อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
กินเนื้อหมูสุกๆ ดิบๆ เสี่ยงป่วยโรคไข้หูดับ อาจถึงตาย!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 มิถุนายน 2557 14:09 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000064032-
สธ.เตือนประชาชน หน้าฝนอากาศอับชื้อ หลีกเลี่ยงกินเนื้อหมู เลือดหมู สุกๆ ดิบๆ จำพวกลาบก้อย หลู้ ส้า มีความเสี่ยงสูงติดเชื้อโรคไข้หูดับ มีอันตรายขั้นเสียชีวิต หรือหูหนวกตลอดชีวิต ส่วนกลุ่มนักดื่ม หรือมีโรคประจำตัวหากติดเชื้ออาการป่วยจะรุนแรงขึ้น เผยตั้งแต่ต้นปี 2557 ถึงกลางเดือน พ.ค.พบไทยมีผู้ป่วย 74 ราย เสียชีวิต 8 ราย ชี้หมูที่ติดเชื้อจะไม่แสดงอาการ ย้ำซื้อเนื้อหมูในตลาด หรือห้างที่ผ่านมาตรฐานรับรอง ขณะที่ผู้เลี้ยงควรสวมรองเท้าบูตป้องกัน มีบาดแผลไม่ควรสัมผัสหมู พร้อมย้ำ สสจ.เร่งให้ความรู้เพื่อลดป่วยและเสียชีวิต
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ในช่วงฤดูฝนทำให้เกิดความอับชื้นในสถานเลี้ยงสัตว์ที่อาจจะเกิดปัญหาการสะสมของเชื้อแบคทีเรียจนทำให้สัตว์กลายเป็นโรค และอาจนำเชื้อมาสู่คนได้ โดยเฉพาะฟาร์มสุกรเป็นสัตว์ที่เชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า สเตร็บโตค็อกคัสซูอิส (Streptococcus suis) ซึ่งทำให้เกิดโรคไข้หูดับสู่คน ทำให้เกิดความพิการหรือเสียชีวิตได้เพราะเป็นโรคติดต่อจากสัตว์ที่มีความรุนแรง ทั้งนี้ โรคนี้พบได้ทั่วโลก ในไทยพบผู้ป่วยทุกปีในปีนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 15 พฤษภาคม 2557 มีผู้ป่วย 74 ราย จาก 11 จังหวัด เสียชีวิต 8 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้ป่วยประมาณร้อยละ 70 มีอาชีพรับจ้างและทำการเกษตร
ภาพ -verycm.net-
อย่างไรก็ตาม หมูที่ติดเชื้อจะไม่แสดงอาการป่วยเพราะเชื้อจะอยู่ในทางเดินหายใจโดยเฉพาะต่อมทอนซิลหรือที่บริเวณคอหอยและในโพรงจมูกของหมู แต่หากหมูมีอาการป่วยร่วมด้วยก็จะพบเชื้อนี้อยู่ในกระแสเลือดของหมูด้วย ทั้งนี้ เชื้อสเตรปโตค็อกคัสซูอิส จะเข้าสู่ร่างกายคน ทางบาดแผลตามร่างกายหรือทางเยื่อบุตา และจากการรับประทานเข้าไป โดยจะพบในรายที่รับประทานเนื้อหมูที่ปรุงดิบ หรือ ปรุงดิบๆ สุกๆ เช่น ลาบหมู หลู้ ส้าดิบ หลังจากเชื้อเข้าสู่รางกาย จะไปทำลายอวัยวะภายใน และระบบประสาท ทำให้เยื่อหุ้มสมอง เยื่อบุหัวใจ อักเสบ ที่สำคัญคือทำให้ประสาทหูทั้งสองข้างอักเสบ และเสื่อมอย่างรุนแรง หูหนวกตลอดชีวิต และยังพบอาการเลือดออกใต้ผิวหนัง โดยจะป่วยหลังติดเชื้อประมาณ 3-5 วัน อาการที่พบบ่อยดังนี้คือ มีไข้สูง ปวดศีรษะอย่างรุนแรง เวียนศีรษะจนทรงตัวไม่ได้ อาเจียน คอแข็ง หูดับ ท้องเสีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หายใจหอบ เสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือด โดยมีอัตราเสียชีวิตได้ร้อยละ 5-20 และขณะนี้ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เร่งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พบผู้ป่วย เพื่อป้องกันการป่วยและเสียชีวิต
