อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ

<< < (6/33) > >>

sithiphong:

7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทราย
-http://guru.sanook.com/pedia/topic/7_%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9C%E0%B8%A5_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2/-

7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทรายแม้น้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเป็นของแถมตามมาอีกหลายโรค ลองดูเหตุผลต่อไปนี้ก่อนกินน้ำตาลคราวต่อไปค่ะ

1. เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล
2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง
3. หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่นหัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น
4. การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน
5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป
6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะ "เชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร"
7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้วยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่

ที่มาข้อมูล bloggang.com

sithiphong:
ดูแลสุขภาพอย่างไรให้ห่างไกลจาก...ภัยไข้หวัดใหญ่ระบาด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 พฤศจิกายน 2556 15:43 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000136758-

 ช่วงปลายฝนต้นหนาวเช่นนี้ อากาศเมืองไทยดูจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไรนัก บางวันก็ร้อนอบอ้าว บางวันฝนตก บางวันอากาศอาจจะเย็นให้พอสบายกายบ้าง หรือบางวันก็มาครบทั้ง 3 ฤดูเลยทีเดียว การที่อากาศเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้หลายคนมีความเสี่ยงต้องเผชิญกับ “โรคไข้หวัดใหญ่”ระบาด
       
       ทั้งนี้ โรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ไม่สามารถคาดการณ์ได้ถึงการระบาดของเชื้อ เนื่องจากมีการระบาดเป็นประจำทุกปี ซึ่งช่วงเวลาของการระบาด ความรุนแรง และระยะเวลาในการระบาดของเชื้อ จะมีความแตกต่างกันในแต่ละปี

    นพ.ไพศาล เตชะวลีกุล อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ คลินิกอายุรกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ข้อมูลว่า “ไวรัสไข้หวัดใหญ่” นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอมาตลอด ดังนั้นมันจึงไม่ปกติสำหรับที่จะมีไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ปรากฎขึ้นในแต่ละปี โดยจะมีช่วงเวลาของการระบาดนั้นสามารถคาดการณ์ได้ยากและมีความแตกต่างกันในแต่ละฤดู ซึ่งในประเทศไทยจะมีการระบาดอยู่ 2 ช่วงเวลาคือช่วงฤดูฝน (มิถุนายน - ตุลาคม) และฤดูหนาว ( มกราคม - มีนาคม) ซึ่งช่วงการระบาดของไข้หวัดใหญ่สามารถเกิดก่อนเดือนดังกล่าวได้และสามารถพบได้ทั้งปี
       
       "อาการทั่วไปของผู้ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ คือมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว ไอแห้ง เจ็บคอ และมีน้ำมูก ไอมีเสมหะ หายใจเหนื่อยหอบ เจ็บแน่นหน้าอก คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย และมีไข้สูงตลอดเวลา อาการเหล่านี้เป็นอาการที่แสดงให้เห็นว่าไม่ได้เป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา ทั้งหมดนี้เป็นอาการนำของโรคไข้หวัดใหญ่ บางรายอาจพบอาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้"
       
       วิธีการรักษาไข้หวัดใหญ่ที่ได้ผล นพ.ไพศาล ระบุว่า คนไข้ควรได้รับยาต้านไวรัส ภายใน 48 ชั่วโมง หลังจากมีอาการไข้ ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของโรค นอกเหนือจากนั้นจะเป็นการรักษาตามอาการ เช่น ทานยาแก้ไข้ ยาแก้ไอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นต้น โดยระดับความรุนแรงของโรคไข้หวัดใหญ่ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของแต่ละคน ซึ่งคนที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ตลอดจนคนที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคไต เบาหวาน และมะเร็ง กลุ่มนี้หากพบการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ influenza จะมีความเสี่ยงสูงเพิ่มขึ้นที่จะเกิดพบอาการแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ และอาการติดเชื้อในหูชั้นในตามมาได้
       
       สำหรับการเตรียมตัวรับมือไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลนี้ สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา ( Center of Diseases Control and Prevention; CDC) ได้ให้คำแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ประจำปีสำหรับคนที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งเป็นสิ่งแรกและขั้นตอนที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ อย่างไรก็ตามมีไวรัสไข้หวัดใหญ่มากมายหลายสายพันธุ์ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ถูกสร้างมากเพื่อป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์หลักที่ได้วิจัยว่าจะเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยในฤดูกาลนั้นๆ ดังนั้นการได้รับวัคซีนสม่ำเสมอในแต่ละปีก็จะเป็นแนวทางที่ดีที่จะป้องกันเราจากการติดโรคและทำให้เราสามารถผ่านการระบาดของไข้หวัดใหญ่ไปได้
       
