ประชาสัมพันธ์ > การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ
รวม เตือนภัย ที่ใกล้ตัว อย่าประมาท และเป็นความรู้การป้องกันตนเอง
sithiphong:
เผยเทคนิคทำตัวลอย แฉหมดเลย
http://www.youtube.com/watch?v=iMm_6pjGb58#t=95
-http://www.youtube.com/watch?v=iMm_6pjGb58#t=95-
sithiphong:
บ้านผมถูกไฟไหม้วอดเพราะโคมลอย อุทาหรณ์สุดสลดรับลอยกระทง
-http://hilight.kapook.com/view/110577-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
เผยประสบการณ์สุดเลวร้ายของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการลอยโคม บ้านถูกไฟไหม้วอดทั้งหลัง สูญเสียคนที่รักจากไฟไหม้เพราะโคมลอยที่จับมือใครดมไม่ได้
แต่เดิมแล้วการลอยโคมเป็นประเพณีที่นิยมกันทางภาคเหนือ โดยชาวบ้านเชื่อว่าการปล่อยโคมลอยเป็นการลอยเคราะห์ลอยโศก สิ่งที่ไม่ดีไม่งามในชีวิตออกไป แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าการลอยโคมจะไม่ได้พบเห็นในเทศกาลวันงานประเพณีของชาวเหนือเท่านั้น แต่โคมลอยนั้นกลายเป็นกิจกรรมที่ผู้คนทั่วทุกภาคของไทยทำกันเป็นปกติกันไปแล้ว ไม่ว่าจะในเทศกาลลอยกระทง ปีใหม่ หรือเทศกาลอื่น ๆ โดยมีความเชื่อที่ไม่ต่างกันนั่นคือลอยเคราะห์ลอยโศก ส่วนผลพลอยได้ก็คงเป็นความสนุกสนานที่ได้ปล่อยโคมลอยแต่งแต้มแสงสว่างให้ท้องฟ้ายามค่ำคืน
แต่ถึงแม้การลอยโคมจะเป็นที่นิยมของคนไทยทุกภาคมากเพียงใด ทุก ๆ ปีก็มักจะมีคำเตือนเกี่ยวกับอันตรายของโคมลอยออกมาอยู่เสมอ เพราะการลอยโคมนั้นเกี่ยวข้องกับการจุดไฟ จึงเสี่ยงที่จะพลาดตกใส่บ้านของประชาชนจนนำมาซึ่งเหตุเพลิงไหม้ได้ทุกเวลา และที่ผ่านมาก็เกิดเหตุไฟไหม้เพราะโคมลอยมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
อย่างไรก็ดี หากใครกำลังคิดที่จะไปลอยโคมกันในเทศกาลลอยกระทงหรือปีใหม่ที่ใกล้จะมาถึงนี้ วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำกระทู้จากพันทิปของคุณสมาชิกหมายเลข 925292 ที่เคยมีประสบการณ์บ้านแถวท่าน้ำนนท์ของเขาถูกไฟไหม้วอดทั้งหลังจากโคมลอยของใครสักคนซึ่งไม่สามารถเอาผิดกับใครได้เลย มาฝากกัน เพื่อให้ทุกท่านลองตระหนักถึงผลร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการลอยเคราะห์ลอยโศกผ่านโคมลอยกันค่ะ
"ตอนนั้นผมเรียนอยู่ ม.4 บ้านของผมถูกไฟไหม้เมื่อประมาณ 7-8 ปีที่แล้วในคืนวันลอยกระทงครับ เนื่องจากโคมลอยมาตกใส่หลังคา คือบ้านมีลักษณะเป็นเต้นท์ผ้ายาง เรียงต่อ ๆ กันหลายหลังครับ ก็ถือว่าใหญ่พอสมควรเพราะว่าเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ แต่ว่าภายในก็มีการโบกปูนทำเป็นห้อง ๆ สำหรับออฟฟิศและอยู่อาศัยแน่นหนา ภายในก็จะมีเฟอร์นิเจอร์มากมาย ตั้งแต่โซฟา ตู้ โต๊ะ เตียง ที่นอน ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้และที่นอนกาบมะพร้าวครับ(เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี) ทีนี้ตอนที่โคมลอยมาตก ให้จินตนาการว่ายางโดนเผาครับ มันจะหยด เลยลุกลามรวดเร็วมาก จนไม่สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ เสียหายทั้งหมด เหลือเพียงแค่ตู้เซฟ กับรถครับที่ไม่ถูกเผา นี่คือเรื่องย่อ แต่ผมจะขอเล่าถึงเหตุการณ์อย่างละเอียดนะครับ เพื่อสะท้อนจิตใจของผมและครอบครัวว่ามันเป็นอย่างไร ณ ตอนนั้น
เรื่องมีอยู่ว่าผมออกไปงานวันลอยกระทงกับเพื่อนที่ศาลากลางครับ (อ้อ! ลืมบอกว่าบ้านของผมอยู่แถวท่าน้ำนนท์) ก็ไปช่วยแม่เพื่อนขายกระทง เพราะเราว่าง ๆ กะว่าเสร็จงานจะได้ลอยกระทงกับเพื่อนด้วย กว่าจะแยกกัน กลับมาถึงบ้านตัวเองก็เที่ยงคืนกว่าครับ วันนั้นบอกตรง ๆ ว่าเพลียแล้วคิดว่าคงหลับยาวแน่ ๆ หลังจากผ่านมาทั้งวัน พอกลับมาถึงเตรียมตัวจะนอน แม่ก็มาทักครับ แกยังไม่หลับ ก็บอกผมว่าอยากลอยกระทง พาไปลอยกระทงตอนนี้ได้ไหม ? เพราะแม่ตัดผมตัดเล็บน้อง ๆ ใส่กระทงไว้ (ตามความเชื่อของแม่) แต่ยังไม่ได้เอาไปลอย เพราะน้องยังเล็ก ไม่อยากพาออกไปตอนคนเยอะ ๆ กลัวว่าจะอันตราย ตอนนั้นน้องยังแบเบาะครับ ส่วนอีกคนอยู่อนุบาล ผมโตมากเพราะคนละพ่อ // ดูแกไม่สบายใจครับ ถ้าไม่เอาไปลอย แกตั้งใจไว้แล้ว ก็ไม่อยากเอาเศษผมกับเล็บน้องไปทิ้ง ด้วยว่าท่าน้ำมันไม่ได้ไกลมากด้วย ผมเลยพาแม่เดินออกมากันสองคนที่ท่าน้ำนนท์
ตอนนั้นคนซาหมดแล้วครับ หลังจากลอยกระทงเสร็จ เราก็แวะทานก๋วยเตี๋ยวกัน ใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นในขณะที่กำลังเดินกลับบ้าน ก็เห็นมีคนวิ่งแตกตื่นแล้วตะโกนว่าไฟไหม้ ๆ ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไร แต่ก็ตกใจ เลยมองตาม ก็เห็นฟ้าบริเวณนั้นเป็นสีแดงครับ แม่ก็บอกว่าทางนั้นมันแถวบ้านเราเลย ใจไม่ดีเนอะ ผมก็บอกแม่ว่าอย่าคิดมาก แล้วก็พากันรีบเดินกลับอย่างไว สักพักก็มีคนขี่จักรยานวิ่งสวนมาครับ แล้วตะโกนเหมือนกันว่าไฟไหม้ ๆ เราเลยโบกให้เขาหยุดแล้วถามว่าไฟไหม้ที่ไหน ? พอเขาตอบว่าร้านเฟอร์นิเจอร์เท่านั้นแหละครับ แม่กรี๊ดเลย แล้ววิ่งนำผมไปอย่างเร็ว
แม่กรี๊ดว่าลูกกู ๆ ! (ขออภัยถ้าไม่สุภาพนะครับ) ผมรีบวิ่งตามแม่ไป จับมือ แล้วบอกใจเย็น ๆ ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูก ได้แค่วิ่งไปให้เร็วที่สุดที่จะทำได้ ประคองแม่ด้วย กลัวแม่จะล้ม เพราะแม่ดูสติแตกแล้ว เราก็กลัวมาก ในใจยังคิดว่าหวังว่าคงยังไม่น่าจะใหญ่โต แต่เปล่าเลยครับ ผิดคาด พอใกล้ถึงบ้านเราก็เห็นคนเป็นร้อย (ไม่เว่อร์นะครับ) มุงรอบบ้านเรา พร้อมกับรถดับเพลิงอีก 3 คัน กำลังฉีดน้ำ ตอนนั้นไฟมันท่วมจนพีคมากแล้ว รัศมีสูงประมาณตึก 3 ชั้น (นี่คือมองจากไกล ๆ นะครับ ยังไม่ถึง) ตอนนั้นเข่าอ่อน เราสองคนแม่ลูกวิ่งแทรกผลักคนอื่นออกหมดเลย แม่ก็ตะโกนหาน้องเหมือนคนสติแตก ผมก็ด้วยครับ คุมอะไรไม่อยู่เลย จนกระทั่งชาวบ้านรั้งเราทั้งคู่ไว้แล้วบอกว่า เด็ก ๆ ออกมากันหมดแล้ว เราถึงหยุดแล้วมันตื้อไปหมด ถามชาวบ้านว่าคนในบ้านอยู่ตรงไหนกัน ก็มีคนพาเราไปเจอน้อง ๆ กับพ่อเลี้ยงครับ นั่งอยู่ริมฟุตบาตไกล ๆ มือนึงอุ้มคนเล็ก อีกมือจับคนโต มันทั้งโล่งใจทั้งเศร้าใจ หลายอารมณ์มาก สงบใจได้ไม่ทันถึงนาทีก็ต้องเหลียวกลับไปมองครับ ว่าไฟยังไหม้อยู่
เรากลับไปถามหาสมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ จากชาวบ้านครับ ว่าใครอยู่ไหนบ้าง ? เพราะอยู่กันเยอะ มีครอบครัวลุงด้วย มีลูก ๆ แล้วก็คนงานอีกหลายคน ก็ทำให้รู้ว่าตอนนี้ทุกคนออกมาแล้ว แต่เห็นว่ามีคนแก่ติดอยู่ !! ตอนนั้นหัวใจมันระเบิดเลยครับ นึกได้ว่ามีคุณตาอยู่ด้วย เวลานั้นมันคิดอะไรไม่ทันครับ แล้วทั้งหมดที่เล่าก็รวดเร็วมาก คุณตาของผมเป็นอัมพฤกษ์ด้วย ขยับได้แค่ครึ่งตัวด้านขวา ฉะนั้นแกไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แน่ พอแม่ได้ยินอย่างนั้นก็กรี๊ดอีกรอบครับ ทีนี้จะวิ่งฝ่าไฟเข้าไป แกตะโกนเรียกคุณตาว่าพ่อ ๆ ! ผมนี่กอดแม่แน่นเลย แม่ดื้อจะลุยเข้าไปให้ได้ ซึ่งผมมองด้วยสายตาแล้วมันไม่ทันจริง ๆ ครับ ไฟสูงมาก แม้จะยังมีหลายส่วนยังไม่ถูกเผา แต่ว่าข้างในมันต้องเหมือนเขาวงกตไฟแน่ ๆ เพราะตู้ เตียง วางเรียงกั้นเป็นทางเดินไว้ แม่ไม่ไหวแน่ถ้าเข้าไป ตัวผมเองก็ด้วย แม่กรี๊ด ๆ ทั้งดิ้นทั้งทุบให้ผมปล่อย ร้องไห้สติแตก ผมก็ไม่ต่างกัน แต่ผมเสียแม่ไปไม่ได้ อยากเข้าไปช่วยตา แต่ต้องตัดใจ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายมาก เพราะต้องประคองแม่ไว้ ในขณะที่จิตใจของตัวเองก็แย่พอกัน
อยู่ ๆ ลุงของผมก็วิ่งมาจากอีกทางครับ แกวิ่งฝ่าคนเข้ามาพร้อมกับชาวบ้านที่อาสา แล้วอ้อมไปหลังบ้าน ซึ่งเป็นซอกแคบ ๆ ติดกับบ้านคนอื่น พอให้เดินได้แทรกเขาไปได้ พวกเขาเอาค้อนทุบ ๆ ๆ ๆ กำแพงจนแตกในที่สุด พอกำแพงแตกเท่านั้นแหละครับ ไฟพุ่งฟู่ ๆ ๆ ออกมาจากช่องเลย แต่ยังพอมองเห็นว่าข้างในยังไม่ไหม้หมดครับ พวกเขาก็เข้าไปในตัวบ้าน สักพักลุงก็แบกคุณตาอย่างทุลักทุเล พยายามจะออกมาจากกำแพงแตก ๆ ผมกับแม่ก็ทำได้แค่ภาวนาครับ เข้าไปช่วยไม่ได้จริง ๆ เพราะไฟพวยพุ่งออกมาเป็นระยะ สุดท้ายลุงก็ร้องขอความช่วยเหลือ จนอาสารุดเข้าไปแทน แล้วลุงก็วิ่งหนีออกมาพร้อมกับเนื้อตัวที่ไหม้พองและเยิ้มรุนแรงจากการถูกเผา ลุงไหว้แม่แล้วบอกว่าพี่ไม่ไหวจริง ๆ คือทุกคนเข้าใจ แล้วหันกลับไปมองที่เดิม ก็เห็นพี่อาสาแบกคุณตาขี่หลังครับ ดูทุลักทุเลเหมือนกัน เนื่องจากทางแคบและลึกกว่าจะออกมาได้ แล้วคุณตาก็ค่อนข้างตัวใหญ่ ประกอบกับพื้นตรงนั้นเป็นดินโคลนครับ ชุ่มไปด้วยน้ำจากรถดับเพลิงด้วย พี่คนนั้นเลยลื่นหงายหลัง และทำคุณตาหัวฟาดกับพื้น พอพี่เขาลุกได้ก็ไหว้คุณตาบอกว่าผมขอโทษ ผมไม่ไหว ๆ แล้ววิ่งออกมาเลยครับ ตอนนั้นคุณตาตะโกนไล่หลังมาว่าไอ้หนุ่ม อย่าทิ้งตา ๆ คือบอกตรง ๆ ว่าใจจะสลายที่ทำอะไรไม่ได้เลย // พี่อาสาวิ่งออกมาทั้งกราบทั้งไหว้พวกเราครับ ตอนนี้ทั้งตัวพี่เขาเองก็ชุ่มไปด้วยแผลไฟไหม้ครับ เราเข้าใจว่าทุกคนทำสุดความสามารถแล้ว เราสงสารเขาด้วยซ้ำที่เข้าไปเสียงให้ มองกลับไปคือเห็นไฟมันพุ่ง ๆ มาลนคุณตาครับ ในลักษณะที่แกนอนดิ้น ๆ เหมือนจะขาดใจ ทำได้แค่พยายามสาดน้ำเข้าไปให้ไฟมันดับบ้าง แล้วก็หาทางจะเข้าไปช่วยต่อ เสียงแกแผ่วลง ๆ ไฟก็ยังคงสูงและลามอยู่อย่างนั้น มันโหดร้ายมากที่เราทำได้แค่ไม่หลบตา มองดูแกอย่างนั้น พยายามกันอยู่นานกว่าจะสามารถกลับไปช่วยแกได้อีก พอหามคุณตาออกมาได้ก็สายไปแล้วครับ แกไปแล้ว
หลังจากนั้นก็มีรถพยาบาลมาพาคุณตาไปครับ พร้อมกับยืนยันว่าไม่สามารถช่วยแก เราให้ลุงกับพี่อาสาไปกับรถพยาบาลเพราะแผลมันแย่มากครับ // ถึงตอนนี้ไฟก็ยังคงไหม้อยู่ เราเดินหาสมาชิกคนอื่นที่เหลือแล้วพากันมองไฟลุกต่อไปครับ ตัดใจแล้ว ทีมกู้ภัยบอกว่าดับไม่ได้แล้วครับ ตอนนี้เน้นสกัดไม่ให้ลามไปบ้านอื่น ใช่ครับ ในสายตาเรามันก็ดูจะไม่เหลืออะไรให้หวังแล้ว ชาวบ้านมองเราด้วยความสงสาร หาน้ำหาผ้าห่มมาให้ เรากอดกันร้องไห้มองดูไฟเผาทุกอย่าง จนมันแผ่วลง ๆ แล้วในที่สุดก็ดับครับ
เวลาประมาณตีห้า บ้านที่เคยมีตอนนี้เหลือแค่ซากตะโกครับ เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและแจ้งว่า พบอีกหนึ่งศพ เป็นเถ้ากระดูกในตัวบ้าน ทราบภายหลังว่าเป็นพี่คนงานที่น่าสงสารอีกคนที่เราคุ้นเคยดีครับ แกเป็นคนพิการ หูหนวกเป็นใบ้ คืนนั้นมีงานฉลอง พี่เขาก็คงจะเมาด้วยแล้วคงไม่ได้ยินด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกว่าจะรู้ตัวก็คงสาย นอกจากนี้ยังพบว่ามีโครงเสาเหล็กของเต้นท์ทับหน้าอกแกด้วย สะเทือนใจมากครับ แล้วก็เลยพบหลักฐานของเหตุเพลิงไหม้นี้ ว่าคือซากของโคมลอย ตกอยู่บริเวณที่นอนห้องผม และเป็นห้องต้นเพลิง // เรื่องนี้ขนลุกมากครับ ทำให้ย้อนคิดไปว่าถ้าแม่ไม่ชวนผมออกมา ตอนนี้ผมคงไม่รอด
หลังจากที่เจ้าหน้าที่เช็กทุกอย่าง เราจึงมีโอกาสเดินสำรวจรอบ ๆ มันน่าเศร้าใจมากครับที่เห็นทุกอย่างเป็นเศษเถ้าถ่าน มันหมดแล้วจริง ๆ ผมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นเราสูญไปเท่าไหร่ แต่มันหนักหนาจริง ๆ ไม่มีที่ซุกหัวนอน จนต้องไปอาศัยชาวบ้านแถวนั้นอยู่พักใหญ่ ทุกท่านใจดีกับเรามากจริง ๆ สภาพเราตอนนั้นมันแย่ที่สุด แต่ละคนเลอะเขม่า หัวฟู รุงรัง คราบน้ำตาเปรอะเหมือนคนบ้า กว่าจะคิดว่าชีวิตมันต้องดำเนินยังไงต่อไปมันใช้เวลามากครับ
