อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

108 เคล็ดกิน

<< < (54/85) > >>

sithiphong:

ทุเรียนกินดีมีประโยชน์ แต่โทษถึงตายถ้ากินเหล้า


-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C_%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2/-


จำได้ว่าเมื่อสมัยก่อน “108 เคล็ดกิน” มักจะได้รับคำเตือนจากผู้ใหญ่ว่าอย่ากินทุเรียนมากเกินไป เพราะว่าเป็นของร้อน กินมากแล้วจะร้อนใน ซึ่งที่จริงแล้วก็เนื่องมาจากว่าทุเรียนนั้นมีปริมาณน้ำตาล และไขมันสูง หากกินมากเกินไปก็จะทำให้ได้รับพลังงานมาก ซึ่งกระบวนการย่อยสลายสารต่างๆ ทั้งน้ำตาลและไขมันนั้นจะทำให้เกิดความร้อนขึ้นในร่างกายและอาจทำให้เกิดอาการขาดน้ำ
       
       แต่ต้องบอกว่าทุเรียนนั้นไม่ได้มีแต่โทษเพียงอย่างเดียว ใครที่ยังชอบกินทุเรียนอยู่ก็ยังกินได้อย่างสบายใจ เพราะนอกจากความอร่อยแล้วนั้น ทุเรียนก็ยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง ซึ่งจากการศึกษาทดลองได้พบประโยชน์จากทุเรียนว่ามีส่วนช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และทุเรียนที่มีความสุกกำลังดี โดยเฉพาะในพันธุ์หมอนทอง จะมีสารโพลีฟีนอล และสารฟลาโวนอยด์ ที่มีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ
       
       สำหรับแร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในทุเรียนนั้นก็มีธาตุเหล็กและมีปริมาณเส้นใยอยู่มาก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนไขมันที่พบอยู่ในเนื้อทุเรียนนั้นก็เป็นไขมันชนิดดี และมีประโยชน์กับร่างกาย ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ ทั้งนี้ต้องกินในปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งตามปริมาณตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำนั้น แนะนำให้กินครั้งละไม่เกิน 2 เม็ดขนาดกลาง น้ำหนักเฉพาะเนื้อประมาณ 100 กรัม ซึ่งจะให้พลังงาน 187 กิโลแคลอรี
       
       ในคนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ให้ระวังการกินทุเรียน ยังสามารถกินได้แต่ควรกินในปริมาณที่น้อยกว่าคนปกติ ที่สำคัญคือ ห้ามกินทุเรียนคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ ไวน์ ฯลฯ เพราะในทุเรียนมีสารกำมะถันอยู่มาก สามารถละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ ถ้ากินทุเรียนคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้แอลกอฮอล์ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วขึ้น ทำให้เมาเร็วและเมาหนัก เกิดความผิดปกติต่อระบบหายใจ เกิดอาหารร้อนใน แน่นอก ขาดน้ำ และอาจเสียชีวิตได้



ที่มาข้อมูลและรูปภาพ trueplookpanya.com

sithiphong:
.

กินผักใบเขียว ลดเสี่ยง โรคเบาหวาน


-http://club.sanook.com/23984/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7-%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87-%E0%B9%82-


เป็นที่ทราบกันดีว่าการกินผักใบเขียวและผลไม้ที่ไม่หวานมีผลดีต่อสุขภาพ   ช่วยลดโอกาสการเป็นโรคมะเร็ง  โรคหัวใจและหลอดเลือด   ได้มีการรวบรวมการศึกษาในต่างประเทศว่า การกินผักผลไม้ช่วยลดโอกาสเป็นโรคเบาหวานหรือไม่   โดยรวบรวมการศึกษาไปข้างหน้า    จากการวิเคราะห์เฉพาะ 4 การศึกษาที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการกินผักใบเขียว ในประชากร  1 แสน 8 หมื่นกว่าคน  และได้ติดตามตั้งแต่  4 ปีครึ่งไปจนถึง 23 ปี   พบว่า การกินผักใบเขียวช่วยลดโอกาสเป็นเบาหวานได้ถึงร้อยละ 14


