหนดการชำระเงิน เพื่อที่คุณจะได้ไปชำระเงิน หรือนำเงินเข้าบัญชีภายในกำหนดเวลา
- ในกรณีที่คุณมีเงินสดไม่เพียงพอสำหรับการชำระเงินเต็มจำนวน คุณต้องดูจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องชำระ (ซึ่งจะเท่ากับ 10% ของยอดคงค้าง) ทั้งนี้ คุณจะมีภาระในการจ่ายดอกเบี้ยและค่าบริการต่าง ๆ
2. การชำระเงินของคุณในงวดที่แล้ว ดูยอดเรียกเก็บงวดที่แล้วเทียบกับยอดชำระเงินงวดที่แล้ว เพื่อตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่ และเพื่อทราบว่าคุณยังมีภาระในการชำระเงินสำหรับงวดก่อนเท่าไหร่
3. ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม ที่เรียกเก็บจากคุณ อาทิเช่น ดอกเบี้ย (รวมถึงวันที่เริ่มคิดดอกเบี้ย) ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินค่าติดตามทวงถามหนี้ ค่าธรรมเนียมการชำระเงิน และค่าธรรมเนียมรายปี เป็นต้น คุณต้องตรวจสอบว่าถูกต้อง และเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด หรือไม่ สำหรับค่าธรรมเนียมบางอย่าง เช่น ค่าธรรมเนียมรายปี คุณสามารถเจรจาต่อรองกับผู้ออกบัตร เพื่อขอยกเว้นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากค่าธรรมเนียมได้
4. สิทธิประโยชน์ของคุณ อย่าลืมตรวจสอบความถูกต้องของสิทธิประโยชน์ที่คุณพึงได้รับจากบัตรเครดิตของคุณ เช่น คะแนนสะสมและวันหมดอายุของคะแนนสำหรับการแลกของรางวัล หรือเครดิตเงินคืนจากการใช้จ่ายประเภทต่าง ๆ ผ่านบัตรเครดิต เป็นต้น
หากคุณมียอดค้างชำระ นอกจากภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายถึงร้อยละ 20 แล้ว
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version