เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 18 : มลวรรค
01.เรื่องบุตรของนายโคฆาตก์พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุตรของนายโคฆาตก์(บุตรของคนเลี้ยงโค)คนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
ปณฺฑุปลาโสวทานิสิ เป็นต้น
สมัยหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี มีชายผู้หนึ่งเป็นผู้ฆ่าโค(โคฆาตก์) มานาน 15 ปี ในทุกๆวัน เมื่อเขาฆ่าโคแล้วก็นำเนื้อไปขาย และที่เหลือก็นำมาปิ้งรับประทานกับข้าวพร้อมด้วยบุตรและภรรยา อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเขามอบเนื้อไว้ให้ภรรยาจัดการทำอาหารเลี้ยงครอบครัว แล้วเขาก็ไปอาบน้ำที่แม่น้ำ ในระหว่างที่เขาไม่อยู่นั้น เพื่อนของเขาคนหนึ่งมาที่บ้านแล้วขอซื้อเนื้อนั้นเพื่อไปทำอาหารเลี้ยงแขก ทำให้วันนั้นชายผู้ฆ่าโคไม่มีเนื้อจะรับประทาน ตามปกติแล้วชายผู้ฆ่าโคนี้จะไม่รับประทานอาหารหากไม่มีเนื้อโค
พอเขากลับมาจากอาบน้ำและภรรยาบอกเขาว่าได้ขายเนื้อโคที่เตรียมไว้เพื่อทำอาหารนั้นให้กับเพื่อนบ้านนั้นไปแล้ว
เขาจึงรีบเดินถือมีดไปที่โคตัวหนึ่งที่ยืนอยู่ที่หลังบ้าน แล้วก็สอดมือเข้าไปในปากของโค ดึงลิ้นของมันออกมา เอามีดตัดที่โคนลิ้น แล้วเดินนำลิ้นโคนั้นไปปิ้งที่ไฟ พอเนื้อลิ้นโคสุกดีแล้วก็นำไปวางในชาม เพื่อจะรับประทานกับข้าวอย่างที่เคยกระทำมาทุกครั้ง แต่ครั้งนี้พอเขาเอาเนื้อลิ้นโคใส่เข้าไปในปาก ลิ้นของเขาก็ขาดตกลงมาที่ชามข้าว เขาได้รับวิบากของกรรมทันตาเห็น เขาได้ร้องด้วยความเจ็บปวด และคลานลงกับพื้นบ้าน มีเลือดไหลออกมาจากปากตลอดเวลา และต่อมาเขาก็ได้สิ้นใจตาย แล้วไปเกิดในอเวจีมหานรก
ภรรยาของชายเลี้ยงโคพร้อมกับบุตรมองดูชะตากรรมของสามีแล้ว ก็กลัวว่ากรรมนั้นจะตกมาถึงบุตรด้วย จึงได้บอกให้บุตรรีบหลบหนีไป ข้างฝ่ายบุตรก็ได้หลบหนีไปอยู่ที่เมืองตักกสิลา และได้ศึกษาเล่าเรียนทางด้านวิชาชีพช่างทอง ต่อมาเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ก็ได้ธิดาของอาจารย์มาเป็นภรรยา และมีบุตรและธิดาด้วยกันจำนวนหนึ่ง
เมื่อพวกบุตรของเขาเติบโตแล้วก็ได้เดินทางกลับไปยังกรุงสาวัตถี บุตรเหล่านี้มีศรัทธาในพุทธศาสนา เห็นว่าบิดาชราแล้ว และไม่เคยทำบุญให้ทาน เพื่อเป็นเสบียงในปรโลกมาก่อนเลย ก็จึงได้ทูลอาราธนาพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุพระสงฆ์ฉันภัตตาหารที่บ้าน เพื่อให้บิดาได้ทำบุญให้ทาน เมื่อเสร็จภัตตกิจแล้ว พระศาสดาได้ตรัสเรียกชายผู้บิดานั้นมาแล้ว ตรัสว่า “
อุบาสก ท่านเป็นคนแก่ มีสรีระแก่หง่อมเช่นกับใบไม้เหลือง เสบียงทางคือกุศล เพื่อจะไปยังปรโลกของท่าน ยังไม่มี ท่านจงทำที่พึ่งแก่ตน จงเป็นบัณฑิต อย่าเป็นพาล”
จากนั้น พระศาสดา
ได้ตรัสอนุโมทนากถาว่า
ปณฺฑุปลาโสว ทานิสิ
ยมปุริสาปิ จ เต อุปฏฺฐิตา
อยฺโยคมุเข ปติฏฺฐติ
ปาเถยฺยํปิ จ เต น วิชฺชติ ฯ
โส กโรหิ ทีปมตฺตโน
ขิปฺปํ วายม ปณฺฑิโต ภว
นิทฺธนฺตมโล อนงฺคโณ
ทิพฺพํ อริยภูมิเมหิสิ ฯ(อ่านว่า)
ปันดุปะลาโส วะ ทานิสิ
ยะมะปุริสา จะ เต อุปัดถิตา
อยฺโยคมุเข ปะดิดถะติ
ปาเถยยัมปิ จะ เต นะ วิดชะติ.
