อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต
108 เคล็ดกิน
sithiphong:
กินกันทุกวัน ...รู้ยัง? ดื่ม ′น้ำผลไม้′ ให้ประโยชน์มากแค่ไหน ?
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1403244371-
ณ วันนี้เป็นยุคที่ผู้คนทั้งประเทศตื่นตัว กลัวตาย หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ขณะเดียวกันในด้านของผู้ผลิต ก็ตอบสนองโดยการผลิตสินค้าทั้งอุปโภคและบริโภค ที่ห้อยท้ายด้วยคำว่า "เพื่อสุขภาพ" ออกมาจำหน่ายกันมากมาย หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือ น้ำผลไม้หลากชนิด นานายี่ห้อ ที่มีให้เลือกซื้ออย่างจุใจ
การดื่มน้ำผลไม้ทำให้รู้สึกสดชื่น ดับกระหาย ส่วนคุณค่าทาง โภชนาการจะมีมากน้อยแค่ไหนนั้น เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคทุกคนต้องทราบ เพื่อที่จะได้จัดสรรอาหารการกินในแต่ละวันให้เป็นไปอย่างสมดุล และร่างกายได้รับประโยชน์จากอาหารที่เรากินเข้าไปมากที่สุด แต่ก่อนที่จะไปถึงคำตอบในคำถามที่ตั้งหัวข้อไว้ อยากให้ทำความรู้จักกับน้ำผลไม้ชนิดต่างๆ กันก่อน
ชนิดของน้ำผลไม้
น้ำผลไม้ที่เราซื้อมาดื่ม ทั้งที่มีขายอยู่นอกห้างและในห้างสรรพสินค้าซึ่งมีทั้งชนิดคั้นสด บรรจุกล่อง บรรจุขวด ฯลฯ หลากหลายรูปแบบนั้น ความจริงแบ่งได้ เป็น ๒ ประเภทเท่านั้น คือ
๑. น้ำผลไม้สด หมายถึง น้ำผลไม้ที่คั้นสำหรับดื่มสดๆ โดยไม่เติมสารปรุง แต่งใดๆ ทั้งสิ้น อย่างเช่น น้ำส้ม หรือน้ำฝรั่ง ที่คั้นกันสดๆ หรือบรรจุขวดแช่น้ำแข็งขาย
๒. น้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการ หมายถึง น้ำผลไม้ที่ผลิตขึ้นด้วยวิธีการถนอมอาหาร โดยใส่สารกันบูด หรือสารปรุงแต่งอื่นๆ เพื่อยืดอายุการเก็บให้นานขึ้น ซึ่งน้ำผลไม้ประเภทนี้ก็มีหลายรูปแบบ เช่น
น้ำผลไม้ชนิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ที่ทำจากผลไม้สดที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่น ส้ม ฝรั่ง สับปะรด เป็นต้น โดยไม่ เติมกรด หรือน้ำตาล ซึ่งน้ำผลไม้ชนิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นี้จะมีรสชาติใกล้เคียงน้ำผลไม้คั้นสดมากที่สุด
น้ำผลไม้ผสม น้ำผลไม้ประเภทนี้ อาจมีน้ำผลไม้ผสมอยู่มากกว่า ๑ ชนิด และส่วนใหญ่มักจะเติมน้ำตาล สารกันบูด สี และสารปรุงแต่งกลิ่นรสลงไปด้วย โดย ที่มีน้ำผลไม้เป็นส่วนประกอบหลัก ๔๐ เปอร์เซ็นต์ หรือ ๖๐ เปอร์เซ็นต์
น้ำผลไม้ยูเอชที น้ำผลไม้ประเภทนี้ อาจผลิตจากผลไม้สด หรือน้ำผลไม้เข้มข้น (ที่ต้องมาทำให้เจือจาง) ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วบรรจุขวด หรือผนึก กล่องสุญญากาศ เพื่อให้เก็บได้นานวัน
ดื่มน้ำผลไม้ได้ประโยชน์อะไร
ในบรรดาอาหารชนิดต่างๆ ที่เรากิน ผักสด ผลไม้สด จะให้วิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายชนิดแล้ว ถ้าหากแปรรูปมาเป็นน้ำผักหรือน้ำผลไม้ เราจะยังได้รับคุณค่าทางสารอาหารครบถ้วนเท่าเดิม เท่าที่ควรจะได้หรือเปล่า ไปฟังคำตอบจากนักวิชาการด้านอาหารกันค่ะ อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข ๙ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