ตอนนี้ครอบครัวเราผ่านจุดนั้นมาแล้ว ค่อย ๆ เริ่มกันใหม่ และมันคงไม่มีทางลืมง่าย ๆ เราไม่ได้รับอะไรนอกจากการช่วยเหลือเล็กน้อยจากทางรัฐ เพราะเราทำประกันไม่ได้ครับ ตัวบ้านมันไม่ได้มาตรฐาน (เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจรายละเอียด เพราะตอนนั้นยังเด็ก อยากให้ข้ามไปนะครับ) สำหรับทั้งหมดที่ผมเขียนมานี้ ผมอาจจะเขียนน่าเบื่อ ยืดเยื้อ แต่ผมเขียนด้วยความรู้สึกที่มันเจ็บปวดจริง ๆ มันโหดเกินไปจริง ๆ เชื่อไหมครับ ? ว่าพวกเราไม่ได้คิดจะโทษใครเลย กลับโทษตัวเองในหลาย ๆ เรื่อง เพราะเราไม่รู้จะโทษใคร แล้วไม่รู้ว่าโทษแล้วจะได้อะไร ตอนนี้เมื่อมองกลับไป สำหรับผมมันเป็นบทเรียนราคาแพงมาก ผมคิดว่ากว่าจะผ่านมาได้ ทุกคนเข้มแข็งขึ้นมาก ผมคิดว่าผมโตขึ้นเยอะจากเรื่องนี้ เพราะมันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ผมอยากฝากเป็นสิ่งเตือนใจถึงทุกท่านในสังคมนะครับ กรุณาเถอะครับ อย่าให้ใครต้องเจอเรื่องราวแบบนี้เลย ตัวผมเองก็ไม่เคยลอยโคมสักครั้งในชีวิต ผมเลยรู้สึกว่ามันก็ตลกดีที่กลับเป็นฝ่ายมาโดน // สำหรับประเพณี มันเป็นสิ่งสวยงามครับ ผมไม่ขอร้องให้หยุด แต่ผมอยากถามว่า มีสักกี่คนครับ ? ที่คิดว่าหลังจากที่เราลอยความทุกข์ของตนไปกับโคมไฟแล้ว หลังจากนั้นมันจะเป็นอย่างไรต่อ ? มันจะลอยขึ้นไปสู่ฟากฟ้าไม่รู้ดับ หรือหวังว่ามันคงค่อย ๆ มอดและล่วงลงอย่างสงบ ? หรือเราจะให้ใครเก็บมันหลังจากนั้น ? // ผมเชื่อว่าทุกท่านปล่อยโคมด้วยเจตนาอันดีครับ ฉะนั้นผมก็หวังเช่นกันว่าเมื่อท่านได้อ่านเรื่องจริงของผมแล้ว อาจเป็นอุทาหรณ์ที่ท่านจะสามารถนำไปเล่าต่อ ๆ กันได้ // ประเพณีที่สวยงาม ผมเชื่อว่ามันจะยังคงสวยงาม หากผู้ที่สานต่อมีความเข้าใจ และสืบสานคงไว้ให้เหมาะสมตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง ไม่จำเป็นต้องเลิก แต่ขอให้สานต่ออย่างประณีต อย่าทำไปด้วยฉาบฉวย ขอเท่านี้แหละครับ
ขอบคุณที่อดทนอ่านจนจบครับ :")"
sithiphong:
สุ่มตรวจร้านหมูกระทะ พบยาดองศพปนเปื้อนในปลาหมึกอื้อ
-http://health.kapook.com/view105227.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
แพทย์ประจำสาธารณสุขจังหวัดเลย สุ่มตรวจสารปนเปื้อนในอาหารตามร้านจำหน่ายหมูกระทะ พบมีสารฟอร์มาลีนหรือน้ำยาดองศพปนเปื้อนอยู่ในปลาหมึกอื้อ
วันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแพทย์สุวิทย์ โรจนศักดิ์โสธร แพทย์ประจำสาธารณสุขจังหวัดเลย ได้นำเจ้าหน้าที่ออกสุ่มตรวจร้านจำหน่ายหมูกระทะในพื้นที่อำเภอเมืองเลย เพื่อป้องกันการใช้สารปนเปื้อนในอาหาร ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่า บางร้านมีสารฟอร์มาลีนหรือน้ำยาดองศพปนเปื้อนอยู่ในปลาหมึก ซึ่งเจ้าของร้านก็ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ใส่สารชนิดดังกล่าวเอง พร้อมบอกว่าปลาหมึกที่นำมาขายจะมีรถมาส่งให้ถึงร้าน
