อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

108 เคล็ดกิน

<< < (51/85) > >>

sithiphong:
7 คุณประโยชน์ “ผลไม้ไทย” ช่วยต้านอนุมูลอิสระ-ลดเสี่ยงมะเร็ง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 มกราคม 2557 17:57 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000009547-

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการกิน “ผลไม้” เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและร่างกายจริงๆ เพราะมีวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด ซึ่งคนส่วนมากก็จะรับรู้เพียงเท่านี้ หรืออาจจะรู้เพิ่มขึ้นมาอีกนิด เช่น มะเขือเทศ มีไลโคปีน ส้ม มีวิตามินซี




    แต่หลายคนอาจสงสัยว่ากินผลไม้แล้ว จะช่วยทั้งต้านสารอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง ป้องกันโรคนั้นโรคนี้ได้ มันเป็นการโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ ถ้าจริงแล้วหลักฐานล่ะอยู่ที่ไหน วันนี้ ASTVผู้จัดการออนไลน์ มีคำตอบ
       
       ในงานประชุมวิชาการแห่งชาติด้านอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพ ครั้งที่ 1 ศ.เกียรติคุณ ดร.นันทวัน บุณยะประภัศร จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) อธิบายว่า ผลไม้ไทยอุดมไปด้วยพฤกษเคมีมากถึง 7 ชนิด ได้แก่
       
       1.ใยอาหาร มีประโยชน์ในการขับถ่าย ช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาล ไขมัน และคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยขับของเสียออกจากร่างกายได้เร็วจึงลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ เพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดอนุมูลอิสระ ทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้มีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวาน
       
       2.คาโรตินอยด์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันโรคตาในผู้สูงอายุ เนื่องจากช่วยกรองแสงยูวีสีน้ำเงิน ลดความเสี่ยงในการเป็นต่อกระจก
       
       3.ฟลาโวนอยด์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลในเลือด เพิ่มภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้ ฟลาโวนอยด์กลุ่มไอโซฟลาโวนอยด์มีฤทธิเหมือนฮอร์โมนเพศหญิง กลุ่มแคทธิชิน ช่วยเรื่องการควบคุมน้ำหนัก และกลุ่มแอนโทไซยานิน ซึ่งมีสีแดงยังช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันเซลล์ประสาท และบำรุงสายตา
       
       4.กรดฟินอลิค มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นเอนไซม์ที่ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ลดปริมาณออกซิไดซ์แอลดีแอล ต้านการก่อกลายพันธุ์
       
       5.กรดอินทรีย์ เป็นสารที่ให้รสเปรี้ยว มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
       
       6.เทอร์ปีน เป็นสารที่ให้กลิ่นหอมมีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็ง
       
       และ 7.พรีไบโอติก ประกอบด้วย อินนูลิน และโอลิโกแซคคาไรด์ ช่วยให้แบคทีเรียก่อโรคและมีประโยชน์สมดุลกัน และทำให้เกิดเมตาโบไลท์ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน
       
       “ผลไม้ที่มีสารพฤกษเคมีเหล่านี้เป็นจำนวนมาก อาทิ ส้ม ส้มโอ มีวิตามินซีสูง มีสารคาโรทินอยด์ ฟลาโวนอยด์ และกรดอินทรีย์, สับปะรด มีสารคาโรทินยอด์ ใยอาหาร กรดอินทรีย์, กล้วย มีแคทธิชิน ฟลาโวนอยด์ ใยอาหาร อินนูลิน และทับทิม มีแอนโทไซยานิน กรดฟินอลิค เป็นต้น ที่สำคัญผลไม้บางชนิดมีการวิจัยในคนชัดเจนว่ามีประโยชน์จริงๆ เช่น ส้ม ป้องกันเส้นเลือดเปราะ กล้วย ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร มะเฟือง ยับยั้งการอักเสบและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้ดีทั้งในหลอดทดลองและการศึกษาในผู้สูงอายุ เป็นต้น ซึ่งปริมาณการกินแนะนำว่าควรกินให้เหมาะสม และกินแบบสดๆ ไม่ผ่านการแปรรูปซึ่งต้องผ่านความร้อน จะส่งผลให้สารเคมีในผลไม้เหล่านี้เปลี่ยนรูปหรือเปลี่ยนสภาพไป ก็จะไม่ได้รับประโยชน์เท่ากินสดๆ” ศ.เกียรติคุณ ดร.นันทวัน กล่าว



sithiphong:
กินอะไรดีไม่ให้ (ผิว) เหี่ยว

-http://club.sanook.com/22232/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89-%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%B5-