       “โรคไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปี เพราะในแต่ละปีเชื้อโรคมีการเปลี่ยนแปลง และพบการกลายพันธุ์ ทำให้เกิดเชื้อตัวใหม่ที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในแต่ละปีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับเชื้อที่ระบาดในช่วงเวลานั้น โดยหลักแล้วจะครอบคลุมสายพันธุ์ของไข้หวัดใหญ่ที่พบ”
       
       โดยสามารถรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยเราสามารถรับวัคซีนได้ใน สถานพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาล และคลินิกเอกชนได้ สำหรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ฤดูกาล 2013-2014 ชนิดไวรัส 3 ชนิดประกอบด้วย 1) A/California/7/2009(H1N1)pdm09-like virus; 2) A(H3N2) virus antigenically like the cell-propagated prototype virus A/Victoria/361/2012; และ 3) B/Massachusatts/2/2012-like virus
       
       สำหรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ฤดูกาล 2013-2014 ชนิดไวรัส 4 ชนิดจะประกอบด้วยไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามข้างต้นและชนิด B อีก1 สายพันธุ์ ซึ่งอีกสายพันธุ์ได้แก่ B/Brisbane/60/2008-like virus ซึ่งประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 อย่างก็คือ สุขภาพและอายุของผู้ที่ได้รับวัคซีน ตลอดจนความเหมาะสมกันระหว่างไวรัสไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันโรคที่ระบาดอยู่ในชุมชน
       
       นพ.ไพศาล กล่าวด้วยว่า ถ้าสายพันธุ์ของไวรัสที่ระบาดอยู่กับสายพันธุ์ที่วัคซีนนั้นออกแบบมาตรงกันก็จะส่งผลให้การป้องกันมีประสิทธิภาพสูง ในขณะที่ถ้าไม่ตรงกันพอดีก็จะทำให้วัคซีนนั้นไม่มีประสิทธิภาพที่ดี โดยวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลได้รับการออกแบบให้ป้องกันการติดเชื้อและการเจ็บป่วยที่มีสาเหตุจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ที่ได้รับการวิจัยว่าน่าจะเป็นพบบ่อยของฤดูกาลนี้ และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ไม่สามารถป้องกันไวรัสชนิดอื่นได้ และไม่สามารถป้องกันไวรัสที่ทำให้เกิดอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ได้
       
       "มีการศึกษาวิจัยหลายฉบับพบว่า มีความแตกต่างระหว่างฤดูกาลและการได้รับชนิดของวัคซีนและชนิดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการลดลงตลอดเวลา ซึ่งการลดลงของระดับภูมิคุ้มกันเป็นผลมาการหลายเหตุปัจจัยเช่น ชนิดของแอนติเจนที่ใช้ในวัคซีน อายุของผู้ได้รับวัคซีน และสุขภาพอนามัยของผู้ที่ได้รับวัคซีน ดังนั้นในคนที่สุขภาพดีส่วนใหญ่ที่มีระบบภูมคุ้มกันปกติ เมื่อได้รับวัคซีนร่างกายก็สามารถสร้างภูมิคุ้มกันและปกป้องร่างกายต่อการระบาดของไวรัสในฤดูนั้นได้ แม้ว่าระดับของภูมิคุ้มกันจะลดลงตลอดเวลาก็ตาม"
       
       นพ.ไพศาล กล่าวอีกว่า ในผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันไม่ดีก็อาจจะสร้างระดับภูมิคุ้มกันได้ไม่มากเท่า หรือระดับภูมิคุ้มกันอาจจะลดลงไวกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันปกติหลังได้รับวัคซีน สำหรับทุกคน การได้รับวัคซีนประจำทุกปีก็จะทำให้มีการป้องกันการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ดีและผ่านพ้นฤดูระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ไปได้ เนื่องจากไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่สม่ำเสมอ (drift) ซึ่งไวรัสนั้นสามารถมีการเปลี่ยนแปลงภายในฤดูกาลนี้หรือในฤดูกาลหน้าได้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญก็จะคัดเลือกเชื้อที่มีการสุ่มตรวจตามที่ต่างๆ ในโลกเพื่อที่จะนำมาสร้างวัคซีนและส่งออกมาให้ตรงกับฤดูกาล ในฤดูระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา (CDC) ได้มีการสุ่มตรวจตัวอย่างไวรัสที่มีการหมุนเวียนอยู่ระหว่างฤดูกาล เพื่อนำมาดูความเหมาะสมกันระหว่างไวรัสในวัคซีนกับไวรัสที่หมุนเวียนอยู่เพื่อนำมาผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
       
