ประชาสัมพันธ์ > การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ
รวม เตือนภัย ที่ใกล้ตัว อย่าประมาท และเป็นความรู้การป้องกันตนเอง
sithiphong:
พ่อปล่อยลูกเล่นตามลำพัง สุดท้ายพบสลบท้ายรถดับ 1 สาหัส 1
-http://hilight.kapook.com/view/89318-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สปริงนิวส์
โชเฟอร์แท็กซี่ผู้เป็นพ่อหัวใจสลายหลังนอนหลับพักเอาแรง แล้วปล่อยให้ลูกน้อย 2 คนเล่นตามลำพัง ตื่นมาไม่เจอลูก กระทั่ง พบลูกทั้งสองนอนแน่นิ่งที่ท้ายรถเก๋ง เบื้องต้นลูกคนโตขาดอากาศเสียชีวิต ส่วนคนน้องอาการโคม่า
วานนี้ (2 สิงหาคม 2556) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ธรรมศาลา ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลธนบุรี 2 ถนนบรมราชชนนีว่าพบเด็กชาย 2 รายเข้ามารักษาตัวด้วยอาการสาหัส กระทั่งเสียชีวิต 1 ราย จึงรุดไปตรวจสอบ พบนายเจต (นามสมมติ) อายุ 27 ปี และนางสาวมะพร้าว (นามสมมติ) อายุ 28 ปี ผู้เป็นบิดาและมารดาของเด็ก กำลังยืนเฝ้าศพของ เด็กชายนัท (นามสมมติ) วัย 4 ขวบ
เบื้องต้น นายเจต ให้การทั้งน้ำตาว่า ตนเองมีอาชีพขับรถแท็กซี่ประจำอยู่ที่ขนส่งสายใต้ใหม่ ส่วนภรรยาทำงานเป็นพนักงานบัญชีที่บริษัทย่านตลิ่งชัน และมีลูกชาย 2 คน โดยผู้เสียชีวิตเป็นลูกชายคนโตอายุ 4 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ส่วนคนเล็กอายุ 3 ปี อยู่ชั้นเตรียมอนุบาลโรงเรียนเดียวกัน โดยปกติตนเองจะไปรับลูกที่โรงเรียนเป็นประจำและดูแลจนถึงช่วงเย็น
นายเจต กล่าวต่อว่า หลังจาก 6 โมงเย็นเป็นต้นไป ภรรยาจะรับช่วงดูแลลูก แล้วตนจึงออกไปขับรถแท็กซี่ แต่เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2556 ทางโรงเรียนแจ้งว่าต้องพาลูกชายคนโตไปร่วมกิจกรรมนอกโรงเรียน ส่วนน้องคนเล็กให้กลับบ้านได้ตั้งแต่ช่วงเที่ยง ตนจึงไปรับลูกกลับบ้านและอาบน้ำให้ลูกจนแล้วเสร็จ ก่อนจะปล่อยให้ไปเล่นภายในบ้านตามประสา ส่วนตนก็นอนหลับพักเอาแรง หลังจากนั้น ภรรยากลับมาถึงบ้านก็ไม่พบลูกชายแล้ว และภรรยาได้เรียกตนให้ตื่นขึ้นมาช่วยตามหาลูก แต่ก็ไม่พบ จึงตัดสินใจเอากุญแจรถเก๋งของตัวเอง มาลองไขที่ท้ายรถดู กลับพบว่าลูกทั้งสองนอนสลบอยู่ภายในท้ายรถ สภาพเหงื่อชุ่มกาย จึงรีบนำทั้งคู่ส่งโรงพยาบาล แต่น้องนัทขาดอากาศหายใจนานเกินไปจนเสียชีวิต ส่วนลูกคนเล็กยังอยู่ในการดูแลของแพทย์ที่ห้องฉุกเฉิน
นายเจต กล่าวอีกว่า ตนคาดว่าลูก ๆ น่าจะมาวิ่งเล่นแถวรถ จากนั้นคนพี่คงไปเปิดฝากระโปรงท้ายจากด้านในรถ แล้วชักชวนน้องให้เข้าไปเล่นในฝากระโปรง ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทำให้ทั้งคู่ดึงฝาท้ายลงมาปิดจนลงล็อกและเปิดออกมาไม่ได้ กระทั่งขาดอากาศหายใจจนทำเสียชีวิตดังกล่าว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.dailynews.co.th/crime/223569-