"คุณค่าของน้ำผลไม้ทั้ง ๒ ชนิด ถ้าเปรียบเทียบคุณค่าจะใกล้เคียงกัน แต่ถ้าเทียบระหว่างผลไม้และน้ำผลไม้ สดๆ ผลไม้สดย่อมดีกว่าน้ำผลไม้ แน่นอน ซึ่งได้วิตามินเต็มที่ เพราะระหว่างที่คั้นผลไม้ อาจจะสัมผัสกับแสงแดด และระหว่างการเก็บจะทำให้ วิตามินและแร่ธาตุบางชนิดสูญหายไป เช่น วิตามินซี หรือวิตามินเอ เมื่อโดนแสงก็สลายไปหมด อีกประการหนึ่ง การที่คนหันมานิยมดื่มน้ำผลไม้ สิ่งที่จะขาดไปคือใยอาหาร ซึ่งคนปัจจุบันกินผักน้อยลงมาก จึงได้ไฟเบอร์หรือใยอาหารน้อย นักโภชนาการเองเคยหวังว่า เมื่อคนกินผักน้อยหรือไม่ชอบกินผัก (จะด้วยเหตุผลว่าผักไม่อร่อย หรือขี้เกียจเคี้ยวก็ตามที) ประชาชนก็น่าจะกินผลไม้ให้มากขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าแทนที่จะกินผลไม้สดๆ กลับไปกินน้ำผลไม้แทนเพราะสะดวก สบาย ไม่ต้องเคี้ยว ผลคือ ทำให้ได้ใยอาหารต่ำ
ไฟเบอร์ไม่ใช่สารอาหาร แต่เป็นไฟโตเคมีคอล เป็นสารที่อยู่ในผักและผลไม้ ซึ่งมีคุณสมบัติอมน้ำ แล้วขณะอมน้ำก็เกิดน้ำหนัก ก็เลยไหลผ่านระบบลำไส้ กระเพาะ แล้วขณะที่ไหลมันก็จะไปกวาดเอาน้ำตาล ไขมัน โคเลสเตอรอล หรือสารก่อมะเร็งออกไปจากร่างกายด้วย ฝรั่งจึงกล่าวว่าไฟเบอร์ที่ได้จากผัก ผลไม้ เปรียบประดุจไม้กวาด ที่กวาดเอา สิ่งที่ไม่ดีออกจากร่างกาย ปัจจุบันนักวิชาการให้ความสำคัญกับเรื่องไฟเบอร์มากจริงๆ ก็พูดกันมานาน แต่ไม่เป็นข่าวมากเหมือนทุกวันนี้ และที่เป็นข่าวมากก็เพราะคนทั่วโลกกินผัก ผลไม้น้อยลงอย่างน่าตกใจโดยเฉพาะผัก เมื่อไม่กินผักไม่กินผลไม้ โรคภัยก็ตามมา เพราะฉะนั้นระยะหลังคนจึงเป็นโรคภัยไข้เจ็บกันเยอะมาก"
ควรเลือกดื่มน้ำผลไม้แบบไหน
การดื่มน้ำผลไม้ให้ภาพลักษณ์ที่ดูดี (ว่าเป็นคนที่รักสุขภาพ) ขณะเดียวกันการโฆษณาหรือกล่องสวยๆ ของเครื่องดื่ม ก็มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อไม่น้อย อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ให้คำแนะนำในการเลือกดื่มน้ำผลไม้ให้ได้ประโยชน์ว่า
"พูดถึงน้ำผลไม้ ผมขอรวมเอาน้ำสมุนไพรที่กำลังเห่อกันอย่างน้ำลูกยอ หรือน้ำผักปั่นเข้าไปด้วย สิ่งที่น่าห่วงคือการที่ผู้ขายใส่น้ำตาลจนหวานเจี๊ยบ จนแทบไม่มีกลิ่นหรือมีรสของสมุนไพรเลยจริงๆ แล้วตามความหมายของน้ำสมุนไพร คือ ต้องมีกลิ่นสมุนไพรนำหน้า ไม่ใช่กลิ่นหรือความหวานของน้ำตาลนำหน้า อาจหวานนิดหน่อยปะแล่มๆ น้ำผลไม้หรือน้ำสมุนไพรที่หวานจัด น้ำตาลที่สะสมมากๆ นี่แหละ ที่จะเปลี่ยนเป็นไขมันแล้วทำให้อ้วนได้ ข้อเสียของการดื่มน้ำผลไม้ที่หวานจัด คือ เด็กๆ ที่กินหวานมากจะไม่รู้สึกหิวข้าวซึ่งเป็นอาหารหลัก ผลคือ อาจทำให้ขาดสารอาหาร ทำให้เด็กติดรสหวาน ทำให้ฟันผุ ถ้าจะดื่มน้ำผลไม้แทนการดื่มน้ำอัดลมเป็นครั้งคราว หรือวันละ ๑-๓ แก้ว เพื่อดับกระหาย เพื่อความสดชื่นก็สามารถดื่มได้ ถ้าจะให้ดีก็ควรเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่เติมน้ำตาล แต่ถ้าจะดื่มน้ำผลไม้แทนการกินผลไม้ ผมไม่สนับสนุน"
น้ำผลไม้ยูเอชทีเพิ่มวิตามิน
ดังเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า น้ำผลไม้ที่คั้นสดๆ แล้วดื่มทันที จะให้วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะวิตามินซี แต่ถ้าเป็นน้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการ เช่น น้ำผลไม้บรรจุขวด หรือบรรจุกล่องประเภทยูเอชทีทั้งหลาย แน่นอนว่าวิตามินสำคัญ เช่น วิตามินซี หรือวิตามินเอ สลายไปหมดไม่มีเหลือแล้ว
รู้อย่างนี้ บรรดาผู้ผลิตน้ำผลไม้ประเภทต่างๆ จึงเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ โดยการเติมวิตามินต่างๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี ลงไปเพื่อเสริมส่วนขาด (และเพื่อเป็นการส่งเสริมการขายด้วย) วิตามินที่เติมลงไปในน้ำผลไม้จะ ให้ประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ให้ความรู้ว่า
"โดยหลักการ การเติมสารอาหารลงไป เขาจะเติมให้ได้ปริมาณ ๑ ใน ๓ ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน แต่ต้องยอมรับว่า วิตามินเอ วิตามินซี เมื่อเจอความร้อนจะถูกออกซิไดซ์ (ทำปฏิกิริยากับอากาศ) เพราะฉะนั้นผู้ผลิตส่วนใหญ่ ก็จะเติมวิตามินเหล่านี้ในปริมาณมาก เผื่อการสูญสลายเอาไว้ด้วย หรือบางยี่ห้ออาจใช้วิธีบรรจุเครื่องดื่มในกล่องทึบแสง ซึ่งก็ช่วยให้วิตามินเหล่านั้นคงอยู่ได้ระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าวิตามินที่เติมลงไปจะอยู่ได้ยืนยาวตลอดเวลาจนถึงวันหมดอายุ วิตามินที่เติมลงไปในน้ำผลไม้ อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับสารอาหารบ้างแต่ไม่มาก ไม่อยากให้ประชาชนผู้บริโภค ตื่นกระแสน้ำผลไม้ที่เติมวิตามิน แล้วอุปาทานเหมือนกับว่าดื่มน้ำผลไม้แล้วได้รับประโยชน์มากมาย โดยไม่กินผักและผลไม้ ซึ่งจะทดแทนกันไม่ได้
ผมอยากบอกว่า การกินผลไม้ทุกชนิดโดยตรง แล้วดื่มน้ำเปล่าๆ จะได้ประโยชน์กว่าการดื่มน้ำผลไม้ ยกตัวอย่าง เช่น กินส้ม ๑ ผล กินน้ำส้มคั้น ๑ แก้ว (ที่คั้นสดๆ) ที่หากทิ้งไว้ไม่นาน ก็อาจมีวิตามินซีอยู่บ้าง มีไฟเบอร์เล็กน้อย นอกนั้นก็เป็นน้ำ เป็นน้ำตาล ส่วนธาตุอาหารอย่างอื่นเรียกว่ามีอยู่น้อยมาก แต่ถ้าเรากินผลไม้สด กินส้ม ๑ ผล ขณะที่ปอกเปลือกแล้วกินทันที เราจะได้วิตามินซีแบบเต็มๆ และได้วิตามินอื่นๆ เช่น วิตามินเอ หรือบีตาแคโรทีน เรียกว่า มีประโยชน์มากกว่ากันแน่นอน"
เลือกซื้อ เลือกดื่มอย่างไรให้ได้ประโยชน์
น้ำผลไม้ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์(กว่าน้ำอัดลมหรือชากาแฟ)นี้ หากเลือกไม่เป็น หรือซื้อแบบไม่เลือกเลย ก็อาจไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร และบาง กรณีก็อาจก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพได้ คำแนะนำต่อไปนี้จากนักโภชนาการ อาจเป็นคำแนะนำสามัญธรรมดาที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่นำไปปฏิบัติจริง ก็ไม่มีประโยชน์ต่อการบริโภคอาหารในชีวิตประจำวันเลย