สาวๆ ท่านใดที่ไม่อยากต้องเผชิญกับผิวและร่องร่อยที่เหี่ยวย่น Sanook Club มีเคล็ดลับ 3 ผลไม้ต้านรอยย่น มากฝาก






    ‘เกรปฟรุต’ เป็นผลไม้จำพวกเดียวกับส้มและมะนาว อุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินซี กรดซิตริก และไบโอฟลาโวนอยด์ เป็นประโยชน์กับตับ และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ปรับค่าพีเอชของเลือดและของเหลวในร่างกายให้มีความเป็นด่าง ทั้งยังมีกรดซาลิไซลิก ที่สามารถละลายแคลเซียมซึ่งตกผลึกอยู่ตามข้อ บรรเทาโรคข้อต่ออักเสบ

 

    ‘กีวี’ อุดมไปด้วยวิตามินซี แมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และเบตาแคโรทีน ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง หากรับประทานในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงจะไม่ทำให้เป็นโรคหวัด

 

     ‘สัปปะรด’ มีโบรเมลิน เอ็นไซม์ที่ช่วยรักษาค่าพีเอชของร่างกายให้อยู่ในระดับสมดุล สัปปะรดอุดมไปด้วย วิตามินซี กรดโฟลิก โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีเซียม ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยย่อยโปรตีนได้ดี

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com

-----------------------------------------------------------------------------



ประวัติ มาการอง ขนมหลากสีสันสุดฮิต

-http://cooking.kapook.com/view80363.html-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           เมื่อไม่นานมานี้ ขนมรูปทรงกลม ๆ สีสันหลากสีสวยเตะตา สอดไส้ไปด้วยครีมรสชาติต่าง ๆ กลายเป็นขนมหวานสุดฮิตของบ้านเราไปแล้ว หลายคนมักจะเห็นภาพมาการององผ่านโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก อย่าง อินสตราแกรม เฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์ อยู่บ่อย ๆ เพราะไม่ว่าใครที่ได้ซื้อมาการองมากิน สีสันสวยหวานของมาการองจะสะกดจิตให้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแชะรูป อวดให้คนทั้งโลกได้รับรู้กันสักหน่อย ดังนั้นกระปุกดอทคอมจึงอดใจไม่ไหวบ้าง เลยขอนำประวัติความเป็นมาของขนมมาการองสีสันสวย ๆ มาให้ทุกคนได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังกันค่ะ

           มาการอง (Macaron) เป็นขนมสัญชาติฝรั่งเศส ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ช่วงนั้นเศรษฐกิจของฝรั่งเศสค่อนข้างย่ำแย่ ถือเป็นยุคข้าวยากหมากแพงเลยก็ว่าได้ มีมิชชั่นนารีชาวอิตาเลียนอยู่คนหนึ่ง นำอัลมอนด์ ไข่ขาว และน้ำตาล มาปรุงเป็นอาหารเพื่อประทังชีวิต เพราะวัตถุดิบเหล่านี้ราคาไม่แพง แถมยังมีคุณค่าทางสารอาหารเทียบเท่าเนื้อสัตว์ด้วย และหนึ่งในอาหารเหล่านั้นก็มีขนมมาการองอยู่ด้วย ที่ใช้อัลมอนด์บด น้ำตาลทราย และไข่ขาว มาตีรวมกันจนได้เนื้อเนียนละเอียด จากนั้นนำไปอบในเตาอบจนส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ นำมาประกอบขึ้นเป็นรูปร่างคล้ายจานบินเล็ก ๆ มีรสชาติหอมหวาน กรอบนอก แต่ด้านในนิ่มละลายในปาก ความอร่อยที่ลงตัว แถมราคาถูกแบบนี้ จึงส่งผลให้มาการองกลายเป็นขนมหวานที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมาก ๆ ในยุคนั้น