sithiphong:
นุ้ย สุจิรา ถูกตีนแมวงัดบ้านซ้ำ ด้านตำรวจชี้วงจรปิดถ่ายคนร้ายได้
-http://women.kapook.com/view67911.html-
รูปคนร้าย
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอบคุณภาพประกอบจาก Instagram nuisujiraa
นุ้ย สุจิรา ซวยซ้ำซวยซ้อน ถูกโจรบุกงัดบ้านกวาดทรัพย์สินกว่า 40,000 บาท หลังเหตุถูกทุบรถไม่ถึง 6 เดือน ด้านตำรวจเผย ภาพคนร้ายจากกล้องวงจรปิดชัดเจน น่าจะตามจับได้ไม่ยาก
หลังจากที่ถึงคราวเคราะห์ โดนคนร้ายทุบเบนซ์ที่จอดไว้หน้าบ้านขโมยทรัพย์สินไปรอบหนึ่งแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ล่าสุดดาราสาว นุ้ย สุจิรา อรุณพิพัฒน์ วัย 31 ปี ก็ต้องโอดครวญอีกครั้งเมื่อล่าสุด ช่วงเวลาประมาณ 02.00 น. ของวานนี้ (2 สิงหาคม 2556) ได้มีคนร้ายบุกเข้ามางัดบ้านของเธอที่ เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ ซ้ำอีกครั้ง
และนั่นทำให้ นุ้ย สุจิรา ถึงกับออกมากรีดร้องผ่านอินสตราแกรม ว่า "กรี๊ด!!!!!ช่วงนี่มีเสน่ห์กับโจรเหลือเกินกุมภาโดนงัดรถ วันนี้!!!!!ตี2โดนงัดบ้านเข้ามาเอาทรัพย์สินอีกแล้วววววววววววววววมะไหวละน้าาาาาาาา" พร้อมกับโพสต์ภาพคนร้ายที่กล้องวงจรปิดสามารถบันทึกไว้ได้ด้วย
โดย นุ้ย สุจิรา เผยถึงเหตุที่เกิดขึ้นว่า ในตอนนั้นคนร้ายปีนจากบ้านอีกหลัง หนึ่งลงมาที่บ้านตน และงัดเข้าทางประตูหลังบ้าน ก่อนจะรื้อค้นทรัพย์สินในบ้าน กวาดเงินสดไป 3 พันกว่าบาท รวมถึงไอแพดและบัตรเอทีเอ็ม รวมมูลค่าความเสียหายทั้งหมด 40,000 บาท จนกระทั่งช่วงเช้าคนในบ้านตื่นมาเห็นร่องรอยถูกรื้อค้น จึงรีบโทรศัพท์แจ้งตำรวจ สน.โชคชัย ทันที
อย่างไรก็ตาม นุ้ย สุจิรา เผยว่าบ้านหลังนี้ตนก็คงอยู่อีกไม่นาน เพราะหลังแต่งงานก็คงย้ายบ้านไป ขณะที่ทางตำรวจ หลังได้รับแจ้งเหตุก็ได้นำตู้แดงมาติดไว้หน้าบ้านเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีกแล้ว และจะเพิ่มสายตรวจให้มากขึ้นเพราะบริเวณย่านเสนานิคมเป็นซอยเปลี่ยวและเกิดเหตุบ่อยครั้ง ส่วนตัวเองก็รู้สึกตกใจ เนื่องจากเหตุลักทรัพย์บริเวณบ้านได้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ภายในระยะเวลาไม่ถึง 6 เดือน หลังจากนี้คงเตรียมติดเหล็กดัดเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการโจรกรรมทรัพย์สิน
และคืบหน้าล่าสุด พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้เผยว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดของบ้าน นุ้ย สุจิรา พบคนร้ายเป็นชายอายุไม่เกิน 25 ปี ซึ่งใช้มีดกรีดมุ้งลวดข้างประตูห้องครัว แล้วลอดตัวเข้าผ่านช่องเหล็กดัดเข้าไปในบ้าน โดยไม่ได้มีการเข้าไปทำร้ายร่างกายบิดาของ นุ้ย สุจิรา ซึ่งนอนอยู่ชั้นล่างของบ้านแต่อย่างใด โดยทางตำรวจระบุว่า ภาพที่ได้จากกล้องวงจรปิดค่อนข้างชัดเจน สามารถเห็นใบหน้าของคนร้าย จึงคาดว่า จะสามารถติดตามตัวคนร้ายได้ไม่ยาก และสันนิษฐานว่า คนร้ายอาจอยู่ใกล้เคียงบ้านของผู้เสียหาย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ไอเอ็นเอ็น และ -http://www.siamdara.com/hotnews/130803_15011.html-
sithiphong:
รายการบางอ้อ ชวนไขปริศนา ไข่ถอนคุณไสย-พลังเหล็กไหล-มักกะลีผล
-http://drama.kapook.com/view67878.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการบางอ้อ โพสต์โดย คุณ jessadad สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
เรื่องไสยศาสตร์ ถือเป็นความเชื่อที่อยู่คู่สังคมไทยมาช้านาน แต่บางครั้งสิ่งเหล่านั้นอาจพิสูจน์ได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้น รายการบางอ้อ ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี จึงได้รวบรวมเรื่องราวความเชื่อ ที่ทำให้หลายคนต้องตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ มาตีแผ่ข้อเท็จจริง เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ ซึ่งประกอบด้วย 3 เรื่อง ดังนี้
เรื่องที่ 1 การใช้ไข่ไก่ถอนคุณไสย เพื่อให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ
มีตำหนักทรงหลายแห่งที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อหลอกลวงทรัพย์สินจากประชาชน โดยอ้างว่าสามารถใช้ไข่ไก่ถอนคุณไสยที่ทำให้เจ็บป่วย จนผู้คนจำนวนมากหลงเชื่อ และคิดว่าเป็นเรื่องจริง ซึ่งตำหนักทรงเหล่านี้เริ่มขยายตัวเป็นธุรกิจมากขึ้น เห็นได้จากการที่ทุกอย่างมีค่าใช้จ่าย โดยผู้ที่แวะเวียนมาอย่างน้อยต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 300 บาท หากรวมค่ารักษาด้วย คิดเป็นเงินประมาณ 3,000-5,000 บาท ซึ่งในแต่ละวันจะมีชาวบ้านมารักษาอาการเจ็บป่วยไม่ต่ำกว่า 20 คน ทำให้รายรับในแต่ละเดือนไม่น่าจะต่ำกว่า 100,000 บาท
สำหรับการรักษาโรค โดยนำไข่มาคลึงตามร่างกายเพื่อถอนคุณไสยนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ ซึ่งวิธีทำก็ไม่ยาก หากรู้เคล็ดลับในการทำให้ไข่อ่อนตัว หรือรู้วิธีการเจาะไข่ไก่ ก็สามารถใส่สิ่งแปลกปลอมเข้าไป ในไข่ได้อย่างง่ายดาย ด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น สก็อตเทปใส เข็มฉีดยา คัตเตอร์ และสิ่งของ เช่น ตะปู เส้นผม สีผสมอาหาร เพื่อทำเลือดและน้ำหนองปลอม ส่วนขั้นตอนในการทำไข่ไก่ถอนคุณไสยมีดังนี้