ครั้งต่อไปหากจะซื้อน้ำผลไม้มาดื่มก็ควรจะพิถีพิถันกันสักหน่อยถ้าเป็นน้ำผลไม้เข้มข้นก็ต้องทำให้เจือจางก่อนแล้วน้ำที่จะมาทำให้เจือจางนั้น ควรต้องเป็นน้ำต้มสุกที่สะอาด ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดอาการท้องเดินได้ น้ำผลไม้ที่ใส่น้ำแข็ง ก็ควรจะพิถีพิถันในการเลือกซื้อสักหน่อย เพราะบางทีน้ำผลไม้ทำมาสะอาด แล้วใส่น้ำแข็งที่สกปรก ก็ท้องเสียได้ง่ายเช่นกัน เพราะน้ำผลไม้เองก็ง่ายต่อการทำให้ เกิดการบูดเน่าอยู่แล้ว การเลือกซื้อน้ำผลไม้บรรจุกล่องนั้น ก่อนซื้อควรอ่านฉลากทุกครั้ง เพราะผู้บริโภคจะทราบว่า น้ำผลไม้ชนิดนั้นมีปริมาณน้ำตาลอยู่เท่าไหร่ มีสารกันบูดหรือไม่ (การบริโภคสารกันบูดบ่อยๆ ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน) วันหมดอายุของสินค้าเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องดูทุกครั้ง โดยเฉพาะน้ำผลไม้ หากหมดอายุแล้วดื่มเข้าไป จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เพราะร้านค้าบางแห่งหรือบางห้าง มักจะนำสินค้าที่ใกล้หมดอายุมาวางปะปนกัน ถ้าผู้ซื้อดูไม่ละเอียดรอบคอบก็อาจได้สินค้าที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์มาดื่มกิน จะให้ดีที่สุด ควรคั้นเองสดๆ แล้วดื่มทันที นั่นล่ะประโยชน์เต็มร้อย ข้อสำคัญต้องเพิ่มความขยันให้กับตัวเองอีกสักหน่อย แล้วคุณจะรู้สึกได้ถึงพลังความสดชื่นที่แท้จริง
ที่มา : facebook มูลนิธิหมอชาวบ้าน
sithiphong:
ฮ่องเต้เจ้าสำราญ ผู้ให้กำเนิดติ่มซำ
ตำนานแผ่นดิน : ฮ่องเต้เจ้าสำราญ ผู้ให้กำเนิดติ่มซำ : โดย ... อ.ไชยแสง กิระชัยวนิช
-http://www.komchadluek.net/detail/20140622/186851.html-
พระเจ้าเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง ส่งกองทัพขึ้นเหนือบุกยึดทิเบต ปราบปรามชนเผาต่างๆ ถึงมองโกเลีย กำราบชาวมุสลิมยึดเป็นมณฑลซินเกียงจนถึงทุกวันนี้ ฮ่องเต้เฉียนหลงไล่ตีเมืองใต้ ตั้งแต่เสฉวนถึงยูนนาน ข้ามแม่น้ำอิระวดีมาตีกรุงอังวะพม่า เลยไปถึงชายแดนอินเดีย ส่งทัพเรือไปยึดอ๊วกนั๊ม ครองเวียดนามทั้งแผ่นดิน
เฉียนหลงฮ่องเต้ ปลอมองค์เป็นพ่อค้าเสด็จหัวเมืองทางใต้ พักดื่มน้ำชาในร้านอาหารเมืองตงก่วน (ติดกับกวางเจา) เสี่ยวเอ้อวางถ้วยใส่ใบชาผู่เอ๋อ แล้วยกกาทองแดงใบใหญ่ รินน้ำร้อนใส่จนถึงปากถ้วยพอดี โดยที่น้ำร้อนไม่กระเซ็นหกรดนอกถ้วย เฉียนหลงฮ่องเต้ถามเสี่ยวเอ้อว่า “เจ้าทำได้อย่างไรไม่ให้น้ำหกออกนอกถ้วย”
เสี่ยวเอ้อเล่าว่า ชงชาแบบ ฟองตากุ้ง ยกแขนสูงรินน้ำร้อนใส่ถ้วยจะเกิดฟองน้ำเท่าตากุ้ง ป้องกันไม่ให้น้ำร้อนกระเด็นออกนอกถ้วย ช่วยขับรสชาติใบชาให้หอม เฉียนหลงฮ่องเต้จึงลุกขึ้นหยิบกา รินน้ำร้อนใส่ถ้วยชามหาดเล็กทันที มหาดเล็กตกใจรีบหงายมืองอนิ้วเคาะโต๊ะ แทนการคุกเขาขอบพระทัยเจ้าเหนือหัว จึงเกิดประเพณีเคาะโต๊ะขอบคุณ เมื่อมีผู้รินน้ำชาให้
ชาวตงก่วน หรือกวางตุ้ง ทำอาหารจานใหญ่กินกันไม่หมด เฉียนหลงฮ่องเต้จึงขอกุ๊กทำอาหารจานเล็ก จะได้เสวยอาหารอร่อยครบทุกจาน จึงมีการทำอาหารจานเล็กเสิร์ฟร้อนๆ มาในซึ้งไม้ไผ่ย่อส่วน กินกับชาร้อนช่วยไล่ไขมันทำให้ไม่เลี่ยน กลายเป็นอาหารเช้าของชาวจีนทั่วโลก มีอีกหลายวัฒนธรรม ที่เกิดขึ้นจากฮ่องเต้องค์นี้ จนได้รับยกย่องเป็นเทพของชาวจีน
