อิ่มกาย อิ่มใจ > สุขภาพกับชีวิต

แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ

<< < (14/33) > >>

sithiphong:
ออกกำลังได้มากขึ้น ด้วยวิธีเพิ่มกำลังให้แรงบีบมือ

-http://men.kapook.com/view80175.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก robshep, thebaseballzone, oneresult เเละ shapefit
 
          หลายคนคงมีเป้าหมายในการออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อแขนสุดล่ำ หน้าอกที่ดูบึกบึน รวมถึงรูปร่างทรงวีเชปที่แสนเซ็กซี่ โดยคุณจำเป็นต้องออกกำลังกายด้วยการใช้ดัมเบล บาร์เบล และการโหนบาร์อย่างหนักหน่วง ซึ่งส่วนสำคัญของการออกกำลังกายเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่กล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างไทรเซปส์หรือหัวไหล่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงส่วนที่ทำหน้าที่จับอุปกรณ์ทั้งหลายเอาไว้ด้วยอย่างมือก็สำคัญเช่นกัน ได้ยินแบบนี้แล้ว หลายคนคงสงสัยว่า แรงบีบมือ ของเราสำคัญต่อการออกกำลังกายอย่างไรกันแน่ ถ้างั้นลองมาติดตามวิธีบริหารกำลังมือที่เรานำมาจากเว็บไซต์ fashionbeans.com ก่อนเลยดีกว่าครับ

          กล้ามเนื้อมือสำคัญไฉน ?

          ถึงแม้ว่าเป้าหมายการออกกำลังกายของคุณจะเป็นการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าอก ไทรเซปส์ หรือหัวไหล่ แต่คุณก็ต้องพึ่งพามือในการจับบาร์เบล ยึดตัวไว้กับบาร์โหนอยู่ดี ซึ่งถ้าหากกล้ามเนื้อมือไม่แข็งแรงพอ ก็จะไม่สามารถใช้มือประคองน้ำหนักที่มากขึ้นได้ รวมทั้งเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บ นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อการออกกำลังกายในระยะยาวมากทีเดียว รู้ความสำคัญขนาดนี้แล้ว คุณก็ควรเริ่มบริหารกล้ามเนื้อมือไว้เสียแต่เนิ่น ๆ รับรองว่า ทั้งง่ายและคุ้มค่ากว่าที่คิดแน่นอน



          เทคนิคช่วยเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อมือ

          ใช้มือเปล่าออกกำลัง ถึงแม้ว่าถุงมือจะช่วยให้การออกกำลังกายง่ายขึ้นและลดอาการบาดเจ็บลงไปได้ แต่การฝึกใช้มือเปล่าออกกำลังกายก็ยังจำเป็นอยู่เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของมือ ซึ่งส่งผลต่อการออกกำลังกายในระยะยาวของคุณอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว

          เน้นการบริหารบ่อย ๆ กล้ามเนื้อมือก็เหมือนกล้ามเนื้ออื่น ๆ ที่ต้องการความถี่ในการฝึกฝน แต่ต่างที่การฝึกกล้ามเนื้อมือไม่จำเป็นต้องแยกออกไปเป็นการบริหารเฉพาะอย่าง และสามารถสอดแทรกมันลงไปได้ในการโหนบาร์ การยกเล่นเวทได้ เพียงแค่คุณออกแรงบีบบาร์โหน หรือเปลี่ยนจากถือด้วยอุ้งมือก็ลองใช้นิ้วมือประคองบาร์เบลแทน

          ฝึกในสิ่งที่ต้องการ ตั้งเป้าหมายในการฝึกว่าต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการกับท่าออกกำลังกายแบบใด เพื่อจะได้ฝึกให้ถูกลักษณะ เช่น ถ้าต้องการยกน้ำหนักแบบ Dead Lift ได้มากขึ้น คุณก็ควรฝึกโหนบาร์ค้างเพื่อเรียกความแข็งแรง และไม่จำเป็นต้องฝึกหมุนข้อมือเพื่อความยืดหยุ่นมากนัก

