ประชาสัมพันธ์ > การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ
รวม เตือนภัย "ปัญหาพระภิกษุ" เอ๊ย ไม่ใช่ ต้องเป็น "พระภิกษุที่มีปัญหา"
sithiphong:
สีกาลุยแฉเณรคำ พาชี้ 5จุด ที่เคยเป็นรังรัก
ทั้งกุฏิ-บ้านเช่า 'ธาริต'สั่งตรวจ ดีเอ็นเอทุกฝ่าย พิสูจน์พ่อแม่ลูก ฮึ่มเอาผิดเพิ่ม! คดีพรากผู้เยาว์
-http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNVEEzTURjMU5nPT0=§ionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE15MHdOeTB3Tnc9PQ==-
นำพิสูจน์ - สีกา"หญิง" นำเจ้าหน้าที่ดีเอสไอชี้ที่บ้านเช่าใน อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี อ้างเป็นบ้านที่หลวงปู่เณรคำเคยพามาเช่าอาศัยอยู่ด้วยกัน ในช่วง ตั้งครรภ์และมีความสัมพันธ์กัน เมื่อ 6 ก.ค.
'ดีเอสไอ' พาสีกา ชี้จุด อ้างมีสัมพันธ์ 'เณรคำ' ทั้งกุฏิในป่าช้า วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ บ้านเช่าในจ.อุบลฯโดยฝ่ายหญิงอ้างว่า ถูกพระตามจีบตั้งแต่อยู่ ม.2 โดยขับรถมารับนอกหมู่บ้าน ส่วนใหญ่จะมีสัมพันธ์กันในรถ ก่อนจะมาอยู่กันฉันสามีภรรยาที่บ้านเช่า ดีเอสไอชี้ถ้าเป็นไปตามคำให้การจะมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อีกคดี ขณะที่ธาริตสั่งตรวจดีเอ็นเอแล้ว เพื่อพิสูจน์ข้ออ้างพ่อแม่ลูก ด้านเจ้าคณะจ.อุบลฯ ถกเครียดก่อนสรุป'เณรคำ'ไปสังกัดจ.ศรีสะเกษแล้ว
จากคดีหลวงปู่เณรคำ ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม จนถูกตรวจสอบและพบบัญชีเงินฝาก 41 บัญชี และถูกสีกาออกมาแฉว่าเคยมีสัมพันธ์กัน จนมีลูกชายวัย 11 ขวบหนึ่งคน นอกจากนั้นยังพบว่ามีสัมพันธ์กับสีกาหลายคน มีทั้งไฮโซ สาวชาวบ้าน นักศึกษาสาว รวมทั้งพยาบาลร.พ.ในกรุงเทพฯ ตามข่าว
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 6 ก.ค. ที่บ้านพัก ต.น้ำเกลี้ยง อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีฉ้อโกงเงินบริจาคของพระวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก และคณะเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ เดินทางไปพบกับ น.ส.หญิง (นามสมมติ) ซึ่งระบุว่าเป็นเมียและลูกของพระชื่อดัง และลูกชายวัย 11 ขวบ โดยมีญาติพี่น้องของสามี รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ อพปร.ของ อ.น้ำเกลี้ยง มาดูแลความสงบเรียบร้อยอย่างเต็มที่
น.ส.หญิงให้การอ้างว่า รู้จักกับพระชื่อดังในช่วงที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2 ใน จ.ศรีสะเกษ เนื่องจากยายพาไปทำบุญกับพระชื่อดัง ต่อมาพระชื่อดังได้ตามจีบและบอกว่า หากยอมเป็นแฟนด้วยจะซื้อสิ่งของมีค่าที่อยากได้ให้หมด จึงหลงเชื่อและได้นัดหมายกับพระชื่อดังให้มาพบเพื่อไปเที่ยวด้วยกัน โดยพระชื่อดังจะสวมเสื้อยืด กางเกงยีนส์ สวมหมวก และใส่แว่นตา ขับรถมารับนอกหมู่บ้าน
น.ส.หญิงกล่าวอ้างอีกว่า ครั้งแรกมีเพศสัมพันธ์กันบนรถ ซึ่งพระชื่อดังได้ให้เงินจำนวนหนึ่งไว้ซื้อของใช้ จากนั้นมีความสัมพันธ์กันเรื่อยมา ส่วนมากแล้วจะเป็นที่ รีสอร์ตแห่งหนึ่งในเขต อ.วารินชำราบ จ.อุบล ราชธานี และที่บริเวณกุฏิสงฆ์ในป่าช้าบ้านยาง ซึ่งที่กุฏิหลังนี้ตนกับพระชื่อดังได้เสียกันเป็นครั้งแรก และมาร่วมหลับนอนด้วยกันบ่อยครั้ง เนื่องจากพระชื่อดังอยู่เพียงรูปเดียวในป่าช้าแห่งนี้ จากนั้นจึงมีพระรูปอื่นมาอยู่ด้วย โดยส่วนมากแล้วจะร่วมหลับนอนกันบนรถ และตามป่าละเมาะที่เป็นมุมมืด หลบเลี่ยงไม่ให้ผู้ใดพบเห็น จนกระทั่งตั้งท้องเมื่อช่วงใกล้จบ ม.3 พระชื่อดังจึงได้พาไปเช่าบ้านอยู่ที่ อ.วารินชำราบ และได้คลอดลูกที่ร.พ.ชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.อุบลราชธานี โดยใช้ชื่อญาติของตนคนหนึ่งเป็นพ่อของเด็ก
น.ส.หญิงยังให้การอ้างว่า ในระหว่างที่มาพักในบ้านเช่า พระชื่อดังจะมาพักอาศัยอยู่ด้วยเป็นประจำ และจะร่วมหลับนอนกับตน แม้ว่ากำลังอยู่ในช่วงท้องโตใกล้คลอดก็ตาม ซึ่งตนและพระชื่อดังพักอาศัยอยู่ที่บ้านเช่าแห่งนี้เป็นเวลานานประมาณ 1 ปีเศษ โดยพระชื่อดังจะมาพักหลับนอนกับตนครั้งละ 2-3 วัน เป็นประจำมาโดยตลอด หลังจากตนคลอดลูกชายแล้ว จึงได้ย้ายออกไปอยู่อื่น
น.ส.หญิงกล่าวอีกว่า ช่วงระหว่างที่ตนกับพระชื่อดังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันนั้น ยายและญาติพี่น้องทุกคนก็ทราบเรื่องนี้ และไม่มีใครว่าอะไร เนื่องจากว่าพระชื่อดังเคยดูแลญาติพี่น้องทุกคน จึงปล่อยให้มีความสัมพันธ์กันจนมีลูกชายออกมา 1 คน
น.ส.หญิงกล่าวด้วยว่า ที่ออกมาเรียกร้องกับสื่อมวลชนในครั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้พระชื่อดังออกมาแสดงความรับผิดชอบส่งเสียเลี้ยงดูลูกชายกับตนด้วย เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ได้ส่งเสียเลี้ยงดูเดือนละ 10,000 บาทมานานแล้ว โดยผ่านลูกศิษย์ของพระชื่อดังที่เป็นนายตำรวจคนหนึ่ง แต่ช่วงหลังไม่ได้โอนเงินมาให้ ล่าสุดลูกศิษย์ของพระชื่อดังให้เงินตนมาเพียง 2,000 บาทเท่านั้น ซึ่งตนพร้อมที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าลูกชายของตนเป็นลูกของพระชื่อดังแน่นอน
พ.ต.ท.พงศ์อินทร์กล่าวว่า ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงครั้งนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากน.ส.หญิง ซึ่งจะนำตัวน.ส.หญิงไปชี้จุดสถานที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นรีสอร์ตที่เคยไปร่วมหลับนอนกัน กุฏิพระสงฆ์ รวมทั้งบ้านที่เคยอยู่ และสถานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อประกอบหลักฐานในการสอบสวนเรื่องนี้ต่อไป