ผมไปตงก่วนเมื่อสิบปีที่แล้ว เจ็ดโมงเช้าทั้งเมืองเงียบสงบ แต่พอโผล่หน้าเข้าไปในภัตตาคารติ่มซำ ต้องตกใจกับชาวกวางตุ้งเต็มห้องโถงใหญ่ เสียงสั่งอาหาร อาซิ้มเข็นรถติ่มซำให้ลูกค้าเลือกชิม อาหารติ่มซำทยอยออกมาไม่ขาด ติ่มซำอร่อยราคาถูก ตงก่วนจึงเป็นเมืองผลิตพ่อครัวติ่มซำ ส่งไปเป็นกุ๊กที่ฮ่องกงและไชน่าทาวน์ทั่วโลกครับ
แสงสีรุ้ง ติ่มซำสูตรโรงแรม
ผมเลิกกินติ่มซำตั้งแต่เข่งละ 10 บาทกำลังฮิต โรงแรมแถวราชเทวีติ่มซำอร่อยมาก พอเป็นบุฟเฟ่ต์ติ่มซำต้องแย่งกินกับโต๊ะอื่น ผมรีบพาแม่มะลิกลับบ้านเลิกกินข้าวโรงแรมนี้ อยากกินติ่มซำอร่อยๆ ยอมเสียเงินเพิ่ม ไปกินติ่มซำดีๆ ในโรงแรมเครือดุสิตธานี บินไปกินติ่มซำข้างวัดหวังต้าเซียนฮ่องกง อร่อยถูกกว่าร้านดังที่คนไทยโพสต์อวดกันสนั่น
เชฟแป๊ะ เรียนวิธีทำติ่มซำจากเชฟฮ่องกง ที่โรงแรมดุสิตธานีเชิญมาทำติ่มซำ ให้ลูกค้าเศรษฐีชิมในห้องอาหารจีน MAY FLOWER เมื่ออาจารย์หมดสัญญากลับฮ่องกง เชฟแป๊ะลาออกมาทำอาหารจีน ตามภัตตาคารในย่านเยาวราช ล่าสุดมาเปิดสวนอาหาร ทำติ่มซำฮ่องกง อาหารจีน และอาหารไทย ให้คนทำงานบนตึกสูงได้ชิมกัน
สวนอาหารแสงสีรุ้ง มีติ่มซำอร่อยตำรับฮ่องกง ซาลาเปาหน้าแตก ไส้หมูสับ ไส้หมูแดง ไส้ครีม แป้งซาลาเปาบางเนียนนุ่ม ห่อไส้เยอะกว่าซาลาเปาทั่วไป ซาลาเปานมสด แป้งบางใสจนเห็นไส้ครีมข้างในเต็มลูก ฮะเก๋า ต้องนวดจนแป้งบางไสห่อกุ้งเนื้อหนาเต็มคำ ฝันโก๋ทรงเครื่อง ห่อกุ้งผสมหมูสับ ฝันโก๋กุยช่าย อร่อยเหมือนไปกินฝันโก๋ต้นตำรับที่ฮ่องกง
ห่ามสุยโก๋ ติ่มซำโบราณที่ทำได้เฉพาะกุ๊กฮ่องกงเท่านั้น แป้งเนียนกรอบอร่อย ลูกชิ้นกุ้งผักโสภณ เคล็ดลับอยู่ที่การใช้กุ้งแชบ๊วยล้วนๆ นวดจนเหนียวหนึบปั้นเป็นลูกชิ้น ทอดให้เนื้อกุ้งสุกหวานกรอบอร่อย บร็อคโคลีกุ้งนึ่ง ตีจนเนื้อกุ้งหนึบติดมือ ห่อบร็อกโคลีนึ่งร้อนๆ อร่อย ขาเป็ดตุ๋นซอสพริกเซี่ยงไฮ้ เคี่ยวให้เปื่อยนุ่มถึงเอ็น พริกเซี่ยงไฮ้ซึมถึงกระดูกเป็ดทุกชิ้น
เผือกทอดไส้หมูแดง อยู่ที่ฝีมือเชฟทอดให้เนื้อเผือกฟูกรอบเป็นเส้นให้ได้ ขนมผักกาด ต้องหอมกลิ่นหมูอบติดในแป้งผักกาด ฟองเต้าหู้ทอด ห่อเนื้อกุ้งผัดหน่อไม้ ขนมจีบกุ้ง ลูกโตๆ ห่อเนื้อกุ้งกรอบล้วน ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง ห่อกุ้งหมูสับหน่อไม้ ติ่มซำเนื้อกุ้งเต็มคำขายเข่งละ 40 บาทเท่านั้น
ก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้ง ก๋วยเตี๋ยวหลอดหอยเชลล์ ก๋วยเตี๋ยวหลอดหมูแดง เชฟแป๊ะนึ่งแผ่นก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ราดน้ำซีอิ๊วปรุงรสให้หอมอร่อย ขายจานละ 100 บาท ถูกกว่าไปกินที่ฮ่องกง แสงสีรุ้งขายติ่มซำสูตรฮ่องกงทุกวัน เวลา 11.00-24.00 น. ที่ ถนนนราธิวาส ซอย 26 ข้างโลตัสพระราม 3 อยากกินติ่มซำอร่อยๆ เมื่อไหร่ ไปกินได้ทันที โทร.0-2294-5273-5
-------------------------
(ตำนานแผ่นดิน : ฮ่องเต้เจ้าสำราญ ผู้ให้กำเนิดติ่มซำ : โดย ... อ.ไชยแสง กิระชัยวนิช)
sithiphong:
“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 มิถุนายน 2557 13:08 น.
