คลังธรรมปัญญา > หนังสือธรรมะ

คัมภีร์ ภควัทคีตา.. บทเพลงแห่งองค์ภควัน.. (บทเพลงของพระเจ้า)

<< < (4/6) > >>

ฐิตา:


ต่อค่ะ
                     เราขอร้องท่าน จงจับอาวุธขึ้นปราบยุคเข็ญร่วมกับเราเถิด ประดาคนทั้งหลายที่เผชิญหน้ากันอยู่กลางสมรภูมิรบ ณ บัดนี้ล้วนแล้วแต่จะต้องตายด้วยกันทั้งสิ้น ท่านเองก็มิได้อยู่ในข่ายยกเว้น ก็เมื่อจะตายกันอยู่แล้ว ทำไมจึงไม่ฉกฉวยโอกาสประกอบกรรมดีก่อนตายเล่า     
                     ลุกขึ้น! อรชุน! จงลุกขึ้นรับเกียรติอันยิ่งใหญ่นี้! ลุกขึ้นซิ! ลุกขึ้นจับอาวุธเข้าเข่นฆ่าศัตรู! เมื่อปราบพวกมันลงได้แล้ว ราชไอศูรย์ในแผ่นดินจักไปไหนเสียเล่าหากไม่ตกแก่ท่าน!
     
                     ฝ่ายข้าศึกไม่ว่าจะเป็นอาจารย์โทรณะ, ภีษมะ, ชยัทรถะ, กรณะ, ตลอดจนแม่ทัพและไพร่พลทั้งหมดถูกเราสะกดเอาไว้ด้วยฤทธิ์แล้ว!* (ความตอนนี้มีปัญหาในการตีความมาก ในฉบับภาษาอังกฤษก็แปลไม่ค่อยจะตรงกัน กระทั่งฉบับแปลภาษาไทยเท่าที่มีก็แปลกันไปคนละทิศละทาง รูปความในพากย์สันสกฤตินั้นแปลตรงตัวได้ว่า ข้าศึกทั้งหมดที่เป็นฝ่ายตรงข้ามถูกกฤษณะฆ่าตายหมดแล้ว ความข้อนี้อาจตีความได้ว่าเพราะกฤษณะคือองค์ปรมาตมันที่ทำลายทุกสิ่ง ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นแม้ว่าคนเหล่านั้นจะดูยังมีชีวิตอยู่

แต่โดยสัจจภาวะคนเหล่านั้นชื่อว่าตายแล้วในความหมายของสิ่งที่อยู่ภายใต้กฎ ของชีวิตดังที่กฤษณะยืนยันให้อรชุนฟังตอนต้น เหตุนั้นเมื่ออรชุนจับอาวุธเข้าเข่นฆ่าคนพวกนั้นอีก บาปจึงไม่มีแก่อรชุนเพราะเป็นการฆ่าคนที่ตายแล้ว ที่ผมแปลเอาความให้อ่อนลงมาว่าข้าศึกถูกกฤษณะสะกดเอาไว้ด้วยฤทธิ์ก็เพื่อ ให้สอดคล้องกับความท่อนต่อมาที่กฤษณะย้ำแก่อรชุนว่าอรชุนจะต้องชนะ* (ท่านราธกฤษณันก็แปลให้อ่อนลงมาว่าฝ่ายข้าศึกถูกกำหนดให้พ่ายแพ้) เพราะถ้าแปลตามนัยต้นว่าข้าศึกถูกฆ่าแล้ว ความจริงอันนี้ก็ไม่อาจนำำมายืนยันได้ว่าอรชุนจะต้องชนะ เพราะอรชุนก็ตกอยู่ในกฎอันเดียวกับฝ่ายข้าศึกคือเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งเป็น “สิ่งที่ตายแล้ว”เหมือนกัน -ผู้แปล)
     
                     เพราะฉะนั้นจงเข้ารบเถิดอรชุน! ไม่ต้องกลัว! ท่านจะไม่มีวันแพ้มีแต่ทางชนะเท่านั้น!
                         เมื่อได้ฟังถ้อยคำของกฤษณะดังนั้น อรชุนก็ลนลานก้มเศียรประนมกรแสดงอัญชลีแก่กฤษณะด้วยกายอันสั่นสะท้าน พลางละล่ำละลักกล่าวแก่กฤษณะว่า         
                         ข้าแต่องค์หฤษีเกศ! ช่างมหัศจรรย์จริงหนอ! มหัศจรรย์เหลือเกินที่บรรดาฝูงชนบนผืนแผ่นดินต่างพากันชื่นชมในอิทธิบารมี ของพระองค์         
                         พระองค์คือที่รวมแห่งศรัทธาสำหนับคนดีเป็นต้นว่าเหล่านักพรต ส่วนคนชั่วดังเช่นเหล่ารากษสผีร้ายเป็นต้นนั้นเล่า พระองค์ก็คือที่ต้องแห่งความเกรงกลัวของพวกมัน
         
                         ข้าแต่องค์มหาตมัน! ก็ทำไมคนทั้งหลายจะไม่เคารพและกลัวเกรงพระองค์เล่า ในเมื่อพระองค์คือองค์ปรเมศวรมหาพรหมผู้สูงสุดที่ได้สร้างโลกนี้ขึ้นมา พระองค์คืออักษรภาวะอันได้แก่สภาพที่ไม่รู้จักสิ้นสลายไปตามกาลเวลา เป็นทั้งสัตภาวะและอสัตภาวะ อันหมายความถึงสภาพอันดำรงอยู่โดยความเป็นรูปและสภาพอันดำรงอยู่โดยความเป็น อรูป
         
                         พระองค์ คือเทพองค์แรกของโลก เป็นปุราณบุรุษอันได้แก่ปฐมบุคคลที่เกิดขึ้นในโลกและเป็นที่พึ่งพิงอันประเสริฐสุด ในบรรดาที่พึ่งของมนุษย์ทั้งหลายบนผืนแผ่นดินนี้         
                         พระองค์คือผู้รู้แจ้งทุกสิ่งอย่าง ทั้งยังเป็นผู้ที่มนุษย์ควรเข้าหาเพื่อให้รู้แจ้งถึงสภาวะอันสูงส่งของพระองค์         
                         พระองค์คือจุดหมายอันสูงสุดในชีวิตที่มนุษย์ดั้นด้นไปให้ถึง         
                         พระองค์คือวายุเทพผู้เป็นเจ้าแห่งลม เป็นยมเทพผู้เป็นเจ้าแห่งความตาย เป็นอัคนีเทพผู้เป็นเจ้าแห่งไฟ เป็นวรุณเทพผู้เป็นเจ้าแห่งทะเล เป็นศศางกเทพผู้เป็นเทพประจำดวงจันทร์และเป็นประชาบดีเทพผู้อยู่เหนือประชา นิกรของโลก         
                         ข้าขอนอบน้อมแด่พระองค์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
         
