33.เรื่องพระโชติกเถระพระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพระโชติกเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
โยธ ตณฺหํ เป็นต้น
โชติกเศรษฐี เป็นเศรษฐีที่มีชื่อเสียงมาก ในกรุงราชคฤห์ เขาพำนักอยู่ในปราสาท 7 ชั้น มีกำแพงแก้ว 7 ประการล้อมรอบ มีซุ้มประตูทางเข้าประสาทอยู่ 7 ซุ้ม และมีขุมทรัพย์ในบริเวณประสาท 4 ขุม ในเวลาจะหุงหาอาหารโชติกเศรษฐีก็มิได้ใช้เตาและหม้อธรรมดาเหมือนคนอื่น แต่ใช้เตาและหม้อหุงต้มอาหารอัตโนมัติเรียกเป็นภาษาในสมัยนั้นว่า “
ปาสาณา” เตาหุงข้าวชนิดนี้ไฟจะติดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ และเมื่อข้าวหรืออาหารสุกแล้ว ไฟก็จะดับเอง เมื่อไฟดับก็แสดงว่าข้าวหรืออาหารนั้นสุกแล้ว นอกจากนั้นแล้ว โชติกเศรษฐีก็ยังมีภรรยาที่งดงามมาก ซึ่งได้มาจาก
อุตตรกุรุทวีป ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศจะนิยมเข้าไปชมปราสาทของโชติกเศรษฐีเพราะต่างต้องการเห็นความร่ำรวย ความมีทรัพย์มาก และความมีชีวิตที่ฟุ่มเฟือยของเศรษฐีผู้นี้
อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าพิมพิสาร ได้เสด็จมาทอดพระเนตรปราสาทของเศรษฐีนี้ และพระองค์ได้นำเจ้าชายอชาตศัตรูพระโอรสตามเสด็จมาด้วย เมื่อเจ้าชายอชาตศัตรูทอดพระเนตรเห็นความอลังการของปราสาท เห็นสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลาย และเห็นทรัพย์สมบัติที่ล้ำค่าในปราสาท
ก็ได้มีความริษยาดำริว่า เมื่อใดก็ตามที่พระองค์ได้เสวยราชสมบัติ ก็จะไม่ยอมให้โชติกเศรษฐีผู้นี้มีชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยอยู่ในปราสาทหลังนี้ เมื่อพระเจ้าพิมพิสารเสด็จออกจากปราสาท โชติกเศรษฐีได้ทูลเกล้าถวายเพชรนิลจินดาที่มีค่ามากแด่พระราชา ตามประเพณีที่เศรษฐีโชติกทำเป็นประจำแก่แขกที่เข้ามาเยี่ยมเยียนปราสาทของเขา
เมื่อเจ้าชายอชาตศัตรู ขึ้นครองราชย์สมบัติภายหลังปลงพระชนม์พระบิดาคือพระเจ้าพิมพิสารแล้ว ก็ได้ทรงนำกองทหารจะไปยึดปราสาทของโชติกเศรษฐี แต่เนื่องจากประตูทางเข้าปราสาททุกด้านมียักษ์รักษาการอยู่ พระเจ้าอชาตศัตรูจึงมิอาจจะนำกองทหารเข้าไปในปราสาทได้ พระองค์ต้องรีบถอนกำลังทหารออกมา แล้วเสด็จไปที่วัดพระเชตวัน เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นโชติกะเศรษฐีกำลังนั่งฟังธรรมของพระศาสดาอยู่ จึงได้ตรัสว่า “
คฤหบดี ท่านให้คนของท่านออกมาสู้รบกับกองทหารของข้าพเจ้าแล้ว ก็รีบมาทำทีว่านั่งฟังธรรมอยู่แบบนี้หรือ” พอได้ฟังเช่นนี้ โชติกเศรษฐีก็รู้ได้ในทันทีว่าพระเจ้าอชาตศัตรูยกกองกำลังไปเพื่อจะยึดปราสาทของตน แต่ต้องถอยร่นออกมาเพราะต้านทานกับฝ่ายยักษ์ที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่ไหว
ในพระคัมภีร์กล่าวว่า ในอดีตชาติ โชติกเศรษฐีผู้นี้ ได้ทำบุญทำกุศลไว้มาก และได้เคยอธิษฐานจิตตั้งความปรารถนาไว้ว่า