โส กะโรหิ ทีปะมัดตะโน
ขิบปัง วายะมะ ปันดืโตวะ
นิดทันตะมะโล อะนังคะโน
ทิบพัง อะริยพูมิ เมหิสิ.
(แปลว่า)
บัดนี้ท่านเป็นดุจใบไม้เหลือง
อนึ่ง บุรุษแห่งพยายม(คือความตาย)
ปรากฏแก่ท่านแล้ว
ท่านตั้งอยู่ใกล้ปากแห่งความเสื่อม อนึ่ง แม้เสบียงทางของท่านก็ยังไม่มี.
ท่านนั้น จงทำที่พึ่งแก่ตน
จงรีบพยายาม เป็นบัณฑิต
ท่านกำจัดมลทินได้แล้ว
ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน
จักถึงอริยภูมิอันเป็นทิพย์.เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง อุบาสกบรรลุโสดาปัตติผล พระธรรมเทศนามีประโยชน์แม้แก่หมู่ชนผู้มาประชุมกัน.
บุตรเหล่านั้น ได้กราบทูลอาราธนาพระศาสดา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ มาเสวยภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น และ เมื่อเสร็จภัตตกิจในวันที่สองแล้ว พระศาสดา
ได้ทรงแสดงอนุโมทนากถาว่า
อุปนีโตว ทานิสิ
สมฺปยาโตสิ ยมสฺส สนฺติกํ
วาโสปิจ เต นตฺถิ อนฺตรา
ปาเถยฺยํปิ จ เต น วิชฺชติ ฯ
โส กโรหิ ทีปมตฺตโน
ขิปฺปํ วายม ปณฺฑิโต ภว
นิทฺธนฺตมโล อนงฺคโณ
น ปุน ชาติชรํ อุเปหิสิ.(อ่านว่า)
อุปะนีโตวะ ทานิสิ
สำปะยาโต สิ ยะมัดสะ สันติกัง
วาโสปิจะ เต นัดถิ อันตะรา
ปาเถยยังปิ จะ เต นะ วิดชะติ.
โส กะโรหิ ทีปะมัดตะโน
ขิบปัง วายะมะ ปันดิโต พะวะ
นิดทันตะมะโล อะนังคะโน
น ปุนะ ชาติชะรัง อุเปหิสิ.
(แปลว่า)
บัดนี้ ท่านเป็นผู้มีวัยอันชรานำเข้าไปแล้ว
เป็นผู้เตรียมพร้อมเพื่อจะไป สำนักของพระยายม
อนึ่ง แม้ที่พักในระหว่างทางของท่านยังไม่มี
อนึ่ง ถึงเสบียงทางของท่านก็หามีไม่.
ท่านนั้นจงทำที่พึ่งแก่ตน
จงรีบพยายาม จงเป็นบัณฑิต
ท่านเป็นผู้มีมลทินอันกำจัดได้แล้ว
ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน
จักไม่เข้าถึงชาติชราอีก.