                         เมื่อก่อนนั้นข้าเคยเรียกพระองค์ว่าสหายบ้าง เรียกออกชื่อเฉยๆ บ้าง ก็ด้วยถือวิสาสะว่าเป็นเพื่อนโดยไม่ได้ล่วงรู้ถึงสภาวะที่แท้จริงของพระองค์ เลยสักนิด         
                         ความประพฤติล่วงเกินอันใดที่ข้าเคยปฏิบัติต่อพระองค์ ไม่ว่าจะในที่ลับตาคนอื่นหรืออยู่ต่อหน้าคนทั้งหลาย ข้าขอขมาผิด โปรดยกโทษให้แก่อาการล่วงเกินเพราะความเขลาของข้านั้นด้วย         
                         ข้าได้มีโอกาสเห็นสิ่งมหัศจรรย์อันไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิต เมื่อได้เห็นแล้วความรู้สึกของข้าก็ทั้งตื่นเต้นและเกรงกลัว
         
                         เทวะ! ณ บัดนี้ข้าปรารถนาเหลือเกินที่จะได้เห็นรูปของพระองค์ในลักษณาการอื่นๆ อีก โปรดเนรมิตรูปทรงมงกุฎ ในหัตถ์ทรงคฑาและจักรประกอบด้วยพระกรทั้งสี่ให้ข้าได้ยลบ้างเถิด
         
                         กฤษณะตอบว่า         
                         อรชุน! เรายินดีจะแสดงรูปทิพย์ของเราแก่ท่านด้วยอำนาจแห่งเทวฤทธิ์ เราจะให้ท่านทัศนารูปอันโชติช่วงด้วยไฟอันเป็นวิศวรูปซึมซ่านอยู่ทั้งทุกอณูของจักรวาล เป็นรูปที่ไม่มีเบื้องต้นและที่สุด อนึ่งเล่ารูปนี้นอกจากท่านแล้วไม่มีใครเลยในโลกนี้เคยได้พบเห็นมาก่อน         
                         อรชุน! วิศวรูปอันลี้ลับของเรานี้มิอาจมองเห็นได้ด้วยการศึกษาพระเวท การประกอบยัญกรรมก็ไม่อาจช่วยให้มองเห็น การให้ทานก็ช่วยไม่ได้ กระทั้งการบูชาเซ่นสรวงหรือการบำเพ็ญตบะก็ไม่อาจช่วยให้บุคคลผู้ปฏิบัติเช่นนั้น มองเห็นรหัสยรูปของเรานั้น
         
                         ผู้จะมองเห็นได้มีเพียงบุคคลพิเศษที่เราเจาะจงให้เห็นอย่างเช่นท่านนี้เท่านั้น         
                         และเมื่อเห็นรูปทิพย์ของเราแล้ว จงอย่ากลัว! อย่าหลงใหล! จงสลัดความกลัวและความหลงใหลออกจากจิตแล้วเพ่งมองวิศวรูปของเราด้วยใจอันเบิกบานแช่มชื่น         
                         กล่าวจบกฤษณะก็พลันแสดงรูปกายของตนให้ปรากฎแก่สายตาของอรชุน                         
                         รูปนั้นสง่างามและอ่อนโยน เป็นรูปที่กฤษณะเนรมิตขึ้นเพื่อขจัดความหวั่นกลัวของอรชุน ที่ได้พบเห็นรูปอันน่ากลัวมาก่อน
         
                         อรชุนเห็นรูปนั้นแล้วก็กล่าวขึ้นว่า         
                         ข้าแต่องค์กฤษณะ! ข้าเห็นแล้ว! รูปที่พระองค์เนรมิตเป็นมานุษยรูปนั้นช่างงดงามเปี่ยมด้วยแววแห่งเมตตาเหลือเกิน!         
                         ข้าสามารถทำใจให้เป็นปกติได้แล้ว! เวลานี้ใจข้าเยือกเย็นลงแล้ว!         
                         กฤษณะตอบว่า         
                         อรชุน! รูปที่ท่านกำลังชมอยู่นี้ยากนักที่ใครจะมีโอกาสได้เห็นแม้กระทั่งเหล่าเทวาก็ปรารถนาจะได้ชมเป็นบุญตา         
                         ทิพยรูปแห่งเรานี้ไม่อาจเห็นได้โดยอาศัยการร่ำเรียนหรือสาธยายพระเวท ไม่อาจเห็นได้ด้วยการบำเพ็ญตบธรรมและให้ทานตลอดจนประกอบยัญพิธี
         
                         ผู้ภักดีในเรามั่นคงไม่คลอนแคนเท่านั้นจึงจะมีโอกาสได้เห็นรหัสยรูปของเรา         
                         อรชุน! ใครก็ตามทำกรรมเพื่อเข้าถึงเรา ยึดถือเอาเราเป็นเป้าหมายแห่งการกระทำกรรม ภักดีในเราโดยปราศจากข้อกังขาใดๆ ทั้งสิ้น ผู้นั้นย่อมอาจที่จะเข้าถึงเราได้โดยไม่ยากเย็นเลย


ฐิตา:


ภควัทคีตา
บทเพลงแห่งองค์ภควัน
สมภาร พรมทา แปลและเรียบเรียง

บทที่สิบสอง
                   อรชุนกล่าวว่า   
                   บุคคลสองประเภทต่อไปนี้คือ บุคคลผู้ปฏิบัติโยคธรรมเพื่อบูชาพระองค์อยู่เป็นนิจกาลหนึ่ง, บุคคลผู้โน้มเหนี่ยวเอาพระองค์เป็นที่ยึดพิงทางใจแต่มิได้ปฏิบัติโยคะเพื่อ บูชาพระองค์หนึ่ง, บุคคลสองจำพวกนี้ฝ่ายใดชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติตรงต่อหลักโยคธรรมมากกว่ากัน
   