ประโยชน์การกินผักเขียวตามแนวการกินอาหารแมคโครไบโอติกส์เชื่อว่า  ผู้ที่กินอาหารจำพวกผักใบเขียวและอาหารที่ไม่ปรุงแต่งเพียงพอ   จะทำให้เลือดมีความเป็นด่าง   ทำให้มีสุขภาพดีมากกว่าผู้มีเลือดเป็นกรด  ซึ่งภาวะเลือดเป็นกรดเกิดจากการกินอาหารประเภทแป้ง  น้ำตาล  เนื้อสัตว์  น้ำมัน อาหารปรุงแต่งอื่นๆ มากขึ้น    นอกจากนี้แล้ว  เมื่อพิจารณาเฉพาะใบหรือส่วนที่มีสีเขียว  เป็นแหล่งอาหารพลังงานของพืช ที่ได้จากการสังเคราะห์แสง   พืชผักเขียวจึงเป็นอาหารที่ให้พลังชีวิตที่ดี

ทำไมผักใบเขียวจึงต่างจากผัก ผลไม้อื่น ในการป้องกันโรคเบาหวาน   เชื่อว่าผักใบเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระ   โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนมากกว่า   มีสารแมกนีเซียมมากกว่า   ดังนั้น ในผู้ที่อ้วนลงพุง  ที่มีน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร  แต่ยังไม่เป็นเบาหวาน  ก็ควรกินผักใบเขียวให้มาก  ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ   เช่น  เดินเร็ว  150 นาทีต่อสัปดาห์   ลดน้ำหนักตัวลงร้อยละ 7 ในเวลา  6 เดือนจะช่วยลดโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าร้อยละ 50

สรุปได้ว่า การดูแลสร้างเสริมสุขภาพเพื่อการป้องกันโรคเบาหวาน   ควรให้ความสำคัญการดูแลตนเองหลายๆ ด้านร่วมกัน   รวมถึงการลดน้ำหนักตัว และควรเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์  โดยเฉพาะจำพวกผักใบเขียวให้มากพอ (ประมาณ 5 ฝ่ามือ / วัน ) และต้องมีการออกกำลังกายที่ไม่หนักเกินไปอย่างสม่ำเสมอด้วย  สุขภาพที่ดีเกิดได้จากการปรับวิถีชีวิตการกินอยู่ให้สมดุล  นั่นคือไม่มาก ไม่น้อยและเพียงพอ เพื่อให้ทุกๆ ระบบของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

Credit : กลุ่มงานสุขศึกษา    โรงพยาบาลลำปาง
ภาพประกอบจาก : www.Photos.com


----------------------------------------------------------------------------


ผงชูรส เลิกซะถ้าอยากผอม!

-http://club.sanook.com/24223/%E0%B8%9C%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%AA-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B0%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%AD%E0%B8%A1-



รายงานในวารสาร Obesity จากการค้นคว้าของทีมจากมหาวิทยาลัยนอร์ทแครอไลน่า ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์จีน ชวนให้คิดว่าการใช้ผงชูรสในอาหารจะทำให้ผู้ที่รับประทานเข้าไปอ้วนขึ้น





ผู้ค้นคว้าได้ทำการสอบคนจีนทั้งชายกับหญิงจำนวน 750 คน อายุระหว่าง 40-59 ที่อยู่ในหมู่บ้านภาคใต้กับภาคเหนือของประเทศจีน ส่วนใหญ่หุงอาหารเอง กับไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ประมาณ 82%ใช้ผงชูรส (MSG) ครอบครัวที่ใช้ผงชูรสมากมีจำนวนคนอ้วนมากเป็นสามเท่าของพวกที่ไม่ใช้ผงชูรส ทั้งนี้ได้เอาการออกกำลัง จำนวนแคลอรี่ที่กิน และปัจจัยอื่นๆมาคิดด้วยแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างการกินผงชูรสกับความอ้วนนี้รู้กันในสัตว์ทดลองมานานแล้ว แต่เพิ่งมารู้ในคน