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคไข้หูดับ คือผู้ที่สัมผัสกับสุกรที่ติดโรคโดยตรง เช่น ผู้เลี้ยงสุกร ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ผู้ที่ชำแหละเนื้อสุกร เป็นต้น กลุ่มที่เสี่ยงมีอาการป่วยรุนแรงถ้าติดเชื้อ ได้แก่ ผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ไต มะเร็ง หัวใจ ผู้ที่เคยตัดม้ามออก เป็นต้น เนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานโรคอ่อนแออยู่แล้ว โรคนี้รักษาหายขาดได้ ทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศมีศักยภาพในการรักษาเพราะฉะนั้น หากมีอาการป่วยดังที่กล่าวมาหลังรับประทานอาหารที่ปรุงมาจากเนื้อหมู เลือดหมูปรุงสุกๆ ดิบๆ ขอให้รีบพบแพทย์ทันที
สำหรับการในการป้องกันการติดเชื้อไข้หูดับ มีดังนี้ กลุ่มผู้บริโภค 1. ควรเลือกซื้อเนื้อหมูจากตลาดสด หรือในห้างสรรพสินค้า ซึ่งจะผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจากโรงฆ่าสัตว์มาแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการซื้อเนื้อหมูที่จำหน่ายข้างทางหรือร้านของป่า 2. ไม่ซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ หรือเนื้อยุบ 3. ให้ปรุงเนื้อหมูให้สุกด้วยความร้อน นานอย่างน้อย 10 นาที หรือต้มจนเนื้อไม่มีสีแดง ไม่รับประทานเนื้อและเลือดหมูดิบ หรือดิบๆสุกๆ และกลุ่มผู้เลี้ยงสุกร หรือผู้ที่ปฏิบัติงานในเล้าหมู ฟาร์มหมู ควรสวมรองเท้าบูตยาง สวมถุงมือ สวมเสื้อที่รัดกุมระหว่างทำงานในเล้าหรือในฟาร์มหมู หลังปฏิบัติงานเสร็จให้อาบนำชำระร่างกายให้สะอาด ผู้ที่มีบาดแผลที่มือหรือที่เท้าควรหลีกเลียงการสัมผัสหมู หากจำเป็นต้องใส่ถุงมือยางป้องกัน ประการสำคัญห้ามนำหมูที่ป่วยตายมาชำแหละอย่างเด็ดขาด และดูแลความสะอาดฟาร์มเลี้ยงหรือเล้าให้สะอาด
หากประชาชนมีข้อสงสัยโทรศัพท์สอบถามได้ที่ สำนักโรคติดต่อทั่วไป โทร. 0-2590-3187 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง
sithiphong:
วิธีปลูกผักชีในกระถาง หยิบรับประทานง่าย
-http://home.kapook.com/view90361.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
วิธีปลูกผักชี มีอยู่ด้วยกันมากมายหลายอย่าง แต่วิธีปลูกผักชีในกระถางจะช่วยให้คุณหยิบมาปรุงอาหารและรับประทานได้ง่าย แต่จะมีขั้นตอนการปลูกอย่างไร ลองไปอ่านข้อมูลกันค่ะ