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังทำการตรวจสอบสารบอแรกซ์ในเนื้อหมูด้วย ซึ่งปรากฏว่าไม่พบสารปนเปื้อนแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ให้คำแนะนำในเรื่องสุขอนามัยกับบรรดาร้านต่าง ๆ อีกด้วย ส่วนสำหรับร้านที่พบว่ามีสารฟอร์มาลีนนั้น ทางเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบที่มาและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ผู้สื่อข่าวระบุเพิ่มเติมว่า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเลยได้ฝากเตือนมายังประชาชน ว่าให้เลือกร้านที่น่าไว้วางใจเท่านั้น เนื่องจากผู้ค้าขายบางร้านไม่ห่วงใยสุขภาพของผู้บริโภค อาจใช้น้ำยาที่เป็นอันตราย เช่น ฟอร์มาลีน น้ำยาล้างห้องน้ำ มาแช่เนื้อปลาหมึกหรือใช้ล้างเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ได้
ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาดังกล่าว ผู้บริโภคจะต้องคำนึงถึงสุขภาพอนามัยของตัวเอง โดยให้สังเกตที่เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ว่าจะต้องไม่แดงจัดจนเกินไป และสีผิวต้องสม่ำเสมอ ไม่มีลักษณะของเม็ดสาคูฝังในเนื้อ และเพื่อหลีกเลี่ยงพยาธิต่าง ๆ ในการย่างควรต้องย่างให้สุกก่อน ไม่ควรรับประทานแบบสุก ๆ ดิบ ๆ เพราะเสี่ยงต่อการเป็นพยาธิ อีกทั้งถ้าป่วยแล้วอาจถึงแก่ชีวิตได้ นอกจากนี้จะต้องไม่ย่างจนเกรียมเกินไป เพราะการไหม้เกรียมมีสารก่อมะเร็งอีกด้วย
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเลยยังกล่าวอีกว่า หากผู้บริโภคสงสัย สามารถนำตัวอย่างเนื้อสัตว์มาส่งตรวจได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลยหรือโรงพยาบาลชุมชนได้ทุกแห่ง ซึ่งจะให้บริการตรวจฟรี 5 สาร คือ สารบอแร็กซ์ สารกันรา สารฟอกขาว ฟอร์มาลีน สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ส่วนสารเร่งเนื้อแดงผู้บริโภคจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจเอง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก-http://social.tnews.co.th/content/116704/-
sithiphong:
เปิดคลิปชายขอทานแกล้งแขนด้วน ลุกขึ้นทีแขนโผล่
-http://hilight.kapook.com/view/111715-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Doolen Acoustic
เล่นกันแบบนี้เลย ชายขอทานซ่อนแขนไว้ในเสื้อ หลอกว่าแขนด้วน ขายความสงสารหาประโยชน์จากคนอื่น