จากนั้นคณะของดีเอสไอนำตัวน.ส.หญิงพร้อมสามีใหม่และลูกทั้งสองคน เดินทางไปที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในเขต อ.วารินชำราบ เพื่อชี้จุดห้องพักที่อ้างว่ามีการร่วมหลับนอนกัน โดยจุดแรกไปที่มาลาคำรีสอร์ท ต.ท่าลาด อ.วารินชำราบ โดยบริเวณที่พักมีการปลูกบ้านเช่าเป็นหลัง จากนั้นไปจุดที่สอง ซึ่งเป็นบ้านเช่าที่พระชื่อดังมาเช่าให้พักระหว่างที่ท้องและหลังคลอดลูก ที่บ้านเลขที่ 333 หมู่ 1 ถ.โคมทอง ซอยโคมทอง 2 ต.แสนสุข อ.วารินชำราบ โดยบ้านหลังนี้อยู่ภายในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง
จากนั้นคณะของดีเอสไอนำน.ส.หญิงเดินทางไปที่ป่าช้าบ้านยาง จ.ศรีสะเกษ เพื่อไปชี้จุดที่เป็นกุฏิพระ โดยบริเวณดังกล่าวอยู่ติดกับวัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ซึ่งขณะนี้กุฏิดังกล่าวได้ถูกรื้อไปแล้ว เหลือเพียงห้องน้ำที่อยู่ตรงข้ามจุดที่เป็นที่ตั้งของกุฏิเท่านั้น ต่อมาได้เดินทางไปที่บริเวณหน้าร.ร.บ้านโพธิ์โนนจานอีลอก ต.โพธิ์ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เพื่อไปชี้จุดที่น.ส.หญิงยืนรอพระชื่อดังขับรถมารับ
จากนั้นเจ้าหน้าที่นำน.ส.หญิงไปที่บ้าน พักใน อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นบ้านที่น.ส.หญิงพักอาศัยอยู่กับยาย และเข้าไปสอบปากคำยายของน.ส.หญิง โดยพ.ต.ท.พงศ์อินทร์ได้นำเอารูปของพระชื่อดังมาให้ยายของน.ส.หญิงดู ซึ่งยายของน.ส.หญิงแจ้งว่า เป็นพระชื่อดังที่เป็นสามีของน.ส.หญิงจริง
ด้านยายของน.ส.หญิงกล่าวว่า ทราบเรื่องที่พระชื่อดังคบกันกับหลานสาวมาตลอด แต่ไม่ได้ห้ามปรามเพราะเห็นว่าทั้งคู่รักกัน จึงปล่อยเลยตามเลย หลังจากหลานสาวคลอดลูกย้ายไปเช่าบ้านอยู่ที่กรุงเทพฯ พระชื่อดังก็ได้ให้ตนไปเลี้ยงลูกให้ เมื่อพระชื่อดังมาหาหลานสาว และพักอาศัยอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ ก็อยู่กับหลานสาวฉันสามีภรรยาอีกห้องหนึ่ง ส่วนตนพักอยู่อีกห้องหนึ่ง โดยพระชื่อดังบอกจะให้เงินทองกับตน แต่ก็ไม่เคยได้รับเงินเลย พระชื่อดังมีแต่โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของหลานสาว ส่วนตนไม่เคยได้เงินจากพระชื่อดังแม้แต่บาทเดียว โดยไปเลี้ยงลูกให้พระชื่อดังนานประมาณ 1 ปี จากนั้นจึงกลับมาอยู่ที่บ้าน
พ.ต.ท.พงศ์อินทร์กล่าวว่า จากคำให้การของน.ส.หญิงทำให้ทราบข้อมูลว่า ได้มีเพศสัมพันธ์กันตั้งแต่อายุ 14 ปี ซึ่งกรณีนี้เป็นการเข้าข่ายกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ที่ระบุว่า ผู้ใดกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไม่ว่าเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม มีโทษจำคุก 4-20 ปี และปรับ 8,000-40,000 บาท อย่างไรก็ตามเพื่อความเป็นธรรมทุกฝ่ายจะต้องรอการสอบสวนข้อเท็จจริงจากพระชื่อดังก่อนว่าจะให้การเรื่องนี้อย่างไรบ้าง และในอาทิตย์หน้านี้ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ สั่งการให้ตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยจะตรวจดีเอ็นเอแม่กับลูก ซึ่งอ้างว่าเป็นเมียและลูกของพระชื่อดังอีกครั้ง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน และจะต้องตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของพระชื่อดังด้วย เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ประกอบการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พ.ต.ท.พงศ์อินทร์กล่าวอีกว่า ล่าสดนี้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อคดี ดีเอสไอจะสรุปผลการสอบปากคำหญิงสาวรายนี้และหลักฐานอื่นๆ ส่งให้เจ้าคณะปกครองจังหวัดศรีสะเกษ และเจ้าคณะปกครองจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อใช้ความผิดทางอาญาไปพิจารณาดำเนินการ
ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงคดีเณรคำว่า ชุดสืบสวนนำโดยพ.ต.ท. พงศ์อินทร์ลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ไปสอบปากคำหญิงรายหนึ่งที่อ้างว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหลวงปู่เณรคำตั้งแต่อายุ 14 ปี ซึ่งถือเป็นความผิดอาญาร้ายแรงฐานกระทำชำเราผู้เยาว์ เบื้องต้นได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว และจะเตรียมส่งตัวหญิงรายนี้เข้าสู่การคุ้มครองพยานเพื่อให้การดูแลความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด
นายธาริตกล่าวต่อว่า ประเด็นการตรวจสอบหลวงปู่เณรคำมีหลายประเด็น ทั้งเรื่องการฉ้อโกง การอวดอุตริฯ และการเสพเมถุน แต่กรณีการเสพเมถุนขณะนี้ค่อนข้างมีความชัดเจนที่สุดและมีโทษสูงถึง 20 ปี และคาดว่าในการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ช่วงปลายเดือนก.ค.นี้จะเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมเพื่อรับเป็นคดีพิเศษ เพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของศาสนาและความเชื่อถือของประชาชน ทั้งนี้ หลังรับเป็นคดีพิเศษดีเอสไอจะมีอำนาจในการสอบสวนได้ครอบคลุมทุกเรื่องรวมถึงการตรวจสอบเส้นทางการเงินและจะรับมอบสำนวนการสอบสวนจากกองปราบปรามด้วย ส่วนการขออนุมัติหมายจับผู้เกี่ยวข้องจำเป็นต้องให้มีมติรับเป็นคดีพิเศษก่อน
