สีผิวคนไทย เหนือกว่าใครในโลก ไปเปลี่ยนสีผิวกันทำไม?
วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม 2555 เวลา 10:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/article/440/172491-
ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์, พลโท นพ.กฤษฎา ดวงอุไร, พ.ต.หญิง พญ. ภิญญาพัชร์ คเนจร ณ อยุธยา
เมื่อกันยายนที่ผ่านมา สื่อชื่อดังของอังกฤษ อย่าง เดอะ การ์เดียน เล่นข่าวในทำนองว่า สาวไทยกำลังมีค่านิยมผิดเกี่ยวกับเรื่องสีผิว ต้องการปรับเปลี่ยนสีผิวให้ดูขาวอย่างสาวญี่ปุ่นและเกาหลี โดยสื่อดังกล่าวตั้งข้อสังเกตจากการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผิวในเมืองไทย ต่างก็อวดอ้างสรรพคุณว่า สามารถปรับเปลี่ยนให้ผิวขาวกระจ่างขึ้นได้ภายในระยะเวลารวดเร็ว ทั้งยังมิได้มีแค่ใช้ปรับผิวหน้าหรือผิวตัวเท่านั้น แม้กระทั่งจุดซ่อนเร้นก็ยังมี
ผิดไหม ถ้าอยากมีผิวขาว?...พลโท นพ.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ระบุว่า ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องมีสติ ที่สำคัญสาวไทยควรเข้าใจว่า เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ทำให้คนเรามีสีผิวต่างกัน และไม่อาจเปลี่ยนสีผิวได้อย่างถาวร
การที่คนต่างเชื้อชาติ ต่างเผ่าพันธุ์มีสีผิวไม่เหมือนกันนั้น มีปัจจัยสำคัญอยู่ข้อหนึ่ง คือ ถิ่นฐานที่อยู่ หากอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร สภาพอากาศก็จะเป็นเมืองร้อน แดดแรง ส่งผลให้ร่างกายต้องปรับตัว โดยจะมีการสร้างเม็ดสีขึ้นมามาก เพื่อเป็นเสมือนเกราะป้องกันผิวไหม้ เกิดริ้วรอย และมะเร็งผิวหนัง ฉะนั้น ประเทศใกล้เส้นศูนย์สูตร เช่น ไทย อินโดนีเซีย มาเลย์เซีย ผิวของผู้คนในประเทศดังกล่าวจึงมีสีออกเข้ม เพราะมีเม็ดสีมาก
หากแบ่งความแตกต่างของสีผิวตามหลักทางการแพทย์แล้ว สามารถแยกได้ 6 ชนิด โดยชนิดที่ 1 ถือเป็นผิวที่ขาวที่สุด ชนิดถัดจากนั้น ผิวจะมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ และที่ดำที่สุดคือชนิดที่ 6
พวกที่มีสีผิวชนิดที่ 1 เป็นของคนที่อยู่แถบขั้วโลก พวกเขามีผิวที่ขาวมาก แต่จะสร้างเม็ดสีได้ไม่ค่อยดี ไม่สามารถป้องกันผิวไหม้ได้ ขณะที่ดำที่สุดอย่างชนิดที่ 6 พบในผู้คนแถบเส้นศูนย์สูตร อย่างชาวนิโกร สำหรับผิวของคนไทยหรือแถบเอเชีย ถือว่าเป็นผิวที่ชนิด 3-5 มีการสร้างเม็ดสีได้ดี ผิวสวย ผิวแข็งแรง ริ้วรอยมาช้า มีเพียงแค่ปัญหาฝ้าเท่านั้นที่เกิดขึ้นได้ง่าย