       อย่างไรก็ตามโรคไข้หวัดใหญ่นั้นสามารถรักษาได้ ระหว่างที่ป่วยแพทย์จะมีการให้ยาต้านไวรัสที่จะช่วยลดอาการให้น้อยลงและทำให้หายจากการป่วยได้ไวขึ้น และยังสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบได้ แม้วัคซีนจะไม่สามารถป้องกันโรคหวัดได้ 100% ในกรณีที่ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใกล้เคียง แต่จะช่วยบรรเทาอาการของโรค ไม่ให้เป็นอันตรายถึงชีวิต หรือช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นตามมาได้
       
       แต่วิธีการง่ายๆ ในการดูแลตัวเองให้พ้นภัยจากโรคไข้หวัดใหญ่ คือ การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง โดยทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอ ซี อี และสมุนไพรต่างๆ ออกกำลังกายเป็นประจำ และไม่ควรตากฝน หากเปียกฝนก็ควรรีบอาบน้ำสระผมพร้อมกับเช็ดตัวให้แห้ง ดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมงขึ้นไป ควรหลีกเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ป่วยเป็นไข้หวัดหรือเริ่มมีอาการไข้หวัด โดยเฉพาะห้องที่อากาศไม่ถ่ายเท หรือใครอยู่ในห้องแอร์สวมเสื้อผ้าที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นเพื่อให้ร่างกายได้สร้างภูมิคุ้มกันเชื้อโรค ควรล้างมือสม่ำเสมอเพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคได้อีกทางหนึ่ง



-----------------------------------------------------------------


รู้เท่าทัน...โรคสะเก็ดเงิน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 พฤศจิกายน 2556 09:00 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000136506-

  รองศาสตราจารย์ ณัฎฐา รัชตะนาวิน
       หัวหน้าสาขาโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
       
       โรคสะเก็ดเงิน หรือโรคเรื้อนกวาง เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดการอักเสบบนผิวหนัง โรคนี้มักไม่ได้รับความสนใจและให้ความสำคัญมากนัก รวมทั้งคนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ ทั้งๆ ที่โรคนี้ส่งผลกระทบทางด้านจิตใจต่อผู้ป่วยและคนรอบข้างเป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่พบว่าผู้ป่วยจะมีอาการเป็นผื่นปื้นแดง มีสะเก็ดขุยหนาหลุดลอก เนื่องจากผิวหนังมีวงจรการผลัดเซลล์ผิวที่สั้นลง ปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยถึงร้อยละ 3 ของประชากรโลก องค์กรอนามัยโลกได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและปัญหาของโรคสะเก็ดเงินจึงจัดตั้งให้วันที่ 29 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันสะเก็ดเงินโลก


ลักษณะของสะเก็ดเงิน

       โรคสะเก็ดเงิน พบได้ทั้งในเด็กและผู้ป่วย ทั้งหญิงและชาย แต่ส่วนใหญ่มักเกิดในผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 20-50 ปี สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มักพบว่าจะเกิดกับผู้ป่วยที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงิน รวมถึงมีปัจจัยบางอย่างที่มากระตุ้น เช่น ความเครียด การสูบบุหรี่ การบาดเจ็บของผิวหนัง การเปลี่ยนแปลงระดับ ฮอร์โมน (ผื่นมักเริ่มเกิดในช่วงแตกเนื้อหนุ่มหรือเป็นสาว) และยาบางชนิด ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน จึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น
       
       โดยทั่วไปผื่นสะเก็ดเงินมักไม่พบที่บริเวณใบหน้า นอกจากนี้เมื่อผื่น สะเก็ดเงินหายแล้ว จะไม่มีรอยแผลเป็นหลงเหลืออยู่ สำหรับอาการของโรคสะเก็ดเงิน แบ่งออกได้เป็น 4 ชนิด ได้แก่
       