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2557 เฟซบุ๊ก Doolen Acoustic ได้เผยคลิปเปิดโปงพฤติกรรมของชายขอทานแขนพิการรายหนึ่ง ซึ่งมานั่งขอทานอยู่ริมฟุตปาธ แต่แล้วในที่สุดกลับปรากฏว่าที่จริงแล้ว ชายคนดังกล่าวไม่ได้มีแขนพิการแต่อย่างใด เพียงแต่ซ่อนแขนของตนเองไว้ในเสื้อเพื่อหลอกใช้ความสงสารจากผู้คนให้ช่วยทำทานเท่านั้น ดังที่จะเห็นได้จากคลิปนี้
- ชายขอทานผู้มีแขนพิการทั้ง 2 ข้าง นั่งขอทานอยู่ริมฟุตปาธ
- แต่แล้วหลังจากที่รู้ตัวว่าถูกถ่ายคลิป ชายขอทานรายนี้ก็ลุกขึ้น
- ในจังหวะนั้นเองที่เห็นแขนของเขาโผล่ออกมาจากปลายเสื้อ
- เมื่อลุกขึ้นยืน 2 แขนที่ซ่อนไว้ภายในเสื้อก็ยิ่งโผล่ออกมาชัดเจน
- กระทั่งในที่สุด ชายขอทานรายนี้ก็รีบวิ่งหนีไปเมื่อรู้ตัวว่าถูกจับโกหกได้
นอกจากนี้เจ้าของคลิปยังเปิดเผยด้วยว่า จริง ๆ แล้วตนรู้สึกสงสารคนที่ลำบากจริง ๆ แล้วมาขอทาน แต่สำหรับกรณีที่มีคนมาแสวงหาประโยชน์กับการขอทานเช่นนี้ ตนไม่รู้สึกสงสารเลยจริง ๆ
https://www.facebook.com/doolen.nj
-https://www.facebook.com/doolen.nj-
------------------------------------------------------------------------------------
ลุยแล้ว จัดระเบียบขอทานใน กทม. จับพิสูจน์แม่-ลูก
-http://hilight.kapook.com/view/111735-
จัดระเบียบขอทานกทม.3วันจับได้96ราย (ไอเอ็นเอ็น)
อธิบดีกรมพัฒนาสังคม เผยการจัดระเบียบขอทาน กทม. 3 วัน จับกุมได้ 96 คน พร้อมขยายผลต่อเนื่องในจังหวัดท่องเที่ยว
วันนี้ (22 พฤศจิกายน 2557) นายอนุสันต์ เทียนทอง รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า ภายหลังการลงพื้มที่จับกุมขอทานในเขตพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 19-21 พฤศจิกายน 2557 รวมเป็น 3 วัน สามารถจับกุมขอทานได้ 96 คน ซึ่งเป็นคนไทย 35 คน และเป็นคนต่างด้าว 61 คน
นอกจากนี้ เมื่อมีการจัดระเบียบขอทานในกรุงเทพฯ แล้ว ก็จะดำเนินการขยายผลต่อเนื่องในพื้นที่จังหวัดแหล่งท่องเที่ยว อาทิ เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น อุบลราชธานี ชลบุรี ภูเก็ต นครศรีธรรมราช และสงขลา ซึ่งการดำเนินการก็จะมีลักษณะการปฏิบัติการคล้ายกับของกรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งขอความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือ
ทั้งนี้ ภายหลังการจับกุมแล้ว ทางกรมพัฒนาสังคมฯ จะมีการแบ่งแยกคัดกรองใน 5 เรื่อง อาทิ ด้านกลุ่มยาเสพติด ด้านอาวุธ ด้านของสุขภาพร่างกาย ด้านสุขภาพจิต และด้านการคัดแยกกลุ่มการค้ามนุษย์
นอกจากนี้ การดำเนินการยังได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในการดูแลจัดการคัดแยกกลุ่มคนที่มา จากการค้ามนุษย์ นอกจากนี้ ยังมีกระทรวงสาธารณสุขดูแลด้านสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิต และตำรวจตรวจคนเข้าเมืองในการดำเนินคัดแยกตัวบุคคล และสัญชาติว่าเป็นคนไทยหรือต่างด้าว