                   กฤษณะตอบว่า   
                   ผู้มีใจภักดีในเราและปฏิบัติโยคะอันได้แก่การชำระจิตให้บริสุทธิ์เป็นนิจ เพื่อเข้าถึงเรานั่นแลชื่อว่าผู้ปฏิบัติตรงต่อหลักโยคธรรม   
                   กระนั้นก็ดี บุคคลผู้ยึดเหนี่ยวเอาเราเป็นที่พึ่งพิงทางใจรู้จักควบคุมอารมณ์ความรู้สึก เวลากระทบกับเหตุการณ์ต่างๆ มีใจเสมอในสรรพสิ่ง ยินดีในการบำเพ็ญตนให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น คนเช่นนี้ก็ชื่อว่าอาจเข้าถึงเราด้วยเช่นกัน
   
                   เหตุที่ผู้ยึดเหนี่ยวเอาเราเป็นที่พึ่งเพียงอย่างเดียว แต่มิได้ปฏิบัติโยคธรรมพร้อมกันไปด้วยชื่อว่าปฏิบัติไม่ค่อยตรงต่อหลักแห่งโยคะ ก็เพราะคนเช่นนั้นมักสำคัญผิดในภาวะแห่งเราซึ่งเป็นภาวะที่ปราศจากตัวตน ว่าเป็นตัวเป็นตน การจะเข้าถึงเราผู้เป็นอรูปสภาวะย่อมจะเป็นไปได้ยากสำหรับคนผู้เข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเราคือสิ่งที่เป็นตัวเป็นตน
   
                   แต่สำหรับบุคคลผู้วางใจในเรา กระทำกรรมอันใดก็อุทิศกรรมนั้นเพื่อบูชาเรา เพียรชำระจิตใจให้สะอาดอยู่เสมอ คนเช่นนั้นย่อมเข้าถึงเราได้ง่าย   
                   ผู้ใดภักดีในเรา เราย่อมช่วยฉุดผู้นั้นขึ้นจากห้วงทะเลแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้เสมอ   
                   เพราะเหตุนี้แลอรชุน ท่านจงมั่นใจในเราเถิด จงมอบความภักดีของท่านให้แก่เราแล้วท่านจะข้ามพ้นจากห้วงสังสารวัฏฏ์และชีวาตมันของท่านก็จักผสานเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเรา
   
                   แต่ถ้าว่าการตั้งจิตให้มั่นในเราอยู่ทุกเวลาจะเป็นความลำบากแก่ท่านไซร้ ท่านจะใช้วิธีฝึกฝนจิตให้สะอาดจากสิ่งเศร้าหมองแทนการรำลึกถึงเราก็ได้ นั่นก็เป็นวิธีทางเข้าสู่เราเช่นกัน   
                   หรือหากว่าการเพียรชำระจิตอย่างนั้นเป็นสิ่งที่เกินเลยวิสัยที่ท่านจะกระทำได้ ก็ขอให้กระทำกรรมดีอุทิศเป็นสักการะแก่เราแทน กรรมดีที่ท่านกระทำนั้นจักส่งผลให้ท่านระลึกถึงเราให้มั่น แล้วแปรเอาพลังรำลึกนั้นเป็นเครื่องสกัดกรรมชั่วทั้งมวลออกไปจากจิตใจ
   
                   ปัญญา ย่อมประเสริฐกว่าสมาธิ ความรู้แจ้งประเสริฐกว่าปัญญา แต่ความรู้แจ้งนั้นก็ยังไม่ประเสริฐเท่าการสละผลของกรรม ผู้สละผลของกรรมเสียได้ย่อมประสบสุขชั่วนิรันดร์   
                   บุคคลใดปราศจากความมุ่งร้ายต่อผู้อื่น จิตใจประกอบด้วยไมตรีและความการุณย์ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนและสิ่งของของตน สามารถวางใจให้เป็นกลางได้ทั้งในคราวที่ประสบกับสุขและทุกข์ เป็นผู้พร้อมที่จะให้อภัยต่อผู้อื่น มีความสันโดษ ตั้งมั่นอยู่เสมอในสมาธิ อารมณ์เยือกเย็น ควบคุมความรู้สึกได้และมีใจภักดีในเรา บุคคลนั้นย่อมเป็นที่รักของเรา
   
                   บุคคลใดไม่ก่อความวุ่นวายให้แก่โลก ทั้งโลกเองก็ไม่อาจทำให้เขาวุ่นวายได้ เป็นผู้ไม่ยินดียินร้ายต่อความสมหวังและผิดหวังในชีวิต อยู่ในโลกอย่างปราศจากความหวั่นกลัว บุคคลเช่นนี้ก็เป็นที่รักของเราเช่นกัน   
                   บุคคลใดกระทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน มีกายวาจาและใจบริสุทธิ์สะอาด อดทนต่อความยากลำบากในชีวิต ผู้นั้นก็เป็นที่รักของเราเหมือนกัน   
                   บุคคลใดวางใจให้แสมอทั้งในมิตรและศัตรู ทั้งในเสียงสรรเสริญและคำด่าว่า ทั้งในร้อนและหนาว ทั้งในสุขและทุกข์ได้เท่าเทียมกัน ไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งด้วยความพอใจหรือขัดใจ บุคคลนั้นก็เป็นที่โปรดปรานของเราเช่นกัน
   
                   และสำหรับบุคคลผู้บำเพ็ญอมฤตธรรมเป็นการบูชาเรา บุคคลนั้นชื่อว่าเป็นยอดแห่งผู้ที่เราโปรดปราน!


ฐิตา:


ภควัทคีตา
บทเพลงแห่งองค์ภควัน
สมภาร พรมทา แปลและเรียบเรียง

บทที่สิบสาม
                      อรชุนกล่าวว่า       
                      ข้าแต่องค์เกศวะ! ข้าประสงค์จะทราบความหมายของคำต่อไปนี้คือ ประกฤติหนึ่ง, ปุรุษะหนึ่ง, เกษตระหนึ่ง, เกษตรชญะหนึ่ง, ชญาหนึ่ง, และเชญยะอีกหนึ่ง, ขอพระองค์โปรดอธิบายความหมายแก่ข้าด้วย       
                      กฤษณะตอบว่า       
                      อรชุน! ร่างกายคือเกษตระ* ส่วนผู้รู้เกษตรภาวะแห่งร่างกายนี้ชื่อว่าเกษตรชญะ* (คำ ว่าเกษตระนี้แปลตามตัวว่า ที่นา field โดยความหมายได้แก่สภาวะอันเป็นเครื่องรองรับผลของกรรมเสมือนหนึ่งที่นาเป็น ที่รองรับเมล็ดพืชให้เจริญเติบโต ที่ว่าร่างกายคือเกษตระก็คือร่างกายของมนุษย์เป็นสิ่งรองรับผลของกรรม หากไม่มีร่างกายแล้วกรรมก็ไม่มี การให้ผลของกรรมก็ไม่มี จากความเชื่ออันนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าศาสนาฮินดูก็ยอมรับความสำคัญของวัตถุธรรม Matter ไม่ใช่ศาสนาที่ปฏิเสธความมีอยู่ของวัตถุธรรมแล้วยอมรับเพียงจิตธรรม Spirit อย่างที่เข้าใจกัน -ผู้แปล)
       