       1.ชนิดผื่นหนา (Plaque psoriasis) เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุดประมาณ 80% ของคนไข้ โดยจะเป็นผื่นแดงหนา ขอบเขตชัด ขุยหนา สีขาวหรือสีเงินจึงได้ชื่อว่า “โรคสะเก็ดเงิน” พบบ่อยบริเวณหนังศีรษะ ลำตัว แขนขา โดยเฉพาะบริเวณ ข้อศอก และหัวเข่าซึ่งเป็นบริเวณที่มีการเสียดสี
       
       2.ชนิดผื่นขนาดเล็ก (Guttate psoriasis) จะเป็นตุ่มแดงเล็กคล้ายหยดน้ำขนาดเล็กไม่เกิน 1 เซนติเมตร มีขุย ผู้ป่วยมักมีอายุน้อยกว่า 30 ปี และอาจมีประวัติการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนนำมาก่อน
       
       3.ชนิดตุ่มหนอง (Pustular psoriasis) จะเป็นตุ่มหนองกระจายบนผิวหนังที่มีการอักเสบแดง ในรายที่เป็นมากอาจมีไข้ร่วมด้วย ซึ่งพบได้น้อยมาก โดยส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
       
       4.ชนิดผื่นแดงลอกทั่วตัว (Erythrodermic psoriasis) เป็นสะเก็ดเงินชนิดรุนแรง ผิวหนังมีลักษณะแดงและมีขุยลอกเกือบทั่วพื้นที่ผิวทั้งหมดของร่างกาย อาจเกิดจากการขาดยาหรือมีปัจจัยบางอย่างมากระตุ้น
       
       นอกจากนี้ ยังพบว่ามีผู้ป่วยบางรายพบการอักเสบของข้อร่วมอยู่ด้วย พบได้ทั้งที่เป็นข้อใหญ่ และข้อเล็ก อาจเป็นข้อเดียว หรือหลายข้อก็ได้ ส่วนใหญ่การอักเสบของมือจะเกิดที่ข้อนิ้วมือ ซึ่งหากเป็นเรื้อรังจะให้เกิดการผิดรูปได้
       
       สำหรับแนวทางการรักษาโรคสะเก็ดเงิน ขึ้นกับความรุนแรงของโรค หากมีความรุนแรงน้อย จะใช้รักษาโดยใช้ยาทา แต่หากมีความรุนแรงมาก ให้รักษาโดยใช้ยารับประทาน หรือฉายแสงอาทิตย์เทียม หรืออาจใช้ร่วมกันระหว่างยารับประทานและฉายแสงอาทิตย์เทียม ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้ประเมินความเหมาะสมในการรักษาแต่ละประเภทสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน
       
       1. ยาทาภายนอก มีหลายชนิด ได้แก่ ยาทาคอติโคสเตียรอยด์ น้ำมันดิน แอนทราลิน อนุพันธ์วิตามินดี และยาทากลุ่ม calcineurin inhibitor (tacrolimus, pimecrolimus) เป็นยากลุ่มใหม่ที่นำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากยาทาคอติโคสเตียรอยด์ แต่ยังไม่แพร่หลายเนื่องจากยามีราคาแพง
       
       2. ยารับประทาน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทยมี 3 ชนิดได้แก่ เมทโทเทรกเสท อาซิเทรติน และ ไซโคลสปอริน
       
       3. การฉายแสงอาทิตย์เทียม เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีในการรักษาสะเก็ดเงิน โดยจะใช้รังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งปัจจุบันที่ใช้ในการรักษาโรคสะเก็ดเงินมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ รังสีอัลตราไวโอเลต A และรังสีอัลตราไวโอเลต B
       
       4. ยาฉีดชีวภาพ เป็นการรักษามีใช้มาประมาณ 10 ปี เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนอง หรือมีผลข้างเคียงจากการรักษา 3 ชนิดข้างต้น
       
       ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินควรดูแลตัวเอง โดยการควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน หลีกเลี่ยงจากความเครียด การอดนอน การติดเชื้อ การเจ็บป่วย การเกา เนื่องจากกระตุ้นให้โรคกำเริบได้ ดังนั้น การพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และเมื่อมีการเจ็บป่วย ติดเชื้อ ควรรีบดูแลรักษาโดยเร็ว นอกจากนี้ควรดูแลผิวหนังให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ
       
       โรคสะเก็ดเงิน ไม่ใช่โรคติดต่อ หากผู้ป่วยและคนรอบข้างมีความรู้และความเข้าใจ รวมถึงการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง จะสามารถควบคุมโรคได้ ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

sithiphong:
5 วิธีเพิ่มฮอร์โมนแห่งความสุข
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 พฤศจิกายน 2556 17:23 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000136788-

