แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

@ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก

<< < (30/31) > >>

ฐิตา:


         

๑๐๔.วางลงตั้งนานแล้ว

พระอาจารย์และพระอีกรูปหนึ่งขณะที่เดินทางจะข้ามคลองแห่งหนึ่ง
เนื่องจากช่วงนั้นเป็นหน้าฝน น้ำในคลองจึงลึกมากกว่าปกติ เห็น
หญิงสาวแต่งกายด้วยผ้าไหมสวยงามคนหนึ่ง ยืนลังเลและไม่กล้า
จะข้ามไป เพราะไม่แน่ใจว่าน้ำในคลองนั้นจะลึกแค่ไหน

พระอาจารย์จึงอุ้มหญิงสาวนั้นข้ามน้ำไป พระอีกรูปหนึ่งเห็นสภาพนั้น
แล้วรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก เก็บความอึดอัดใจไว้จนค่ำจึงพูดขึ้นว่า
“พวกเราบรรพชิตไม่ควรจะเข้าใกล้หญิงสาว และยิ่งเป็นสาวแรกรุ่น
และสวยงามก็จะยิ่งเป็นอันตรายมากเพิ่มขึ้นไปอีก ทำไมท่านถึง
ล่วงละเมิดต่อศีลเช่นนี้?”

“ เจ้าพูดถึงหญิงสาวที่ข้ามคลองคนนั้นหรือ?
ข้าวางหล่อนลงตั้งนานแล้ว
ทำไมเจ้าถึงยังอุ้มหล่อนอยู่อีก”

           

ฐิตา:


               

๑๐๕. ไม่มีเวลาแก่

มีพระรูปหนึ่ง หลังจากที่ไปศึกษาเล่าเรียนและไปฝึกปฏิบัติธรรมตามสำนักต่างๆ
ผ่านไปถึง 20 ปี ก็กลับมาอยู่กับพระอาจารย์ฝ๋อกวงตามเดิม

เมื่อกลับมาถึงก็บอกเล่าทุกข์สุขและสิ่งที่ได้เล่าเรียน เพื่อที่จะให้พระอาจารย์ทดสอบ
ว่าตัวเองปฏิบัติธรรมไปถึงไหนแล้ว พระอาจารย์นั่งฟังอย่างตั้งใจ ด้วยแววตาที่เต็ม
ไปด้วยเมตตาจิต

แล้วลูกศิษย์ก็ถามพระอาจารย์ว่า “20ปีที่ผ่านมานี้ ท่านอาจารย์ทำอะไรไปบ้าง?”
“ทุกวันอาจารย์ก็สอนศิษย์ บรรยายธรรม เขียนคัมภีร์ รู้สึกถึงสิ่งดีงามของทุกวัน
ทุกๆวันก็ทำแต่สิ่งที่เป็นสาระประโยชน์ และมีความสุข”

“พระอาจารย์ทำอย่างนี้เหนื่อยและหนักเกินไปแล้ว ควรจะต้องนึกถึงการพักผ่อน
บ้าง ดูแลร่างกายและสุขภาพ มิฉะนั้นท่านจะต้องแก่แน่ๆ”

พระอาจารย์ตอบว่า “ข้าไม่มีเวลาแก่ กลางวันต้องคอยต้อนรับและบรรยายธรรม
ให้กับผู้มีจิตศรัทธา กลับมาที่ห้องพักยังต้องคอยอ่านข้อความที่ลูกศิษย์เขียนมา
ถามธัมมะ แล้วยังต้องเขียนคัมภีร์ ทุกวันก็ต้องอยู่กับสิ่งที่ทำที่ไม่รู้จักหมด แล้วไหน
จะยังมีเวลาที่รู้สึกว่าแก่ ? คนบางคนแม้จะยังหนุ่มแน่น แต่กายและจิตที่อ่อนล้า
ก็รู้สึกว่าตัวเองแก่แล้ว บางคนอายุมากแล้วแต่ในจิตยังกล้าแกร่ง ยังรู้สึกมีกำลัง
วังชาเต็มเปี่ยม สุขภาพดีเยี่ยม”

ตอนรุ่งสางพระรูปนั้น ได้ยินเสียงสวดมนต์และเสียงเคาะปลาไม้แว่วแผ่วมา
การปฏิบัติตนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของพระอาจารย์โดนจิตให้กับพระรูปนั้น
ยิ่งนัก ในหูยังเหมือนกับได้ยินพระอาจารย์พูดว่า “ข้าไม่มีเวลาแก่”
การใช้ชีวิตและปฏิบัติตนเช่นนี้ทำให้ผู้คนศรัทธาและเลื่อมใสยิ่งนัก

               

ฐิตา:


               

๑๐๖. พระอาจารย์กับขอทาน

มีขอทานที่มีแขนเพียงข้างหนึ่ง มาขอทานที่วัดกับพระอาจารย์ท่านหนึ่ง
พระอาจารย์พูดขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจและชี้ไปที่กองอิฐที่อยู่ริมกำแพงวัดว่า
“เจ้าขนย้ายกองอิฐนี้ไปที่หลังวัดก่อน”