ที่ห้องประชุมวัดไชยมงคล อ.เมืองอุบลราชธานี พระราชธรรมโกศล เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี (ฝ่ายธรรมยุต) ร่วมกับพระครูจิตวิสุทธิญาณคุณ เจ้าคณะอำเภอม่วงสามสิบ ประธานคณะกรรมการไต่สวนมูล และพระสังฆาธิการประชุมหาข้อสรุปเรื่องการบวชและสังกัดของพระวิรพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ โดยที่ประชุมมีการเชิญพระผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการบวชพระวิรพลมาให้ปากคำ และนำใบสุทธิของพระวิรพลตั้งแต่บวชเป็นสามเณรที่วัดภูเขาแก้ว และบวชพระที่วัดดอนธาตุ อ.พิบูลมังสาหารมาพิจารณาพบมีการบวชอย่างถูกต้อง จึงตัดข้อสงสัยกรณีไม่ได้เป็นนักบวชในพุทธศาสนาออกไป
ข้อพิจารณาต่อมาคือ สังกัดของพระวิรพลโดยสมัยบวชเป็นสามเณร ได้บวชกับพระครูพิบูลธรรมภาณ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดภูเขาแก้ว เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2537 ขณะอายุได้ 15 ปี และจำพรรษาอยู่ที่วัดดังกล่าว จนถึงบวชเป็นภิกษุเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2542 โดยมีพระครูพิพัฒน์สังฆกร หรือพระสุนารถมุนี เจ้าอาวาสวัดศรีนวลเป็นพระอุปัชฌาย์ และไปจำพรรษาที่วัดดอนธาตุ กระทั่งต่อมาเมื่อปี 2549 ได้ขอย้ายเข้าสังกัดกับวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อ.เมืองอุบลราชธานี และขอย้ายออกจากวัดพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อไปเป็นประธานสงฆ์สำนักสงฆ์ป่าขัตติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2549 ทำให้การสังกัดกับวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อสิ้นสุดลง ดังนั้น ต้นสังกัดของพระวิรพลจึงไปอยู่กับคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษแล้ว
ผลการสอบสวนของคณะสงฆ์ในวันนี้จะสรุปส่งมอบให้คณะสงฆ์ชุดใหญ่ผู้มีหน้าที่วินิจฉัยสำนวนการไต่สวนทราบ พร้อมทำหนังสือแจ้งให้คณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นผู้ปกครองพระวิรพล หรือหลวงปู่เณรคำทราบ เพื่อให้ทราบถึงอำนาจการสอบสวนกับพระวิรพลต่อไป
พระราชธรรมโกศลกล่าวว่า เรื่องการขับออกจากวัดนั้นคณะกรรมการเห็นว่าควรขับออกจากวัด เนื่องจากเห็นว่าไม่อยู่ที่วัดเป็นหลักแหล่ง พระเณรจะอยู่ที่วัดใดก็ตามไปแล้วจะต้องบอกลาไปได้เพียง 7 วันถึง 1 เดือน เว้นแต่เจ็บป่วย โดยหลวงปู่เณรคำไปตลอดไม่ได้อยู่ในโอวาทและไม่มา ขาดการติดต่อ แต่คณะกรรมการชุดนี้ก็ยังไม่มีอำนาจตัดสินใจ โดยจะส่งผลสรุปมาให้คณะกรรมการชุดใหญ่ที่ตนเป็นประธานได้พิจารณาอีกครั้ง ซึ่งในเบื้องต้นอาจจะยืนยันตามความเห็นของคณะกรรมการ แต่ก็จะดูว่าหากขับควรจะขับออกวันไหนภายในกี่วัน โดยคาดว่าจะดำเนินการเสร็จและประกาศได้ไม่เกินวันที่ 9 ก.ค.นี้
ด้านนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ได้รับทราบในเบื้องต้นเกี่ยวกับผลการพิจารณาของคณะกรรมการที่เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีตั้งขึ้น เกี่ยวกับการขับหลวงปู่เณรคำออกจากสังกัดวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อว่า ที่ประชุมเห็นว่าให้ขับหลวงปู่เณรคำออกจากสังกัดวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ โดยคณะกรรมการกำลังสรุปผล เพื่อส่งให้คณะกรรมการชุดใหญ่ ที่มีพระราชธรรมโกศล เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี พิจารณาอีกครั้งว่าจะกำหนดระยะเวลาให้ขับออกจากวัดภายในวันไหน ซึ่งในส่วนของสำนักพุทธฯ เห็นว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม หากคณะกรรมการพิจารณาว่าควรขับหลวงปู่เณรคำออกจากสังกัดวัด เนื่องจากทุกฝ่ายได้ให้โอกาสหลวงปู่เณรคำเข้ามาชี้แจงข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่ยอมมาให้ข้อมูลแต่อย่างใด จากนี้ไปก็เป็นกระบวนการของเจ้าคณะปกครอง และกระบวนการทางกฎหมายบ้านเมืองต่อไป
เวลา 13.00 น. ที่สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชฯ วัดบวรนิเวศ นายสุขุม วงประสิทธิ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม เดินทางมาเพื่อยื่นหนังสือเรื่องขอความเป็นธรรม ขอให้ทบทวนคำสั่งของเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี กรณีที่หลวงปู่เณรคำเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการคณะสงฆ์ภายใน 7 วัน
sithiphong:
ดีเอสไอชี้ชัด พระเณรคำ ขาดจากความเป็นพระแล้ว เชื่อไม่กลับไทย
-http://hilight.kapook.com/view/88262-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยพีบีเอส
ดีเอสไอชี้ชัด พระเณรคำ ขาดจากความเป็นพระแล้ว พร้อมเชื่อจะไม่เดินทางกลับไทยเหมือนกับกรณีของ พระยันตระ ที่โด่งดังในอดีต ด้าน คกก.วัดใต้ฯ ต้นสังกัด เตรียมขับไล่ออกจากวัด
วันนี้ (7 กรกฎาคม 2556) พ.ต.ท.พงษ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจสอบ พระเณรคำ ฉัตติโก แห่งสำนักสงฆ์ขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ กำลังสอบพยาน ซึ่งปรากฏว่า มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของพระรูปนี้จำนวนมากขึ้น โดยฐานความผิดที่ดีเอสไอ กำลังรวบรวมหลักฐาน คือ ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา เด็กหญิงอายุ ต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งมีอัตราโทษจำคุก 4-20 ปี และฐานความผิด พรากผู้เยาว์ อายุไม่ถึง 15 ปี ไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ ฐานความผิดสูงสุด จำคุก 20 ปีเช่นกัน