   เมื่อพูดถึง "ฮอร์โมน" เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงซีรีส์พันธุ์ไทยชื่อดัง "ฮอร์โมน...วัยว้าวุ่น" แต่สำหรับงานสัปดาห์สุขภาพจิตแห่งชาติปี 2556 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 1-7 พ.ย.นี้ จะว่าด้วยเรื่องของ "ฮอร์โมนความสุข" แบบล้วนๆ โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า "ฮอร์โมนความสุข...สร้างได้ทุกวัย" ซึ่งค่อนข้างตอบโจทย์กับสถานการณ์ทางด้านอารมณ์ของคนไทย ที่พบว่า เคร่งเครียดมากขึ้น ไม่ว่าจะมาจากปัญหาการทำงาน ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล หรือรวมไปถึงปัญหาการเมืองที่กำลังร้อนแรงอยู่ในขณะนี้
       
       แล้วจะดีสักแค่ไหนถ้าตื่นเช้าไม่ต้องเจอกับความทุกข์ ความเคร่งเครียด ชีวิตมีแต่ความสุข ความรู้สึกเชิงบวก และที่สำคัญสามารถสร้างความสุขได้ด้วยตัวเอง...เพียงแค่คิดก็ฟินแล้ว

 ทั้งนี้ นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ความสุขเป็นสิ่งที่คนทุกเพศทุกวัยต้องการ แต่อาจจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ มีการศึกษาจำนวนมากที่บ่งชี้ว่า ความสุขนั้นมีความสัมพันธ์กับสมอง เมื่อคนเรามีความสุข สมองซีกซ้าย ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการคิดที่เป็นเหตุเป็นผล การวิเคราะห์ และการคำนวณจะทำงานมากขึ้น แต่เมื่อมีความรู้สึกเชิงลบหรือมีความทุกข์ สมองซีกขวาซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการและศิลปะจะทำงานมากกว่า ดังนั้น คนที่มีสมองซีกซ้ายทำงานมากกว่าซีกขวา จึงมักจะเป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มแย้ม และมีความคิดในเชิงบวก คนที่อยู่รอบข้างก็มักจะรู้สึกถึงความสุขไปด้วย ซึ่งแตกต่างจากพวกที่สมองซีกขวาทำงานมากกว่า ที่จะพบว่าเป็นคนที่มีความคิดในแง่ร้าย ความจำไม่ดี และมีความรู้สึกในเชิงลบมากกว่าทำให้คนที่อยู่รอบข้างรับรู้ถึงความทุกข์ไปด้วย
       
       นพ.เจษฎา กล่าวอีกว่า ความสุขของคนเรายังเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนหรือสารเคมีในสมองด้วย เช่น
       
       โดปามีน เป็นสารสื่อประสาทที่จะหลั่งเมื่อเราเกิดความรู้สึกประสบความสำเร็จ หรือได้รับการตอบสนองตามความต้องการ
       
       ซีโรโทนิน เป็นสารสื่อประสาทอีกชนิดหนึ่งที่หลั่งเมื่อเราเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย หรือรู้สึกมีความสุขสงบ
       
       และ เอ็นดอร์ฟิน หรือสารแห่งความสุข เป็นฮอร์โมนที่หลั่งในขณะที่อารมณ์ดี และมักจะหลั่งออกมา โดยเฉพาะหลังจากออกกำลังกาย อีกทั้ง ยังเป็นสารที่ช่วยลดความเจ็บปวดได้อีกด้วย
       
       การหลั่งของสารทั้งสามชนิดนี้ มักจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ในขณะที่เรามีความสุข อย่างไรก็ตาม นอกจากฮอร์โมนความสุขแล้ว ร่างกายเรายังสามารถหลั่งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความทุกข์หรือความเครียดได้ เช่น คอร์ติโซน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จะหลั่งเมื่อเรามีความเครียดหรือความกดดันขึ้น ฮอร์โมนชนิดนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความวิตกกังวล ทำให้ความสามารถในการคิดและการจำลดลง ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลงเช่นเดียวกัน
       