ขอทานนั้นพูดขึ้นมาอย่างขัดเคืองว่า “ข้าพเจ้ามีแขนเพียงข้างเดียว จะย้าย
อิฐเหล่านี้ได้อย่างไร? ไม่อยากจะให้ ก็ไม่ต้องให้ ทำไมต้องกลั่นแกล้งกันด้วย?”
พระอาจารย์ไม่พูดอะไร แต่ใช้แขนข้างหนึ่งยกอิฐขึ้นมาแล้วพูดว่า
“งานอย่างนี้ มีแขนข้างเดียวก็ทำได้”

ขอทานนั้นจึงใช้แขนข้างเดียวนั้นยกอิฐ ใช้เวลาไป 2 ชั่วโมง ถึงจะขนย้ายอิฐนั้นหมด
พระอาจารย์จึงให้เงินกับขอทานนั้นไป ขอทานนั้นกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง
“ไม่ต้องมาขอบคุณข้า เงินเหล่านี้เป็นค่าแรงของเจ้า”
“ข้าพเจ้าไม่มีวันลืมท่าน”พูดจบก็แสดงความคารวะอย่างจริงใจ แล้วลาจากไป

ผ่านไปสักระยะหนึ่งก็มีขอทานอีกคนหนึ่งมาขอทานที่วัด พระอาจารย์พาเขาไปที่
กองอิฐหลังวัด แล้วชี้ไปที่กองอิฐพร้อมกับพูดว่า
“ย้ายกองอิฐไปที่หน้าวัดแล้วจะจ่ายค่าแรงให้”
ขอทานที่มีแขนขาครบกับมองอย่างเหยียดหยามแล้วเดินจากไป

เหล่าลูกศิษย์ไม่เข้าใจถามพระอาจารย์ขึ้นมาว่า “ครั้งก่อนให้ขอทานย้ายอิฐจากหน้าวัดไปหลังวัด
ครั้งนี้สั่งย้ายจากหลังวัดไปหน้าวัด ท่านต้องการจะให้อิฐไปไว้ที่ไหน?”
“อิฐจะไว้ด้านหน้าหรือด้านหลังก็เหมือนกัน แต่การจะเคลื่อนย้ายหรือไม่นั้น
ในแง่ของขอทานย่อมจะต่างกัน” พระอาจารย์ตอบ

หลายปีผ่านไป มีคหบดีท่านหนึ่งมาที่วัดลักษณะท่าทางดูสง่างาม แต่ที่ขาดก็คือ
มีแขนเพียงข้างหนึ่ง เขาคือผู้ที่ใช้แขนข้างเดียวเคลื่อนย้ายอิฐ ตั้งแต่พระอาจารย์
ใช้ให้เขาทำงาน เขาถึงรู้คุณค่าของตัวเอง หลังจากนั้นก็อาศัยตัวเองต่อสู้อุปสรรค
ต่างๆจนประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ขอทานที่มีแขนขาครบ ยังคงขอทานตลอดไป

               

ฐิตา:


               

๑๐๘. หานซานกับสือเต๋อ

หานซานเป็นอุบาสกที่อาศัยอยู่ในวัด ไม่ได้บวช ไม่ได้ปฏิบัติธรรม
ได้แต่แต่งกลอนผ่านไปวันๆ ไม่ได้สนใจแม้จะกินข้าวปลาอาหาร
บางครั้งไปกินข้าวที่เหลือๆจากในครัว จึงทำให้รู้จักและสนิทสนม
กับสือเต๋อซึ่งทำงานอยู่ในครัว พวกเขาพูดคุยได้ทุกเรื่อง บางครั้ง
สนุกสนานจนลืมตัว พระและคนในวัดต่างก็คิดว่าสองคนนี้ ไม่ค่อยจะเต็ม

วันหนึ่งขณะที่สือเต๋อกวาดลานวัดอยู่ ภิกษุชรารูปหนึ่งถามเขาว่า
“ชื่อของเจ้าคือสือเต๋อ เป็นชื่อที่ท่านเจ้าอาวาสตั้งให้ แปลว่าเก็บได้
เพราะท่านเก็บเจ้ามาจากในป่า แล้วชื่อจริงของเจ้าคืออะไร?”