                      อรชุน! เราคือเกษตรชญะผู้หยั่งรู้ถึงความลี้ลับแห่งเกษตรภาวะอย่างทะลุปรุโปร่ง และการรู้แจ้งถึงเกษตรภาวะกับเกษตรชญะนี้แลคือ ชญาน       
                      จงฟังอรชุน! ณ บัดนี้เราจะอธิบายความหมายของสิ่งที่เรียกว่าเกษตระนี้ให้ท่านฟังว่ามันมีธรรมชาติเป็นเช่นไร มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและมีต้นกำเนิดมาจากไหน และพร้อมกันนี้เราจะสาธยายถึงเกษตรชญะว่าคือใครและมีอานุภาพยิ่งใหญ่เพียงใด
       
                      เรื่องราวของเกษตระและเกษตรชญะนี้บรรดาฤาษีทั้งหลายได้ร้อยกรองเป็นเพลงขับ เอาไว้เป็นมากมายและมีนัยอันแตกต่างกัน กระทั่งในบทสวดก็มีกล่าวเอาไว้เป็นอเนกปริยาย หรือในพรหมสูตรท่านก็วินิจฉัยเอาไว้อย่างมีเหตุมีผลเป็นที่พิสดารยิ่ง       
                      มหาภูตกล่าวคือส่วนประกอบของร่างกายที่เป็นวัตถุธรรมทั้งห้าอันได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศหนึ่ง       
                      อหังการอันได้แก่ความรู้สึกว่าเป็นตัวของตัวหรือความรู้สึกว่าตัวตนนั้นมีอยู่หนึ่ง       
                      พุทธิอันได้แก่ความรู้แจ้งหนึ่ง
                      อัพยักตะอันได้แก่นามธรรมที่ไม่ปรากฏรูปหนึ่ง
       
                      อินทรีย์ กล่าวคือส่วนประกอบของร่างกายที่เป็นตัวรับความรู้สึกและเป็นตัวความรู้สึก เองทั้งสิบซึ่งแบ่งเป็นญาเณนทรีย์ห้าและกรรเมนทรีย์อีกห้านี้หนึ่ง* (ญาเณนทรีย์คือส่วนของประสาทสัมผัสที่ทำหน้าที่รับรู้ความรู้สึกมีอยู่ห้าประการคือ ประสาทตา, ประสาทหู, ประสาทจมูก, ประสาทลิ้น, และประสาทกาย ส่วนกรรเมนทรีย์ได้แก่ส่วนของประสาทสัมผัสที่ทำหน้าที่ใช้งานหรือควบคุมการทำงานของอวัยวะในร่างกายมีอยู่ห้าประการเช่นกันคือ ประสาทควบคุมการทำงานของปาก ประสาทควบคุมการทำงานของมือ, ประสาทควบคุมการทำงานของเท้า, ประสาทควบคุมการทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์ และประสาทควบคุมการทำงานของท้อง -ผู้แปล)
       
                      อินทรีย์โคจร กล่าวคืออารมณ์อันเข้ามากระทบประสาทสัมผัสทั้งห้าได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ หนึ่ง       
                      อิจฉา กล่าวคือความปรารถนาในสิ่งอันพึงปรารถนาหนึ่ง       
                      เทวษะ อันได้แก่ความเคียดแค้นเมื่อไม่ได้สมปรารถนาหนึ่ง       
                      สุขและทุกข์หนึ่ง
       
                      สังฆาตะ กล่าวคือระบบความสัมพันธ์กันแห่งอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายหนึ่ง       
                      เจตนา กล่าวคือความจงใจเวลากระทำกรรมหนึ่ง       
                      ธฤติ อันได้แก่ความตั้งมั่นแห่จิตใจหนึ่ง
       
                      ทั้งหมดที่กล่าวมาโดยย่อนี้รวมแล้วเรียกว่า "เกษตระ” * (ความตอนนี้เป็นการแสดงรายละเอียดของร่างกายมนุษย์โดยท่านจำแนกให้เห็นย่อๆ ว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง องค์ประกอบของชีวิตตามที่แสดงมานี้อาจจะเข้าใจได้ยากสักหน่อยสำหรับคนรุ่นปัจจุบันที่ไม่ชินกับการจัดระบบและองค์ประกอบของชีวิตตามคัมภีร์ศาสนา การจัดระบบชีวิตกันในลักษณะนี้ดูจะเป็นความเชื่อทั่วไปของคนอินเดียโบราณ ไม่เฉพาะแต่คนที่นับถือศาสนาฮินดูเท่านั้น แม้พุทธศาสนาก็เชื่อคล้ายๆ กันนี้ ดังที่ท่านจำแนกร่างกายส่วนที่เป็นวัตถุธรรมออกเป็นดิน(องค์ประกอบของร่างกายส่วนที่ดำรงสถานะของแข็งเช่นกล้ามเนื้อ กระดูกและเส้นเอ็นเป็นต้น), น้ำ(ส่วนที่ดำรงสถานะของเหลวเช่นเลือด เหงื่อ หนอง น้ำเหลือง ตลอดจนน้ำที่ประกอบอยู่ในเซลล์เป็นต้น), ไฟ(ส่วนที่เป็นพลังงานหรือความอบอุ่นในร่างกาย), ลม(ส่วนที่เป็นอากาศซึ่งเคลื่อนที่ไปมาระหว่างช่องว่างในร่างกายและอวัยวะ ต่างๆ), และอากาศ(ส่วนที่เป็นอากาศอันหยุดนิ่งอยู่กับที่โดยแทรกตัวอยู่ในช่องว่าง ระหว่างอวัยวะและในตัวอวัยวะนั้น) การจัดระบบอวัยวะและร่างกายแบบนี้จะเห็นได้ว่าใกล้เคียงกันกับ ที่จัดกันในความของ ภควัทคีตา ตอนนี้มาก -ผู้แปล)
       