          ท่าการบริหารกล้ามเนื้อมือ



          โหนบาร์ค้างไว้

          ท่านี้ง่ายนิดเดียว เพียงแค่โหนบาร์ค้างไว้ให้นานที่สุด ซึ่งยิ่งผ่านไปนานเท่าไรความแข็งแรงก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น เบื้องต้นควรใช้สองมือ แต่ถ้ามันไม่ท้าทาย จะใช้มือข้างเดียวสลับกันก็ได้ ควรทำท่านี้ให้ได้อย่างน้อย 1 นาทีโดยไม่ปล่อยมือ



          ถือจานน้ำหนักด้วยนิ้ว

          ถือจานน้ำหนักขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นให้ใช้นิ้วมือถือจานน้ำหนัก โดยไม่ให้ใช้ฝ่ามือช่วย นอกจากนี้ คุณสามารถเพิ่มจานน้ำหนักขึ้นเรื่อย ๆ ได้ตามความเหมาะสม




          เปลี่ยนวิธีโหนบาร์

          ปกติแล้วท่า Pull Up หรือการโหนบาร์ก็เป็นท่าที่เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมืออยู่แล้ว แต่ถ้าหากอยากบริหารให้มากกว่านี้ คุณก็ต้องเปลี่ยนวิธีการจับบาร์โหน เช่น เอาผ้าเช็ดตัวพันบาร์โหนให้แน่น ซึ่งทำให้บาร์โหนลื่นมากกว่าปกติเลือกโหนบาร์ที่มีความหนามากขึ้น หรือจะเอาที่จับออกจากตัวบาร์เลยก็ยังได้ ทั้งหมดนี้จะทำให้การโหนบาร์ยากขึ้น จึงต้องอาศัยความพยายามในการจับมากขึ้นตามไปด้วย




          หมุนข้อมือ

          ใช้มือถือบาร์เบลในลักษณะคว่ำมือ จากนั้นก็หงายมือขึ้นเพื่อหมุนบาร์เบลเหมือนท่าควงคฑาจากนั้นคว่ำมือลง ทำ 10 รอบ รับรองว่ามือคุณจะแข็งแรงขึ้นแน่นอน

          ได้รู้ทั้งความสำคัญและเทคนิควิธีการบริหารกล้ามเนื้อมือกันไปแล้ว ก็อย่าลืมนำไปใช้ปฏิบัติจริงกันบ้าง เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายของการออกกำลังกายที่คุณตั้งใจไว้ได้อย่างรวดเร็วขึ้นยังไงล่ะครับ...


http://men.kapook.com/view80175.html

sithiphong:

สี ลิ้น บอกโรค

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%AA%E0%B8%B5_%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99_%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84/-



"ลิ้น" เป็นอวัยวะสำคัญที่แพทย์จีนแผนโบราณใช้ในการตรวจโรค เพราะลิ้นเป็นอวัยวะที่บอบบาง ลักษณะของลิ้นจึงเปลี่ยนไปตามสภาพร่างกายได้ง่าย โดยตำราแพทย์แผนจีนแบ่งแผนที่ "ลิ้น" ออกเป็นธาตุทั้ง 5 ดังนี้

ปลายลิ้น : ธาตุไฟ
ระบบหลอดเลือดหัวใจ
      ปลายลิ้นจะบ่งบอกถึงสุขภาพหัวใจทั้งกายและจิต สีแดงและจุดแดงที่ปลายลิ้น แสดงถึงความเครียดต่าง ๆ โดยธาตุไฟที่พลุ่งพล่านนี้จะสื่อว่า หัวใจของเราทำงานหนักเกินไป เพราะมีความเครียดและแรงกดดันนั่นเอง

ส่วนถัดจากปลายลิ้นเข้ามา : ธาตุเหล็ก
ระบบหายใจและระบบภูมิคุ้มกัน
      บริเวณนี้หมายถึงแนวโค้งที่อยู่ถัดจากปลายลิ้นเข้ามา หากมีสีออกแดง หรือมีจุดสีแดงขนาดเท่าหัวเข็ม อาจสื่อถึงการติดเชื้อในปอดสีซีด บ่งบอกว่าระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ถ้ามีสีออกน้ำตาลอาจแสดงถึงเชื้อราในปอด