-http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9570000056483-
ท่ามกลางความมืดสนิทของคืนเดือนมืด “ทีมพรานล่าผึ้ง” ของ เฉลิม กาญจนพิทักษ์ ผู้นำชุมชนเก้ากอ เดินเท้าขึ้นไปบนภูเขาบ้านเก้ากอ ต.ทอนหงส์ อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช เป้าหมายคือรังผึ้งหลวงขนาดใหญ่บนต้นยายพัด ต้นไม้เก่าแก่ 4 คนโอบ สูงร่วม 30 เมตร ยืนต้นตระหง่านมานานอย่างน้อย 2-3 ช่วงอายุคนแล้ว
รังผึ้งหลวงบนต้นยายพัดต้นนี้ได้ถูกหมายตาไว้เป็นแรมเดือนแล้ว หลังจากผึ้งป่าหรือที่รู้จักกันในชื่อผึ้งหลวงได้ “จับรัง” สร้างสะสมน้ำผึ้ง เมื่อถึงคราวเดือน 5 น้ำผึ้งป่าจะหอมหวานดังคำเปรียบเปรย “หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า” นั่นเป็นเรื่องจริง อย่างน้อยการล่าครั้งนี้จะต้องได้น้ำผึ้งป่าหอมหวานมาครองให้ได้ 9-10 ขวด
“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
“วิถีพรานล่าผึ้ง” ของชาวชุมชนแห่งนี้สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติบนเทือกเขาหลวง
คบไฟสำหรับก่อให้เกิดควันไล่ผึ้งหลวงตัวใหญ่มีเหล็กในที่มีพิษถูกทำด้วย “เปลือกไม้สามแก้ว” เป็นไม้พิษชนิดหนึ่งที่พบมากบนเทือกเขาหลวง แต่ไม่มีพิษกับคน ถูกเตรียมไว้อย่างเพียบพร้อม พร้อมทั้ง “ทอย” ที่ถูกทำขึ้นจากไม้ไผ่ตงเหลาจนแหลมคม สำหรับตอกเข้าไปในเนื้อต้นไม้เพื่อเป็นทางสำหรับป่ายปีนไปให้ถึงรังผึ้งที่หมายตาสูงไปกว่า 20 เมตรจากพื้นดิน ทุกอย่างถูกดำเนินการจนเสร็จสิ้นตามขั้นตอน
“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
พรานผึ้งลงมาจากต้นไม้รอท่าให้ “เดือนตก” จะได้เวลาที่มืดสนิทเป็นเวลาที่จะเข้าตีรังผึ้งให้ได้อย่างปลอดภัย โดยที่ไม่ถูกตอบโต้
เมื่อได้เวลาหลังจากพรานผึ้งเอ่ยปากเอ่ยคำขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง และขอรังผึ้ง น้ำผึ้งไปเลี้ยงชีวิตตามความเชื่อแล้ว จึงปีนขึ้นไปบนทอยไม้อย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ช่วยคอยจุดคบไฟโยงขึ้นไปให้ พร้อมทั้ง “แสก” สำหรับใส่ “หัวน้ำผึ้ง” และรังผึ้งที่เต็มไปด้วยตัวอ่อนโยงกลับลงมาบนพื้นดิน เพื่อเข้าสู่กรรมวิธีบีบน้ำผึ้งเช่นเดียวกับทุกฤดูกาล
“วิธีเก็บน้ำผึ้งป่ามีหลายแบบ แบบนี้เรียกว่าตอกทอยขึ้นไปบนต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ และผูกกับไม้ไผ่ขึ้นไปจนถึงรังผึ้ง หลังจากนั้นจะใช้คบไฟที่ทำจากเปลือกไม่สามแก้ว ที่เมื่อจุดแล้วจะมีควันเป็นหลัก ใช้สำหรับไล่ผึ้งออกจากรัง คบไม่มีเปลวไฟ มีเพียงสะเก็ดที่หลุดออกมาจากคบเป็นตัวล่อให้ผึ้งบินตาม” เฉลิม กาญจนพิทักษ์ อธิบาย
“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
เช่นที่เฉลิมอธิบาย พลันที่พรานผึ้งเริ่มปฏิบัติการท่ามกลางความมืด เห็นได้แค่ละอองสะเก็ดไฟจากเปลือกไม้สามแก้วกระจายเป็นสายลงมาจากคาคบไม้สูง พร้อมกับเสียงผึ้งแตกรังมาเป็นระลอกๆ ทุกคนที่อยู่ด้านล่างต้องปิดไฟฉาย หรือแหล่งกำเนิดแสงไฟใดๆ ก็แล้วแต่ นั่นหมายถึงว่าหากมีแสงไฟผึ้งที่แตกรังจะพุ่งเข้ามาโจมตีทันที
เพียงไม่ถึง 5 นาทีขั้นตอนทุกอย่างจบลง รังผึ้งถูกบรรจงโยงลงมาถึงพื้นดิน โดยมีผู้ช่วยรอรับ แล้วจึงนำไปจัดการเก็บใส่ขวดรักษาคุณภาพ