                      เกษตระ กล่าวคือร่างกายนี้ย่อมแปรเปลี่ยนเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา       
                      อมานิตวะ กล่าวคือความไม่ถือตัวหนึ่ง       
                      อทัมภิตวะ กล่าวคือความไม่ดื้อรั้นเจ้าทิฐิหนึ่ง       
                      อหิงสา กล่าวคือความไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นหนึ่ง
       
                      กษานติ กล่าวคือความอดทนต่อความยากลำบากหนึ่ง
                      อารชวะ กล่าวคือความซื่อตรงหนึ่ง     
                      อาจารโยปาสนะ กล่าวคือความเคารพยำเกรงในครูอาจารย์หนึ่ง       
                      เศาจะ กล่าวคือความบริสุทธิ์แห่งกายวาจาและใจหนึ่ง       
                      สไถรยะ กล่าวคือความมั่นคงเยือกเย็นหนึ่ง       
                      อาตมวินิครหะ กล่าวคือการควบคุมตนเองได้หนึ่ง       
                      ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็มีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า “ชญาน”
       
                      ความไม่หลงใหลอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทางกายหนึ่ง       
                      ความไม่ยึดมั่นตัวตนหนึ่ง       
                      การมองเห็นทุกข์และโทษของการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตายหนึ่ง       
                      ความไม่มัวเมาในอารมณ์อันน่าพอใจหนึ่ง
       
                      ความไม่ยึดมั่นในบุตรภรรยาและเคหสถานหนึ่ง       
                      ความเป็นผู้มีใจเป็นกลางทั้งในสิ่งที่ก่อให้เกิดความพอใจและในสิ่งอันก่อให้เกิดความเคืองใจหนึ่ง       
                      ความภักดีในเราอย่างมั่นคงด้วยอำนาจแห่งโยคะอันแน่วแน่หนึ่ง       
                      การหลีกเร้นจากความวุ่นวายไปสู่วิเวกสถานหนึ่ง
       
                      ความไม่ยินดีในการคลุกคลีกับฝูงชนที่สมาคมกันโดยเปล่าประโยชน์หนึ่ง       
                      การตั้งมั่นอยู่เป็นนิตย์ในอัธยาตมชญาณ กล่าวคือ ความรู้แจ้งจนถึงที่สุดของความจริงหนึ่ง       
                      การประจักแจ้งถึงตัตตวชญานารถะ กล่าวคือการมองทะลุไปจนถึงที่สุดของความจริงหนึ่ง
                      ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนแล้วแต่เป็นคำอธิบายความหมายของสิ่งที่เรียกว่า “ชญาน” อันหมายถึงความรู้แจ้งทั้งสิ้น       
                      สิ่งใดตรงข้ามจากที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้ สิ่งนั้นย่อมเป็น “อัชญาน”กล่าวคือ ความมืดบอดงมงายมองไม่เห็นสัตยธรรม



ฐิตา:


ต่อค่ะ
                 อรชุน! ต่อไปนี้เราจะกล่าวถึง “เชญยะ”อันได้แก่สิ่งที่บุคคลพึงรู้ เชญยะกล่าวคือสิ่งควรรู้นี้เมื่อใครได้รู้แล้ว เขาผู้นั้นย่อมประสบชีวิตอมตะ

                 อรชุน! สิ่งที่บุคคลพึงรู้สูงสุดในโลกนี้คือพรหม!
                 พรหมนี้เป็นสภาวะอันสูงสุด! ไม่มีเบื้องต้น! ไม่เป็นทั้งสิ่งที่มีอยู่และสิ่งที่ไม่มีอยู่* (คำ ว่า “ไม่มีเบื้องต้น”Beginingless หมายถึงเป็นสภาพที่ไม่มีใครสร้างขึ้นมา หากแต่เกิดมีเอง, คำว่า “สิ่งที่มีอยู่” Existent ภาษาสันสกฤต ท่านใช้ว่า “สัต”หมายถึงสิ่งที่มีตัวตน สามารถสัมผัสพิสูจน์ความมีอยู่ได้ด้วยประสาทสัมผัส. ส่วน "สิ่งที่ไม่มีอยู่" Non-Existent ภาษาสันสกฤตเรียกว่า "อสัต" หมายถึงสิ่งที่ไม่มีตัวตน สัมผัสและพิสูจน์ไม่ได้ บางครั้งคำว่า “สัต”กับ “อสัต” ท่านก็ใช้คำว่า “ภาวะ กับ “อภาวะ” แทน ทั้งสัตและอสัตเป็นคำนิยามเรียกสิ่งที่อยู่ในวิสัยการรับรู้ของสามัญมนุษย์ พรหมเป็นโลกุตตรภาวะที่อยู่เหนือการนิยามด้วยตรรกะอันนี้ พรหมจึงไม่เป็นทั้งสัตและอสัต -ผู้แปล)
 
                 พรหม เป็นประดุจพัสตราที่หุ้มห่อโลกทั้งโลกเอาไว้! ไม่มีสถานที่แห่งใดในโลกที่หัตถ์ บาท ดวงเนตร เศียร พักตร์ และกรรณของพรหมจะไม่แผ่ไปถึง!
                 พรหมหยั่งรู้ถึงสรรพารมณ์ เช่น ความโลภ ความโกรธ และความหลง เป็นต้น แต่พรหมปราศจากอารมณ์เหล่านั้น
                 พรหมไม่มีความยึดมั่นในสรรพสิ่ง
                 พรหมคือผู้ค้ำจุนสิ่งดีงามทั้งปวง

                 พรหมเป็นสภาวะที่อยู่เหนือความดีและความชั่ว แต่พรหมก็ยังต้องเกลือกกลั้วอยู่กับสิ่งเหล่านี้เพื่อปกป้องโลก
                 พรหมอยู่ทั้งภายนอกและภายในสรรพสิ่ง
                 พรหมเป็นทั้งสิ่งที่เคลื่อนไหวและและหยุดนิ่ง และเป็นสิ่งที่ใครๆ ไม่อาจหยั่งรู้ด้วยการขบคิดหรือใช้เหตุผล
                 พรหมเป็นทั้งสิ่งที่อยู่ไกลห่างและใกล้ชิดโลก
 