กลางลิ้น : ธาตุดิน
ระบบย่อยอาหาร
       กลางลิ้นจะเกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหาร ม้าม และตับอ่อน รวมถึงปัญหาของระบบขับถ่าย เช่น คราบสีแดงและเหลืองที่กลางลิ้น บ่งบอกถึงโรคกรดไหลย้อนที่ทำให้เราตื่นขึ้นมากลางดึก การเปลี่ยนแปลงใดก็ตามในบริเวณธาตุดินอาจช่วยชี้ปัญหาในระบบขับถ่ายที่เรายังไม่รู้ก็ได้

ข้างลิ้น : ธาตุไม้ 
ระบบของตับ
       หากมีรอยฟันที่ข้างลิ้นอาจหมายความว่าพลังงานที่ตับไม่ไหลเวียน บางครั้งจะเห็นเป็นจุดสีเขียวช้ำหรือม่วง หากเป็นสีเข้มอาจสื่อถึงปัญหาร้ายแรง เช่น กระดูก ซี่โครงด้านล่างขยายตัวหรืออาการปวดบวมบริเวณท้องน้อย

โคนลิ้น : ธาตุน้ำ
ระบบปัสสาวะ
       โดยหลักแล้วโคนลิ้นจะสื่อถึงไตและกระเพาะปัสสวะ สิ่งที่เราต้องดูคือสีและคราบ ถ้าโคนลิ้นตรงกลางมีคราบสีเหลืองอาจแสดงว่ากระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ ซึ่งบรรเทาอาการได้ด้วยการดื่มน้ำวันละ 8-12 แก้ว กันไว้ก่อนดีกว่าต้องไปพบแพทย์ทีหลัง


ที่มาข้อมูล :  นิตยสาร Lisa
รูปภาพจาก : www.dek-d.com

sithiphong:
แอร์บ้าน…5 เรื่องที่คนไม่รู้ควรอ่าน


-http://club.sanook.com/24948/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-5-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1-




เครื่องปรับอากาศ คือ ภัยที่หลายคนมองข้ามในฐานะแหล่งเพาะเชื้อโรคหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะเชื้อที่มีการแพร่ทางอากาศ ยิ่งเปิดนาน ก็ยิ่งรับการสะสมภัยอันตรายมาก และนี่คือ 5 เรื่องที่คุณไม่รู้ที่ควรอ่าน


1. แพทย์ยืนยันชัดเจนว่ามีเชื้อโรคนานาชนิดอยู่ในเครื่องปรับอากาศ และเชื้อโรคที่อยู่ในเครื่องปรับอากาศทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา มักเป็นเชื้อโรคที่เจริญเติบโตได้รวดเร็ว และแพร่เชื้อผ่านทางอากาศ ส่งผลให้คนที่ใช้เครื่องปรับอากาศสุขภาพเสื่อมโทรม และเป็นโรคต่าง ๆ มากมาย ทั้ง วัณโรค เชื้อไวรัส โรคสุกใส งูสวัด โรคภูมิแพ้ หืดหอบ ปอดบวม และหัดเยอรมัน

2. อาการโรคภูมิแพ้ จากเครื่องปรับอากาศคือ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการคันจมูก คันตา จามบ่อย แน่นจมูก และเมื่อตื่นนอนขึ้นมาจะมีอาการระคายคอ และหากมีอาการป่วยรุนแรงมาก จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

3. ควรสังเกตว่า เวลาที่เปิดเครื่องปรับอากาศถ้ามี กลิ่นอับชื้นที่มากับความเย็น กลิ่นอับชื้นเหล่านี้มักมาจากเชื้อโรคที่ออกมาจากช่องระบายความเย็น และแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศ โดยความชื้นจะเป็นแหล่งสะสมเพาะพันธุ์อย่างดีของเชื้อโรค และเมื่อสะสมมาก ๆ เข้า เชื้อโรคก็จะหลุดลอยออกมาปะปนกับอากาศเย็นภายในห้อง