       "คงไม่มีสูตรสำเร็จรูปในการสร้างความสุข แต่สิ่งสำคัญคือ การเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงหรือปรับเปลี่ยนความคิด การรับรู้และการตัดสินคุณค่าของตัวเราให้เป็นไปตามความเป็นจริง ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตที่นำไปสู่ความสุขและความสมดุลได้ไม่ยาก ความสุขในชีวิตจึงไม่ใช่เกิดจากการไขว่คว้าหรือแสวงหาจากสิ่งภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ยังอยู่ที่ตัวเราว่าจะทำให้ชีวิตมีความสุขมากหรือสุขน้อย ตราบใดที่ตัวเราสามารถให้ความรักแก่ตนเองและผู้อื่น ยอมรับตัวเราและผู้อื่น ยอมรับความเป็นจริงในปัจจุบัน สามารถชื่นชม ภาคภูมิใจ สิ่งที่เรามี และสิ่งที่ผู้อื่นมี มีความอ่อนโยน และเมตตาทั้งตัวเราและผู้อื่น มองโลกตามความเป็นจริง มองทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ มีแง่ดีงามอยู่เสมอ รวมทั้งมีอารมณ์ขันกับเรื่องรอบตัวบ้าง เราก็จะเป็นสุขได้เช่นกัน"
       
       สำหรับวิธีที่จะช่วยเพิ่มฮอร์โมนแห่งความสุขให้เกิดขึ้นนั้น อธิบดีกรมสุขภาพจิต ได้แนะข้อปฏิบัติ 5 ข้อ ดังนี้
       
       1.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ครั้งละ อย่างน้อย 30 นาที จะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขทั้ง 3 ตัว ได้แก่ ซีโรโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีผลต่อความสุข ความมั่นคงทางอารมณ์ และช่วยป้องกันโรคซึมเศร้า เอ็นดอร์ฟิน ที่เป็นฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกดี ลดความกังวลและความเจ็บปวด และโดปามีน ที่เป็นฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึก สดชื่น กระฉับกระเฉง
       
       2.รับประทานอาหาร จำพวกน้ำตาล ไขมัน และโคเรสเตอรอลในระดับที่พอเหมาะไม่น้อยเกินไป การรับประทานอาหารประเภทน้ำตาลหรือไขมันในระดับต่ำเกินไปจะทำให้ระดับโดปามีนในร่างกายต่ำไปด้วย การรับประทานกล้วย ธัญพืช สามารถช่วยเพิ่มระดับของโดปามีนได้ นอกจากนี้ การรับประทานอาหารโปรตีนที่มีส่วนประกอบของ ทริปโตเฟน ในปริมาณมาก เช่น เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ปลา นม กล้วย ถั่วลิสง จะช่วยเพิ่มการหลั่งของ ซีโรโทนิน
       
       3.ทำกิจกรรมท่ามกลางแสงแดด อย่างน้อย 20 นาทีในตอนเช้า จะส่งผลให้ร่างกายผลิตสารเมลาโทนิน ที่จะเปลี่ยนเป็นซีโรโทนิน ช่วยในเรื่องของการนอนหลับพักผ่อนได้เต็มที่ในตอนกลางคืน
       
       4.นวดตัว เป็นพลังจากการสัมผัส ซึ่งมีรายงานวิจัยโดย Touch Research Institute ของ Miami School of Medicine พบว่า การนวดตัวช่วยเพิ่มซีโรโทนิน ถึง 28 % และลดสารคอร์ติโซน ที่เป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดได้ถึง 31 %
       
       และ 5.ลดเครียดและจัดการอารมณ์ที่ทำให้เครียด เช่น ความกังวล ความโกรธ ความกลัว เพื่อช่วยเพิ่มระดับของซีโรโทนิน อาทิ การฝึกหายใจคลายเครียด


sithiphong:
สธ. เตือน 6 โรคหน้าหนาว ระวังดื่มเหล้าคลายหนาว อันตรายถึงชีวิต
-http://health.kapook.com/view76013.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          สาธารณสุขจังหวัดพะเยา เผย 6 โรคหน้าหนาว พร้อมเตือนดื่มเหล้าคลายหนาวมากไป อันตรายถึงแก่ชีวิต เพราะแอลกอฮอล์จะดูดซับความร้อนในร่างกายออกมา

          เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2556 นายฉลอง อัครชิโนเรศ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) พะเยา เปิดเผยว่า ตอนนี้ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว เกิดสภาวะสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ส่งผลให้ไวรัสเติบโตได้ดี ด้วยเหตุนี้ หากประชาชนสุขภาพไม่แข็งแรงพอก็อาจจะทำให้เกิดอาการป่วยได้ง่าย สำหรับวิธีการป้องกันนั้น คือ ควรออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์ เฉลี่ยครั้งละ 30 นาที พร้อมกับนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ประมาณ 6-8 ชั่วโมง และไม่หักโหมงานหนักมากเกินไป