ทั้งนี้ ต่อจากนี้ ดีเอสไอ จะรวบรวมหลักฐานทั้งหมด และมอบให้ทางตำรวจท้องที่ แจ้งข้อกล่าวหา ส่วนดีเอสไอ จะเสนอคณะกรรมการคดีพิเศษ เพื่อขอรับเป็นคดีพิเศษอีกครั้งหนึ่ง โดยจากหลักฐานที่ปรากฏขณะนี้นั้น ชัดเจนว่าทางโลกพระเณรคำ ขาดจากความเป็นพระแล้ว แต่ทางสงฆ์ ก็ต้องให้จัดการกันเอง ซึ่งทราบว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้เร่งรัดในเรื่องทางสงฆ์แล้วเช่นกัน
นอกจากนี้ ทางดีเอสไอ เชื่อว่า ทาง พระเณรคำ ฉัตติโก ที่อยู่ในต่างประเทศ จะไม่เดินทางกลับประเทศแน่ เหมือนกับกรณีของ พระยันตระ ที่โด่งดังในอดีต
โดย นายสุขุม วงษ์ประสิทธิ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม ลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำ ระบุว่า กระบวนการยุติธรรมของฝ่ายสงฆ์เป็นการตัดสินเพียงฝ่ายเดียว ไม่ได้เปิดโอกาสให้หลวงปู่เณรคำได้มีตัวแทนเข้าอธิบาย ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของท่าน และไม่สอดคล้องกับกระบวนการยุติธรรมของศาลไทยและเป็นไปในลักษณะเผด็จการ เนื่องจากไม่ให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ทำให้เป็นที่อับอายแก่ชาวต่างชาติเป็นอย่างมากในขณะนี้
นายสุขุม กล่าวต่อว่า ส่วนหลวงปู่เณรคำยังคงติดกิจนิมนต์อยู่ที่ฝรั่งเศส และจะยังไม่เดินทางกลับจนกว่าจะได้รับความยุติธรรม สำหรับตนนั้น ตนได้นำภาพที่อ้างว่าเป็นหลวงปู่เณรคำนอนกับสีกาไปให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งหากผลออกมาว่าเป็นหลวงปู่เณรคำจริง ตนก็จะขออโหสิกรรมให้ แต่ถ้าไม่ใช่ตนก็จะเดินหน้าปกป้องผ้าเหลืองของหลวงปู่เณรคำต่อไป
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าหลวงปู่เณรคำมีภรรยาและมีลูกแล้วนั้น นายสุขุม ระบุให้ไปตรวจดีเอ็นเอกันทั้งสองฝ่ายแล้วค่อยตัดสิน ส่วนความผิดฐานฉ้อโกงก็ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด ซึ่งต่อจากนี้ตนจะไปยื่นเรื่องถึงศูนย์ช่วยเหลือประชาชนด้านกฎหมาย เนติบัณฑิต เพื่อส่งให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านกฎหมาย และพระวินัยสงฆ์มาช่วยเหลือหลวงปู่เณรคำด้วย เพราะถือว่าท่านก็เป็นประชาชนคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของรัฐธรรมนูญ
ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับหลวงปู่เณรคำ เมื่อวานนี้ (6 กรกฎาคม 2556) ทางพระราชธรรมโกศล(สวัสดิ์) เจ้าอาวาสวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ในฐานะเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี ได้ตรวจสอบประวัติความเป็นมาของหลวงปู่เณรคำ ได้ข้อสรุปว่า หลวงปู่เณรคำได้มีการอุปัชฌาย์จริง และเข้ามาของสังกัดที่วัดใต้ แต่ไปจำวัดที่สำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม ตั้งแต่ปี 2549 ส่วนเรื่องการขับออกจากวัดนั้น คณะกรรมการทุกท่านเห็นด้วย เนื่องจากหลวงปู่เณรคำไม่เคยอยู่วัด เป็นหลักแหล่ง เพราะปกติแล้ว เณรหรือพระ ออกจากวัดนานได้แค่ 7 วัน ถึง 1 เดือนเท่านั้น เว้นแต่กรณีเจ็บป่วย แต่ด้านหลวงปู่เณรคำนั้น มีการเดินทางไปมาตลอด ไม่ได้อยู่ในโอวาทและขาดการติดต่อ
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการชุดนี้ไม่มีอำนาจตัดสินใจที่จะไล่ออก แต่จะส่งผลสรุปให้คณะกรรมการชุดใหญ่พิจารณาอีกครั้ง ซึ่งเบื้องต้นก็ยืนยันตามความเห็นของคณะกรรมการคือให้ขับออก แต่จะขับออกเมื่อไรภายในวันไหน จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้
ทางด้าน นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวเห็นด้วยเรื่องที่จะขับหลวงปู่เณรคำออกจากสังกัดวัดใต้ฯ เพราะว่าทุกฝ่ายได้ให้โอกาสหลวงปู่เณรคำออกมาชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็กลับไม่ยอมให้ข้อมูล ซึ่งหลังจากนี้ก็จะเป็นกระบวนการของเจ้าคณะปกครอง และกระบวนการทางกฎหมายบ้านเมืองต่อไป
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก INN
-http://www.dailynews.co.th/crime/217268-
-http://news.thaipbs.or.th/content/%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B3-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9-
-http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=190036:2013-07-06-13-11-05&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524-
.
sithiphong:
สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ยันผลตรวจภาพ “ไอ้คำกกสาว” ของแท้ไร้ตัดต่อ - พ่อแม่หนีตรวจ DNA ปูดรถหรู 22 คัน มูลค่ากว่า 100 ล้าน
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 10 กรกฎาคม 2556 18:30 น.
-http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000084299-
ภาพถ่าย พระเณรคำขณะกำลังนอนกับผู้หญิง ที่ถูกเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ตก่อนหน้านี้ ล่าสุดสถาบันนิติวิทยาสาสตร์ออกมายืนยันผลการตรวจสอบภาพดังกล่าวเป็นภาพจริงที่ไม่ได้มีการตัดต่อแต่อย่างใด
ดีเอสไอแถลงผลการเก็บพิสูจน์เนื้อเยื่อลูกเมีย “เณรคำ” เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่สามารถนำตัวตัวอย่างเยื่อพ่อแม่ “เณรคำ” มาเทียบเคียงได้เพราะไม่สามารถติดต่อได้ พร้อมเผยบัญชี “ไอ้คำ” ครอบครองรถหรู 22 คัน มูลค่า 100 ล้านบาท! ด้านสถาสบันนิติวิทยาศาสตร์ยืนยันรูป “ไอ้คำกกสาว” ของแท้ไร้ตัดต่อ!!