                 พรหมเป็นสภาวะที่ไม่อาจแยกแยะออกมาจากสรรพสิ่ง แต่บางครั้งพรหมก็ปรากฏเสมือนสิ่งที่อาจจำแนกออกมาได้
                 พรหมคือผู้ดูแลความเป็นไปของสรรพสิ่ง
                 พรหมคือผู้ทำลายสรรพสิ่ง
                 พรหมคือผู้สร้างสรรพสิ่งขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่เลี้ยงดูและทำลายมันแล้ว
 
                 พรหมคือแสงสว่างเหนือแสงสว่างทั้งมวล และเป็นสภาวะที่ไม่มีความมืดใดบังอาจเข้ามากร้ำกรายได้
                 พรหมดังที่เราแสดงมานี้คือ “เชญยะ อันได้แก่สิ่งที่บุคคลพึงรู้แจ้งในชีวิต
                 การรู้แจ้งสภาวะแห่งพรหมเรียกว่า “ชญาน”
                 อรชุน! คำว่าเกษตระ, ชญาน, และเชญยะ เราแสดงมาโดยย่อด้วยประการฉะนี้ ผู้ใดภักดีต่อเรา ผู้นั้นย่อมหยั่งทราบถึงความหมายของสิ่งเหล่านี้ และด้วยการประจักษ์แจ้งนั้น เขาย่อมบรรลุถึงพรหมภาวะแห่งเรา
 
                 ส่วนประกฤติกับปุรุษะนั้น จงทราบเอาไว้ในเบื้องต้นก่อนว่า เป็นสภาวะที่เกิดมีขึ้นเอง ไม่มีใครสร้างขึ้นมา
                 ประกฤติคือต้นกำเนิดของวิการและคุณ* (“วิการ ”transfotmation ได้แก่การแปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่งของสรรพสิ่งในจักรวาล ส่วน “คุณ modes of matter ได้แก่สภาวะที่จำแนกให้เห็นความแตกต่างของสรรพสิ่งนั้น ตัวอย่างของวิการก็เช่นการที่สัตว์และพืชมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เริ่มจากเกิดขึ้นมาแล้วก็เติบโต จากนั้นก็ร่วงโรยจนสิ้นสลายไปในที่สุด ส่วนตัวอย่างของคุณก็เช่นการที่พืชและสัตว์นั้นมีชาติพันธุ์ที่ต่างกัน ต้นมะม่วงกับต้นขนุนย่อมมีลักษณะต่างกัน สภาพที่เป็นความต่างกันนั้นคือคุณ นอกจากนั้นวิการและคุณนี้ ยังครอบคลุมไปถึงสิ่งที่ไม่มีชีวิตด้วยการที่ก้อนหินเปื่อยละลายกลายเป็นดิน ก็คือตัวอย่างของวิการ หรือการที่ดินกับหินมีลักษณะเฉพาะ ตัวบ่งบอกความเป็นหินและดิน นั่นก็คือคุณ ทั้งคุณและวิการนี้มีประกฤติเป็นตัวหกระทำให้เกิดขึ้น ประกฤติ (ซึ่งก็คือภาคหนึ่งของปรมาตมันนั่นเอง) จึงเป็นสิ่งอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้ -ผู้แปล)
 
                 ประกฤติคือผู้สร้างร่างกาย ส่วนปุรุษะเป็นผู้สร้างความรู้สึก
                 ปุรุษะอาศัยประกฤติเป็นที่อิงอาศัยพร้อมกันนั้นก็รับรู้สิ่งปรุงแต่งต่างๆ เช่น ความงามหรือความน่าเกลียดที่ประกฤติแต่งสร้างขึ้นในโลก
                 การที่ปุรุษะยึดเหนี่ยวเอามายาของประกฤติเข้าไว้นี้ หากมายานั้นเป็นฝ่ายกุศลก็จะส่งผลให้ผู้ยึดเหนี่ยวมีชาติกำเนิดที่ดีเป็น เบื้องหน้า ในทางกลับกันหากว่ามายานั้นเป็นฝ่ายอกุศล ผลสนองของการยึดมั่นนั้นก็จะส่งให้เขาเข้าสู่ชาติกำเนิดที่ต่ำทรามต่อไป
                 ปุรุษะอันอิงอาศัยร่างกายนี้ก็คือสิ่งสิ่งเดียวกับสิ่งที่เรียกว่าปรมาตมัน
 
                 ผู้ใดรู้แจ้งประกฤติและปุรุษะอย่างทะลุปรุโปร่ง ผู้นั้นกระทำกรรมอันใดลงไป ผลกรรมก็ไม่อาจส่งสนองให้เขาต้องมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลกรรมอีก
 
                 ปุรุษะหรือปรมาตมันนี้บางคนอาจประจักษ์แจ้งได้ด้วยการบำเพ็ญสมาธิ บางคนอาจประจักษ์แจ้งด้วยการปฏิบัติสางขยโยคะ บางคนอาจประจักษ์แจ้งด้วยการปฏิบัติกรรมโยคะ
 
                 คนบางคนไม่เคยทราบถึงความลี้ลับแห่งปรมาตมันนี้มาก่อน หากแต่ได้ยินได้ฟังมาจากผู้อื่น อาศัยความศรัทธาในปรมาตมันเพียรขยันกระทำคุณความดีเป็นการบูชาปรมาตมันนั้น คนเช่นนี้ก็อาจข้ามพ้นห้วงสังสารวัฏฏ์ได้เช่นกัน
 
                 อรชุน! จงทราบไว้ว่าสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกไม่ว่าจะเคลื่อนไหวได้หรือเคลื่อน ไหวไม่ได้ก็ตาม สรรพสิ่งเหล่านั้นล้วนแต่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้เพราะความสัมพันธ์อันพอ เหมาะระหว่างเกษตระและเกษตรชญะ* (หมายความว่าประกฤติหรือธรรมชาติส่วนที่เป็นต้นกำเนิดของชีวิตด้านกายภาพ physical กับปุรุษะหรือธรรมชาติส่วนที่เป็นต้นกำเนิดของชีวิตด้านจิตภาพ spiritual ประสมประสานกันพอเหมาะ อีกนัยหนึ่งตามคติของศาสนาฮินดูนั้นถือว่าเมื่อมนุษย์และสัตว์ตายลง อาตมันของมนุษย์และสัตว์จะเข้าไปรวมกับปรมาตมันก่อนชั่วระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นอาตมันนั้นจึงจะถูกปรมาตมันส่งไปถือกำเนิดในร่างใหม่ การที่อาตมันเข้าไปรวมกับปรมาตมันชั่วคราวนี้เรียกว่า "สังโยคะ" ด้วยความเชื่อนี้ สรรพสิ่งที่ถือกำเนิดในโลกนี้จึงเกิดและดำรงอยู่ได้ด้วยอำนาจของสังโยคะนั้น อันอาจตีความได้ในอีกแง่หนึ่งว่า เป็นความสัมพันธ์กลมกลืนกันระหว่างอาตมัน (เกษตระ) กับปรมาตมัน (เกษตรชญะ) คำว่า "ความสัมพันธ์อันพอเหมาะ" ในโศลกนี้ผมแปลจากคำว่า "สังโยคะ" ที่กล่าวมานี้ -ผู้แปล)
 