หลายบ้านที่พอมีพื้นที่สำหรับทำสวน ก็มักจะอยากมีแปลงพืชผักสวนครัวเล็ก ๆ เอาไว้ปลูกรับประทานกันเองในครอบครัว แต่สำหรับบ้านไหนที่มีพื้นที่จำกัด แต่ก็อยากจะมีต้นผักชีต้นเล็ก ๆ สักต้นสองต้นเอาไว้ปรุงอาหารหรือรับประทานเป็นเครื่องเคียง วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีปลูกผักชีในกระถาง ให้ลองไปทำกันค่ะ นอกจากจะประหยัดพื้นที่แล้ว ยังปลูกได้ไม่ยากอย่างที่คิดด้วย
รู้จักกับผักชี
ผักชี คือ พืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว แต่เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุสั้น ประมาณ 40-60 วันเท่านั้น โดยผักชีที่นิยมปลูกกันในประเทศไทยคือ ผักชีพันธุ์สิงคโปร์, พันธุ์สิงคโปร์เมล็ดดำ และพันธุ์ไต้หวัน เป็นต้น ในการปรุงอาหาร คนไทยจัดผักชีเป็นเครื่องเทศที่มีไว้ใส่น้ำซุป และเป็นเครื่องเคียงอื่น ๆ เพราะผักชีสามารถนำมาปรุงอาหารได้ทุกส่วนของต้นและยังช่วยดับกลิ่นคาวจากเนื้อสัตว์ได้ด้วย
ประโยชน์ของผักชี
ใช้เป็นเครื่องเทศช่วยปรุงอาหารให้รสชาติดีมากขึ้น โดยสามาถใช้ได้ทั้ง ใบ ราก และลำต้น
มีสรรพคุณช่วยย่อย บำรุงกระเพาะ ขับลมพิษ ลดน้ำตาลในเลือด ขับลม เป็นต้น
อุปกรณ์ที่ต้องใช้
เมล็ดพันธุ์ผักชี สามารถหาซื้อได้ตามแหล่งขายเมล็ดพันธุ์ผักทั่วไป
กระถาง
ดินร่วน
ปุ๋ยคอก
ทราย หรือขี้เถ้า
ฟางข้าว หรือหญ้าแห้ง
วิธีปลูกผักชีในกระถาง หยิบรับประทานง่าย
วิธีปลูกผักชีในกระถาง
1. เตรียมดินสำหรับปลูก ด้วยการตากดินสัก 1 สัปดาห์ แล้วพรวนดินให้แตกเป็นก้อนเล็ก ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยสดคลุกเคล้าเข้าไป
2. บดเมล็ดพันธุ์ผักชีที่ซื้อมาให้แตกออกเป็น 2 ซีก แล้วนำเมล็ดไปแช่น้ำประมาณ 2-3 ชั่วโมง
3. นำเมล็ดพันธุ์ผักชีที่แช่น้ำแล้วไปผึ่งลม ผสมกับทรายหรือขี้เถ้าเล็กน้อย
4. เมื่อเห็นเมล็ดเริ่มงอก ให้นำไปใส่กระถางปลูกที่เตรียมดินเอาไว้แล้ว จากนั้นคลุมด้วยฟางข้าวหรือหญ้าแห้ง แล้วรดน้ำให้ชุ่ม
5. รอเก็บเกี่ยวมารับประทานในอีก 30-45 วัน โดยเวลาถอนให้รดน้ำจนดินชุ่มก่อน และควรถอนทั้งราก
การดูแลรักษา
1. รดน้ำให้ชุ่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
2. เมื่อผักชีแตกใบให้ใส่ปุ๋ยหมัก หรือถ้าจะเร่งให้งามเร็ว ๆ ให้ใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตราส่วน 3-4 ช้อนแกงต่อน้ำ 1 ปี๊บ แล้วนำไปฉีดพ่นเบา ๆ
3. ผักชีชอบอากาศเย็น แต่เมื่อเริ่มโตแล้วควรให้โดนแดดอ่อน ๆ ยามเช้าบ้าง
ได้รู้จักกับวิธีปลูกผักชีในกระถางแล้ว หากบ้านไหนอยากลองไปปลูกผักชีต้นเล็ก ๆ เอาไว้รับประทานเป็นพืชสวนครัว ลองไปลองปลูกผักชีตามขั้นตอนเหล่านี้ดูนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
vichakaset.com , doae.go.th
-http://www.vichakaset.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B5/-
-http://www.doae.go.th/library/html/detail/pukchee/index.htm-
.