4. ควรล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ โดยดูตามความเหมาะสมจากสภาพแวดล้อมและการใช้งาน ด้วยวิธีการล้างแผ่นกรองอากาศอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยใช้น้ำฉีดแรง ๆ ที่ด้านหลัง ด้านที่ไม่ได้รับฝุ่น ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกหลุดออก และในแต่ละปีควรล้างเครื่องปรับอากาศแบบเต็มระบบ

5. ควรปรับอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม โดยทั่วไปควรตั้งไว้ที่ 25 องศาเซลเซียส และเปิดพัดลมระบายอากาศ เพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศได้อย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษ ในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ เช่น การสูบบุหรี่ การปรุงอาหาร ที่สำคัญ ควรดูแลสิ่งแวดล้อมในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ โดยกำจัดฝุ่น กำจัดแหล่งที่อยู่ของแมลงสาบ ละอองเกสรพืช ไรฝุ่นในที่นอน ขนสัตว์ และแมลงอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ หมั่นทำความสะอาดบ่อย ๆ และควรทำความสะอาดเพดาน ม่าน กำแพง ทุก ๆ 2 -3 เดือน กำจัดแหล่งเชื้อรา อย่าให้เกิดความชื้น หรือกลิ่นอับขึ้นภายในบ้านหรือในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก วิชาการดอทคอม


sithiphong:
ปวดหัว อย่าชะล่าใจ ไม่ธรรมดา


-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/217939/%E2%80%98%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7+%E2%80%93+%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88+%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2%E2%80%99+-+%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-



ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันผู้คนต่างหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพกันมากขึ้นครับ นั่นก็เพราะคนเราเริ่มมีอายุยืนมากขึ้น ซึ่งการจะใช้ชีวิตยืนยาวได้อย่างมีความสุขปัจจัยหนึ่งคือจะต้องปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวง
วันอาทิตย์ 23 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 00:00 น.

ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันผู้คนต่างหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพกันมากขึ้นครับ นั่นก็เพราะคนเราเริ่มมีอายุยืนมากขึ้น ซึ่งการจะใช้ชีวิตยืนยาวได้อย่างมีความสุขปัจจัยหนึ่งคือจะต้องปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวง

และหนึ่งในโรคหรืออาการที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งนำเราไปพบแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นในคลินิกหรือตามโรงพยาบาลก็คือ อาการ “ปวดศีรษะ หรือ ปวดหัว” นั่นเอง ซึ่งบางคนบอกว่าอาการปวดหัวนั้นเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์เรามาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ขณะที่อีกหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยมีใครที่เกิดมาแล้วในชีวิตนี้ไม่เคยปวดหัว เรียกว่าพบได้บ่อยจนกลายเป็นเรื่องปกติ...แต่น้อยคนจะทราบว่าภายใต้คำว่า “ปวดศีรษะ” นั้น อาจมีโรคบางอย่างที่เป็นอันตรายซ่อนเร้นอยู่ ฉบับนี้เราจะมาเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคปวดศีรษะให้มากขึ้นครับ

เมื่อไม่นานนี้ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับ “อ.นพ.ปรีชา ศตวรรษธำรง” อดีตผู้อำนวยการสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ในเรื่องเกี่ยวกับโรคปวดศีรษะ ซึ่ง อ.นพ.ปรีชา มีความคิดเห็นในแนวทางเดียวกับผมว่า ปัจจุบันมีคนไข้มาพบแพทย์ด้วยอาการปวดศีรษะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนปวดเล็ก ๆ น้อย ๆ บางคนปวดถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือบางคนปวดจนไม่สามารถทำงาน เรียนหนังสือหรือใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับแพทย์คือจะต้องแยกให้ออกว่าอาการปวดศีรษะของคนไข้นั้นจัดอยู่ในกลุ่มใด ซึ่งในทางการแพทย์ จะแบ่งโรคปวดศีรษะออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1.กลุ่มที่ไม่ได้มีรอยโรคในสมองหรือในเยื่อหุ้มสมองเลย แต่เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะเอง เช่น โรคไมเกรน, ปวดศีรษะจากความเครียด, ปวดศีรษะจากเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ, ปวดศีรษะจากเส้นประสาทใบหน้าอักเสบ โดยลักษณะอาการที่พบได้คือ

1. มีอาการปวดศีรษะแบบเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังมาเป็นเวลานาน ช่วงที่ไม่มีอาการก็เป็นปกติ

2. ไม่มีความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น ปากเบี้ยว หลับตาไม่สนิท พูดไม่ชัด หรือแขนขาอ่อนแรง

3. ไม่มีไข้ หรือคอแข็งตึง

4. มักพบในคนอาชีพที่มีความเครียดสูง เช่น นักธุรกิจ นักศึกษา

 

5. เริ่มมีอาการตั้งแต่อายุยังไม่มาก ซึ่งโดยทั่วไปจะพบในกลุ่มอายุน้อยกว่า 60 ปี

 

6. มีปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น ความเครียด การอดนอนหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ อากาศเปลี่ยนแปลง รวมถึงการมีประจำเดือน

2. กลุ่มที่มีรอยโรคอยู่ในสมองและศีรษะจริง ในกลุ่มนี้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา อาจเกิดอันตรายรุนแรงถึงชีวิตได้ เช่น โรคเนื้องอกในสมอง, หลอดเลือดสมองโป่งพอง, เลือดออกในเยื่อหุ้มสมอง, เลือดคั่งในสมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ, โรคฝีในสมอง ซึ่งอาการปวดศีรษะในกลุ่มนี้อาจมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน เช่น

1. ปวดทันทีและรุนแรงมาก แบบที่ไม่เคยปวดมาก่อนเลยในชีวิต

2. ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ติดต่อกันหลายวันหรือหลายสัปดาห์ โดยไม่มีช่วงหายดีเลย

3. ปวดรุนแรง พร้อมกับมีอาการคอแข็ง หรืออาเจียนมาก

4. มีอาการแขนขาอ่อนแรง มองเห็นภาพซ้อน ตามัว ซึมลง สับสน ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด หรือหมดสติ รวมกับอาการปวด

 

5. ปวดเมื่อไอ จาม หรือ เบ่งถ่ายอุจจาระจะยิ่งทวีความปวดขึ้น

 

6. ปวดครั้งแรก เมื่ออายุมากกว่า 50 ปี โดยไม่ได้มีโรคปวดหัวใด ๆ มาก่อน

ในคนไข้ปวดศีรษะกลุ่มที่ 1 ซึ่งไม่ได้มีรอยโรคในสมองหรือเยื่อหุ้มสมองเลย พบได้ประมาณ 80% ของคนไข้ปวดศีรษะทั้งหมด โดยส่วนใหญ่มีอาการเรื้อรังเป็น ๆ หายๆ หลังจากที่แพทย์ซักประวัติและวินิจฉัยแล้ว จะแนะนำให้คนไข้ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ผ่อนคลายขึ้น, ให้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และอาจพิจารณาให้ยาแก้ปวดในรายที่จำเป็น เช่น ในคนไข้ปวดศีรษะไมเกรน แต่สิ่งสำคัญสำหรับคนไข้กลุ่มนี้ก็คือ ต้องพยายามสังเกตตัวเองว่าอะไรเป็นสาเหตุหรือเป็นปัจจัยกระตุ้นทำให้เกิดการปวดศีรษะ ซึ่งจะช่วยให้การรักษาคนไข้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น โดยปัจจัยที่พบบ่อยก็เช่น เรื่องของอารมณ์, การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ, การทำงานที่เครียดหรือหักโหมจนเกินไป ปัญหาเศรษฐกิจครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาครอบครัว ซึ่งคนไข้บางรายสามารถหายเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมาพบแพทย์เลยครับ