หากถามว่า ทำไมสาวไทยจึงอยากเปลี่ยนสีผิวให้ขาวอย่างสาวญี่ปุ่นและเกาหลี? พ.ต.หญิง พญ. ภิญญาพัชร์ คเนจร ณ อยุธยา อนุกรรมการประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ เชื่อว่า น่าจะเป็นเพราะอิทธิพลจากนักแสดงและนักร้องญี่ปุ่น-เกาหลี ประกอบกับการโฆษณาผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งต่างๆ มักพยายามชี้ว่า โอกาสที่ดีเป็นของคนผิวขาวเท่านั้น
ในอดีต เรื่องราวในทำนองนี้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโรมัน ฝรั่งแถบยุโรป มีความเชื่อว่า ขาวคือความดี ดำคือสิ่งไม่ดี โดยไม่มีตรงกลาง ทั้งยังส่งผลไปถึงเรื่องของสีผิวด้วย ในยุคนั้น คนขาวจะได้รับโอกาสที่ดีทางสังคมทุกด้าน ในทางตรงกันข้าม คนดำกลับถูกมองว่า เป็นทาส เมื่อเป็นเช่นนี้ คนในยุคนั้นจึงพยายามทำผิวให้ขาว
แต่แล้วค่านิยมดังกล่าวก็ค่อยๆ จางลง เมื่อ 'โคโค ชาแนล' ดีไซเนอร์แบรนด์ดังชาวฝรั่งเศส ลุกขึ้นมาปฏิวัติความคิดของผู้คน โดยชี้ว่า คนที่มีผิวขาวจวก ดูซีดเซียว ดูสุขภาพไม่ดี แต่คนที่มีผิวสีแทนต่างหากที่ดูดีกว่า จากนั้น เธอก็ยังนำนางแบบผิวสีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อนำเสนอเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ มีผลให้ความรู้สึกนึกคิดของคนเปลี่ยนไปและยอมรับคนผิวสีกันมากขึ้น
สู่ยุคปัจจุบัน ขณะที่สาวไทยกำลังคลั่งไคล้สีผิวขาวเกินธรรมชาติของตนเองนั้น ฝรั่งต่างชาติกำลังมองไปในทางลบ เห็นได้จากการตีข่าวของสื่อต่างชาติ มีนัยว่า คนเราขาดการสืบค้นข้อมูล และเชื่อคำกล่าวอ้างสรรพคุณโดยง่าย
อย่างไรก็ตาม ในคนที่อยากขาว ทางสมาคมแพทย์ผิวหนังฯ แนะให้มีสติก่อนเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ โดย ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ เตือนให้ตรวจดูส่วนผสมของผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด ที่ใช้แล้วไม่ก่ออันตรายต้องไม่มีสารต้องห้ามที่จัดว่าเป็นเครื่องสำอางผิดกฎหมาย อันประกอบด้วย ปรอท, ไฮโดรควินโนน, และกรดวิตามินเอ เนื่องจากสารเหล่านี้ใช้แล้วจะเกิดการสะสมในร่างกาย เป็นอันตรายต่อผิว โดยเฉพาะสารปรอท ก่อโรคไต ความจำเสื่อม และแขน-ขาอ่อนแรง
ดังนั้น ก่อนซื้อหรือใช้ผลิตภัณฑ์ควรตรวจสอบกับองค์การอาหารและยา (อย.) ว่า เป็นผลิตภัณฑ์ต้องห้ามหรือไม่ และควรติดตามข่าวสาร การประกาศผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง ที่ทางอย.มีการตรวจสอบอยู่สม่ำเสมอ
เมื่อทราบแล้วว่า เหตุใดคนเราจึงมีสีผิวต่างกัน การที่สาวไทยมิได้มีผิวขาวโอโม่เหมือนสาวญี่ปุ่น-เกาหลี ก็เพราะร่างกายต้องสร้างเม็ดสีขึ้นมาเป็นเกราะป้องกันรังสียูวีดังที่กล่าว หากรู้เช่นนี้แล้ว เรายังคิดจะทำลายเกราะป้องกันที่สำคัญนี้อีกหรือ?!.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์