sithiphong:
ทำไม เราจึงชอบกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
-http://campus.sanook.com/1371565/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/-
คอลัมน์ Pop Teen
นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ kenshiro843@gmail.com
ที่มา นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์
รู้ทั้งรู้ว่าของทอดของมันของหวานไม่ดีต่อสุขภาพ แต่เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมเราจึงอดใจไม่ได้
ยกตัวอย่างเช่น วันก่อนผมไปวิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง หลังจากวิ่งเสร็จผมเดินไปฝั่งตรงข้ามเพื่อทานข้าวมื้อเย็น ด้วยความตั้งใจที่จะควบคุมน้ำหนัก เมนูที่คิดไว้ในหัวจึงเป็นอาหารเบาๆ จำพวกผักผลไม้ งดแป้งและเนื้อสัตว์ เช่น สลัดผัก ต้มจืด หรือผักผักรวมมิตร เสร็จแล้วก็กะว่าจะตบท้ายด้วยโยเกิร์ต แอปเปิ้ล หรือไม่ก็นมเปรี้ยวไขมันต่ำ
ในขณะที่กำลังเดินเลือกว่าจะกินอะไรอยู่นั่นเอง กลิ่นหอมๆ และภาพชวนเย้ายวนของคอหมูย่างมันเยิ้มๆ หมูปิ้งไขมันแทรกติดไหม้นิดๆ ปีกไก่ชุบแป้งทอดจนเหลืองกรอบ ขาหมูพะโล้หนังสีน้ำตาลแวววาว และบะหมี่เส้นเหลืองๆ กับหมูกรอบราดด้วยน้ำแดงหวานข้น ก็ทำเอาผมไขว้เขว
แต่ผมก็พยายามหักห้ามใจเอาไว้ ด้วยการเตือนสติตัวเองว่า ขืนกินเอาอร่อยตามใจปากแบบเดิมๆ การวิ่งมาทั้งหมดในเย็นนี้ก็จะสูญเปล่า
เวลาผ่านไป 20 นาที รู้ตัวอีกทีข้าวขาหมู หมูปิ้ง หมูสะเต๊ะ และโค้กเย็นๆ ซาบซ่า ก็ลงไปอยู่ในท้องผมเรียบร้อย
และไหนๆ ก็เลยเถิดไปแล้ว ผมจึงตบะแตกล้างปากด้วยเฉาก๊วยนมสด และไอศกรีมกะทิไข่แข็งซะเลย
ผม คิดว่า คุณผู้อ่านหลายคนคงเคยเป็นเหมือนผม อุตส่าห์วางแผนการกินซะดิบดี แต่ทุกอย่างก็ล่มสลายเมื่อเจอกับกลิ่นหอมๆ และสีสันของอาหารจำพวกเฟรนช์ฟราย สเต๊กเนื้อชุ่มฉ่ำ แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่าหน้าชีส สปาเกตตีครีมซอส ชิบูย่าโทสต์ คัพเค้ก มาการอง ป๊อปคอร์น ข้าวเหนียวทุเรียน ไอศกรีม
ซึ่งทั้งหมดนี้ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่าไม่ดีต่อสุขภาพ แคลอรี่สูง เพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคความดัน
คำถามคือ ทำไมอาหารอร่อยๆ จึงมักไม่ดีต่อสุขภาพ?
ทำไมเราจึงอดใจไม่ได้?
ทำไมธรรมชาติจึงสร้างให้เราชอบของมันของทอดของหวาน?
ทำไมธรรมชาติไม่สร้างให้เราชอบกินแต่ผักกับผลไม้ เหมือนกับยีราฟ กวาง หรือนกไปเลย?
ทำไมธรรมชาติจึงช่างใจร้ายกับเรา?