แต่ความน่ากลัวของอาการปวดศีรษะก็คือการที่มีโรคร้ายแอบแฝงอยู่ นั่นก็คือในคนไข้กลุ่มที่ 2 ที่มีรอยโรคอยู่ในสมองและศีรษะ ซึ่งพบได้ประมาณ 20% ของคนไข้ปวดศีรษะทั้งหมดครับ ดังนั้นการซักประวัติและการให้ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างละเอียดแก่แพทย์ จะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวินิจฉัยและรักษา หากพบว่าคนไข้มีลักษณะอาการเข้าข่ายว่าจะเป็นโรคร้ายแรงโรคใดโรคหนึ่ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่เหมาะสมเข้ามาช่วย เช่น ถ้าสงสัยว่ามีภาวะเลือดคั่งในสมองหรือเส้นเลือดในสมองแตก แพทย์จะใช้การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง (CT – 64 Slices), ถ้าสงสัยหลอดเลือดขอดในสมอง และเนื้องอกในสมอง อาจต้องทำการตรวจด้วยเครื่องสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อดูอย่างละเอียดทั้งในส่วนของสมองและหลอดเลือด ถ้าสงสัยภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือมีเลือดออกซึมในชั้นเยื่อหุ้มสมอง อาจต้องมีการเจาะตรวจน้ำไขสันหลังทางห้องปฏิบัติการอย่างละเอียด ร่วมกับการตรวจ CT-Scan หรือ MRI-Scan

การตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดดังที่กล่าวมาทั้งหมด ก็เพื่อให้คนไข้ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที ถูกต้อง และเหมาะสมกับโรคและอาการที่เป็นอยู่ แต่เหนือสิ่งอื่นใด คนไข้จะต้องรู้จักตัวเองและรู้จักภาวะโรคที่ตนเองเผชิญอยู่ด้วย เพราะถ้าหวังพึ่งแต่แพทย์เพียงอย่างเดียว เชื่อว่าการรักษาคงไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรครับ

การดูแลสุขภาพตัวเอง เช่น การออกกำลังกายก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี เหมาะสำหรับคนทุกวัยและทุกโรค เพราะมันช่วยให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายได้ดีขึ้น ช่วยให้หลอดเลือดเสื่อมช้าลง อีกทั้งยังทำให้หลับสบาย จิตใจผ่อนคลายขึ้น การศึกษาธรรมะ การมีสติ มีสมาธิ สนใจพิจารณาแก้ไขปัญหาด้วยปัญญาและประสบการณ์หรือปรึกษานักจิตวิทยา จิตแพทย์ แพทย์ระบบประสาทและสมองก็เป็นหลาย ๆ ทางเลือกที่ควรเลือกใช้ เลือกปฏิบัติ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว อาการปวดศีรษะไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ก็สามารถจะบรรเทาและลดน้อยลงไปได้เอง หรือปรับปรุงแก้ไขรักษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมครับ.

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์

sithiphong:
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสุขภาพ แต่เกี่ยวกับความสวย ความหล่อ ครับ



---------------------------------------------------------------------------

ตามหาสาเหตุของ “ผมหงอก หัวขาว”


-http://club.sanook.com/25233/%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%9C%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%81-%E0%B8%AB-


ตามหาสาเหตุของ “ผมหงอก หัวขาว”

ผมหงอก … หัวหงอก … ผมขาว
รองศาสตราจารย์ ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล
ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

สีเส้นผมเกิดจากเม็ดสีซึ่งรากผมสร้างขึ้นมา ทำให้เส้นผมมีสีต่างๆตามพันธุกรรม ถ้าเม็ดสีมีมากและเข้มข้น เส้นผมจะมีสีเข้ม แต่ถ้าเม็ดสีถูกสร้างมาน้อย สีเส้นผมก็จะอ่อน ระดับของเม็ดสีของเส้นผมจะเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพของร่างกาย ธรรมชาติของสีผมมีทั้งสีดำ เช่นคนเอเชีย สีน้ำตาลและสีบลอนด์ เช่น ชาวตะวันตก สีเส้นผมจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับพันธุกรรม และสีผิวกับสีนัยน์ตา