          ต่อมา ปิแอร์ เออร์เม่ (Pierre Hermé) เจ้าพ่อวงการขนมหวานได้สรรค์สร้างไส้มาการองจากผลไม้หลากหลายชนิดทั่วโลก แล้วนำมาการอง 2 ชิ้นมาประกบกันเหมือนแซนด์วิช เพิ่มความกลมกล่อมลงตัวให้ขนมมาการองมีความโดดเด่นขึ้นอีกมาก จนฮิตติดใจคนทั่วโลก จนได้ยกให้เป็นมาการองที่อร่อยที่สุดในโลกไปเสียแล้ว

          เสน่ห์ของขนมมาการองไม่ได้อยู่ที่สีสันสดใสเพียงเท่านั้น แต่มาการองที่ดีต้องมีรูปร่างคล้ายกับโดมแบน ๆ มองดูจากด้านบนเป็นวงกลม ผิวด้านบนของขนมเรียบมันจากความละเอียดของอัลมอนด์บด ที่สำคัญรอยหยักคล้ายลูกไม้ชายกระโปรงต้องบางกรอบ รวมทั้งต้องมีกลิ่นหอมหวาน รสชาติไส้ต่าง ๆ ต้องซึมซาบเข้าสู่ชั้นของคุกกี้ ซึ่งกระบวนการนี้ต้องอาศัยเคล็ดลับนำมาการองไปแช่เย็น 1 คืน ก่อนนำมารับประทาน เพราะความชื้นจากไส้จะทำให้มาการองมีความนุ่มหนึบเวลาเคี้ยวนั่นเองค่ะ

          พอรู้ที่มาและประวัติที่น่าสนใจแบบนี้แล้วก็อยากจะรีบไปซื้อมาการองมากินเสียเดี๋ยวนี้เลยทีเดียว ว่าแต่มีสี มีไส้ให้เลือกเยอะแยะขนาดนี้ จะเลือกซื้ออันไหนดีนะ อิอิ ^^

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ขนมมาการอง -https://sites.google.com/site/khnmmakarxng/prawati-khnm-ma-kar-xng-

sithiphong:
ผมว่า ไม่เกี่ยวกันกับหัวข้อเรื่อง

แต่ขอลงน๊ะครับ



--------------------------------------------------------------------------

อาหารมงคล ทานแล้วจะโชคดี


-http://horoscope.sanook.com/1396134/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5-%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5/-



คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากในช่วงต้นปีแบบนี้จะเห็นผู้คนส่วนใหญ่นิยมเสริมดวงด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะทำบุญ ไหว้พระ รวมไปถึงการทานอาหารมงคลที่แต่ละประเทศมีความเชื่อกันว่าเมื่อทานแล้วจะเกิดมงคล ความโชคดีและสำหรับคนที่อยากรู้ข้อมูลของอาหารมงคลแต่ละชนชาติ Sanook! Horoscope รวบรวมอาหารมงคล 11 อย่าง ที่ทานแล้วจะโชคดีมาฝากกันค่ะ

ไทย ขนมตระกลูทอง เช่น ทองเอก ฝอยทอง ทองหยด เพราะมีความเชื่อว่าจะเพิ่มสิริมงคล โชคลาภเงินทอง

ญี่ปุ่น นิยมทานกุ้งตามความเชื่อแล้วว่าจะมีอายุยืนยาว

บราซิล คือซุปถั่วเพราะถั่วถือเป็นอาหารนำโชคและนำมาซึ่งเงินทอง

โปรแลนด์ เลือกปลาแฮร์ริ่งเสิร์ฟขึ้นโต๊ะต้อนรับโชคดีวันปีใหม่

เดนมาร์ก นิยมกินสตูผักคะน้าโรยน้ำตาลและชินนามอน(อบเชย)ตามความเชื่อที่จะช่วยให้ร่ำรวยเงินทอง