1. นำสก็อตเทปใสติดตรงไข่ไก่ในบริเวณที่จะเจาะรู
2. นำหลอดเข็มฉีดยาขนาดใหญ่ดูดสีที่ผสมไว้ แล้วฉีดเข้าไปในไข่ หรือนำสิ่งของยัดลงไป
3. ปิดรูที่เจาะไว้ด้วยน้ำตาเทียน แล้วเขียนลายอักขระทับลงไป เพียงเท่านี้ก็เสร็จแล้ว
บางอ้อแฉไสยศาสตร์ เสกตะปูเข้าไข่รักษาโรค
-http://www.youtube.com/watch?v=9lSyYjrswuE-
บางอ้อแฉไสยศาสตร์ เสกตะปูเข้าไข่รักษาโรค
คลิป บางอ้อแฉไสยศาสตร์ เสกตะปูเข้าไข่รักษาโรค : เครดิตรายการบางอ้อ
โพสต์โดย คุณ jessadad สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
เรื่องที่ 2 การโชว์อานุภาพของเหล็กไหล ด้วยการจุ่มมือในน้ำกรด
ทางรายการเล่าว่า วัดแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น อ้างว่า มีเครื่องรางของขลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นเหล็กไหลอัคนีที่มีสรรพคุณคุ้มครอง แคล้วคลาด รวมถึงอานุภาพทำให้หนังเหนียว และหากใครอยากลอง ก็เพียงแค่ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วกำเหล็กไหลเอาไว้ในมือหนึ่งข้าง เพียงเท่านี้ก็สามารถจุ่มมือลงไปในน้ำกรดที่มีความรุนแรงขนาดทำให้ก้านไม้ขีดธรรมดาติดไฟได้ โดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ
ถึงแม้ว่า เรื่องดังกล่าวจะดูน่าอัศจรรย์ แต่แท้จริงแล้วสามารถอธิบายได้ด้วย หลักทางวิทยาศาสตร์ ซึ่ง ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ข้อสังเกตไว้ ดังนี้
1. หากสำนักไหนโชว์อิทธิฤทธิ์ด้วยการจุ่มมือลงไปในกรด ที่เมื่อนำไปเทราดพื้นปูนแล้วกลายเป็นฟองฟู่ โดยที่มือไม่เป็นอะไรเลย แสดงว่า น้ำกรดดังกล่าวคือกรดไฮโดรคลอริกชนิดเจือจาง
2. หากสำนักไหนโชว์จุ่มไม้ขีดไฟลงไปในน้ำกรด แล้วไม้ขีดเกิดติดไฟขึ้นมา แสดงว่า น้ำกรดดังกล่าวเป็นกรดซัลฟูริกเข้มข้น ซึ่งกรดชนิดนี้จะทำปฏิกิริยากับมือที่แห้งสนิทได้ยากกว่ากับผ้าหรือกระดาษ จึงเห็นได้ว่า เมื่อใช้มือจุ่มลงไปในน้ำกรด แล้วนำมาป้ายที่ผ้าชนิดต่าง ๆ จะทำให้ผ้ามีรอยไหม้สีดำและทะลุเป็นรู แต่ถ้ารีบล้างมือโดยเร็วก็จะไม่มีร่องรอยอะไรให้เห็นเลย
ทั้งนี้ ทางรายการได้ย้ำว่า ถึงจะรู้ในหลักการดังกล่าวแล้ว แต่น้ำกรดถือเป็นสารอันตราย ดังนั้นจึงไม่ควรนำมาทดลองด้วยตนเองอย่างเด็ดขาด
บางอ้อแฉไสยศาสตร์ หนังเหนียวจุ่มน้ำกรด
-http://www.youtube.com/watch?v=GM_1hgvD1zk-
บางอ้อแฉไสยศาสตร์ หนังเหนียวจุ่มน้ำกรด
คลิป บางอ้อแฉไสยศาสตร์ หนังเหนียวจุ่มน้ำกรด : เครดิตรายการบางอ้อ
โพสต์โดย คุณ jessadad สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