เส้นผมสีดำนับเป็นสีที่พบมากที่สุดของคนทั่วโลก รองลงมาคือผมสีน้ำตาลซึ่งพบทั่วไปในทวีปยุโรป เส้นผมสีดำโดยทั่วไปมักจะประกอบด้วยเม็ดสีเข้มข้นน้อยกว่าผมสือื่นๆ สีดำของเส้นผมโดยธรรมชาติมีหลายเชดสี ตั้งแต่สีดำจัดคล้ายผงถ่าน ดำอ่อน ดำน้ำตาล จนถึงดำน้ำเงิน

 

ผมสีเทาและผมสีขาว

ผมสีเทาหรือสีขาว ซึ่งมักเรียกกันว่าผมหงอกหรือหัวหงอก ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์การแพทย์นั้นไม่ได้มีสาเหตุจากการสร้างเม็ดสีขาวแทนเม็ดสีดำ แต่เกิดจากการที่รากผมไม่สร้างเม็ดสี ทำให้เส้นผมไม่มีสี กลายเป็นเส้นผมสีขาวหรือเทาเงินเมื่อสะท้อนแสง เส้นผมสีเทาหรือขาวมักเกิดขึ้นเมื่อคนเรามีอายุสูงวัย แต่ก็สามารถพบได้ในเด็กตั้งแต่อายุ 10 ปี ด้วยต้นเหตุเดียวกันคือรากผมไม่สร้างเม็ดสีให้เส้นผม ทำให้เส้นผมไม่มีสี ในบางกรณีผมสีเทาอาจเกิดได้จากโรคต่อมไทรอยด์ หรือในคนที่ร่างกายขาดวิตามินบี12

จากงานวิจัยปี คศ.2005 ในวารสารการแพทย์พบว่าคนเอเซียจะเริ่มมีผมหงอกหรือผมขาวตั้งแต่อายุปลาย 30 ส่วนฝรั่งหรือชาวตะวันตกจะพบเส้นผมเริ่มขาวตั้งแต่อายุ 35 แต่ชาวอัฟริกัน-อเมริกันจะพบเส้นผมขาวได้ช้ากว่าเมื่ออายุประมาณ 45 ปีขึ้นไป ส่วนผู้ที่มีสีผิวและ เส้นผมเป็นสีเผือกนั้นมีสาเหตุจากเม็ดสีทั่วร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมีน้อยมากนั่นเอง

ความเข้าใจที่ว่าถ้าดึงเส้นผมหงอกออก 1 เส้น ผมหงอกจะงอกขึ้นเป็นทวีคูณ เป็นความเข้าใจที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

 

ปัจจัยที่มีผลต่อสีผมธรรมชาติ

อายุ เด็กทารกแรกเกิดสีผมจะอ่อน และจะค่อยๆดำเข้มขึ้นตามวัยจนถึงวัยรุ่นและวัยเจริญพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงของสีผมจะเป็นไปโดยธรรมชาติเมื่ออายุเจ้าของสูงวัยขึ้นจนเป็นผมสีเทาหรือสีดอกเลาหรือสีผมหงอก บางคนเกิดมาก็มีผมขาวทั้งหัวซึ่งเป็นไปตามพันธุกรรมก็มี