คุณ หมอชัชพล เกียรติขจรธาดา เจ้าของหนังสือ pop-sci ขายดีอย่าง 500 ล้านปีของความรัก เขียนอธิบายคำตอบของคำถามดังกล่าวไว้ในบทความชื่อ Why We Like Bad Food? ในนิตยสารผู้ชายเล่มหนึ่ง
คุณหมอชัชพลบอกว่าการที่จะเข้าใจคำตอบของคำถามเหล่านี้ได้ เราต้องย้อนเวลากลับไปในจุดเริ่มต้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพื่อทำความเข้าใจก่อนว่าร่างกายของเราวิวัฒนาการมาให้เหมาะกับสิ่งแวดล้อม แบบไหน และอาหารธรรมชาติของมนุษย์คืออะไร
มนุษย์ต้องการสารอาหารต่างจากสัตว์อื่นๆ เราต้องการ "ไขมัน" มากกว่าลิงสายพันธุ์อื่นๆ เพราะสมองของเราใหญ่ นอกจากนี้ ไขมันยังเป็นสารตั้งต้นสำคัญในการสร้างฮอร์โมนที่จำเป็นสำหรับร่างกายอีก หลายชนิด เช่น ฮอร์โมนเพศ
เราต้องการ "โปรตีน" จากเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นพลังงานในการเติบโต และนับตั้งแต่มนุษย์วิวัฒนาการเกิดขึ้นมาบนโลกนี้เมื่อประมาณสองแสนปีที่ แล้ว เราใช้ชีวิตแบบล่าสัตว์และหาของป่ามาตลอด สัตว์ที่เรากินก็จะมีทั้งสัตว์เล็กๆ อย่างแมลงต่างๆ ไปจนถึงสัตว์ใหญ่ที่พอล่าได้
อย่างไรก็ตาม การล่าสัตว์ในวันที่เรามีแค่เท้าเปล่าและหอกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การได้กินเนื้อสัตว์จึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยนัก
เช่นเดียวกับอาหารที่มีรสหวาน ริชาร์ด จอห์นสัน อายุรแพทย์โรคไต มหาวิทยาลัยโคโลราโดเดนเวอร์ บอกไว้ในนิตยสาร National Geographic ว่าความปรารถนาน้ำตาลฟรักโทสเป็นแรงกระตุ้นให้บรรพบุรษของเราดำรงชีพอยู่ได้ น้ำตาลฟรักโทสมีความจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์อย่างมากในยามที่ขาดแคลนอาหาร
แต่ทว่าในธรรมชาติน้ำตาลกลับเป็นของหายาก ผลไม้ป่าทั่วไปมักจะมีขนาดเล็ก ฝาด และไม่หวานมาก ยิ่งไปกว่านั้นบรรพบุรุษของเรายังต้องแย่งผลไม้กับลิง กระรอก ค้างคาว นก และสัตว์อื่นๆ
ส่วนเกลือซึ่งเป็นสารอาหารจำเป็นสำหรับร่างกายก็ไม่ใช่ของหาง่ายเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่จากอาหารทะเลแล้ว มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายก็ต้องไปหาเกลือจากดินที่มีเกลือผสมอยู่ที่เรียกว่า ดินโป่ง
เมื่อเนื้อ ไขมันสัตว์ อาหารหวาน และเค็มเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกายเราแต่หากินยาก สมองของบรรพบุรุษเราจึงถูกออกแบบมาให้เราชอบกินไขมัน เนื้อสัตว์ อาหารหวานและเค็มมากเป็นพิเศษ หากมีโอกาสได้กินของประเภทดังกล่าวก็จะเลือกกินก่อน เพราะถ้าไม่กินตอนนี้ก็ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่จะได้กินอีกครั้ง
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงชอบกินของทอดของมันของหวานที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
จะเรียกว่า "ยิ่งหายาก ยิ่งอยากกิน" ก็ไม่ผิดนัก
คําถามต่อมาคือแล้วทำไมเราจึงหยุดกินไม่ได้?