เรื่องที่ 3 ความเชื่อเรื่อง มักกะลีผล ช่วยให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
จากความเชื่อที่ว่า นารีผล หรือ มักกะลีผล เป็นผลไม้ในตำนาน มาจากดินแดนเร้นลับอย่างป่าหิมพานต์ ที่จะส่งผลให้การค้าขายเจริญรุ่งเรือง สมหวังในเรื่องความรัก และช่วยเรื่องหน้าที่การงาน จึงมีการนำมักกะลีผลมาทำเป็นเครื่องรางของขลัง หรือวัตถุมงคล เพื่อบูชาและจำหน่าย เป็นจำนวนมาก
แต่การตามหามักกะลีผลนั้น ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะมีวางขายอยู่ทั่วไป โดยแม่ค้ารายหนึ่ง เผยว่า จำหน่ายมักกะลีผลในราคา คู่ละ 800 บาท ซึ่งตนเองรับมักกะลีผลดังกล่าวมาจากต่างจังหวัดอีกทอดหนึ่ง หรือบางรายอ้างว่า มีการนำเข้ามาจากประเทศลาว และจากคำบอกเล่าต่าง ๆ เหล่านั้น ทำให้มักกะลีผล กลายเป็นวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม จนมีวางขายเป็นจำนวนมากในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.เจษฎา ได้วิเคราะห์ไว้ว่า มักรีผลที่วางขายอยู่ทั่วไป ตรงกลางเนื้อในจะมีแกนและแบ่งเป็นห้อง ๆ เหมือนพืชในกลุ่มบวบ ซึ่งเนื้อของบวบประกอบด้วยเส้นใยจำนวนมากจึงทำให้มีความคงทนแข็งแรง ทั้งนี้ เมื่อดูจากลักษณะภายนอกของมักกะลีผล คาดว่า น่าจะมีการทำแม่พิมพ์ขึ้นมา แล้วนำมาประกบกับผลบวบ ดูได้จากการที่มักรีผลมีแนวสันตามลำตัวชัดเจน
หลังจากมีการใช้แม่พิมพ์ทำให้ผลบวบเจริญเติบโตตามรูปทรงที่ต้องการแล้ว จากนั้นจะมีการนำไปตากแห้ง หรืออบแห้ง ก่อนแกะสลักและลงสีอีกนิดหน่อยเพื่อเพิ่มความขลัง ซึ่งการใช้แม่พิมพ์ปรับเปลี่ยนรูปทรงของผลไม้หรือพืชนั้น ก็เป็นกรณีเดียวกับที่ในต่างประเทศ มีการทำแตงโมเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยมนั่นเอง
อย่างไรก็ดี ทางรายการได้สรุปไว้ว่า บางเรื่องอาจจะใช้หลักทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายได้ แต่บางเรื่องก็ยากเกินกว่าจะหาข้อพิสูจน์ ซึ่งสาเหตุที่รายการบางอ้อรวบรวมเรื่องศาสตร์ลวงโลกมาเปิดเผยในครั้งนี้ เพื่อให้เป็นอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งผู้ชมจะได้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ และทำให้รู้เท่าทันพวกมิจฉาชีพนั่นเอง
บางอ้อแฉไสยศาสตร์ มักรีผล นารีผล หรือผลบวบ
-http://www.youtube.com/watch?v=pzq3Eh01sTM-
บางอ้อแฉไสยศาสตร์ มักรีผล นารีผล หรือผลบวบ
คลิป บางอ้อแฉไสยศาสตร์ มักกะลีผลนารีผล หรือผลบวบ : เครดิตรายการบางอ้อ
โพสต์โดย คุณ jessadad สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
http://drama.kapook.com/view67878.html
.