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (10 ก.ค.)พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กล่าวถึงแนวทางการสอบสวนหลังดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษว่า ได้ตั้งประเด็นหลักตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีมีข้อมูลว่าหลวงปูเณรคำอ้างว่าไปพบพระอินทร์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เท่ากับนำข้อความเท็จลงในระบบคอมพิวเตอร์ ในลักษณะน่าจะเกิดความเสียหาย มีโทษจำคุก 5 ปี ซึ่งฐานความผิดดังกล่าวเป็นคดีพิเศษโดยอัตโนมัติ ส่วนคดีอื่นอีก 7 ฐานความผิด เป็นคดีเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันที่ถูกโอนมาเป็นคดีพิเศษ โดยแนวทางการสอบสวนหลังจากนี้ทีมเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ลงพื้นที่ อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีษะเกษ เพื่อตรวจดีเอ็นเอเด็กชายที่ น.ส.เอ ให้การว่าเป็นลูกของหลวงปู่เณรคำ เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของพ่อแม่หลวงปู่เณรคำ นอกจากนี้ดีเอสไอจะรับจากความกรณีกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ตามมาตรา 217และพรากผู้เยาว์ ตามมาตรา 317 ประมวลกฎหมายอาญา พร้อมจะส่งชุดสอบสวนคดีรถหรูลงพื้นที่เพื่อสอบสวนขยายผล เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานทุกด้านให้กระชับ โดยดีเอสไอ กองปราบ ปปง.ป.ป.ส.จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายพลังต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กล่าวว่า ขณะนี้ตนเห็นว่าหลวงปู่เณรคำพ้นจากความเป็นพระตั้งแต่ได้เสพเมถุนกับ น.ส.เอ จนมีลูกด้วยกัน ตามแนวทางการสอบสวนของดีเอสไอ รวมทั้งทราบข่าวว่าผลตรวจภาพถ่ายต้องสงสัยที่มีพระคล้ายหลวงปู่เณรนอนหนุนกับสีกาเป็นภาพจริงไม่ได้ตัดต่อ จึงไม่ต้องไปจับสึกหรือรอให้มีการออกคำสั่งให้พ้นจากความเป็นพระ เพราะขาดจากความเป็นพระอยู่แล้วตามพระธรรมวินัยถ้าพระได้เสพเมถุน หรืออวดอุตริ ก็จะพ้นจากการเป็นพระทันที หากเจ้าหน้าที่เจอที่ไหนและพบยังสวมจีวรก็เข้าถอดจีวรได้ทันที ที่ผ่านมาเมื่อปี 2553 เคยมีตัวอย่างคดีอดีตเจ้าคณะอำเภอแห่งหนึ่ง ในจังหวัดเลยถูกร้องเรียนต่อมูลนิธิปาวีณาว่าล่วงละเมิดทางเพศสามเณร ต่อมาถูกปลัดจังหวัดเลยในขณะนั้น ได้สั่งเจ้าหน้าที่ อส.ถอดจีวรในห้องประชุมทันที ก่อนที่อดีตพระรูปดังกล่าวจัถูกด้ำนินคดี เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน หากยังพบหลวงปู่เณรคำสวมจีวรก็จะมีความผิดฐานแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ตามประมวลกฎหมายอาญาอีกคดี
ต่อมา เมื่อเวลา 14.00 น.วันเดียวกัน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีิเอสไอ พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ รองอธิบดีีดีเอสไอ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ พร้อมด้วย น.ส.มาลัย นาคทอง นักวิชาการคอมพิวเตอร์ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นายธนันท์พงศ์ ปิยะวรรณะกูล ผอ.ส่วนสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย ดีเอสไอ รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา( สกอ.) ร่วมแถลงความคืบหน้าคดีเกี่ยวกับพฤติกรรรมและการกระทำโดยมิชอบของหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก หรือพระวิระพล สุขผล ประธานสำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม หลังจากดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษสอบสวน 8 ข้อหา
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีิเอสไอ กล่าวว่า เมื่อเช้า พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักคดีปฏิบัติการพิเศษภาค ดีเอสไอ ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังใสย์ รอง ผบ.สำนักคดีปฏิบัติการพิเศษภาค ดีเอสไอ ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบว่าหลวงปู่เณรคำเกี่ยวข้องเรื่องรถหรูหรือการฟอกเงินหรือเปล่า หรือมีการเลี่ยงภาษีศุลกากรหรือไม่ โดยชุดสอบสวนได้เข้าตรวจสอบข้อมูลกับศูนย์จำหน่ายรถเบนซ์ อุบลราชธานี พบว่ามีการใช้ชื่อพระวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ซื้อรถเบนซ์รุ่นต่างๆ จำนวน 21 คัน และใช้ชื่อลูกศิษย์อีก 1 คัน รวมมูลค่า 95,232,000 บาท โดยใช้ทั้งเช็คและเงินสดซื้อ ชุดสิบสวนสำนักคดีปฏิบัติการพิเศษภาค ดีเอสไอ กำลังตรวจสอบว่าหลวงปู่เณรคำซื้อรถเบนซ์ไปไหนหรือไปให้ใคร ส่วนการจะอายัดรถเบนซ์ทั้งหมดหรือไม่อยู่ระว่างการตรวจสอบ แต่ตอนนี้ดีเอสไอสนใจว่ารถเบนซ์ทั้งหมดอยู่ที่ไหนมากกว่า
อธิบดีีดีเอสไอ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 11 ก.ค.เวลา 13.00 น.พระพุทธอิสระ ได้ติดต่อขอนำข้อมูลลับในหลายเรื่องๆ เกี่ยวกับหลวงปู่เณรคำ ซึ่งเดิมจะใช้ในศาลแต่เมื่อศาลไม่รับฟ้องจึงอยากนำข้อมูลมามอบให้ดีเอสไอขยายผล ส่วนเรืิ่องการตรวจดีเอ็นเอเด็กชาย ที่ น.ส.เอ ให้การว่าเป็นลูกของหลวงปู่เณรคำ วันนี้เจ้าหน้าที่สำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และสำนักงานพระพุทธศาสนา(พศ.) ได้ลงพื้นที่ตรวจเก็บดีเอ็นเอของเด็กชายคนดังกล่าวและ น.ส.เอ แล้ว แต่เมื่อประสานไปยังพ่อแม่หลวงปู่เณรคำ ที่บ้านพักแต่ติดต่อไม่ได้ อย่างไรก็ตาม จะหาวิธีที่จะตรวจสอบดีเอ็นเอยืนยันความสัมพันธ์ว่าเด็กชายเป็นลูกของหลวงปู่เณรคำหรือไม่ โดยจะทำความจริงให้ปรากฎภายใน 2-3 วัน ส่วนกรณีหลวงปู่เณรคำ มี ดร.นำหน้า ได้รับปริญญาเอก ดีเอสไอตรวจสอบพบว่า หลวงปู่เณรคำได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขาพัฒนาสังคมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2553 โดยไม่พบความผิดปรกติ
นายธาริต กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีกลุ่มลูกศิษฐ์และกลุ่มที่มีจิตศัทธาในตัวหลวงปู่เณรคำ กระทำการหลายอย่างในลักษณะข่มขู่พยานหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ขอเตือนว่าเรากำลังจับตาคนกลุ่มนี้ว่ากระทำการเข้าข่ายความผิดตาม มาตรา 138 ประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ ฐานผู้ใดขัดขวางเจ้าพนักงานกำลังปฎิบัติหน้าที่มีโทษอาญา ดังนั้นลูกศิษย์ หรือคนใกล้ชิดกลจะพูดศัทธาในหลวงปู่เณรคำก็ทำไปเถอะ แต่ถ้าพูดขัดขวางการทำงานของ 5 หน่วยงาน เราก็จะดำเนินคดีทันที ส่วนประวัติหลวงปู่เณรคำ ขณะนี้ อายุ 34 ปี พบว่าบวชเป็นเณรตั้งแต่อายุ 15 ปี ที่วัดภูเขาแก้ว อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2537 จากนั้นบวชเป็นพระเมื่ออายุ 20 ปี ที่วัดดอนธาตุ ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 18 พ.ค.2542