สาเหตุทางการแพทย์ เช่น คนที่มีปัญหาโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด ทำให้เส้นผมด่างขาวเป็นกลุ่มๆ คนที่มีปัญหาร่างกายขาดสารอาหาร มีผลทำให้เส้นผมไม่แข็งแรง ผมเส้นบางและเบา สีผมอ่อนและขาวไวกว่าอายุ เส้นผมที่ดำขำอาจเปลี่ยนแปลงเป็นน้ำตาลแดงคล้ายกากมะพร้าวเนื่องจากรากผมไม่สามารถผลิตเม็ดสีได้ปกติ หากร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนและแข็งแรง สภาพเส้นผมจะกลับคืนมีชีวิตชีวาได้ในกรณีนี้ อีกกรณี เช่น คนที่มีปัญหาโรคโลหิตจางหรือซีด อาจมีผลทำให้เกิดเส้นผมขาวหรือหงอกได้เร็วเพราะรากผมขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงหรือไม่เพียงพอ นอกจากนี้ทางการแพทย์ยังมีข้อสังเกตุว่า คนที่มีอายุระหว่าง 50-70 ปี และมีเส้นผมขาวแต่มีขนคิ้วดำ มีสถิติว่าจะมีโรคเบาหวานร่วมด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับคนวัยเดียวกันที่มีผมขาวและขนคิ้วสีขาวไปด้วยกัน

 

ปัจจัยร่วมอื่นๆ เช่น

คนที่สูบบุหรี่จะมีแนวโน้มของผมขาวเร็วกว่าคนไม่สูบบุหรี่ถึง 4 เท่า

ผมขาวบางครั้งอาจค่อยๆดำขึ้นเมื่อร่างกายมีอาการอักเสบและกินยาบางชนิดร่วมด้วยซึ่งเป็นปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงของร่างกายต่อยารักษา

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ร้ายแรงที่ทำให้ร่างกายตกใจหรือเสียใจอย่างรุนแรง ทำให้รากผมชะงักการเจริญเติบโตชั่วคราวและผมร่วงเป็นกระจุก อาจทำให้เห็นผมหงอกได้เร็วเสมือนหนึ่งเผมหงอกชั่วข้ามคืน

เมื่อคนเราอายุ 30 เส้นผมจะหงอกขาวเพิ่มขึ้นประมาณ 10-20% ทุกๆ 10 ปี

คนที่ทำงานหนักเกินไป ร่างกายพักผ่อนน้อย รวมทั้งการรับประทานอาหารไม่ครบหมู่ ทำให้การเจริญเติบโตของรากผมไม่แข็งแรง นอกจากเส้นผมหลุดร่วงได้ง่ายแล้ว การสร้างเม็ดสีก็ลดน้อยลง ทำให้เส้นผมขาว

เป็นที่น่าเสียใจที่ไม่พบว่ามีอาหารชนิดพิเศษอย่างหนึ่งอย่างใด หรืออาหารเสริมพิเศษชนิดใด รวมทั้งไม่พบหลักฐานทางการแพทย์ว่าโปรตีนเสริมหรือวิตามินใดๆที่สามารถเสริมเพื่อชะลอหรือยับยั้งการเกิดผมสีขาวหรือผมหงอกได้

 

คุณค่าอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์บำรุงให้เส้นผมแข็งแรง เช่น

วิตามินเอ จำเป็นต่อสุขภาพหนังศีรษะและเส้นผมที่แข็งแรง พบทั่วไปในผักใบเขียวเข้ม ผลไม้สีผมและสีหลือง

วิตามินบี ช่วยควบคุมการหลั่งของน้ำมันธรรมชาติเพื่อหล่อลื่นเส้นผมให้เงางามและชุ่มชื้น พบในผักใบเขียว มะเขือเทศ กล้วย โยเกริต และธัญพืช

แร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก สังกะสี ทองแดง ช่วยบำรุงให้เส้นผมแข็งแรง ได้จากแหล่งอาหาร เช่น เนื้อแดง เนื้อไก่ ไข่แดง อาหารทะเล และธัญพืช

โปรตีน ช่วยบำรุงให้เส้นผมเงางามและมีความยืดหยุ่นดี ไม่ขาดตอน พบทั่วไปในเนื้อสัตว์ ไข่ เต้าหู้ ฯลฯ

 

Credit : ผมหงอก … หัวหงอก … ผมขาว มหาวิทยาลัยมหิดล คณะเภสัชศาสตร์
ภาพประกอบจาก : www.Photos.com

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version