คำตอบนั้นง่ายมากครับ เพราะว่าเรากำลัง "เสพติด" อยู่นั่นเอง
ในสมองของเราจะมีวงจรประสาทอยู่วงจรหนึ่งซึ่งเรียกว่า "วงจรโดปามีน" วงจรนี้เป็นวงจรที่จะทำให้เราและสัตว์ต่างๆ รู้สึก "อยาก" ในสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะความอยากในเรื่องที่เป็นสัญชาตญาณของการอยู่รอดและสืบทอดเผ่าพันธุ์
ถ้าเราทำอะไรก็ตามแล้ววงจรนี้ถูกกระตุ้นสมองเราก็จะจำสิ่งนั้นไว้ ทำให้เราอยากทำสิ่งนั้นซ้ำอีกเรื่อยๆ ยิ่งอะไรที่กระตุ้นวงจรนี้ได้แรง เราก็จะยิ่งอยากทำสิ่งนั้นมากขึ้นและบ่อยขึ้น
ตัวอย่างของสิ่งที่สามารถกระตุ้นให้วงจรนี้ทำงานได้ดีก็ เช่น เพศสัมพันธ์ อาหารหวาน อาหารเค็ม อาหารมัน หรือแม้กระทั่งยาเสพติดอย่างเฮโรอีนและโคเคนก็กระตุ้นผ่านตำแหน่งเดียวกัน
นี่เป็นเหตุผลทำให้เรากินไม่ยั้ง และรู้สึกอร่อย
มากไปกว่านั้น ข้ามมาที่โลกปัจจุบันที่อุตสาหกรรมอาหารมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท นักธุรกิจหัวใสก็ได้ใช้สัญชาตญาณของมนุษย์นี้เป็นตัวหาเงินเข้ากระเป๋า พวกเขาทุ่มงบประมาณมากมายเพื่อทำการวิจัยว่า ทำอย่างไรจึงจะทำให้ผู้บริโภคชอบกินอาหารของบริษัทตัวเองมากๆ และทำอย่างไรให้กินครั้งแรกแล้วอยากแวะเวียนกลับมากินอีกเรื่อยๆ
คุณหมอชัชพลตั้งคำถามง่ายๆ ว่า "แค่น้ำตาล เกลือหรือไขมันเดี่ยวๆ ตัวเดียวก็สามารถกระตุ้นวงจรนี้ให้เราอยากกินซ้ำได้แล้ว ถ้ารวมสองหรือสามอย่างนี้เข้าด้วยกันจะกระตุ้นวงจรนี้มากขนาดไหน"
ใน โลกยุคหิน โอกาสที่ไขมัน เกลือ และน้ำตาลจะมารวมกันอยู่ในอาหารชนิดเดียวเป็นไปได้ยาก แต่ในโลกปัจจุบัน อาหารสามารถมีรสชาติทุกอย่างรวมกันได้ง่ายๆ ยกตัวอย่าง เช่น ป๊อปคอร์นรสคาราเมล หรือมันฝรั่งทอดกรอบรสสาหร่ายโนริ ที่ทั้งหวาน เค็ม มัน กรอบ
ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้สมองของเราไม่สามารถปรับตัวกับรสชาติของอาหารได้ทัน แนวโน้มการกินของเราจึงกินในปริมาณเกินความต้องการเข้าไปอีกโดยไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะความหวานจากน้ำตาล หนังสารคดีเรื่องล่าสุด "Fed Up" พูดถึงประเด็นการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในซูเปอร์มาร์เก็ตของสหรัฐอเมริกา อาหารมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนทั้งหมดกว่า 600,000 รายการ มีส่วนประกอบเป็นน้ำตาลในปริมาณมากเกินกำหนด
นั่นหมายความว่าเราจะถูกกระตุ้นให้อยากกินซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากน้ำตาลที่ซุกซ่อนอยู่ในอาหารแทบทุกรายการ
พอรู้แบบนี้ หลายคนคงนึกเข้าข้างตัวเองในใจว่า "ตลอดเวลาที่ผ่านที่เราอดใจไม่ไหว ไม่ใช่ความผิดของฉันสักหน่อย แต่เป็นเพราะสัญชาตญาณมนุษย์ต่างหาก!"