MSG หรือ monosodium glutamate เป็นสารเคมีที่ทำให้อาหารมีรสชาดมากขึ้น บางคนเชื่อว่าเป็นรสที่ห้า คือนอกเหนือจากรสที่พบเป็นประจำสี่รส (หวาน เปรี้ยว เค็ม และ ขม) ไปกระตุ้นเซลล์ในสมองที่เกี่ยวข้องกับรส ประมาณกันว่าเมื่อ 50 กว่าปีที่แล้วในอเมริกามีการใช้ MSG เกือบห้าแสนกิโลกรัมต่อปี ทุกวันนี้การใช้เพิ่มขึ้น 300 เท่าตัวจากเมื่อ 50 ปีก่อน จำนวนคนที่น้ำหนักเกินก็มากขึ้นหลายเท่า

นอกจากจะทำให้น้ำหนักเกินแล้ว ผงชูรสยังอาจทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น ปวดหัวรุนแรง กับหัวใจเต้นเร็ว

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก วิชาการดอทคอม



sithiphong:
จำให้แม่น! ของแสลงสำหรับ 10 โรค



-http://club.sanook.com/24324/%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A-


ของแสลง  ก็คือบรรดาอาหารที่ไม่ถูกกับโรคทั้งหลาย แต่บางทีก็ทำให้เรางงเหมือนกันว่าเกี่ยวกันยังไง แต่ของอย่างนี้ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะขึ้นชื่อว่าภูมิปัญญาชาวบ้านแล้วไซร้ ฟังหูไว้หูก็ดีเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 10 โรคที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้







ไข้หวัด มีไข้สูง
ควรหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก อาหารที่เย็นมาก ๆ อาหารทอด อาหารมัน ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยยาก จะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมืออาหารเชื้อเพลิง หรือเป็นการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ

โรคกระเพาะ
ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ ๆ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ ทำให้เกิดความร้อนสะสม ทำให้โรคหายยาก ทางที่ดีควรจะรับประทานอาหารปริมาณน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารให้ตรงเวลา และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย

โรคความดันเลือดสูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาเลือดแข็งตัว ขาดความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีคอเรสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย และความชื้นก็มีผลก็ทำให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนทุกระบบในร่างกาย และความร้อนก็จะไปกระตุ้นทำให้ความดันสูง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด หรืออาหารหวานมาก รวมทั้งผลไม้อย่างลำไย ขนุน และทุเรียน

โรคตับและถุงน้ำดี
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอด อาหารหวานจัด เพราะแพทย์จีนถือว่า ตับและถุงน้ำดีมีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไป จะทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอลงและเกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

โรคหัวใจและโรคไต
ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัดเพราะจะทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ส่วนอาหารรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะทำให้กระตุ้นการไหลเวียนสูญเสียพลังงาน และหัวใจก็ทำงานหนักขึ้นเช่นกัน

โรคเบาหวาน
หลีกเลี่ยงอาหารรสหวาน หรือแป้งที่มีแคลอรี่สูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ควรรับประทานอาหารพวกถั่ว เช่นเต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด

นอนไม่หลับ
หลีกเลี่ยงชา กาแฟ รวมทั้งการสูบบุหรี่ เพราะอาหารเหล่านี้ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือนอนไม่หลับสนิท

โรคริดสีดวงทวาร หรือท้องผูก
หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม ขิงสด พริกไทย พริก เพราะอาหารเหล่านี้อาจทำให้ท้องผูก หลอดเลือดแตก และอาการริดสีดวงทวารกำเริบ

ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ หรือโรคหอบหืด
ควรหลีกเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ นม และอาหารรสเผ็ด เพราะจะไปกระตุ้นและทำให้อาหารผิวหนังกำเริบ

สิว หรือต่อมไขมันอักเสบ
งดอาหารเผ็ดและมัน เพราะทำให้เกิดการสะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด ควบคุมผิวหนัง ขน ตามร่างกาย ทำให้เกิดสิว
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก โรงพยาบาลรวมแพทย์ทุ่งสง



sithiphong:
ชะลอความแก่ด้วย “ปลาทู”

-http://club.sanook.com/24502/%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B9-





ปลาทู เป็นปลาที่มีสารอาหารมาก ในทะเลไทยปลาทูจะวางไข่บริเวณฝั่งตะวันตกของอ่าวไทยตั้งแต่จังหวัดประจวบ คีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี

ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ของทุกปี และอพยพมาหากินและเจริญเติบโตในแหล่งที่มีอาหารสมบูรณ์ ในช่วงเดือนสิงหาคมธันวาคม ปลาทูเป็นแหล่งของสารอาหารประเภทโปรตีนที่ร่างกายต้องการ



โดยปลาทูสด 100 กรัม จะมีพลังงาน 140 แคลอรีโปรตีน 20 กรัม ไขมัน 6.7 กรัม แคลเซียม 170 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 60 มิลลิกรัม เหล็ก 11.9 มิลลิกรัม วิตามินบี1 0.03 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.62 มิลลิกรัม ไน อะซิน 9.2 มิลลิกรัม และวิตามินซี 9.2 มิลลิกรัม

และอีกเรื่องที่คนยังไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับปลาทูคือ ถ้าเราสามารถบริโภคผักใบเขียวโดยควรบริโภคประมาณวันละ 5 กำมือ และปลาทูวันละ 2 ตัว อาหารเหล่านี้จะมีสารอาหารที่ช่วยต้านพวกสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ หรืออนุมูลอิสระ ซึ่งชะลอความแก่ได้!

 

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก  สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com


sithiphong:
ดื่มนมแพะผิวสวย เปลี่ยนผิวพรรณให้เนียนใสได้จริงหรือ ?


-http://women.kapook.com/view82142.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ดื่มนมแพะผิวสวย ...สำหรับสาว ๆ ที่รักสุขภาพและผิวพรรณน่าจะเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง ในเรื่องของการดื่มนมแพะเพื่อประโยชน์ด้านความงามผิวพรรณ เนื่องจากนมแพะนั้นประกอบไปด้วยโปรตีน แคลเซียม และวิตามินปริมาณสูง ซึ่งส่งผลดีกับผิวและสุขภาพ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สาว ๆ หลายคนต่างอยากรู้ว่าแท้จริงแล้วการดื่มนมแพะจะมีส่วนช่วยทำให้ผิวสวยได้ขนาดนั้นเชียวหรือ ดื่มปุ๊บผิวสวยปั๊บหรือจะเห็นผลได้มากน้อยแค่ไหน เอาเป็นว่าใครกำลังสงสัย รวมถึงสนใจอยากลองดื่มแพะบำรุงผิวสวยเปล่งปลั่งบ้างอะไรบ้าง เราหาคำตอบนี้ไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

          ต้องบอกว่าในน้ำนมแพะนั้น ล้วนประกอบไปด้วยแร่ธาตุสำคัญและวิตามินหลากหลายชนิด ได้แก่ แคลเซียม  กรดอะมิโน  วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี1 และวิตามินบี2 ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดการเสื่อมสภาพของผิวให้ดูสวยผุดผ่อง ชุ่มชื่นไม่เหี่ยวย่นแก่ก่อนวัย นอกจากนี้หากใครดื่มนมแพะเป็นประจำยังมีส่วนช่วยในการทำงานของเซลล์ผิวหนังเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันทำให้ผิวพรรณดูสุขภาพดีได้มากยิ่งขึ้น ที่สำคัญนมแพะยังมีไขมันที่มีอนุภาคเล็ก เมื่อดื่มเข้าไปจะทำให้กระเพาะย่อยได้ง่ายกว่าและรวดเร็วกว่านมประเภทอื่น โดยไม่ต้องกลัวว่าดื่มแล้วจะท้องอืดท้องเฟ้ออีกด้วย 

          รู้อย่างนี้แล้ว เชื่อว่าหลายคนน่าจะทราบถึงประโยชน์ดี ๆ ของนมแพะกันไปแล้วนะคะ อย่างไรก็ตามหากสาว ๆ คนไหนอยากอยากลองเปลี่ยนมาดื่มนมแพะดูบ้าง ในช่วงแรกอาจลองผสมกับเครื่องดื่มหรืออาหารที่รับประทานเสียก่อน เนื่องจากนมแพะมีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างแรงต่างจากนมวัวที่หลายคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ว่าแล้วก็ลองไปหาซื้อกินบ้างดีกว่าเนอะ จะได้บำรุงผิวและสุขภาพให้สวยดูดีไปพร้อม ๆ กัน ^^




นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version