                 ปรมาตมันนั้นแทรกอยู่ในทุกอณูของสรรพสิ่ง เมื่อสิ่งอาศัยสิงสถิตแตกสลายไป ปรมาตมันหาได้พินาศไปด้วยไม่
                 ผู้ใดหยั่งเห็นปรมาตมันดังกล่าวมานี้ ผู้นั้นนับว่าเห็นชอบ
                 เมื่อมองเห็นปรมาตมันซึ่งดำรงอยู่ในสรรพสิ่ง เขาย่อมอาจปฏิบัติตนเพื่อเข้าสู่บรมศานติได้
                 ประกฤติคือผู้รับผิดชอบในการกระทำกรรมทุกอย่าง! อาตมันหาใช่ผู้รับผิดชอบไม่ ผู้ใดหยั่งเห็นได้เช่นนี้ ผู้นั้นนับว่าเห็นถูกอย่างยิ่ง!
                 ผู้ใดมองเห็นว่าสรรพสิ่งในจักรวาลล้วนก่อกำเนิดมาจากพรหม ผู้นั้นย่อมอาจเข้าถึงพรหมได้
 
                 ปรมาตมัน ไม่รู้จักสิ้นสูญ เป็นสภาวะอมตะ ไม่ได้เกิดมาจากอะไร ไม่มีใครทำให้ปรมาตมันเกิด แม้ว่าปรมาตมันนั้นจะตั้งอยู่ในร่างของคนที่กระทำกรรม ผลของกรรมก็มิได้แปดเปื้อนมาถึงปรมาตมัน!
                 อุปมา ดังอากาศที่ซึมแทรกอยู่ทั่วทุกอณูของสรรพสิ่ง อากาศนั้นก็หาได้แปดเปื้อนด้วยสิ่งที่ตนซึมซ่านอยู่ไม่ ข้อนี้ฉันใด อาตมันก็ฉันนั้น แม้สิงสถิตอยู่ในร่างของคน ก็หาได้แปดเปื้อนด้วยกรรมที่คนผู้นั้นกระทำไม่!
 
                 เปรียบเสมือนดวงตะวันเพียงดวงเดียวก็สามารถแผ่รัศมีส่องสว่างครอบคลุมโลก ตลอดโลกได้ อาตมันก็เช่นกัน อาศัยอยู่ในร่างย่อมแผ่อานุภาพให้ร่างทั้งร่างนั้นตกอยู่ในอำนาจดุจกัน!
                 อรชุน! ผู้ใดหยั่งเห็นความแตกต่างระหว่างเกษตระและเกษตรชญะ ดังกล่าวมานี้ด้วยจักษุคือความรู้แจ้งและสามารถแยกอิสรภาพทางจิตออกจากอำนาจ แห่งวัตถุได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุโมกษะ!


ฐิตา:


ภควัทคีตา
บทเพลงแห่งองค์ภควัน
สมภาร พรมทา แปลและเรียบเรียง

บทที่สิบสี่
                    กฤษณะตรัสว่า   
                    เราจักกล่าวซ้ำถึงความรู้แจ้งอันประเสริฐกว่าความรู้แจ้งทั้งปวงแก่ท่านอีกครั้ง ความรู้แจ้งอันนี้นี่เองที่ส่งผลให้บรรดาเหล่ามุนี ที่ลุถึงประจักษ์แจ้ง ข้ามพ้นจากห้วงสังสารวัฏฏ์เข้าสู่บรมศานติชั่วนิรันดร์   
                    ผู้ใดรู้แจ้งชญานอันประเสริฐที่เราจะกล่าวต่อไปนี้ ผู้นั้นย่อมกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเรา เขาจะไม่เกิดอีกเมื่อมีการสร้างโลกและจักรวาลขึ้นใหม่ในต้นกัลป์ และจะไม่พินาศเมื่อมีการล้างโลกและจักรวาลให้ประลัยในคราวจะสิ้นกัลป์
   
                    อรชุน! มหาพรหมคือต้นกำเนิดของโลกและจักรวาล อนึ่งมหาพรหมนั้นที่แท้ก็คือครรภสถานที่เราได้หยอดเมล็ดพันธุ์ลงไว้สำหรับ ให้เป็นแดนกำเนิดของสรรพสิ่ง   
                    สรรพสัตว์ที่ถือกำเนิดในครรภ์ทั้งปวงล้วนแล้วแต่มีมหาพรหมเป็นครรภ์รองรับ โดยมีเราเป็นบิดาผู้ประทานเชื้อพันธุ์เข้าผสม* (หมายถึงความว่าสัตว์ทุกชนิดแม้จะเกิดจากครรภ์มารดาตนเอง แต่ก็ต้องได้รับการปกป้องรักษาจากมหาพรหม(ประกฤติ) อันเป็นเสมือนครรภ์หุ้มเลี้ยงสรรรพชีวิต ความเชื่อนี้เป็นคติของชาวฮินดูซึ่งถือกันว่าทุกชีวิตจะก่อเกิดมาก็ต่อเมื่อ เชื้อพันธุ์ซึ่งเรียกกันในภาษาสันสกฤตว่า พีชะ ได้เข้าผสมกับไข่ในมดลูก(มดลูกนี้เรียกกันในภาษาสันสกฤตว่าโยนี) มหาพรหมหรือประกฤติ ชาวฮินดูถือว่าเป็นมดลูกหรือครรภ์ของโลกและจักรวาล เมื่อปรมาตมันหรือพรหมประทานเชื้อ(พีชะ) ลงผสมในครรภสถานนแห่งมหาพรหมนั้น สรรพชีวิตจึงก่อเกิด พรหมหรือปรมาตมันจึงเป็นเสมือนบิดาของสรรพสิ่ง -ผู้แปล)
   