“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า การเก็บรังผึ้งแต่ละครั้งรังทั้งหมดจะถูกทำลายอย่างย่อยยับ การเก็บเอาประโยชน์จากผึ้งเหล่านี้ พรานผึ้งที่นี่ต่างรู้ดีว่าความคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นหากช่วยกันรักษา วิธีการเก็บจึงบรรจงใช้มีดปาดเอาแค่ “หัวน้ำผึ้ง” ที่อยู่บนรวงผึ้งเท่านั้น และเหลือไว้ส่วนหนึ่งพร้อมทั้งตัวอ่อน เพื่อให้พวกมันได้ซ่อมแซมรังและออกลูกออกหลานได้ต่อไป
จึงไม่แปลกที่ต้นไม้ใหญ่แทบทุกต้นที่มีผึ้งป่ามาจับรัง เมื่อถึงฤดูกาลลูกหลานของผึ้งจะมาทำรังที่เดิมอย่างน่าเหลือเชื่อ ชาวชุมชนที่นี่จึงมีน้ำผึ้งป่าเก็บออกจำหน่ายได้ทุกปี
“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
หลังจากได้รังผึ้งและรวงผึ้งมาแล้ว ขั้นตอนของการเก็บแยกเอาน้ำผึ้งจึงเริ่มขึ้น รวงผึ้งที่เต็มไปด้วยน้ำผึ้งถูกแยกออกไว้เฉพาะ แล้วจึงทำการบีบคั้น ก่อนกรองเฉพาะน้ำผึ้ง แยกสิ่งที่ไม่ต้องการออก แล้วจึงบรรจุขวด ส่วนรังตัวอ่อนและไขผึ้ง พร้อมทั้งนมผึ้ง คือสารอาหารสำคัญที่มีคุณค่าสูง และนับเป็นสมุนไพรชั้นดีเยี่ยมถูกเก็บไว้ต่างหาก
ตัวอ่อนผึ้งมีกรรมวิธีการรับประทานตามแต่ถนัด บ้างรับประทานสดพร้อมกับน้ำผึ้ง หรือไปประกอบอาหารเพิ่มความเผ็ดร้อนตามพอใจ
“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
เฉลิม กาญจนพิทักษ์ ยังบอกอีกว่า ปีนี้เป็นปีทองของวงการผึ้งใน ต.ทอนหงส์ทีเดียว จากความแห้งแล้งยาวนานกว่าทุกปี ชาวบ้านได้จัดทีมเก็บน้ำผึ้งป่าที่มีเป็นจำนวนมากกว่า 20 ทีม เท่าที่สำรวจในขณะนี้มีการเก็บน้ำผึ้งได้แล้วมากกว่า 7 พันขวด จำหน่ายขวดละ 500-1,000 บาท สร้างรายได้ให้อย่างเป็นประวัติการณ์ ขณะนี้มีเม็ดเงินเข้ามาในพื้นที่แล้วกว่า 3.5-4 ล้านบาท
“ที่สำคัญหลังจากฤดูแล้งแล้วจะมีช่วงที่ชาวบ้านออกหาน้ำผึ้งป่าอีกช่วงคือ เดือน 7-8 ช่วงนี้ในวงการน้ำผึ้งจะรู้ว่าเป็นน้ำผึ้งที่หายาก และมีคุณค่าสูงสำหรับสรรพคุณทางยาคือ ‘น้ำผึ้งขม’ ซึ่งจะเป็นน้ำผึ้งที่มีรสชาติขม อันเกิดจากผึ้งเก็บเอาเกสรดอกไม้และน้ำหวานจากดอกไม้ที่มีรสขม เช่น บอระเพ็ด และพืชที่เป็นสมุนไพรหลายอย่าง น้ำผึ้งประเภทนี้จะมีราคาสูงถึงขวดละกว่า 1 พันบาท และเป็นที่ต้องการสูงมากของตลาด” หัวหน้าทีมล่าผึ้งเล่าให้ฟัง
“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
เกรียงศักดิ์ รักษ์ศรีทอง นายอำเภอพรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช ออกสำรวจความเป็นผู้ของชุมชนที่เขาดูแล และติดตามทีมพรานผึ้งไปดูถึงวิถีชีวิตคนกับป่าที่ผสมกันได้อย่างกลมกลืน เขาบอกว่าอำเภอได้มีการเก็บข้อมูลการหาน้ำผึ้งป่าของชาวบ้าน พบว่า ในฤดูกาลนี้ชาวบ้านสามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัวสูงมาก ที่สำคัญได้แสดงให้เห็นว่าพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์อย่างน่าพอใจ และต่างช่วยกันอนุรักษ์แบบพึ่งพาอาศัยกันจนมีความยั่งยืน
ชาวบ้านต่างดูแลกันและกัน ระมัดระวังกันเองเรื่องคุณภาพของสินค้าที่หามาได้ ไม่มีการปลอมปน ทุกขวดที่บรรจุน้ำผึ้งป่าออกไปขายจะเป็นน้ำผึ้งแท้ทั้งหมด หากใครปลอมปนเจือปนออกมาเขาก็จะล้มละลายในอาชีพหาน้ำผึ้งไปเลย ขณะที่ทางราชการนั้นได้ช่วยส่งเสริมให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อให้ทรัพยากรธรรมชาติมีความยั่งยืน ชุมชนมีความสุข” นายอำเภอพรหมคีรีกล่าวทิ้งท้าย