น.ส.มาลัย นาคทอง นักวิชาการคอมพิวเตอร์ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวถึงผลการตรวจสอบภาพคล้ายหลวงปู่เณรคำนอนหนุนหมอนกับสีกาว่า สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ตรวจสอบภาพชายขณะนอนหลับหนุนหมอนมีหน้าบุคคลเสี้ยวเดียวอยู่ใกล้ จากกาีตรวจพิสูจน์พบว่า 1.การวิเคราะห์ด้วยตาไม่พบเม็ดสีผิดปรกติ 2.ดูการสะท้อนของแสงในทางเดียวกัน และวิเคราะห์ข้อมูลจากภาพซึ่งจะบันทึกข้อมูลของกล้อง รุ่น ยี่ห้อ วันเวลาที่ถ่ายภาพ แต่กรณีภาพดังกล่าวตรวจไม่พบข้อมูลข้างต้นเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการบันทึกซ้ำๆ 4.วิเคราะห์เม็ดสีของภาพไม่พบอาจมีการเออร์เลอร์ ผลสรุปว่าภาพแล้วไม่พบการตัดต่อหรือแก้ไขแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถยืนยันได้ชัดเจนเพราะมีบันทึกและมีการส่งภาพต่อๆ ผ่านทางอินเตอร์เน็ท ภาพจึงอาจไม่สมบูรณ์ ได้รายงานให้ พ.ท.นพ.เอนก ยมจินดา ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ทราบผลการตรวจสอบแล้ว
พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักคดีปฏิบัติการพิเศษภาค ดีเอสไอ กล่าวให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ระหว่างลงพื้นที่อีสานตรวจสอบเบาะแสหลวงปู่เณรคำซื้แรถหรูจำนวนมากว่า ดีเอสไอมาตรวจสอบตามเบาะแสที่ศูนย์จำหน่ายเบนซ์อุบลราชธานีว่าหลวงปู่เณรคำได้มาซื้อรถเบนซ์บางหรือไม่ ปรากฎพบว่าหลวงปู่เณรคำเคยมาซื้อรถเบนซ์ถึง 22 คัน รวมเป็นเงินกว่า 95 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ทางศูนย์จำหน่ายเบนซ์ฯ ได้ให้การว่าหลวงปู่เณรคำ ได้ทยอยขายรถเบนซ์ที่ซื้อไปคืนให้ศูนย์เป็นล็อตๆ ละ 6-7 คัน วนไปวนมาดีเอสไอกำลังตรวจสอบรายละเอียดว่าหลวงปู่เณรคำซื้อขายรถเบนซ์ในลักษณะดังกล่าวโดยมีวัตถุประสงค์อะไร เพราะซื้อรถเบนซ์ไปก็ไม่ได้นำไปจดทะเบียนกับขนส่ง ใช้แต่รถป้ายแดง รวมทั้งจะตรวจสอบข่าวว่าหลวงปู่เณรคำ ยังได้นำเงินไปซื้อรถหรูอีกหลายแห่ง จึงขอเวลาทำงานอีกสักพักจะมีความชัดเจน โดยจะเปิดแถลงข่าวผลการตรวจสอบรถหรูของหลวงปู่เณรคำในวันที่ 11 ก.ค.ที่ศูนย์ปฎิบัติการคดีพิเศษภาค 4 ดีเอสไอ จังหวัดขอนแก่น
มีรายงานข่าวจ่กดีเอสไอว่า จากการตรวจสอบรถหรูหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก หรือพระวิระพล สุขผล จากศูนย์ตัวแทนจำหน่ายรถเบรซ์ ที่จ.อุบลราชธานี พบว่าหลวงปู่เณรคำ ใช้เงินจำนวน95,232,000 บาท ไปกับการซื้อรถเบนซ์ จำนวน 22 คัน โดยซื้อรถเบนซ์รุ่น เอส 300 แอล จำนวน 1 คัน ในชื่อคุณพรรณ์แสง ชูมัง เมื่อวันที่ 21ต.ค.2551 จำนวนเงิน 7,599,000 บาท และซื้อในชื่อของพระวิระพล สุขผล เอง จำนวน 21 คัน ดังนี้ รถเบนซ์ รุ่น ซี 200 เค อีแอล จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่20 ก.พ.2552 ราคา 2,799,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น วีโต้ จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่25 ก.พ.2552 ราคา 2,600,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น ซี 200 เค อีแอล จำนวน 2 คัน ซื้อเมื่อวันที่23 ก.ค.2552 ราคาคันละ 2,799,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น ซี 200 เค เอวี จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่23 ก.ค.2552 ราคา 2,999,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น อี 200 เค เอวี จำนวน 2 คัน ซื้อเมื่อวันที่13 ส.ค.2552 ราคาคันละ 3,699,000 บาท
รถเบนซ์ รุ่น อี 220 ซีดีไอ จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่ 16 ก.ย.2552 ราคา 3,950,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น อี 200 เค เอวี จำนวน 2 คัน ซื้อเมื่อวันที่16 ก.ย..2552 ราคาคันละ 3,749,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น เอส 300 แอล จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่ 24 พ.ย..2552 ราคา 6,300,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น วีโต้ จำนวน 3 คัน ซื้อเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.2552 ราคาคันละ 3,300,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น เอส 500 เค เอวี จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่ 3 พ.ค.2553 ราคา 11,199,000 บาท
รถเบนซ์ รุ่น อี250 ซีจีไอ เอวี จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่ 14 มี.ค.2554 ราคา 4,150,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น อี 250 คูเป้ จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่20 เม.ย.2554 ราคา 5,400,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น อี 250 ซีจีไอ เอวี จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่ 16มิ.ย.2554 ราคา 4,750,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น อี 250 ซีจีไอ เอสเตท ซื้อเมื่อวันที่ 1 ก.ค..2554 จำนวน 2 คันในวันเดียวกัน แต่ราคาต่างกัน โดยคันหนึ่ง ราคา5,544,000 บาท และอีกคันราคา 6,048,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น เอ็มแอล 350 (ยูสคาร์) ซื้อเมื่อวันที่ 22 ม.ค.2552 จำนวน 1 คัน ราคา1,500,000 บาท โดยรถทั้งหมดไม่มีการนำไปจดทะเบียนกับขนส่ง
ส่วนเรื่องการตรวจสอบมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก หลังดีเอสไอพบว่าตั้งโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ( สกอ.) และมีการมอบปริญญาเอกให้กับ นายสุขุม วงประสิทธิ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม ลูกศิษย์
พระวิระพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ความคืบหน้า วันเดียวกัน นายธนันท์พงศ์ ปิยะวรรณะกูล ผอ.ส่วนสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย ดีเอสไอ กล่าวว่า รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการ กกอ.ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อดีเอสไอให้ดำเนินคดีกับนายสวัสดิ์ บรรเทิงสุข ผู้ก่อตั้งและอธิบกาีบดีมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก เนื่องจากการตรวจสอบพบกรณีที่มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกอ้างว่าขออนุญาตจัดตั้งกับสถาบันในต่างประเทศ ปรากฎว่าไม่มีการขออนุญาตจริง แต่เป็นการทำเอกสารปลอมว่าขออนุญาตหลอกให้ประชาชนหลงเชื่อ
ผอ.ส่วนสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย ดีเอสไอ กล่าวอีกว่า เบื้องต้นจากการตรวจสอบขณะนี้พบว่ามหาวิทยาลัยสันติภาพโลก มี 35 สาขา ทั้งในจังหวัดนนทบุรี ขอนแก่น นาราธิวาส สงขลา บุรีรัมย์ ศรีษะเกษเชียงใหม่ ขณะนี้กำลังตรวจสอบแต่ละสาขา ส่วนการมอบปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกพบมีการมอบไป 18 ครั้ง โดยมีการเชิญดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์โดยให้ตำแหน่งทางวิชาการนำหน้าชื่อ ส่วนนายสวัสดิ์ บรรเทิงสุข อธิกาีมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ที่นักดีเอสไอเข้าให้การในวันนี้ ได้ติดต่อขอเลื่อนเข้าให้การออกไปเป็นวันที่ 17 ก.ค.เวลา 10.00 น.
รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการ กกอ.กล่าวว่า เรื่องการรับปริญญาเป็นค่านิยมของสังคมไทยจึงมีผู้นำเป็นช่องทางใช้หลอกลวง ในการแจกปริญญากิตติมศักดิ์มีดอกเตอร์นำหน้าชื่อหรือศาสตร์ตราจารย์กิตติคุณ มี ศาสตราจารย์นำหน้าชื่อ จึงขอเตือนว่าใครไปรับปริญญาโดยไม่ถูกต้องจะมีความผิด เพราะครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับอธิการบดีมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกยืนยันกับตนว่าการแจกปริญญาไม่ผิดและจะทำต่อไป จึงขอเตือนประชาชนว่าอย่าไปรับจะมีความผิด ส่วนที่มีข่าวว่าสถาบันการศึกษาของรัฐถูกใช้เป็นสถานที่รับปริญญาของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ตนได้สั่งห้ามไปแล้วถ้าพบมีสถาบันใดให้ใช้พื้นที่จะเอาผิดกับสภาบันนั้นๆ แน่นอน กรณีมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกจะอ้างความสัมพันธ์กับหน่วยงานต่างประเทศไม่ได้ เพราะการตัดการเรียนการสอนในไทยต้องผ่านการตรวจสอบรับรองจาก กกอ.จะอ้างเป็นการศึกษารูปแบบใหม่ไม่ได้ ขณะนี้กำลังตรวจสอบการแจกปริญญาอ้างสถาบันในต่างประเทศไม่ถูกต้องอีก 2 แห่ง ซึ่งจะร่วมกับดีเอสไอกวาดล้างสิ่งเหล่่านี้ให้พ้นนากแผ่นดินไทย เพราะทราบว่าเหมือนมีการขายปริญญา
---------------------------------------------------------------------------------------
กองปราบจ่อออกหมายจับ "ไอ้คำ"แล้ว หลักฐานชัดผิดจริง
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 10 กรกฎาคม 2556 18:21 น.
-http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000084430-
กองปราบจ่อออกหมายจับ "ไอ้คำ"แล้ว หลังพบหลักฐานชี้ชัดในการกระทำความผิดหลายกระทง!
วันนี้ ( 10 ก.ค) ที่ กองปราบปราม พ.ต.อ.วรวุฒิ คุณะเกษม ผกก.3 บก.ป.กล่าวถึงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับ หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก หรือพระวิรพล สุขผล อายุ 34 ปี ประธานสำนักสงฆ์ขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และความผิดตามกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องว่า ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป.เข้าสอบปากคำผู้เสียหายและพยาน 2 ประเด็น โดยประเด็นแรกให้สอบปากคำพยานที่อ้างว่าเป็นผู้บริจาคที่ดินใน จ.ศรีสะเกษ เพื่อนำข้อมูลมาประกอบเป็นหลักฐานในเรื่องที่มาที่ไปของทรัพย์สินของหลวงปู่เณรคำ อีกประเด็นหนึ่ง คือให้เข้าสอบปากคำหญิงสาวที่อ้างว่าเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหลวงปู่เณรคำ โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทั้งนี้ ในส่วนของคดีพรากผู้เยาว์นั้น หากสอบปากคำผู้เสียหายและพยาน จนมีข้อมูลชัดเจนแล้ว ก็สามารถขออนุมัติศาลออกหมายจับได้ทันที โดยไม่ต้องออกหมายเรียกมารับทราบข้อหา เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหายังพำนักอยู่ต่างประเทศ
พ.ต.อ.วรวุฒิ กล่าวต่อว่า สำหรับเอกสารต่างๆ ที่ยึดได้จากบ้านพักของบิดาและมารดาของหลวงปู่เณรคำ ที่ จ.อุบลราชธานี ภายหลังนำหมายศาลเข้าตรวจค้น เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา อยู่ระหว่างตรวจสอบอย่างละเอียด โดยจะแยกแยะประเภทของเอกสาร และพิจารณาว่าเอกสารชิ้นใดที่เกี่ยวข้องและมีผลในการตรวจสอบทางคดีบ้าง สำหรับบัญชีธนาคารต่างๆ รวม 21 บัญชี ที่ บก.ป.ร่วมกับทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อายัดไว้นั้น จะมีการตรวจสอบเส้นทางการเงินทั้งต้นทางและปลายทาง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากต้องประสานขอความร่วมมือไปยังธนาคารเจ้าของบัญชีต่างๆ ดังกล่าว
sithiphong:
DSI เปิดโปง หลวงปู่เณรคำ ซื้อเบนซ์ 22 คัน-เผ่นไปสหรัฐฯ แล้ว
-http://hilight.kapook.com/view/88425-
บ้านหลวงปู่เณรคำ ในสหรัฐฯ
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก alittlebuddha.com
ดีเอสไอ เปิดโปง หลวงปู่เณรคำ ซื้อเบนซ์ 22 คัน มูลค่ากว่า 95 ล้าน ด้านเว็บไซต์ alittlebuddha.com แฉ หลวงปู่เณรคำ หนีไปอยู่บ้านพักส่วนตัวที่สหรัฐฯ แล้ว
วันนี้ (10 กรกฎาคม 2556) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยความคืบหน้าคดีฉ้อโกงของ พระวิรพล สุขผล หรือ เณรคำ ฉัตติโก ว่า จากการลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี พบว่าช่วงระหว่างปี 2552-2554 เณรคำใช้ชื่อตนเองและลูกศิษย์ซื้อรถเบนซ์จำนวน 22 คัน คิดเป็นเงินประมาณ 95 ล้านบาท และทางดีเอสไอกำลังเตรียมแถลงรายละเอียดในเรื่องนี้
ตรวจดีเอ็นเอเด็กชายวัย 11 ขวบ
สำหรับการตรวจดีเอ็นเอเด็กชายวัย 11 ขวบ ที่มารดาอ้างว่าเป็นบุตรของหลวงปู่เณรคำนั้น ดีเอสไอและสถาบันนิติวิทยาศาสตร์จะลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี และศรีสะเกษ ในวันนี้ (10 กรกฎาคม) เพื่อตรวจดีเอ็นเอเด็กชาย รวมทั้งตรวจดีเอ็นเอเปรียบเทียบกับพ่อแม่ของหลวงปู่เณรคำ เนื่องจากหลวงปู่เณรคำไม่สามารถเดินทางมาตรวจดีเอ็นเอได้ ซึ่งผลการตรวจดีเอ็นเอพ่อแม่ซึ่งเป็นญาติสายตรงลำดับรองจะได้ผลที่เชื่อถือได้ 99.9999% และจะทราบผลความเป็นพ่อแม่ลูกได้ภายใน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ ทางดีเอสไออยากวิงวอนให้พ่อแม่ของหลวงปู่เณรคำให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เพื่อความชัดเจนด้วย แต่ล่าสุด มีรายงานว่า ยังไม่สามารถติดต่อคนในบ้านหลวงปู่เณรคำได้ ทั้งนี้ ทางดีเอสไปจะดำเนินการนำตัวมาตรวจสอบให้สำเร็จภายใน 2 วัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ดีเอสไอ จะทำหนังสือถึง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ขอให้ใช้มาตรการทางแพ่ง อายัดทรัพย์สินทั้งเงินสดในธนาคาร ที่ดิน รถยนต์ ในความครอบครองของหลวงปู่เณรคำโดยเร็ว เนื่องจากดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษแล้ว