นอร์เวย์ มีประเพณีกินพุดดิ้งข้าวสอดไส้ถั่วอัลมอนด์มีความเชื่อว่าหากตักเจอเมล็ดถั่วก็จะโชคดี

คนเยอรมัน นิยมกินกะหล่ำในคืนส่งท้ายปีเก่าและมีความเชื่อว่ารูปร่างใบกะหล่ำที่เรียงตัวซ้อนกันเปรียบเสมือนปึกธนบัตร

ตุรกี จะกินผลไม้สีแดงสวย เช่น ทับทิม ซึ่งจะนำโชคมาให้ในปีใหม่

ชาวยุโรป เชื่อว่ากินโดนัทจะโชคดี บางคนว่าจะได้กลับไปคืนดีกับคนรู้ใจ

ฮังการี ออสเตรีย สวีเดน อเมริกา จะกินเลกูมส์หรืออาหารรวมถั่วหลายชนิดจะได้ร่ำรวยเงินทอง

อิตาลี นิยมทานริชอตโตเพราะเป็นเมนูนำโชคดีรับปีใหม่ นอกจากนี้ยังมีประเพณีการกินไส้กรอกกับถั่วเมล็ดแบนหลังเที่ยงคืนวันที่ 31 ธันวาคม เพราะเป็นอาหารนำโชคนำความสุขความโชคดีมาให้



ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com


sithiphong:
1 DAY DETOX

-http://men.sanook.com/1724/1-day-detox/-


ดูดีจากภายใน คำนี้คงได้ยินกันจนชินหู แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรถึงจะดูดีจากภายใน ให้โดดเด้งออกมาถึงภายนอกได้ งั้นลองมาเริ่มจากการดีท็อกซ์ หรือ ขับสารพิษกันมั้ยครับ เริ่มง่ายๆ ด้วยการล้างพิษร่างกายใน 1 วัน ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปถึงสปาครับ

คงจะรู้กันมาบ้างแล้วว่าการล้างสารพิษที่หมักหมมในตัวออกไป จะทำให้ร่างกายแข็งแรง เลือดลมเดินสะดวก ถ้าทำเป็นประจำก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพและรักษาโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หอบหืด เบาหวาน รวมทั้งลดความอ้วนได้ด้วย หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 kcal เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้และอาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดีแล้วต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า

1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียน และสับปะรด

2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละกอสุก หรือส้มตำ (มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด

3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้

4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป

5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไปครับ

 

ข้อมูลจาก : คลินิกหมอสมุนไพรออนไลน์



sithiphong:
3 ประโยชน์เลิศของโยเกิร์ตไม่ได้โม้!


-http://campus.sanook.com/1370335/3-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%89/-


ถ้วยเล็กๆ อัดแน่นด้วยประโยชน์มากมาย แม้บางเรื่องจะดูเวอร์ไปนิด แต่เชื่อเถอะว่า จุลินทรีย์...ทำได้

1. สงบอารมณ์ปรี๊ด จะเครียด เหวี่ยง หรือวีนก็หยิบโยเกิร์ตมากินสักถ้วย นักวิจัยจาก UCLA พบว่า สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคุมอารมณ์จะทำงานได้ดี แล้วอารมณ์ด้านลบทั้งหลายก็จะอยู่ใต้คอนโทรล

2. ป้องกันช่องคลอดแห้ง นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ชี้ว่าการขาดจุลินทรีย์แล็กโตบาซิลัสซึ่งมีอยู่มากในโยเกิร์ตเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะช่องคลอดแห้งของผู้หญิงตั้งแต่วัยเลข 3 ไปจนถึงวัยทอง

3. ลดโอกาส "ฉี่" เจ็บ หากกินโยเกิร์ตเป็นประจำ งานวิจัยจากศูนย์การแพทย์แมรี่แลนด์ชี้ว่าโอกาสติดเชื้อจนทางเดินปัสสาวะอักเสบจะลดลงประมาณ 30-40%

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version