พูดแบบนั้นก็มีส่วนถูกครับ (เพราะผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน-ฮา) ทว่า สิ่งที่เราอาจลืมคิดไปอีกอย่างก็คือ บรรพบุรุษของเราไมได้นั่งเล่นเฟซบุ๊กหรือทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา นะครับ พวกเขาอาจจะกินของหวาน ของมัน ของเค็มเยอะก็จริง แต่พวกเขาก็ออกกำลังกายด้วยการล่าสัตว์เยอะเช่นเดียวกัน
ฉะนั้น หากคุณอยากจะกินข้าวขาหมู หมูปิ้ง หมูสะเต๊ะ แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย และน้ำอัดลมแล้วละก็ อย่าลืมที่จะไปออกไปวิ่งล่าสัตว์ตามสวนสาธารณะบ่อยๆ ด้วยเช่นกัน
อันนี้ผมเตือนตัวเองนะครับ ไม่ได้ว่าคนอื่นแต่อย่างใด
sithiphong:
กระเจี๊ยบแดง
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/244497/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B9%8A%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-
คนไทยเมื่อครั้งอดีตใช้ดอกกระเจี๊ยบเป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด และในการช่วยลดน้ำหนัก ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย รักษาโรคเบาหวาน
วันศุกร์ 13 มิถุนายน 2557 เวลา 00:00 น.
กระเจี๊ยบมีถิ่นกำเนิดในประเทศซูดาน อินเดีย มาเลเซีย และไทย โดยในไทยมีแหล่งผลิตที่สำคัญ ได้แก่ ลพบุรี สระบุรี อุตรดิตถ์ กาญจนบุรี และฉะเชิงเทรา คนไทยเมื่อครั้งอดีตใช้ดอกกระเจี๊ยบเป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด และในการช่วยลดน้ำหนัก ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย รักษาโรคเบาหวาน ส่วนในอียิปต์มีการใช้ต้นของกระเจี๊ยบแดงนำมาต้มกินเพื่อรักษาโรคหัวใจและโรคประสาท ช่วยแก้อาการคอแห้ง กระหายน้ำลดน้ำหนักเนื่องจากเป็นยาระบาย และช่วยฆ่าเชื้อในลำไส้ได้ ช่วยรักษาโรคกระเพาะ และลำไส้อักเสบ ด้วยการใช้ผลแห้งนำมาบดเป็นผง รับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วดื่มน้ำตามวันละ 3-4 ครั้ง.
-----------------------------------------------------------------------------
ดอกกล้วย
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/244663/%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-
ดอกของกล้วยจะออกเป็นช่อ ในช่อดอกมีกลุ่มช่อดอกย่อย ระหว่างกลุ่มจะมีกลีบประดับ เรียกว่า กาบปลี กลุ่มดอกเพศเมียอยู่ที่โคนกลุ่มดอกเพศผู้อยู่ที่ปลาย ระหว่างกลุ่มดอกเพศเมีย
วันเสาร์ 14 มิถุนายน 2557 เวลา 00:00 น.