พร้อมกันนี้ ยังพบว่ามีแม่ที่อุ้มลูกมาขอทาน เบื้องต้นทางกรมพัฒนาสังคมฯ ได้ประสานงานไปยังศูนย์แลกรับคนไร้ที่พึง ที่นนทบุรี เพื่อตรวจพิสูจน์ความเป็นแม่ลูก ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะดำเนินการในการตัดวงจรของกลุ่มการค้ามนุษย์
sithiphong:
เจ้าหน้าที่ทางราชการ รวมทั้งตำรวจ
ทำผิด ไม่ต้องรับผิด และ ไม่ต้องติดคุก ใช่หรือไม่ ????????? !!!!!!!!!!
ไม่มีข่าว แต่อย่างใด
-------------------------------------------
พนง. เก็บขยะ คดีเก็บแผ่นซีดีขาย นำเงิน 2 หมื่น มอบกองทุนยุติธรรม
-http://hilight.kapook.com/view/111729-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ข่าวสด
พนักงานเก็บขยะถูกศาลตัดสินจำคุก หลังเก็บแผ่นซีดีขาย นำเงินที่ได้รับบริจาคมามอบให้กองทุนยุติธรรม เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเช่นตน
จากกรณีที่นายสุรัตน์ มณีนพรัตน์สุดา พนักงานเก็บสิ่งปฏิกูลเขตสะพานสูง กทม. เก็บแผ่นซีดีไปขาย ต่อมาได้ถูกศาลฎีกาปรับเป็นจำนวนเงิน 133,400 บาท แต่นายสุรัตน์ไม่มีเงินชำระค่าปรับ ทำให้ศาลตัดสินกักขังเป็นเวลา 1 ปี แต่ต่อมามีผู้ใจบุญมาชำระค่าปรับให้ ทำให้นายสุรัตน์ได้รับการปล่อยตัวนั้น
ล่าสุด วันนี้ (22 พฤศจิกายน 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุรัตน์ ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ. ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เพื่อมอบเงิน 20,000 บาทที่ได้รับจากการบริจาคจากประชาชนมามอบให้กรมคุ้มครองสิทธิฯ นำเข้ากองทุนยุติธรรม เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเช่นตน
ทั้งนี้ พ.ต.อ. ณรัชต์ กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กองทุนยุติธรรมได้รับเงินบริจาคเข้ากองทุน ซึ่งก่อนหน้านี้กรมคุ้มครองสิทธิฯ ได้เคยนำเงินกองทุนยุติธรรมไปประกันปล่อยตัวชั่วคราวนายสุรัตน์ออกมา และต่อมามีผู้ช่วยเหลือนำเงินไปเสียค่าปรับให้ แต่ยังเหลือเงินที่มีผู้บริจาคอีก 20,000 บาท นายสุรัตน์จึงต้องการมอบเงินที่เหลือให้กองทุนยุติธรรมนำไปใช้ประโยชน์กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเหมือนตัวเอง
ด้านนายสุรัตน์ กล่าวว่า ตนเคยได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรมในการประกันตัวออกมาสู้คดี ต่อมาเมื่อถูกศาลฎีกาสั่งปรับก็มีผู้หวังดีนำเงินมาชำระค่าปรับให้ และมีเงินของประชาชนอีกส่วนหนึ่งที่มาบริจาคให้คน ตนจึงมองว่าเงินนี้เป็นของประชาชน จึงตัดสินใจมามอบให้กองทุนยุติธรรมนำไปช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1416637372-
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version