สนใจลองติดต่อไปยัง อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช
เรื่อง/ภาพโดย…กฤษณะ ทิวัตถ์สิริกุล
sithiphong:
อยากรู้ไหม “ขนมครก” เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
-http://club.sanook.com/39675/%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1-%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%81-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%82/-
เชื่อว่าพวกเราทุกคนคงรู้จักและชื่นชอบ “ขนมครก” กันทุกคน เนื่องด้วยรสชาติที่อร่อย และหาซื้อได้ง่ายราคาไม่แพง จึงทำให้ขนมครกนั้นเป็นที่ชื่นชม และนิยมของคนทุกเพศทุกวัย แต่อยากรู้กันไหมคะว่า แท้จริงแล้วนั้นกว่าจะเป็นขนมครกได้ มีเส้นทางเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ขนมครก เป็นขนมโบราณของไทยชนิดหนึ่ง ซึ่งทำมาจากแป้ง น้ำตาล และกะทิ เวลาจะทำก็จะเทส่วนผสมลงบนเตาหลุม ซึ่งอาจจะเป็นเตาถ่าน หรือเตาแก๊สในปัจจุบัน ซึ่งเชื่อว่าขนมครกนั้นเป็นขนมของไทยที่มาช้านานตั้งแต่สมัยโบราณ นอกจากนี้ขนมครกยังพบในประเทศต่างๆ เช่น พม่า ลาว และอินโดนีเซีย ซึ่งชาวอินโดนีเซีย จะเรียกว่า “เซอราบี” (serabi)
มีหลักฐานว่าขนมครกเป็นที่นิยมมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เพราะมีการทำเตาขนมครกขายตั้งแต่ยุคนั้น ซึ่งแต่เดิมขนมครกใช้ข้าวเจ้าแช่น้ำโม่รวมกับหางกะทิ ข้าวสวย และมะพร้าวทึนทึกขูดฝอย และผสมเกลือเล็กน้อยใช้สำหรับทำเป็นตัวขนม ส่วนหน้าของขนมครกจะเป็นหัวกะทิ ขนมครกชาววังจะมีการดัดแปลงหน้าขนมครกให้แปลกไปอีก เช่น หน้ากุ้ง (แบบเดียวกับข้าวเหนียวหน้ากุ้ง) หน้าไข่ หน้าหมู (แบบเดียวกับไส้ปั้นสิบ) หน้าเผือก หน้าข้าวโพด หน้าต้นหอม
ข้อมูลอ้างอิง จาก Wikipedia
ภาพประกอบ จาก Thinkstockphotos
sithiphong:
คลินิกเกษตร
-http://ch3.sanook.com/10229/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7-
ผักที่ไม่ควรบริโภคดิบๆ
ผักที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวัน มีบางชนิดที่ไม่ควรรับประทานดิบๆ ในปริมาณมาก เพราะอาจจะส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงอย่างท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้ บางชนิดหากรับประทานดิบๆ ไป ก็มีผลต่อร่างกายมากกว่าที่เรารู้
1. ผักตระกูลกะหล่ำปลี ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำปลีดอก บร็อกโคลี เพราะผักชนิดนี้มีสารกอยโตรเจน ซึ่งไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ในการจับไอโอดีน
2. ถั่วฝักยาว ยิ่งเป็นถั่วฝักยาวดิบด้วยแล้วจะมีแก๊สค่อนข้างสูงโดยเฉพาะแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ท้องอืด
3.ถั่วงอก ที่หลายคนชอบใส่ในก๊วยเตี๋ยวหรือผัดไท ในถั่วงอกดิบมีสารพิษธรรมชาติชื่อ ไฟเตด ทำให้ขัดขวางการดูดซึมของสารบางชนิดได้
4. ผักโขม ไม่ควรกินดิบเพราะกรดในผักโขมจะขัดขวางการดูดซึมของธาตุเหล็ก
5. หน่อไม้ มันสำปะหลัง มีสารไซยาไนด์สูง มีผลต่อระบบประสาท ทำให้มึนงงได้ ผู้บริโภคควรนำไปต้มน้ำทิ้งก่อนนำมาปรุงอาหาร
คลิป ติดตามดูจากลิงค์ครับ
http://ch3.sanook.com/10229/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version