ส่วนประเด็นภาพของหลวงปู่เณรคำ ขณะนอนร่วมหมอนกับบุคคลอื่น ล่าสุด ทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้ตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็นภาพจริงไม่ใช่ภาพตัด หรือแก้ไข แต่ทั้งนี้ ยังยืนยันไม่ได้ว่า หลวงปู่เณรคำนั้นนอนกับผู้หญิงหรือผู้ชาย
สำหรับกรณีที่ลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำบางรายพยายามเข้าไปยุ่งกับพยานนั้น ทางดีเอสไอจะจับตามคนกลุ่มนี้เอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้กระทำการใด ๆ ที่ส่อว่าขัดขวางการทำงานการปฏิบัติหน้าที่ของดีเอสไอ และหากพบก็จะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ทางเว็บไซต์ alittlebuddha.com ซึ่งติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของหลวงปู่เณรคำ ระบุว่า ขณะนี้เณรคำพร้อมพวกผู้ติดตาม 3 คนได้ออกจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาแล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากมีบ้านพักส่วนตัวอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ส่วนสาเหตุที่หลวงปู่เณรคำเดินทางไปอเมริกานั้น มีดังต่อไปนี้
บ้านหลวงปู่เณรคำ
1. วัดโพธิญาณราม เมืองตวกหน่ง ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมี พระครูภาวนาวรธรรมวิเทศ (ปานขาว) พระชาวลาว สัญชาติฝรั่งเศส เป็นเจ้าอาวาส เป็นวัดที่แม้จะไม่สังกัด แต่ก็ใกล้ชิดกับวัดสระเกศ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช แน่นอนว่าย่อมจะเกิดความกดดันอย่างแรงต่อพระปานขาว ในฐานะผู้ให้ที่พักพิงแก่เณรคำ อันมีผลกระทบกับภาพพจน์ของวัดสระเกศได้ ถ้าไม่เชิญเณรคำออกจากวัด พระปานขาวก็อาจจะเจอปัญหาใหญ่กับตัวเอง ดังนั้น เมื่อถึงคราวต้องเอาตัวรอด ก็จำเป็นต้องให้เณรคำ "ออก"
หลักฐาน หลวงปู่เณรคำ เข้าปารีส
2. เมื่อวัดโพธิญาณรามไม่เอาแล้ว ก็หมดที่อาศัยในฝรั่งเศส เพราะเณรคำเข้าฝรั่งเศสได้ด้วยคำเชิญของพระปานขาว
3. ตามหลักฐานด้านล่างนี้ แสดงให้เห็นว่า เณรคำมีฐานะเป็นเจ้าของบ้าน หรือมีบ้านส่วนตัวอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ดังนั้น จึงมีสิทธิ์เต็มที่ในการอยู่อาศัย
แกรนท์ ดี้ด หรือ โฉนดที่ดิน แสดงชื่อเจ้าของ
รายละเอียดต่าง ๆ รวมทั้งการซื้อขาย
4. หากจะเข้าอเมริกาก็ต้อง "รีบเข้า" ก่อนที่ทางเมืองไทยจะมีหมายจับจากศาล คือว่า ตอนนี้ยังเป็นเพียงแค่ข่าว ยังไม่เป็นคดีความ หรือที่เป็น ๆ ก็เป็นเพียงคดีทางสงฆ์เท่านั้น ส่วนทางบ้านเมืองนั้นยังมีอีกหลายขั้นตอนหรืออีกหลายวัน จึงพอมีเวลาที่จะรีบเข้ามาตั้งตัวในสหรัฐอเมริกา ส่วนเรื่องว่าถ้ามีหมายศาลที่เมืองไทยแล้วจะทำอย่างไร ก็ต้องค่อยว่ากันต่อไป
5. ลุ้นกันที่ "คดีความ" ในมูลฐานทั้ง 8 ข้อ ที่ดีเอสไอชงขึ้นมาเพื่อขอหมายจับต่อศาล ถ้าหนึ่งในนั้นมีเรื่อง "ยาเสพติด" ด้วยละก็ งานนี้เณรคำมีหวังถูกอเมริกาจับตัวส่งเมืองไทย เพราะไม่ว่าเมืองไหนก็ไม่เลี้ยงคนที่พัวพันการค้ายาเสพติด แต่ถ้าหลุดเรื่องยาเสพติดแล้ว เณรคำก็จะเป็นอิสระในสหรัฐอเมริกา เพราะข้อหาทางศาสนานั้นเป็นข้อยกเว้นในระเบียบการขอตัวผู้ร้ายข้ามแดน
หนังสือเดินทางและวีซ่าเข้าอเมริกาของหลวงปู่เณรคำ
แผนที่ที่ตั้งของบ้านหลวงปู่เณรคำ ที่เลค เอลซานอร์
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1373424806&grpid=00&catid=&subcatid=-
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNM016UTBORGM0T1E9PQ==&subcatid=-
.
sithiphong:
ฉาวอีก ! เจ้าอาวาสวัดดังเชียงราย ข่มขืนเด็กหญิงวัย 14
-http://hilight.kapook.com/view/88445-
ฉาวอีก ! เจ้าอาวาสวัดดังเชียงรายข่มขื่นเด็ก14 (ไอเอ็นเอ็น)
แม่พาลูกสาววัย 14 ปี แจ้งความเจ้าอาวาสวัดชื่อดังเชียงรายข่มขืน ด้านตำรวจออกหมายเรียกมาให้ปากคำแล้ว
เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 25556 ที่สถานีตำรวจภูธรแม่อ้อ อ.พาน จ.เชียงราย ได้มีนางเอ (นามสมมติ) อายุ 50 ปี และนายบี (นามสมมติ) อายุ 53 ปี นำ ด.ญ.ซี (นามสมมติ) อายุ 14 ปี เข้าแจ้งความต่อ ร.ต.ท.นนท์ แสงมณี ร้อยเวร สภ.แม่อ้อ ว่า ลูกสาวของตนเองถูกพระรูปหนึ่ง อายุ 29 ปี เจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งใน อ.พาน จ.เชียงราย ข่มขืนกระทำชำเรา โดยได้ให้เงินใช้และบอกว่าอย่าบอกใคร
ทั้งนี้ ด.ญ.ซี แจ้งกับเจ้าหน้าที่ ว่า ก่อนที่พระรูปนี้จะลงมือข่มขืน ได้ออกอุบายให้ตนเองออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยว และบัตรเติมเงิน จากนั้นให้เอาขึ้นไปส่งบนกุฏิเจ้าอาวาส เมื่อสบโอกาสในห้อง 2 คน ก็ลงมือข่มขื่นจนสำเร็จ จากนั้นก็ให้เงินและบอกว่าอย่าบอกใครกับเรื่องที่เกิดขึ้น และตลอดระยะเวลา 2-3 เดือน ก็ออกอุบายเช่นเดิม และข่มขืนเรื่อยมา โดยให้เงินใช้มาโดยตลอด
ด้าน พ.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ ธรรมเขตต์ สารวัตรใหญ่ สภ.แม่อ้อ อ.พาน จ.เชียงราย หลังจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งความดังกล่าว ได้มีการส่งตรวจร่างกายเด็กหญิงคนดังกล่าว โดยแพทย์ระบุว่า มีร่องรอยการฉีกขาดหรือร่วมเพศบริเวณอวัยวะจริง และเมื่อทางพนักงานสอบปากคำผู้เสียหายแล้ว ได้ออกหมายเรียก พระรูปดังกล่าวมาสอบสวนและรับทราบข้อกล่าวหา
แม่โร่แจ้งจับเจ้าอาวาส ข่มขืนลูกสาววัย 14 ปี
แม่โร่แจ้งจับเจ้าอาวาส ข่มขืนลูกสาววัย 14 ปี
-http://www.youtube.com/watch?v=m9jwTTIhwzo&feature=player_embedded-
คลิป แม่โร่แจ้งจับเจ้าอาวาส ข่มขืนลูกสาววัย 14 ปี โพสต์โดย Lakornhd Thaitv
INN
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version