                    อรชุน! ธรรมชาติสามประการต่อไปนี้คือ สัตตวะหนึ่ง, รชะหนึ่ง, และตมะอีกหนึ่ง เป็นธรรมชาติตัวคนเรามาตั้งแต่เกิด   
                    สัตตวะคือความดีและความบริสุทธิ์สะอาด   
                    รชะคือความกระหายอยากอันไม่รู้จักสิ้นสุด   
                    ส่วนตมะนั้นได้แก่ความลุ่มหลงมืดบอด   
                    สัตตวะย่อมส่งผลให้เกิดความสุข รชะย่อมส่งผลให้กระทำกรรมตามความกระหายอยากนั้น ส่วนตมะย่อมชักนำให้เกิดความมืดมนและประมาท
   
                    อรชุน! ในบรรดาธรรมชาติทั้งสามประการนี้ บางครั้งสัตตวะก็มีอำนาจเหนือรชะกับตมะ บางคราวรชะก็มีอำนาจเหนือสัตตวะกับตมะ บางขณะตมะก็อาจมีอำนาจเหนือสัตตวะกับรชะ สุดแท้แต่ว่าช่วงเวลาใดธรรมชาติส่วนไหนจะมีพลังมากกว่าส่วนอื่นๆ   
                    เมื่อใดปรากฏความรู้แจ้งขึ้นในทางเข้าแห่งประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย เมื่อนั้นพึงทราบเถิดว่าสัตตวะได้ปรากฏแล้ว   
                    อรชุน! เมื่อใดที่รชะปรากฏขึ้น เมื่อนั้นความโลภ ความกระวนกระวาย และความกระหายอยาก อันจะชักนำไปสู่การกระทำกรรมย่อมปรากฏตามมา
   
                    และเมื่อใดที่ตมะปรากฏขึ้น เมื่อนั้นความมืดมน ความท้อแท้ ความเลินเล่อ และความมัวเมาย่อมปรากฏตามมาเช่นกัน    
                    ผู้ใดร่างแตกดับไปในขณะที่สัตตวะเจริญขึ้นในดวงจิต ผู้นั้นย่อมจะไปสู่วิสุทธิสถานอันเป็นบรมสุข   
                    ผู้ใดร่างแตกดับขณะจิตถูกรชะหุ้มห่ออยู่ ผู้นั้นย่อมไปสู่คติภพตามผลแห่งกรรมที่ตนเองกระทำลงไปด้วยอำนาจแห่งรชะนั้น
   
                    ส่วนบุคคลใดตายไปในขณะจิตจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งตมะ บุคคลนั้นย่อมไปสู่ภพภูมิที่มืดมน   
                    สัตตวะย่อมอำนวยผลเป็นความดี ความบริสุทธิ์และความสุข   
                    รชะย่อมอำนวยผลเป็นความทุกข์ร้อนเจ็บปวด   
                    ส่วนตมะย่อมอำนายผลเป็นความมืดมนลุ่มหลง
   
                    ผู้ดำรงอยู่ในสัตตวะ ย่อมมีชีวิตที่รุ่งโรจน์สูงส่ง ผู้ดำรงอยู่ในรชะย่อมมีชีวิตปานกลางไม่สูงไม่ต่ำ ส่วนผู้ดำรงอยู่ในตมะชีวิตของเขาย่อมตกต่ำมืดมน   
                    บุคคล ใดหยั่งเห็นว่าธรรมชาติแห่งชีวิตทั้งสามนี้คือสิ่งหน่วงเหนียวชีวิตเอาไว้ใน ห้วงแห่งมายาแล้วเพียรยกจิตใจให้ข้ามพ้นบ่วงชีวิตทั้งสามนี้เพื่อเข้าสู่ ปรมาตมันอันประเสริฐ บุคคลนั้นย่อมเข้าถึงเรา* (สัต ตวะ รชะ และตมะ เป็นเพียงโลกียธรรมซึ่งส่งผลให้บุคคลเสวยสุขและทุกข์ในห้วงสังสารวัฏฏ์เหมือน กุศลกับอกุศลในพุทธศาสนา การจะเข้าถึงชีวิตนิรันดร์ต้องยกระดับจิตใจให้อยู่เหนือธรรมชาติแห่งชีวิตสามประการนี้ ข้อนี้เทียบได้กับการละกุศลและอกุศลเพื่อเข้าถึงนิพพานของชาวพุทธ -ผู้แปล)   
                    บุคคล ผู้ข้ามพ้นจากมายาของสัตตวะ รชะ และตมะ เสียได้ ย่อมพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย ชีวิตเขาย่อมประสบสุขอันเป็นอมตะชั่วนิรันดร์
   
                    อรชุนถามว่า   
                    ข้าแต่องค์กฤษณะ! โปรดแสดงแก่ข้าด้วยเถิดว่าบุคคลเช่นใดจึงสามารถข้ามพ้นธรรมชาติแห่งชีวิตสามประการนี้ได้ และในการพาตนข้ามพ้นจากสิ่งเหล่านี้ บุคคลจะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง    
                    กฤษณะตอบว่า   
                    อรชุน! ผู้ใดมีปัญญาประจักษ์ชัด หมั่นเพียรชำระจิตให้สะอาดอยู่เสมอ เมื่อประสบสิ่งมุ่งหวังก็ไม่ดีใจจนลืมตน เมื่อพลาดหวังในสิ่งที่มุ่งหมายก็ไม่เสียใจจนลืมตัว ดำรงตนอยู่อย่างมั่นคงท่ามกลางมายาแห่งชีวิต เมื่อประสบสุข-ทุกข์ก็รู้เท่ากันว่านั่นเป็นธรรมดาของชีวิต ต่อเสียงนินทาหรือสรรเสริญเขาวางใจให้เป็นกลาง ไม่เอนเอียงด้วยอำนาจแห่งความชอบหรือความชัง ปฏิบัติตนเสมอต้นเสมอปลายกับคนที่ดูแคลนหรือยกย่องตนและไม่ว่าจะเป็นมิตร หรือศัตรู เขาจะปฏิบัติต่อคนเหล่านี้อย่างเท่าเทียมกัน บุคคลเช่นนี้และอรชุนชื่อว่าผู้ข้ามพ้นจากสัตตวะ รชะ และตมะ อันรวมเรียกว่าคุณะหรือธรรมชาติพื้นฐานของชีวิตสามประการดังว่ามา



นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version