          ที่สำคัญคือ ในช่วงเวลาแบบนี้ควรหลีกเลี่ยงการดื่มสุรา ภายใต้ความเชื่อที่ว่าช่วยคลายความหนาวเย็นได้ เนื่องจากความเชื่อดังกล่าว เป็นความเชื่อแบบผิด ๆ แม้ว่าการดื่มสุราจะทำให้ร่างกายร้อนวูบวาบ จากการที่หลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัวจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่ความจริงคือ ความร้อนในร่างกายได้ถูกระบายออก ทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลง ซึ่งถ้าหากมีการดื่มมากเกินไป ประกอบกับร่างกายมีเครื่องนุ่งห่มที่ทำให้อบอุ่นไม่เพียงพอ อาจทำให้เสียชีวิตได้


          

นอกจากนี้ สาธารณสุขจังหวัดพะเยา ยังได้เผยรายงาน 6 โรคที่พบผู้ป่วยมากที่สุดในฤดูหนาวปีที่ผ่านมา ดังนี้

          

 โรคอุจจาระร่วง

          ไข้หวัดใหญ่

          ปอดบวม

          มือเท้าปาก

          อีสุกอีใส
          
 โรคหัด




          ทั้งนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเป็นเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และกลุ่มผู้สูงอายุ ดังนั้นจึงต้องหมั่นดูแลรักษาสุขภาพ ใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกเวลาไอหรือจาม และหมั่นล้างมือบ่อย ๆ หากป่วยให้รีบพบแพทย์



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE16ZzVPRGcxTkE9PQ==&subcatid=-

sithiphong:
เรื่องนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องป้องกัน แต่เป็นเรื่องดูแล


-------------------------------------------------------------------------

8 วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็น "มะเร็งตับ"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 พฤศจิกายน 2556 13:59 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000142692-


การดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งตับมีความพร้อมต่อการรักษา อีกทั้งยังมีส่วนช่วยลดอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาได้ด้วย ซึ่งวิธีดูแลตัวเองให้มีสุขภาพที่ดีนั้น คู่มือเรียนรู้สู้มะเร็งตับ ได้แนะนำไว้ทั้งหมด 8 วิธี ดังนี้
       
       1.เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยมีหลักเกณฑ์คือ
       
       - เลือกรับประทานข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะอาจส่งผลให้แน่นท้องมากขึ้นได้
       
       - ผักสามารถเลือกรับประทานผักใบเขียวได้ทุกชนิด แต่หากมีอาการท้องอืดมากควรเลือกผักที่ไม่มีเส้นใยมากนักคือ กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผักบุ้งจีน เป็นต้น
       
       - คาร์โบไฮเดรตรับประทานได้ตามปกติและควรเลือกชนิดย่อยง่าย หากรับประทานได้น้อย อาจดื่มน้ำหวานเพิ่มเพื่อป้องกันน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
       
       - ผลไม้ ควรเลือกรับประทานที่มีเนื้อไม่แข็งหรือมีเส้นใยมากจนเกินไป เช่น กล้วย ชมพู่ หากรับประทานผลไม้สดลำบาก อาจดื่มน้ำผลไม้แทนได้ ที่สำคัญควรนำผลไม้มาปอกเปลือกเองแทนการซื้อแบบที่ปอกไว้แล้ว ซึ่งอาจทำให้ติดเชื้อได้
       
       - โปรตีนจากเนื้อสัตว์ นม ควรรับประทานให้มากพอ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบประสาทที่มีผลแทรกซ้อนมาจากตับ เช่น ซึม การควบคุมตนเองผิดปกติ ควรได้รับโปรตีนในปริมาณที่จำกัดภายใต้การดูแลของนักกำหนดอาหาร
       
       - รับประทานอาหารปรุงสุก สะอาด ปราศจากสิ่งปนเปื้อนและสารพิษ

   
       2.แบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็กๆ แต่บ่อยครั้ง คือ จากเดิมรับประทานอาหาร 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น ก็เพิ่มเป็นเช้า สาย กลางวัน บ่าย เย็น และก่อนนอน
       