sithiphong:
ตำรวจมีเหตุผล แต่ผมมีกล้อง พกกล้องไว้อุ่นใจกว่าจริงๆ
-http://world.kapook.com/pin/5204ae2238217a8e5d000000-
ตร.มีเหตุผล
ตร.มีเหตุผล
-http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=VUDu6MOv4Po-
คลิป ตำรวจมีเหตุผล แต่ผมมีกล้อง งานนี้เลยรอดใบสั่งไปได้อย่างหวุดหวิด คลิปนี้เป็นภาพเจ้าของคลิปขี่มอเตอร์ไซค์ แล้วโดนตำรวจเรียกครับ พี่ตำรวจเขาหาว่า เจ้าของคลิปขี่ขวามาตลอด ไม่ยอมเข้าซ้าย จะแจกใบสั่ง เจ้าของคลิปเลยต้องอธิบายยกใหญ่ว่า มันไม่ใช่แบบนั้น!! ผมไม่ได้ทำแบบนั้น!! ถกเหตุผลกันอยู่ตั้งนาน ไม่ยอมเชื่อ สุดท้ายเจอไม้ตาย " ผมมีกล้อง " มีหลักฐาน ไม่เชื่อดูพี่ตำรวจดูสิ เข้าไปพี่ตำรวจจินตนาการภาพออก มีเหตุผลทันที เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า พกกล้องไว้เถิด มันอุ่นใจกว่าจริงๆ
sithiphong:
ระวัง! มิจฉาชีพแฮกเฟซบุ๊ก หลอกยืมเงินเพื่อนเหยื่อ
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNM05qQTNOVEk1TkE9PQ==§ionid=-
ทอล์คสตอรี่ : มิจฉาชีพแบบใหม่! แฮกบัญชีเฟซบุ๊ก สวมรอยหลอกยืมเงินเพื่อน หลังตรวจสอบบัญชีที่ถุกโอน เจออีกเพียบ
ผู้สื่อข่าวรายงาน มีมิจฉาชีพลงมือก่อเหตุในโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยการลักลอบเข้าไปในเฟซบุ๊กส่วนตัวของผู้เสียหาย ก่อนขอยืมเงินจากเพื่อน โดยนางนัทชา กีระติสุนทร ชาว จ.เชียงราย เล่าว่า มีคนลักลอบใช้บัญชีเฟซบุ๊กของเพื่อนตน คือ นางมาลี กุมภัณฑ์ ชาว อ.ขุนตาล มาโพสต์ข้อความขอยืมเงินเป็นจำนวน 3,000 บาท โดยอ้างว่ากำลังเดือดร้อน
ตนเห็นใจเพื่อนและไม่กล้า ถามเหตุผล แต่เพราะยังติดงานอยู่ จึงโทรศัพท์ไปหา นางโชติกา ดวงศิริ เพื่อนอีกคนหนึ่ง ซึ่งบ้านอยู่ใกล้ตู้เอทีเอ็ม ให้ช่วยโอนเงินก่อน โดยบัญชีดังกล่าวเป็นบัญชีออมทรัพย์ธนาคารกสิกรไทย ต่อมา เมื่อนางโชติกาโอนเงินเสร็จแล้ว ตนจึงสอบถามนางมาลีทางเฟซบุ๊กว่า ได้รับเงินหรือยัง แต่ปรากฏว่า นางมาลี ไม่ตอบกลับมาอีกเลย จนกระทั่งมาทราบความจริง
ทางด้านนางมาลี กล่าวว่า ตนไม่ได้ใช้เฟซบุ๊กมานานกว่า 2 เดือน จนกระทั่งทราบเรื่องจากเพื่อนว่า มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น โดยปกติพวกเพื่อนในกลุ่ม ก็จะใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะกัน จึงไม่น่าจะมีคนเข้าไปแฮกเอารหัสหรือพาสเวิร์ดได้ ตนเลยคาดว่า คนร้ายน่าจะเป็นพวกมิจฉาชีพที่ทำกันเป็นขบวนการและมีความสามารถด้านการแฮกข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต
โดยหลังเกิดเหตุได้สอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจจนทราบว่า คดีดังกล่าวสามารถสืบสวนสอบสวนเพื่อคลี่คลายคดีได้ แต่ต้องมีการแจ้งความ พวกตนจึงตัดสินใจไม่แจ้งความ เพราะวงเงินน้อย และเกรงว่าจะเสียเวลา รวมทั้งเสียค่าคดีความ
แต่เมื่อตรวจสอบผ่านธนาคาร พบว่า ผู้เปิดบัญชีชื่อที่โอนเข้าไป ได้เปิดบัญชีที่ จ.สุราษฎร์ธานี และที่ผ่านมามีวงเงินที่ถูกโอนเงินเข้าคราวละ 500-3,000 บาท อย่างน่าสงสัย
ทั้งหมดยืนยันว่า แม้วงเงินที่ถูกมิจฉาชีพโกงไปจากวิธีการดังกล่าวจะไม่มากนัก แต่เกรงว่าคนอื่น ที่เล่นเฟซบุ๊กหรือโซเชียลเน็ตเวิร์กอาจถูกกระทำเช่นนี้ จนได้รับผลกระทบหนัก จึงขอให้ทางสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวเพื่อแจ้งเตือนคนในสังคมด้วย
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version