ขออย่าให้ใครสามารถมาแย่งชิงสมบัติใดๆของเขาไปได้ หากเขาไม่เต็มใจที่จะยกให้ ดังนั้น โชติกเศรษฐีจึงกราบทูลพระเจ้าอชาตศัตรูว่า “ข้าแต่สมมติเทพ แม้พระราชาตั้งพัน ก็ไม่สามารถเพื่อจะยึดเอาปราสาทของข้าพระองค์ได้ หากข้าพระองค์ไม่เต็มใจจะยกให้” เมื่อกราบทูลเช่นนี้แล้ว โชติกเศรษฐีก็ได้ยื่นนิ้วมือทั้ง 10 นิ้วที่มีแหวนสวมอยู่ 10 วงให้พระราชาทรงทดลองรูดออกมาจากนิ้วดู พระราชาแม้จะทรงพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถจะรูดแหวนออกมาจากนิ้วมือของเศรษฐีได้ คราวนี้โชติกเศรษฐีทดลองใหม่ โดยกราบทูลพระราชาให้ทรงปูผ้าไว้ แล้วเศรษฐีก็วางมือลงที่ผ้าผืนนั้นและแบมือออก ปรากฏว่า แหวนทุกวงก็ลื่นไหลออกมาจากนิ้วของเศรษฐีอย่างง่ายดาย หลังจากที่ได้ถวายแหวนแด่พระเจ้าอชาตศัตรูแล้ว โชติกเศรษฐีได้กราบทูลขอบวชจากพระศาสดา เมื่ออุปสมบทเป็นภิกษุแล้วไม่นาน ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย เรียกพระโชติกเถระมาถามว่า “
ท่านโชติกะ ตัณหาในปราสาทหรือในหญิงนั้นของท่านยังมีอยู่หรือ” เมื่อท่านบอกว่า “
ไม่มีแล้วท่าน” จึงกราบทูลพระศาสดาว่า “
พระเจ้าข้า พระโชติกะนี้ กล่าวไม่จริง อวดอ้างว่าเป็นพระอรหันต์”
พระศาสดาตรัสว่า “
ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเรา ไม่มีตัณหาในปราสาทหรือในหญิงนั้นแล้ว” จากนั้น พระศาสดาได้ตรัส
พระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
โยธ ตณฺหํ ปหนฺตฺวาน
อนาคาโร ปริพฺพเช
ตณฺหาภวปริกฺขีณํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯผู้ใด ละตัณหาในโลกนี้ได้แล้ว
เป็นผู้ไม่มีเรือน เว้นเสียได้
เราเรียกผู้นั้น ซึ่งมีตัณหาและภพอันสิ้นแล้ว
ว่า เป็นพราหมณ์.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
34. เรื่องภิกษุผู้เคยเป็นนักฟ้อนรูปที่ 1พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภภิกษุผู้เคยเป็นนักฟ้อนรูปที่ 1 ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
หตฺวา มานุสกํ เป็นต้น
ในสมัยหนึ่ง ดารานักแสดงคนหนึ่ง ออกตระเวนไปเปิดแสดงร้องรำทำเพลงไปตามถนนหนทาง แล้วได้มีโอกาสได้ไปฟังธรรมของพระศาสดา หลังจากได้ฟังธรรมแล้วก็ได้เข้าอุปสมบทเป็นภิกษุ และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อพระอดีตดารานักแสดงนั้นออกไปบิณฑบาตกับภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ภิกษุทั้งหลายเห็นบุตรของดารานักแสดงคนหนึ่ง จึงได้ถามพระอดีตดารานักแสดงนั้นว่า
ยังมีความเยื่อใยในอาชีพการแสดงอยู่หรือไม่ เมื่อพระอดีตดารานักแสดงตอบว่า “
ไม่มีแล้ว” จึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระศาสดาว่า พระอดีตดารานี้อวดอ้างตนว่าเป็นพระอรหันต์ด้วยความไม่จริง พระศาสดาได้ตรัสว่า “
ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราก้าวล่วงกิเลสเครื่องประกอบทั้งปวงได้แล้ว” จากนั้น พระศาสดาได้ตรัส
พระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
หิตฺวา มานุสกํ โยคํ
ทิพฺพํ โยคํ อุปจฺจคา
สพฺพโยควิสํยุตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯผู้ใด ละกิเลสเครื่องประกอบอันเป็นของมนุษย์
ล่วงกิเลสเครื่องประกอบอันเป็นของทิพย์ได้แล้ว
เราเรียกผู้นั้น ซึ่งพรากกิเลสเครื่องประกอบทั้งปวงได้แล้ว
ว่า เป็นพราหมณ์.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.