       3.ดูแลผิวหนังโดยไม่อาบน้ำที่อุ่นจัด เย็นจัด หรืออาบน้ำนานเกินไป ใช้โลชันทาตัวหลังอาบน้เพื่อไม่ให้ผิวแห้ง หากมีอาการคันมากควรแจ้งแพทย์ให้ทราบ เพื่อสั่งจ่ายยาทาหรือรับประทานแก้คันให้
       
       4.พยายามทำตัวให้กระตือรือร้นและสดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ
       
       5.ผ่อนคลายความเครียดด้วยการอ่านหนังสือ ฟังเพลง ปลูกต้นไม้ ทำสมาธิ หรืองานอดิเรกอื่นๆ รวมถึงการท่องเที่ยวในสถานที่ที่มีอากาศปรอดโปร่ง พักผ่อนให้เพียงพอ
       
       6.หลังการรักษาควรตรวจร่างกายตามปกติ เอ็กซ์เรย์ ทีซีสแกน ฯลฯ ตามที่แพทย์นัด เพื่อเฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำ รวมถึงเพื่อกำหนดแนวทางในการลดหรือป้องกันอาการข้างเคียงจากการรักษาที่อาจเกิดขึ้น
       
       7.หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้สูง คลื่นไส้อาเจียนมาก ท้องเสียรุนแรง มีจุดเลือดออกตามผิวหนังหรือมีเลือดออกจากอวัยวะต่างๆ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
       
       และ 8.ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามที่สภาพร่างกายเอื้ออำนวย ควรทำการบริหารข้อต่อและกล้ามเนื้อบ่อยๆ เพื่อลดอาการข้างเคียงจากปัญหาข้อยึดติด อย่างไรก็ตาม ก่อนออกกำลังกายควรทราบก่อนว่ามีอะไรที่ควรทำและไม่ควรทำ คือ
       
       ***สิ่งที่ควรทำ (Do's)***
       
       ปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มแผนการออกกำลังกาย เพื่อทราบว่าร่างกายมีความพร้อมต่อการออกกำลังกายมากน้อยเพียงไร ส่วนเมื่อออกกำลังกายควรให้ครอบครัวหรือเพื่อนๆ มีส่วนร่วมด้วย นอกจากจะมีคนดูแลความปลอดภัยแล้ว ยังทำให้รู้สึกสนุกขึ้น โดยเริ่มต้นจากการออกกำลังกายอย่างช้าๆ แล้วจึงเพิ่มระยะเวลาในการออกกำลังกายให้นานขึ้นในวันต่อๆ ไป ทั้งนี้ จะต้องแบ่งช่วงพักจากการออกกำลังกายบ่อยขึ้น เช่น หากต้องการเดินเร็ว 30 นาที อาจแบ่งช่วงพักทุก 10 นาที เป็นต้น
       
       ***สิ่งที่ไม่ควรทำ (Don'ts)***
       
       ผู้ป่วยมะเร็งตับส่วนใหญ่จะมีตับแข็ง ซึ่งอาจมีเส้นเลือดขอดที่บริเวณตับร่วมด้วย ดังนั้น การออกกำลังกายแบบใดก็ตามที่ต้องมีอาการเกร็งหน้าท้อง เช่น ซิตอัป ก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจทำให้เส้นเลือดที่ขอดแตกได้ หากมีอาการโลหิตจางก็ยังไม่ควรออกกำลังกาย ทั้งนี้ ปกติระหว่างการรักษาจะมีการเจาะเลือดเพื่อนับจำนวนเม็ดเลือด ควรถามทีมแพทย์ว่าร่างกายตัวเองมีความพร้อมแล้วหรือยัง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ ซึ่งมีคลอรีนทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉายรังสีเกิดอาการระคายเคือง เช่นเดียวกับการรับเคมีบำบัด 7-12 วัน ไม่ควรว่ายน้ำในสระน้ำสาธารณะ และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในที่สาธารณะ เพราะเคมีบำบัดทำให้ร่างกายรับมือกับเชื้อโรคได้น้อยลง รวมถึงหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายบนพื้นที่ขรุขระหรือลาดชัน เพราะเสี่ยงต่อการหกล้ม
       
       อย่างไรก็ตาม แม้จะออกกำลังกายได้วันละไม่กี่นาที แต่ร่างกายก็ยังได้รับประโยชน์ ซึ่งควรออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากวันไหนรู้สึกอ่อนเพลียไม่อยากออกกำลังกายก็ควรยืดเส้นยืดสาย เหยียดกล้ามเนื้อในท่าต่างๆ เป็นต้น



นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version