ดอกของกล้วยจะออกเป็นช่อ ในช่อดอกมีกลุ่มช่อดอกย่อย ระหว่างกลุ่มจะมีกลีบประดับ เรียกว่า กาบปลี กลุ่มดอกเพศเมียอยู่ที่โคนกลุ่มดอกเพศผู้อยู่ที่ปลาย ระหว่างกลุ่มดอกเพศเมีย และดอกเพศผู้ มีดอกกะเทยเมื่อดอกผสมเกสรแล้วเจริญเป็นผล ส่วนหัวปลีในตำราไทย ถือเป็นอาหารบำรุงน้ำนมของผู้หญิงที่กำลังมีบุตร คนไทยเมื่อครั้งอดีตใช้หัวปลีป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร และในตำราแพทย์แผนจีนจะใช้ดอกกล้วยแห้งบดเป็นผงผสมกับน้ำ เติมเกลือเล็กน้อย กินรักษาโรคหัวใจ
sithiphong:
มะระ : ยาในครัวเรือน แก้ได้สารพัดโรค
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1402885086-
มะระ : ยาในครัวเรือน
ชื่อในประเทศไทย
มะระ มะระจีน มะนอย มะห่อย มะระขี้นก ผักให้โควกวยเกี๊ยะ
ชื่อในประเทศจีน
โควกวย กิ้มหลีกี ไทผู้ท้อ บ้วงหลีกี
ชื่อทางวิทยาศาสตร์
โมมอดิคา ชาแรนเทีย ลิน (Momordica Charantia L.)
ลักษณะ
เป็นไม้เถาชอบขึ้นพาดพันต้นไม้อื่น ๆ หรือขึ้นตามร้านต้นไม้ที่ทำให้ใบเป็นจักเว้าลึกเข้าไป ชอบขึ้นตามที่ลุ่มต่ำแฉะ และต้องบำรุงด้วยปุ๋ย โดยมากชอบปลูกเอาผลไว้รับประทานเป็นอาหาร และใบใช้เป็นผักได้อย่างดี มะระนี้มี 2 ชนิด ชนิดหนึ่งลูกใหญ่ เรียกกันว่า มะระจีน อีกชนิดหนึ่งลูกเล็กๆ และขมกว่าอย่างชนิดผลใหญ่ เรียกกันว่า มะระไทย มะระขี้นก ฯลฯ รส ขมจัด
รส
ขม เย็น ไม่มีพิษ
ธาตุ
เมื่อแยกธาตุออกแล้วปรากฏว่า มีธาตุต่างๆ หลายชนิด ที่สำคัญ คือ มีโปรตีน และวิตามินซี อยู่ด้วย
ประโยชน์และวิธีใช้
1. ใช้เป็นอาหารประจำวัน ได้ดีเยี่ยม เป็นยาเจริญอาหารขนานเอกตาม ตำราไม้เทศเมืองไทย อาจารย์เสงี่ยม พงษ์บุญรอด กล่าวว่า
1.1 เป็นยาเจริญอาหาร
1.2 บำรุงน้ำดี
1.3 แก้โรคข้อรูมาติซึม และ เก๊าท ได้ดี
1.4 ขับพยาธิในท้อง
1.5 ใช้ใบต้ม รับประทานน้ำ เป็นยาระบายอ่อน
1.6 ถ้าใช้ผลชนิดเล็กสั้น (มะระขี้นก) ต้มรับประทานแต่น้ำเป็นยาแก้ไข้
1.7 เมื่อคั้นเอาแต่น้ำรับประทานแก้ปากเปื่อยปากเป็นขุยและบำรุงระดูสตรี
2. ตามตำรา “หิ่งต่อซีกเองตงเอียะ” กล่าวว่า
2.1 ผลเป็นยาลดความร้อนแก้ร้อนในกระหายน้ำแก้อ่อนเพลียทำให้ตาสว่าง
2.2 เมล็ดเป็นยากระตุ้นกำหนัดเพิ่มพูนลมปราณบำรุงธาตุบำรุงกำลัง
ปริมาณและวิธีใช้
1. เนื้อมะระลูกใหญ่ที่เอาเม็ดออกแล้วกินลันละประมาณ 2 ผล โดยวิธีต้มกิน
2. เมล็ดกินวันละประมาณ 3 กรัม ต้มกิน
หลักฐานที่ใช้รวบรวม
1. ตำราไม้เทศเมืองไทย ของ อาจารย์เสงี่ยม พงษ์บุญรอด
2. ตำรา “หิ่งต่อซีกเองตงเอียะ”
ข้อมูล : facebook นิตยสารหมอชาวบ้าน
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version