               

สือเต๋อวางไม้กวาดแล้วไม่พูดอะไร แต่ในใจเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
ภิกษุชราก็รู้สึกไม่ค่อยดี จึงไม่ได้ถามอะไรต่อไป แล้วก็เดินเลี่ยงไป

หานซานอยู่ใกล้กับที่นั่นพอดี จึงทุบอกแล้วส่งเสียงดังว่า “สวรรค์ สวรรค์”
สือเต๋อจึงถามว่า “เจ้าตะโกนอะไร?”
“บ้านทางทิศตะวันออกมีคนตาย แต่ไปแขวนพวงหรีดที่บ้านทางทิศตะวันตก
เจ้าไม่เคยได้ยินคำนี้หรือ?”
ว่าแล้วทั้งสองก็หัวเราะเสียงดัง กระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน

                 

ทุกๆเดือนที่วัดจะจัดให้มีการปฏิบัติและบรรยายธรรม หานซานและสือเต๋อ
ก็มักจะอยู่ร่วมปฏิบัติด้วยเสมอ ขณะเมื่อทุกคนสวดมนต์เสร็จแล้ว
สือเต๋อพูดขึ้นว่า “พวกเจ้ามาสวดมนต์ทุกๆเดือน ทุกๆวัน สวดได้อะไรขึ้นมาบ้าง?”
ผู้บรรยายธรรมวันนั้นโกรธมาก พร้อมกับด่าว่าต่างๆนานา
หานซานซึ่งอยู่ที่นั่นด้วยพูดขึ้นว่า

“ข้าเคยได้ยินมาว่า ไม่โกรธคือการถือศีล จิตสงบคือการถือบวช
ท่านพูดจาทำร้ายจิตใจคน จิตเดิมแท้ของพวกเราก็เหมือนกับจิต
ของท่าน เพียงแต่เราไม่ได้ผ่านพิธีการบวชก็เท่านั้น”

               

ฐิตา:


                 

๑๐๙. ชงชา

ขณะที่พระศิษย์พี่รูปหนึ่งกำลังยกยามาให้พระศิษย์น้องที่นอนป่วย
อยู่บนเตียง พูดขึ้นว่า “ถึงเวลากินยาแล้ว ศิษย์น้อง”
ศิษย์น้องค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ ถ้าหากทิ้งเปลือก
เปล่าๆนี้แล้ว พวกเรายังจะพบกันได้ที่ไหนอีก?”
ศิษย์พี่ยิ้มๆแล้วพูดว่า “ที่ที่ไม่เกิดไม่ดับ แล้วแต่กรรมสัมพันธ์จะพาไป”

“ท่านทำไมถึงพูดจาไม่สร้างสรรค์เลย ทำไมไม่พูดว่า ในจักรวาล
นี้ทุกแห่งหนล้วนแต่มีกรรมสัมพันธ์ เมื่อทุกๆที่เราก็พบกันได้ ทำไม
จะต้องมาจำกัดว่าจะต้องไปพบกันที่ๆไม่เกิดและไม่ดับ”



ศิษย์พี่ได้ยินพูดอย่างนั้นแล้ว ก็ไม่พูดอะไร ลุกขึ้นยืนแล้วหยิบหมวก
ทำท่าจะเดินออกไป ศิษย์น้องจึงถามว่า “หยิบหมวกทำไม?”
“กันลมกันฝน ใช้ประโยชน์ได้เองแหละ”
“เมื่อออกไปข้างนอก ลมพัดทีเดียวก็บินไปแล้ว แล้วจะทำอะไรได้
แล้วกายเนื้อรวมทั้งเปลือกนอกนี้ เมื่ออนิจจังของ
ความเป็นความตายมาถึง ไม่ใช่กลายเป็นเถ้าถ่านสูญสลายไปหรือ?”

                       
                       

“อย่างน้อยก็ยังพอจะมีอะไรปกปิด คงจะมีประโยชน์อะไรบ้างหรอก” ศิษย์พี่ตอบ
“ชีวิตใหญ่อย่างนี้ จะปกปิดอะไรได้สักเท่าไหร่”
“ศิษย์น้อง แม้ชีวิตคนเราจะดูเหมือนว่างเปล่า ไม่มีอะไรน่า
จะเหลือไว้ให้อาลัยอาวรณ์ แต่อย่างน้อยก็ควรจะมีชีวิตอยู่อย่าง
ให้มีรสชาติของการไม่ยึดติดและกังวล ทำอย่างนี้ถึงจะมีความหมาย
ของชีวิตที่ไม่ดับชั่วนิรันดร์”

             

ศิษย์น้องได้ฟังแล้วก็ค่อยๆลุกจากเตียง ไปหยิบใบชาจากลิ้นชัก
ลงใส่กาแล้วเติมน้ำ ศิษย์พี่เห็นแล้วรีบเข้าไปประคอง
“เจ้าคิดจะทำอะไร? ยังไม่หายไข้ลงจากเตียงทำไม
รีบกลับไปนอนเถิด”
“ข้าจะชงชา”
“ชงชา ชงให้ใครดื่ม?”
“มีคนหนึ่งจะดื่ม”
แล้วทำไมคนนั้นเขาไม่ชงเอง”
ดีนะ ที่ข้ายังมีเปลือกเปล่าอันนี้อยู่ ยังอยากมีชีวิตอยู่อย่างมีรสชาติ

                   

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version